“บังอาจ!”เสียงตะโกนดังออกมาจากปากของชายหนุ่ม ประหนึ่งอสุนีบาตที่ฟาดเปรี้ยงลงมา ผู้อาวุโสหันตกใจมากจนใจสั่น จากนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ ร่างของเขาก็เหาะออกไปอย่างไรก็ตามชายหนุ่มรูปหล่อติดตามเขาไปราวกับเงา เดินก้าวไปข้างหน้า นิ้วเรียวบีบคอของผู้อาวุโสหันอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า เรียวตาหงส์หรี่แคบลง เย็นชาราวกับน้ำแข็ง ทำให้คนรู้สึกหนาวเย็นจนเข้ากระดูกหลักการที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าล้อมรอบร่างกายของคนผู้นั้น แม้ว่าผู้อาวุโสหันจะมองไม่เห็นสิ่งที่ไร้รูปร่างเหล่านี้ แต่ก็รู้สึกว่าหายใจไม่ออก จู่ๆ ก็เหงื่อไหลออกมานี่เป็นความรู้สึกอึดอัดอย่างแท้จริง ทำให้หายใจไม่ออก จนใบหน้าแดงก่ำจากนั้นผู้อาวุโสหันก็ตระหนักว่ามือของคนผู้นั้นคล้องคอเขาไว้แล้ว ในฐานะยอดฝีมือลำดับที่สองของตำหนักเทพ เขากลับไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย“ผู้ที่กล้าแตะต้องคนของข้า มีทางเดียวเท่านั้นที่จะไป นั่นคือความตาย!”คนผู้นั้นกระชับนิ้ว จับคอของผู้อาวุโสหัน แล้วฟาดลงไปที่พื้นตูมมีเสียงดังลั่น ศีรษะของผู้อาวุโสหันก็กระแทกพื้นเข้าอย่างจังด้านหลังศีรษะเป็นจุดอ่อนที่สุดสำหรับผู้ฝึกยุทธ์มาโดยตลอด เมื่อถูกกระแทกดวงตา
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยอย่างยิ่งนี้ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะกำนิ้วแน่น ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “อาอวี้ ทำไม...ท่านมาที่นี่ทำไม...”“เจ้าเป็นภรรยาของข้า ข้าจะไม่มาได้อย่างไร”ซึ่งบุรุษที่พูดนั้น ก็คือเย่จิ่งอวี้เจวี๋ยอิ่งได้รับปากกับหลี่เต๋อฝูแล้วว่าจะติดต่อสหายชาวยุทธ์ ช่วยกับตามหาเบาะแสทิศทางของฮองเฮาไว้ก่อนแล้ว เมื่อเย่จิ่งอวี้ถาม เขาก็ไม่กล้าปิดบังอยู่แล้วแน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่เย่จิ่งอวี้ถาม หลังจากจัดการเรื่องในราชสำนักแล้ว เขาได้ติดต่อเย่จั้นผ่านจดหมายลับของราชวงศ์ เมื่อยืนยันที่อยู่ของอินชิงเสวียนอีกครั้งแล้ว ก็รีบรุดมุ่งหน้ามายังเทือกเขาเชื่อมเมฆาทันทีเฟยมั่วที่แปลว่าน้ำหมึกโบยบินนี้ ไหนเลยจะเป็นเพียงแค่นามของเจ้าม้า มันสามารถเดินทางได้หลายพันลี้ในหนึ่งวัน เขาทิ้งเจวี๋ยอิ่งและทหารองครักษ์คนอื่นๆ ไว้ข้างหลัง เมื่อเย่จิ่งอวี้มาถึงตีนเขา ก็ได้พบกับเย่จั้นที่กำลังยุยงให้ชาวยุทธ์โจมตีตำหนักเทพทันทีที่ค่ายกลแนวป้องกันเขาพังทลาย เย่จิ่งอวี้ก็วิ่งตรงไปยังยอดเขาบรรจบสวรรค์ทันทีเมื่อเห็นอินชิงเสวียนถูกชายชราที่มีหนวดเคราสีขาวโจมตีอย่างดุเดือด เข้าก็โกรธเกรี้ยวจนดวงต
