เมื่อฟังเสียงนุ่มนิ่มไร้เดียงสาของเจ้าเด็กน้อย เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกปวดใจ รีบอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมาพูดเสียงละล่ำละลักว่า “ทั้งหมดเป็นเพราะความผิดของเสด็จพ่อเอง ทำให้เจ้ากับเสด็จแม่ของเจ้าลำบากแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงเหยียดแขนที่ป้อมๆ ออกเหมือนดอกบัวบาน กอดแขนของเย่จิ่งอวี้ไว้แน่น พูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “ต้องโทษคนแก่ชั่วร้ายนั่น เด็จพ่อจะต้องล้างแค้นแทนพวกเรานะ”ในชั่วพริบตา อินชิงเสวียนก็ออกมาเป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้ว เสี่ยวหนานเฟิงที่ได้รับการบำรุงเลี้ยงจากน้ำพุวิญญาณ ย่อมเติบโตอย่างน่าอัศจรรย์แม้ว่าน้ำเสียงจะดูเด็ก แต่คำพูดก็ค่อนข้างชัดเจน ในหัวน้อยๆ ล้วนมีเหตุผลเป็นของตัวเองเย่จิ่งอวี้ลูบหน้าเล็กๆ ของเขา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “จ้าวเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว เสต็จพ่อได้ล้างแค้นให้กับเจ้าแล้ว”ดวงตาสีเข้มของเสี่ยวหนานเฟิงเบิกกว้าง“จริงหรือ?”เย่จิ่งอวี้กล่าวว่า “เสด็จพ่อจะโกหกเจ้าได้อย่างไร”เสี่ยวหนานเฟิงมีความสุขมากจนขยับเท้าเล็กๆ กระโดดโลดเต้นเหมือนปลาตัวน้อย มือเล็กป้อมก็ปรบมืออย่างแรง“ลูกรู้อยู่แล้ว เด็จพ่อเก่งกาจที่สุด”เขาเม้มปากนุ่มๆ อีกครั้ง และหอมที่ใบหน้าเย่จิ่งอวี้หลาย
เย่จิ่งหลานเงยหน้าขึ้น พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้ากับเจ้าไม่คุ้นเคยกัน จะให้เจ้าเป็นบ่าวรับใช้ได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าเคยอยู่กับเจ้าสำนักฉุยมาก่อน งั้นก็ควรไปหานาง”ฉางเฮิ่นเทียนดูเหมือนจะรู้ว่าเย่จิ่งหลานจะไม่รับปาก เขาจึงถอนหายใจและพูดว่า “คุณชายกล่าวถูกแล้ว เป็นข้าที่บุ่มบ่ามเกินไป เช่นนั้นต้องขอตัวลาแล้ว”ฉางเฮิ่นเทียนโค้งคำนับ แล้วขึ้นไปบนภูเขาหวังซุ่นเลียนแบบท่าทางของเย่จิ่งหลาน ลูบคางไปมา“ฉางเฮิ่นเทียนคนนี้มาจากไหน ตอนอยู่ในเป่ยไห่ก็ไม่ค่อยได้เจอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นชาวเป่ยไห่ดั้งเดิม แต่ถึงอย่างไรชาวยุทธ์ที่มีทักษะวรยุทธ์ไม่โดดเด่นมากนัก สามารถติดตามผู้อาวุโสหันได้ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าเขาต้องโดดเด่น เขารั้งอยู่บนเขาได้ ก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน”หวังซุ่นถามทันทีว่า “นายท่าน คนดั้งเดิมหมายความว่าอย่างไร”เย่จิ่งหลานยกมือขึ้นสั่นแรงๆ“หมายถึงคนท้องถิ่น”หวังซุ่นหัวเราะแหะๆ “นายท่านใช้คำพูดดีจริงๆ แล้วเราจะไปหาเจ้าตำหนักเหมยคนใหม่ตอนนี้เลยหรือไม่”“ไปเถอะ จะทิ้งร่างของเจ้าตำหนักไว้ในมิติตลิดไปก็ไม่ได้”สองนายบ่าวพูดคุยกันสักพัก แล้วจึงเดินไปท
