ชิงผิงและชิงอานต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กผู้หญิงคนนี้เป็นใครอีกชิงผิงที่ใจร้อนกว่า กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันที “คุณชายน้อยเย่เป็นผู้ชายที่มีเจตนาชั่วร้ายจริงๆ ถึงขั้นกล้าขังผู้หญิงไว้ที่นี่จริงๆ สมควรถูกลงโทษ”หวังซุ่นอธิบายอย่างรวดเร็ว “นักพรตเต๋าทั้งสองเข้าใจคุณชายของข้าผิด แม่นางผู้นี้ไม่ได้ถูกเขาคุมขังที่นี่ แต่สมองของนางมีปัญหา ยิ่งกว่านั้นแม่นางคนนี้มีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับคุณชายจ้าวเอ๋อร์ ถ้า ข้าเดาไม่ผิด นางก็คืออาหญิงของคุณชายน้อย”การเดินทางไปเป่ยไห่ ดูเหมือนว่าหวังซุ่นจะกลายเป็นคนสนิทของเย่จิ่งหลานไปแล้ว เรื่องของอินหลี เย่จิ่งหลานก็ไม่ได้ปิดบังเขาเสี่ยวหนานเฟิงเอียงคอมองอินหลีทันที ทว่าอินหลีเดินผ่านทุกคนไปหลายก้าวแล้ว และยังคงเดินหน้าต่อไปหวังซุ่นกล่าว “คุณชายของเราบอกว่า แม่นางผู้นี้ดูเหมือนจะถูกคนแอบถ่ายทอดกำลังภายในที่ทรงพลังอย่างยิ่งไว้ในตัว ทำให้จิตใจผิดปกติ ได้ยินแม่นางอินบอกว่า แม่นางอินหลีคนนี้ไม่รู้วรยุทธ์ แต่กำลังภายในที่อยู่ในตัว กลับเหนือกว่าคุณชายไปแล้ว”ชิงผิงหายตัวไล่ตามไป นิ้วจับชีพจรของอินหลีอย่างแม่นยำทันใดนั้นอินหลีก็ยืนนิ่งราวกับว่ามีคนแตะ
เหมยชิงเกอโคจรกำลังภายในที่จุดตันเถียน กล่าวเสียงดังทรงพลัง และก้องกังวานสายตาทุกคู่มองจับมาหานาง คนส่วนใหญ่รู้จักศิษย์พี่หญิงคนนี้ และบางคนก็ยังสงสัยเรื่องที่เจ้าตำหนักไม่ปรากฏตัวเป็นเวลานานหลายปีอยู่ครามครันสำหรับเรื่องที่เหมยชิงเกอถูกจองจำในผาเฟิงเริ่นนั้น ผู้อาวุโสหันมีคำอธิบายเพียงอย่างเดียว ซึ่งก็คือข้อหาทรยศต่อตำหนักเทพเมื่อไม่กี่วันก่อน ในตำหนักเทพมีข่าวออกมาว่าเหมยชิงเกอถูกลักพาตัว ซึ่งทำให้เหล่าศิษย์ทุกคนตื่นตระหนกในสายตาของพวกเขา แต่ไหนแต่ไรมาตำหนักเทพหอทองคำไม่อาจทำลายได้ แต่ตอนนี้ทั้งเหมยชิงเกอหายตัวไป และธิดาเทพก็มาหายตัวไปอีก ดินแดนที่เคยเป็นที่อยู่ของเทพเซียนแห่งนี้ ได้กลายเป็นเหมือนตลาดสดไปแล้ววันนี้ยังได้ยินมาว่าผู้อาวุโสหันหนีไปอีก ตำหนักเทพต้องมีคนมารับผิดชอบดูแลจริงๆ เหมยชิงเกอทำท่าทางบอกให้เงียบ เหล่าศิษย์ก็หยุดกระซิบทันทีเหมยชิงเกอกวาดตามองไปที่ทุกคน พูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ข้าไม่ใช่คนทรยศต่อตำหนักเทพ ทุกอย่างเป็นเพราะผู้อาวุโสหันจงใจขุดรากถอนโคน กำจัดผู้ไม่เห็นด้วย เขากักขังเจ้าตำหนักไว้ ทั้งยังทำให้ศิษย์พี่น้องทั้งสี่คนเราแตกแยกร้าวฉาน......เมื่อตัว