เย่จิ่งหลานก้มลงอย่างรวดเร็ว กดนิ้วบนหลอดเลือดแดงของเจ้าตำหนักจิน แน่นอนว่าไม่มีร่องรอยของการสูบฉีดโลหิตอีกต่อไปเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย“เมื่อครู่มีเหตุฉุกเฉินข้างนอก ข้าไม่สามารถเปิดมิติได้ ท่านผู้เฒ่าจิน ข้าขอโทษจริงๆ”หลังจากที่เย่จิ่งหลานพูดจบ เขาก็หันไปมองหวังซุ่น“เจ้าตำหนักจินพูดอะไรก่อนที่เขาจะเสียชีวิต”“เขาทิ้งสิ่งนี้ไว้”หวังซุ่นชูหยกดำชิ้นสี่เหลี่ยมในมือขึ้น และมอบให้เย่จิ่งหลานด้วยความเคารพเมื่อเย่จิ่งหลานรับมาดู ก็เห็นว่ามันคือตราหยกด้านบนสลักเป็นภาพแสงสีม่วงเรืองรอง ณ ปลายเบื้องบุรพทิศ ด้านล่างสลักคำว่า ตราคำสั่งตำหนักเทพดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเป็นตราประทับสูงสุดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่สูงที่สุดของตำหนักเทพเย่จิ่งหลานถือวัตถุนี้ไว้ในมือ เพียงครู่หนึ่งอยู่ๆ ก็มีความคิดที่จะเก็บไว้ใช้ส่วนตัวเย่จิ่งหลานรู้สึกตกใจกับความคิดนี้ เขาเฉยชากับอำนาจแล้ว เพราะเหตุใดเขาถึงมีความคิดเช่นนี้น่าแปลกจริงๆเขาไอแห้งๆ แล้วถามอีกครั้ง “เจ้าไม่ได้ให้เขาดื่มน้ำพุวิญญาณหรือ”หวังซุ่นพูดด้วยใบหน้าโศกเศร้า “ดื่มแล้ว ผ่านไปราวๆ สิบห้านาที นักพรตเต๋าทั้งสองคนบอกว่า ผู้เฒ่าจินคนนี้หมดลมหายใ
ตำหนักเทพ ด้านหน้าภูเขาเหมยชิงเกอได้พาศิษย์น้องทั้งสองคนไปที่ประตูทางขึ้นเขานางก้มหน้ามองดูชาวยุทธ์แต่ละคนที่เชิงบันได โคจรกำลังภายในที่จุดตันเถียน เอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่ไหนแต่ไรมาตำหนักเทพหอทองคำกับยุทธภพต่างคนต่างอยู่มาตลอด ไม่รู้ว่าทุกท่านมาที่นี่ด้วยเจตนาใดหรือ”ผู้อาวุโสฉีจากสำนักอวิ๋นซานเดินออกมาจากฝูงชน หัวเราะหึๆ “เมื่อไม่กี่วันก่อนผู้อาวุโสหันจาก ตำหนักเทพหลอกลวงเรา บอกว่าได้ส่งหนังสือสวรรค์ไร้อักษรไปยังเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงแล้ว ทำให้เราก่อเรื่องราวใหญ่โตในอิ๋นเฉิง บาดเจ็บล้มตายกันไปมาก บัดนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าอิ๋นเฉิงไม่มีหนังสือสวรรค์ไร้อักษร ตำหนักเทพจะไม่พยายามชดเชยบ้างเลยหรือ”คนเหล่านี้ได้รับสมุนไพรล้ำค่ามากมายจากเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิง จึงอยากมาหาผลประโยชน์บางอย่างที่ตำหนักเทพหอทองคำบ้างเหมือนกันสำนักอวิ๋นซานเป็นที่รู้จักกันดีว่าอาศัยการหลอกลวงและใช้กลอุบายในยุทธจักร แม้ว่าทุกคนจะรู้ดี แต่พวกเขาก็ยังคงเพ้อฝัน ตราบใดที่ได้รับผลประโยชน์แค่เล็กน้อยก็พอ ถึงอย่างไร้ไม่อาจระดมกำลังของทุกคน วิ่งไปถึงที่อย่างเสียเปล่าได้หลังจากที่ผู้อาวุโสฉีพูดจบก็ถามอีกครั้ง “ไม่รู้