“นี่...”เฟิงเอ้อร์เหนียงอึกอักอยากพูดบางอย่าง สุดท้ายก็เงียบแต่ไหนแต่ไรมานั้นเจ้าตำหนักคนเดิมมักจะมองว่าการต่อสู้ระหว่างตำหนักเทพและอิ๋นเฉิงนั้นเป็นการแข่งขันด้านทักษะ ไม่เคยคิดที่จะขอความช่วยเหลือจากคนภายนอก จนให้มีใครในอิ๋นเฉิงต้องเสียชีวิตการตัดสินใจของผู้อาวุโสหันขัดแย้งกับความตั้งใจเดิมของเจ้าตำหนัก เดิมทีคิดว่าหลังจากที่เหมยชิงเกอเข้ารับตำแหน่ง ก็จะดำเนินตามรอยเดิมของเจ้าตำหนักคนเก่า แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นเลยเมื่อนึกถึงความทุกข์ทรมานของเหมยชิงเกอที่ผาเฟิงเริ่นนับสิบปี จะกลายเป็นคนมีนิสัยรุนแรงก็ไม่แปลก จากนั้นนางก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้“ในเมื่อศิษย์พี่ใหญ่ตัดสินใจเช่นนี้ น้องก็พูดอะไรไม่ได้มาก แค่รู้สึกอยู่เสมอว่าเรื่องระหว่างศิษย์พี่ใหญ่กับเจ้าเมืองเฮ่ออาจมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ เขารักศิษย์พี่ใหญ่อย่างสุดซึ้ง แล้วจะส่งคนไปตามฆ่าได้อย่างไร บางทีอาจเป็นแผนชั่วของผู้อาวุโสหัน เพียงแต่เสียดายที่ตอนนี้เขาตายจึงไร้หลักฐาน”เสียงของเฟิงเอ้อร์เหนียงอ่อนโยน พยายามระมัดระวังในการพูดใบหน้าของเหมยชิงเกอมืดลง“เรื่องที่ข้าเดินทางไปอิ๋นเฉิง มีเพียงเจ้าตำหนักและเฮ่
ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตรกรรมที่เย่จิ่งอวี้กล่าวถึงนั้น ย่อมไม่ได้กล่าวถึงจิตรกรธรรมดาๆ แต่เป็นยอดฝีมือที่มีการฝึกฝนอย่างลึกซึ้งความคิดแวบขึ้นมาในใจของอินชิงเสวียน และทันใดนั้นนางก็นึกถึงคนผู้หนึ่ง“ผู้อาวุโสลิ่นก็อยู่ที่นี่ด้วย หากไม่มีวิธีอื่นจริงๆ ก็ลองไปถามเขาดูดีกว่า”จู่ๆ เย่จั้นก็พยักหน้าเร็วๆ ราวกับเจอฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย“ถูกต้อง ผู้อาวุโสลิ่นมีชื่อเสียงมาหลายปีแล้ว ความสำเร็จในวิชากระบี่และวรยุทธ์นั้นไม่ธรรมดา บางทีเขาอาจจะช่วยเราไขข้อสงสัยของเราได้ เช่นนั้นต้องรบกวนฮองเฮาด้วย”เย่จั้นประสานมือคารวะค้อมกายถึงพื้น อินชิงเสวียนก็เอื้อมมือไปช่วยเขา แต่ก็คว้าพลาดใบหน้าของเย่จิ่งอวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย“เสวียนเอ๋อร์ เจ้า...”อินชิงเสวียนขัดจังหวะเขา พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าสบายดี ไปคุยกับผู้อาวุโสลิ่นเซียวก่อนเถอะ แล้วเราค่อยหารือเรื่องอื่นในภายหลัง”นางก้าวสั้นๆ เดินไปที่ประตู เย่จิ่งอวี้เอื้อมมือไปช่วยประคอง พูดด้วยสีหน้ายุ่งงยากใจ “เสวียนเอ๋อร์...”อินชิงเสวียนโบกมือ“ถ้าท่านมีคำถามใดๆ ไว้เราค่อยคุยกัน ช่วยคนสำคัญกว่า”เย่จิ่งอวี้เม้มริมฝีปากล่างอย่างแรง“ก็ได้”เขามองออ