เจ้าตำหนักจินตงไหลมองไปยังเหมยชิงเกอถามด้วยสีหน้ามืดลง “เจ้าไม่ได้อยู่ที่ผาเฟิงเริ่นหรือ ใครอนุญาตให้เจ้าออกมา เจ้าคนทรยศต่อตำหนักเทพ ยังไม่คุกเข่าลงอีก”เหมยชิงเกอกำลังปีติยินดี เมื่อนางได้ยินสิ่งนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจเล็กน้อย“ท่านอาจารย์...”จินตงไหลตลวาดอีกครั้ง“ศิษย์ชั่ว คุกเข่าลง”“ช้าก่อน”น้ำเสียงแผ่วเบาดังมาจากด้านหลังเหมยชิงเกอ ร่างงามเดินออกไปอย่างช้าๆ ผู้อาวุโสหันและเจ้าตำหนักมองมาทางนี้พร้อมกัน แสงสีทองแวบขึ้นมาในดวงตาของอินชิงเสวียน เจ้าตำหนักก็ล้มลงกับพื้นทันที“ท่านอาจารย์”เหมยชิงเกอปราดเข้าไปประคองเจ้าตำหนัก ในขณะที่อินชิงเสวียนและเย่จิ่งหลานเคลื่อนไหวพร้อมกัน มาขวางหน้าของทั้งสองคน“ผู้อาวุโสหัน เจ้าตำหนักถูกท่านกักขังไว้กระมัง ไม่เพียงเท่านั้น ท่านยังใช้วิชาเนตรควบคุมเขา ช่างโหดร้ายยิ่งนัก”เย่จิ่งหลานกล่าวว่า “ถูกต้อง เมื่อท่านเห็นว่าไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จึงพาเจ้าตำหนักกลับมา พยายามปิดบังหูตาให้ทุกคนสับสน ทุกคนไม่ใช่คนโง่ จะถูกท่านบงการได้อย่างไร”สายตาที่เฉียบแหลมของฉุยอวี้เหลือบเห็นรอยแผลเป็นบนแขนของเจ้าตำหนัก พูดเสียงดังทันที “ถ้าเจ้าตำหน
ชิงผิงและชิงอานมองหน้ากันเลิ่กลั่ก“เจ้าตำหนักจินคือใคร”หวังซุ่นกล่าว “เขาเป็นผู้ปกครองของสถานที่แห่งนี้ ได้ยินมาจากคุณชายว่า เจ้าตำหนักอาจถูกคนกักขังไว้อยู่”ชิงผิงมองเห็นรอยแผลเป็นด้วยสายตาที่เฉียบคม“คนผู้นี้ได้รับบาดเจ็บจริงๆ”ชิงอานก้มลง“รีบช่วยเขาเร็ว พลังชีวิตของคนผู้นี้ดูเหมือนจะสูญสลายไปแล้ว”เขารวบรวมกำลังภายใน วางฝ่ามือบนหลังของเจ้าตำหนักจินภายในมิติก็กำลังดำเนินการกู้ชีพ แต่ภายนอกมิติเกิดความวุ่นวายขึ้นล้วเหล่าศิษย์ปิดล้อมอินชิงเสวียนและเย่จิ่งหลาน เหมยชิงเกอศิษย์พี่น้องทั้งสามสาวก็เข้าร่วมวงการต่อสู้เช่นกัน ชั่วครู่หนึ่งก็มีเสียงตะโกนสังหารดังทั่วสารทิศ และตำหนักเทพก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนผู้อาวุโสหันรู้ดีว่าวันนี้คงเป็นเรื่องยากที่จะทำหน้าใจดีได้อีก เขาจึงตัดสินใจล่าถอย ทิ้งเนินเขาเขียวขจีไว้เบื้องหลังก่อน ไม่ต้องกลัวว่าฟืนจะหมดอินชิงเสวียนจับตามองเขาตลอดเวลา เมื่อนางเห็นผู้อาวุโสหันล่าถอย ก็ตะโกนขึ้นทันที“จะหนีไปไหน”นางใช้วิชาตัวเบา เหยียบไปไปบนไหล่ของลูกศิษย์ ซักฝ่ามือใส่ผู้อาวุโสหันเย่จิ่งหลานไล่ตามไปติดๆ เหวี่ยงหมักไปที่ศ