อินชิงเสวียนเห็นเงาสีขาวรางๆ ก็รู้ว่าเย่จั้นกำลังมา“พวกเราไม่เป็นไร สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”เย่จิ่งอวี้หันกลับมาถามเขารู้อยู่แล้วว่าครั้งนี้เย่จิ่งอวี้ปลอมตัวออกนอกวัง เย่จั้นจึงไม่ได้คุกเข่าโค้งคำนับ แต่ประกบมือคำนับแทน “เหล่าศิษย์ของตำหนักเทพกำลังต่อสู้กับชาวยุทธ์เหล่านั้น ข้าจึงถือโอกาสขึ้นเขามา”อินชิงเสวียนหันไปด้านข้างแล้วถามว่า “ผู้นำทัพของตำหนักเทพเป็นใคร”เย่จั้นกล่าวว่า “คือฉุยอวี้ เฟิงเอ้อร์เหนียง และสตรีแซ่เหมย”อินชิงเสวียนพยักหน้า เหมยชิงเกอออกหน้าคราวนี้ เป็นเวลาที่เหมาะสมยิ่ง ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว ตราบใดที่นางชนะการต่อสู้ครั้งนี้ ก็จะมีบารมีเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนเมื่อมีศิษย์ตำหนักเทพจำนวนมาก การจัดการกับความวุ่นวายก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาจากนั้นก็คิดถึงเรื่องอื่น จึงเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “อาอวี้ ท่านเห็นเย่จิ่งหลานบ้างไหม”เย่จิ่งอวี้มองไปรอบๆ ทันที“จิ่งหลานก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ ข้าไม่เห็นมีเด็กคนไหนเลย”อินชิงเสวียนหัวเราะและพูดว่า “ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กแล้ว เขาสูงพอๆ กับท่านแล้ว”เย่จิ่งอวี้รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ“นี่...เป็นไปได้อย่างไร”เย่จั้นยังถามอี
เมื่อเห็นว่าเหมยชิงเกอไม่ตอบ อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ร้องเรียกออกมาเบาๆ “ผู้อาวุโสเหมย?”เหมยชิงเกอจึงรู้สึกตัว นางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ในเมื่อเป็นฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ ก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพกับคนทั่วไปอย่างเรา”เย่จิ่งอวี้อึดอัดวางตัวไม่ถูก แต่ก็ไม่โกรธในเมื่อคนผู้นี้เป็นผู้อาวุโสในตำหนักเทพ เช่นนั้นคงช่วยเหลือเสวียนเอ๋อร์ไว้อย่างมาก ไม่เช่นนั้น เสวียนเอ๋อร์คงไม่ให้ความสำคัญกับคนผู้นี้มากนักเขาพูดด้วยรอยยิ้มบนริมฝีปาก “ผู้อาวุโสคิดมากเกินไปแล้ว เมื่อได้เข้ามาในยุทธภพ ก็ควรลำดับความอาวุโสให้เหมาะสม เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโส ผู้เยาว์ย่อมไม่กล้าอวดดีอยู่แล้ว”เหมยชิงเกอเดินไปหาอินชิงเสวียน“ชิงเสวียน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”อินชิงเสวียนรู้สึกไม่ค่อยพอใจ แม้ว่าเหมยชิงเกอจะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเจ้าของร่างเดิม แต่ในแง่ของความใกล้ชิด นางยังคงใกล้ชิดกับเย่จิ่งอวี้มากกว่าทั้งสองผ่านประสบการณ์เรื่องราวหลายอย่างด้วยกัน ไม่ธรรมดาเหมือนคู่รักทั่วไปอีกแล้ว แม้ว่าคราวนี้นางจะแอบเข้าไปในถ้ำเสือเพียงลำพัง แต่ก็เป็นสิ่งที่นางต้องการ ไม่เกี่ยวข้องกับเย่จิ่งอวี้เลย