“เสวียนเอ๋อร์!”“อินหลี!”เย่จิ่งอวี้และเย่จั้นรีบถลันเข้ามาพร้อมกันแม้ว่าอินหลีจะสวมเสื้อผ้าอยู่ แต่เมื่อเสื้อผ้าเปียกน้ำยังคงมองเห็นส่วนโค้งได้ชัดเจน สองอาหลานไม่สนใจเรื่องนี้ คนหนึ่งวิ่งไปหาอินหลี และอีกคนวิ่งไปหาอินชิงเสวียนเย่จั้นกดไหล่ของอินหลี แต่ถูกกระแทกถอยหลังไปหลายก้าวด้วยกำลังภายในที่รุนแรงและทะลุทะลวงในร่างกายของอินหลี“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”เย่จั้นมองไปที่เย่จิ่งอวี้ที่ประทับฝ่ามือไว้ที่หัวใจด้านหลังของอินชิงเสวียนเดิมทีเขาต้องการช่วยอินชิงเสวียนรักษาอาการบาดเจ็บ แต่กลับถูกทำให้สะเทือนด้วยกำลังภายในมหาศาลจนข้อมือก็สั่นหรือว่าเสวียนเอ๋อร์ได้ดึงเอากำลังภายในของอินหลีออกมา?เดิมทีเสวียนเอ๋อร์ก็ได้รับบาดเจ็บภายในอยู่ แล้วผลกระทบของกำลังภายในนี้ จะทำให้อาการบาดเจ็บของนางแย่ลงอย่างแน่นอน แม้ว่าน้ำพุวิญญาณจะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ แต่ก็ต้องใช้เวลา เย่จิ่งอวี้ย่อมไม่ต้องการให้อินชิงเสวียนทนทุกข์ทรมานอยู่แล้ว“เสวียนเอ๋อร์อย่าตกใจ ใจเย็นมีสติ รวมพลังที่จุดศูนย์ ข้าจะช่วยเจ้าเอง!”หลักการหลักการแห่งเต๋าโอบล้อมรอบทั้งร่างกาย พลังธรรมชาติไม่มีที่สิ้นสุดไหวเวียนในตันเถ
แม้ว่าเย่จั้นมีหลายสิ่งที่อยากจะถาม แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะถามคำถาม จึงตามเย่จิ่งอวี้ออกไปประตูหินหนักปิดลงทันที แสงในห้องก็หรี่มัวลงเมื่อไม่มีแสงแดดที่ส่องประกาย อินหลีก็รู้สึกเขินอายน้อยลง รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นนางมองหญิงสาวคนนี้ที่ดูค่อนข้างคล้ายกับตัวเองด้วยความประหลาดใจ ถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “แม่นาง เจ้าคือ...”นางมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “ที่นี่คือที่ไหน”อินชิงเสวียนหยิบเสื้อผ้าที่วางอยู่บนเตียงหินออกมา แล้วพูดกับอินหลี “แม่นางใส่เสื้อผ้าก่อน ข้าจะค่อยๆ อธิบายให้ท่านฟัง”อินหลีก้มศีรษะลง ครั้นจึงตระหนักว่าน้ำในถังนั้นเหมือนกับน้ำโคลน ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที“นี่...ข้า...ข้าไม่ได้สกปรกขนาดนั้น”อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางสะอาดอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งสกปรกบนร่างกายของท่าน แต่เป็นความขุ่นมัวของพลังยุทธ์ที่ระบายออกจากร่างกายของท่าน หากต้องการอธิบายในแง่ของวรยุทธ์ จะเรียกว่าการชำระวิญญาณล้างไขกระดูกก็ได้”อินหลีเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ เมื่อตอนที่นางยังเป็นเด็ก นางเคยได้ยินพ่อและพี่ชายพูดว่า การบรรลุวรยุทธ์ระดับสูงสุดคือการชำระวิญญาณล้างไขกระดูก นางไม่รู้วรยุ
ร่างสูงสีขาวยืนอยู่นอกประตู คนผู้นั้นค่อยๆ หันกลับมา เผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาเยือกเย็นเขาสวมเสื้อคลุมสีขาวราวกับหิมะที่ปลิวไสวไปตามสายลม ไร้ฝุ่นแปดเปื้อน ผมยาวถูกปิ่นปักผมหยกสีขาวแลดูอ่อนโยน แม้จะเป็นเพียงการเคลื่อนไหวที่กะทันหัน แต่ก็เต็มไปด้วยความสูงศักดิ์อินหลีค่อยๆ มองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นได้อย่างชัดเจน คิ้วคมราวกับดาบ จอนก็คมเหมือนมีด จมูกโด่งเป็นสันดั่งยอดเขา ริมฝีปากบางเม้มเล็กน้อย ดูเย็นชามีเอกลักษณ์ของผู้บังคับบัญชาการทหารคือ...เขา!เป็นเขาจริงๆ!เมื่อเปรียบเทียบกับภาพในความทรงจำของอินหลีแล้ว คุณชายเย่ที่อยู่ตรงหน้านางดูมีผ่านเรื่องราวในชีวิตมากกว่าเล็กน้อย แต่โครงร่างยังคงชัดเจนและลึกซึ้งเช่นเดิมมุมปากของอินหลีเริ่มกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้คุณ คุณชายเย่?เขามาที่นี่เพื่อตามหาตัวเองงั้นหรือผ่านไปหลายปีแล้ว เขายังไม่ได้แต่งงานหรือลูกและภรรยาของเขาจะยอมให้เขาออกมางั้นหรือถ้าเขามาตามหาตัวเองจริงๆ แล้วตัวเองจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรแม้ว่าอินหลีจะไม่รู้จักตัวตนของเขา แต่จากการแต่งกายและท่วงท่าของเขา ก็สามารถบอกได้ว่าเขามีภูมิหลังทางครอบครัวที่ไม่ธรรมดา ท
“ท่าน...ตามหาข้าหรือ”เมื่อมองดูดวงตาสุกใสดั่งเต็มเปี่ยมไปด้วยธาราในฤดูใบไม้ร่วง เย่จั้นยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ไม่งั้นจะมีใครอีก เจ็ดปีแล้ว ข้าส่งคนไปสืบตามหาทุกที่ ถ้าข้าไม่ได้มาที่ตำหนักเทพโดยบังเอิญ เกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่ได้เจอเจ้าอีก”รูม่านตาของอินหลีหดลงพลัน อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมา หมายจะหยิกแก้มตัวเองอย่างแรงต้องฝันอยู่แน่ๆ คุณชายเย่ สูงตระหง่านดั่งต้นหยกต้านลม ผู้ชายแบบนี้จะคิดเรื่องแม่ชีได้อย่างไรปลายนิ้วยังไม่ทันแตะใบหน้า ก็ถูกกอบกุมด้วยฝ่ามืออันอบอุ่น“ถ้าเจ้ายังไม่เชื่อ ก็ลองตรวจดูอุณหภูมิของข้าอย่างละเอียด ดูว่าข้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”เย่จั้นวางมือที่สั่นเทาเล็กน้อยบนท่อนอกของตัวเองเมื่อรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจอันหนักแน่น อินหลีก็ตระหนักได้ในที่สุดเป็นความสัมพันธ์เช่นนี้นี่เอง ไม่ใช่แค่ตัวเองที่รู้สึกฝ่ายเดียว แต่เป็นการวิ่งเข้าหากันและกันอย่างอึกทึกโดยไม่มีเสียงใดๆ แม้ว่านางจะถูกผูกมัดด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีมาตั้งแต่เด็ก แต่ในขณะนี้ ก็ยังไม่สามารถควบคุมความรู้สึกตัวเองได้ ยื่นแขนไปกอดเย่จั้นอย่างอดไม่ได้เรียกเสียงสะอื้น “คุณชายเย่...”ขณะที่ทั้งส