เปรี้ยงทั้งสามคนรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง ต่างก็กระอักเลือดออกมาเต็มคำในเวลานี้ เสียงของหวังซุ่นก็ดังขึ้นในหูของเย่จิ่งหลาน“นายท่าน เจ้าตำหนักใกล้จะไม่ไหวแล้ว”เย่จิ่งหลานขมวดคิ้วเล็กน้อย“สาวน้อย หวังซุ่นบอกว่า เจ้าตำหนักจะไม่ไหวแล้ว”ในขณะที่อินชิงเสวียนกำลังว่อกแว่ก ผู้อาวุโสหันก็งอมือ ก้าวไปข้างหน้า และพุ่งเข้าใส่ดวงตาทั้งสองข้างของอินชิงเสวียนแสงสีม่วงบนมือระเบิดเป็นรัศมีหนึ่งเมตร อินชิงเสวียนสังเกตเห็นว่าการขับเคลื่อนของชี่แปลกไป เมื่อหันขวับ แสงสีม่วงพราวพุ่งออกมาต่อหน้าต่อตา ครั้นแล้วนางก็รู้สึกปวดร้าวไปทั้งกระบอกตาความชัดเจนถูกแสงสีม่วงเข้ามาแทนที่จนมิด วิสัยทัศน์การมองเห็นของอินชิงเสวียนพลันมืดลง“สาวน้อย”เย่จิ่งหลานซัดฝ่ามือออกไป น้ำตาสีแดงได้ไหลออกมาจากหางตาของอินชิงเสวียนแล้ว“แม่นางชิงเสวียน เจ้าเป็นอะไรไป”เสียงของเหมยชิงเกอดังขึ้นข้างหูอินชิงเสวียนแสร้งทำเป็นสงบ“ข้าไม่เป็นไร วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ห้ามให้ผู้อาวุโสหันหนีไปได้เด็ดขาด”แม้ว่านางจะไม่สามารถมองเห็นด้วยตา แต่ก็สามารถตรวจจับทิศทางของผู้อาวุโสหันผ่านประสาทสัมผัสได้ตอนนี้เขาไม่แสร้งแกล้งทำ
“บังอาจ!”เสียงตะโกนดังออกมาจากปากของชายหนุ่ม ประหนึ่งอสุนีบาตที่ฟาดเปรี้ยงลงมา ผู้อาวุโสหันตกใจมากจนใจสั่น จากนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ ร่างของเขาก็เหาะออกไปอย่างไรก็ตามชายหนุ่มรูปหล่อติดตามเขาไปราวกับเงา เดินก้าวไปข้างหน้า นิ้วเรียวบีบคอของผู้อาวุโสหันอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า เรียวตาหงส์หรี่แคบลง เย็นชาราวกับน้ำแข็ง ทำให้คนรู้สึกหนาวเย็นจนเข้ากระดูกหลักการที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าล้อมรอบร่างกายของคนผู้นั้น แม้ว่าผู้อาวุโสหันจะมองไม่เห็นสิ่งที่ไร้รูปร่างเหล่านี้ แต่ก็รู้สึกว่าหายใจไม่ออก จู่ๆ ก็เหงื่อไหลออกมานี่เป็นความรู้สึกอึดอัดอย่างแท้จริง ทำให้หายใจไม่ออก จนใบหน้าแดงก่ำจากนั้นผู้อาวุโสหันก็ตระหนักว่ามือของคนผู้นั้นคล้องคอเขาไว้แล้ว ในฐานะยอดฝีมือลำดับที่สองของตำหนักเทพ เขากลับไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย“ผู้ที่กล้าแตะต้องคนของข้า มีทางเดียวเท่านั้นที่จะไป นั่นคือความตาย!”คนผู้นั้นกระชับนิ้ว จับคอของผู้อาวุโสหัน แล้วฟาดลงไปที่พื้นตูมมีเสียงดังลั่น ศีรษะของผู้อาวุโสหันก็กระแทกพื้นเข้าอย่างจังด้านหลังศีรษะเป็นจุดอ่อนที่สุดสำหรับผู้ฝึกยุทธ์มาโดยตลอด เมื่อถูกกระแทกดวงตา
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยอย่างยิ่งนี้ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะกำนิ้วแน่น ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “อาอวี้ ทำไม...ท่านมาที่นี่ทำไม...”“เจ้าเป็นภรรยาของข้า ข้าจะไม่มาได้อย่างไร”ซึ่งบุรุษที่พูดนั้น ก็คือเย่จิ่งอวี้เจวี๋ยอิ่งได้รับปากกับหลี่เต๋อฝูแล้วว่าจะติดต่อสหายชาวยุทธ์ ช่วยกับตามหาเบาะแสทิศทางของฮองเฮาไว้ก่อนแล้ว เมื่อเย่จิ่งอวี้ถาม เขาก็ไม่กล้าปิดบังอยู่แล้วแน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่เย่จิ่งอวี้ถาม หลังจากจัดการเรื่องในราชสำนักแล้ว เขาได้ติดต่อเย่จั้นผ่านจดหมายลับของราชวงศ์ เมื่อยืนยันที่อยู่ของอินชิงเสวียนอีกครั้งแล้ว ก็รีบรุดมุ่งหน้ามายังเทือกเขาเชื่อมเมฆาทันทีเฟยมั่วที่แปลว่าน้ำหมึกโบยบินนี้ ไหนเลยจะเป็นเพียงแค่นามของเจ้าม้า มันสามารถเดินทางได้หลายพันลี้ในหนึ่งวัน เขาทิ้งเจวี๋ยอิ่งและทหารองครักษ์คนอื่นๆ ไว้ข้างหลัง เมื่อเย่จิ่งอวี้มาถึงตีนเขา ก็ได้พบกับเย่จั้นที่กำลังยุยงให้ชาวยุทธ์โจมตีตำหนักเทพทันทีที่ค่ายกลแนวป้องกันเขาพังทลาย เย่จิ่งอวี้ก็วิ่งตรงไปยังยอดเขาบรรจบสวรรค์ทันทีเมื่อเห็นอินชิงเสวียนถูกชายชราที่มีหนวดเคราสีขาวโจมตีอย่างดุเดือด เข้าก็โกรธเกรี้ยวจนดวงต
เย่จิ่งหลานก้มลงอย่างรวดเร็ว กดนิ้วบนหลอดเลือดแดงของเจ้าตำหนักจิน แน่นอนว่าไม่มีร่องรอยของการสูบฉีดโลหิตอีกต่อไปเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย“เมื่อครู่มีเหตุฉุกเฉินข้างนอก ข้าไม่สามารถเปิดมิติได้ ท่านผู้เฒ่าจิน ข้าขอโทษจริงๆ”หลังจากที่เย่จิ่งหลานพูดจบ เขาก็หันไปมองหวังซุ่น“เจ้าตำหนักจินพูดอะไรก่อนที่เขาจะเสียชีวิต”“เขาทิ้งสิ่งนี้ไว้”หวังซุ่นชูหยกดำชิ้นสี่เหลี่ยมในมือขึ้น และมอบให้เย่จิ่งหลานด้วยความเคารพเมื่อเย่จิ่งหลานรับมาดู ก็เห็นว่ามันคือตราหยกด้านบนสลักเป็นภาพแสงสีม่วงเรืองรอง ณ ปลายเบื้องบุรพทิศ ด้านล่างสลักคำว่า ตราคำสั่งตำหนักเทพดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเป็นตราประทับสูงสุดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่สูงที่สุดของตำหนักเทพเย่จิ่งหลานถือวัตถุนี้ไว้ในมือ เพียงครู่หนึ่งอยู่ๆ ก็มีความคิดที่จะเก็บไว้ใช้ส่วนตัวเย่จิ่งหลานรู้สึกตกใจกับความคิดนี้ เขาเฉยชากับอำนาจแล้ว เพราะเหตุใดเขาถึงมีความคิดเช่นนี้น่าแปลกจริงๆเขาไอแห้งๆ แล้วถามอีกครั้ง “เจ้าไม่ได้ให้เขาดื่มน้ำพุวิญญาณหรือ”หวังซุ่นพูดด้วยใบหน้าโศกเศร้า “ดื่มแล้ว ผ่านไปราวๆ สิบห้านาที นักพรตเต๋าทั้งสองคนบอกว่า ผู้เฒ่าจินคนนี้หมดลมหายใ