ครั้นเห็นดวงตาที่กำลังจะร้องไห้ของเหมยชิงเกอ อินชิงเสวียนก็กัดริมฝีปากล่างถ้าเป็นเจ้าของร่างเดิมที่อยู่ที่นี่ นางจะทำอย่างไรนะที่เหมยชิงเกอละเลยเย่จิ่งอวี้โดยเจตนา ทำให้อินชิงเสวียนไม่พอใจ แต่เมื่อนางคิดถึงการทรมานกว่าสิบปีที่นางต้องทนทุกข์ทรมานในผาเฟิงเริ่น และตอนที่เพิ่งพานางเข้าไปในมิตินั้น นางดูอ่อนแอและแก่ชราแค่ไหน หัวใจของอินชิงเสวียนหัวใจก็ค่อยๆ อ่อนลงเมื่อนึกถึงพฤติกรรมน่าเกลียดของเฮ่อยวน ที่มีสัมพันธ์กับหญิงอื่นลับหลังกงซวินอวิ๋นเฟิ่ง อินชิงเสวียนก็รู้สึกเห็นใจเหมยชิงเกอทันทีนางดึงเหมยชิงเกอไว้ ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสเหมยกรุณาเชื้อเชิญ เช่นนั้นเคารพมิสู้ทำตาม ข้าจะอยู่ที่นี่อีกสองสามวัน”เหมยชิงเกอแสดงสีหน้ายินดีทันที“ดีมาก เรารีบกลับขึ้นเขากันเถอะ”เหมยชิงเกอจับมือของอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนหันไปหาเย่จิ่งอวี้ แล้วพูดว่า “อาอวี้ อยู่กับข้าอีกสองสามวันนะ”ดวงตาของเย่จิ่งอวี้เต็มไปด้วยความรัก เขาพูดอย่างอบอุ่น “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเสวียนเอ๋อร์”ขณะที่พวกเขาจากไป ร่างของฉางเฮิ่นเทียนก็หายวับออกมาจากก้อนหิน ดวงตามืดมนเคลือบคลุม ไม่แน่นอนเดิมทีข้า
เมื่อฟังเสียงนุ่มนิ่มไร้เดียงสาของเจ้าเด็กน้อย เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกปวดใจ รีบอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมาพูดเสียงละล่ำละลักว่า “ทั้งหมดเป็นเพราะความผิดของเสด็จพ่อเอง ทำให้เจ้ากับเสด็จแม่ของเจ้าลำบากแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงเหยียดแขนที่ป้อมๆ ออกเหมือนดอกบัวบาน กอดแขนของเย่จิ่งอวี้ไว้แน่น พูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “ต้องโทษคนแก่ชั่วร้ายนั่น เด็จพ่อจะต้องล้างแค้นแทนพวกเรานะ”ในชั่วพริบตา อินชิงเสวียนก็ออกมาเป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้ว เสี่ยวหนานเฟิงที่ได้รับการบำรุงเลี้ยงจากน้ำพุวิญญาณ ย่อมเติบโตอย่างน่าอัศจรรย์แม้ว่าน้ำเสียงจะดูเด็ก แต่คำพูดก็ค่อนข้างชัดเจน ในหัวน้อยๆ ล้วนมีเหตุผลเป็นของตัวเองเย่จิ่งอวี้ลูบหน้าเล็กๆ ของเขา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “จ้าวเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว เสต็จพ่อได้ล้างแค้นให้กับเจ้าแล้ว”ดวงตาสีเข้มของเสี่ยวหนานเฟิงเบิกกว้าง“จริงหรือ?”เย่จิ่งอวี้กล่าวว่า “เสด็จพ่อจะโกหกเจ้าได้อย่างไร”เสี่ยวหนานเฟิงมีความสุขมากจนขยับเท้าเล็กๆ กระโดดโลดเต้นเหมือนปลาตัวน้อย มือเล็กป้อมก็ปรบมืออย่างแรง“ลูกรู้อยู่แล้ว เด็จพ่อเก่งกาจที่สุด”เขาเม้มปากนุ่มๆ อีกครั้ง และหอมที่ใบหน้าเย่จิ่งอวี้หลาย
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี