ตำหนักเทพ ด้านหน้าภูเขาเหมยชิงเกอได้พาศิษย์น้องทั้งสองคนไปที่ประตูทางขึ้นเขานางก้มหน้ามองดูชาวยุทธ์แต่ละคนที่เชิงบันได โคจรกำลังภายในที่จุดตันเถียน เอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่ไหนแต่ไรมาตำหนักเทพหอทองคำกับยุทธภพต่างคนต่างอยู่มาตลอด ไม่รู้ว่าทุกท่านมาที่นี่ด้วยเจตนาใดหรือ”ผู้อาวุโสฉีจากสำนักอวิ๋นซานเดินออกมาจากฝูงชน หัวเราะหึๆ “เมื่อไม่กี่วันก่อนผู้อาวุโสหันจาก ตำหนักเทพหลอกลวงเรา บอกว่าได้ส่งหนังสือสวรรค์ไร้อักษรไปยังเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงแล้ว ทำให้เราก่อเรื่องราวใหญ่โตในอิ๋นเฉิง บาดเจ็บล้มตายกันไปมาก บัดนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าอิ๋นเฉิงไม่มีหนังสือสวรรค์ไร้อักษร ตำหนักเทพจะไม่พยายามชดเชยบ้างเลยหรือ”คนเหล่านี้ได้รับสมุนไพรล้ำค่ามากมายจากเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิง จึงอยากมาหาผลประโยชน์บางอย่างที่ตำหนักเทพหอทองคำบ้างเหมือนกันสำนักอวิ๋นซานเป็นที่รู้จักกันดีว่าอาศัยการหลอกลวงและใช้กลอุบายในยุทธจักร แม้ว่าทุกคนจะรู้ดี แต่พวกเขาก็ยังคงเพ้อฝัน ตราบใดที่ได้รับผลประโยชน์แค่เล็กน้อยก็พอ ถึงอย่างไร้ไม่อาจระดมกำลังของทุกคน วิ่งไปถึงที่อย่างเสียเปล่าได้หลังจากที่ผู้อาวุโสฉีพูดจบก็ถามอีกครั้ง “ไม่รู้
อินชิงเสวียนเห็นเงาสีขาวรางๆ ก็รู้ว่าเย่จั้นกำลังมา“พวกเราไม่เป็นไร สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”เย่จิ่งอวี้หันกลับมาถามเขารู้อยู่แล้วว่าครั้งนี้เย่จิ่งอวี้ปลอมตัวออกนอกวัง เย่จั้นจึงไม่ได้คุกเข่าโค้งคำนับ แต่ประกบมือคำนับแทน “เหล่าศิษย์ของตำหนักเทพกำลังต่อสู้กับชาวยุทธ์เหล่านั้น ข้าจึงถือโอกาสขึ้นเขามา”อินชิงเสวียนหันไปด้านข้างแล้วถามว่า “ผู้นำทัพของตำหนักเทพเป็นใคร”เย่จั้นกล่าวว่า “คือฉุยอวี้ เฟิงเอ้อร์เหนียง และสตรีแซ่เหมย”อินชิงเสวียนพยักหน้า เหมยชิงเกอออกหน้าคราวนี้ เป็นเวลาที่เหมาะสมยิ่ง ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว ตราบใดที่นางชนะการต่อสู้ครั้งนี้ ก็จะมีบารมีเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนเมื่อมีศิษย์ตำหนักเทพจำนวนมาก การจัดการกับความวุ่นวายก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาจากนั้นก็คิดถึงเรื่องอื่น จึงเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “อาอวี้ ท่านเห็นเย่จิ่งหลานบ้างไหม”เย่จิ่งอวี้มองไปรอบๆ ทันที“จิ่งหลานก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ ข้าไม่เห็นมีเด็กคนไหนเลย”อินชิงเสวียนหัวเราะและพูดว่า “ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กแล้ว เขาสูงพอๆ กับท่านแล้ว”เย่จิ่งอวี้รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ“นี่...เป็นไปได้อย่างไร”เย่จั้นยังถามอี
เมื่อเห็นว่าเหมยชิงเกอไม่ตอบ อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ร้องเรียกออกมาเบาๆ “ผู้อาวุโสเหมย?”เหมยชิงเกอจึงรู้สึกตัว นางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ในเมื่อเป็นฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ ก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพกับคนทั่วไปอย่างเรา”เย่จิ่งอวี้อึดอัดวางตัวไม่ถูก แต่ก็ไม่โกรธในเมื่อคนผู้นี้เป็นผู้อาวุโสในตำหนักเทพ เช่นนั้นคงช่วยเหลือเสวียนเอ๋อร์ไว้อย่างมาก ไม่เช่นนั้น เสวียนเอ๋อร์คงไม่ให้ความสำคัญกับคนผู้นี้มากนักเขาพูดด้วยรอยยิ้มบนริมฝีปาก “ผู้อาวุโสคิดมากเกินไปแล้ว เมื่อได้เข้ามาในยุทธภพ ก็ควรลำดับความอาวุโสให้เหมาะสม เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโส ผู้เยาว์ย่อมไม่กล้าอวดดีอยู่แล้ว”เหมยชิงเกอเดินไปหาอินชิงเสวียน“ชิงเสวียน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”อินชิงเสวียนรู้สึกไม่ค่อยพอใจ แม้ว่าเหมยชิงเกอจะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเจ้าของร่างเดิม แต่ในแง่ของความใกล้ชิด นางยังคงใกล้ชิดกับเย่จิ่งอวี้มากกว่าทั้งสองผ่านประสบการณ์เรื่องราวหลายอย่างด้วยกัน ไม่ธรรมดาเหมือนคู่รักทั่วไปอีกแล้ว แม้ว่าคราวนี้นางจะแอบเข้าไปในถ้ำเสือเพียงลำพัง แต่ก็เป็นสิ่งที่นางต้องการ ไม่เกี่ยวข้องกับเย่จิ่งอวี้เลย
ครั้นเห็นดวงตาที่กำลังจะร้องไห้ของเหมยชิงเกอ อินชิงเสวียนก็กัดริมฝีปากล่างถ้าเป็นเจ้าของร่างเดิมที่อยู่ที่นี่ นางจะทำอย่างไรนะที่เหมยชิงเกอละเลยเย่จิ่งอวี้โดยเจตนา ทำให้อินชิงเสวียนไม่พอใจ แต่เมื่อนางคิดถึงการทรมานกว่าสิบปีที่นางต้องทนทุกข์ทรมานในผาเฟิงเริ่น และตอนที่เพิ่งพานางเข้าไปในมิตินั้น นางดูอ่อนแอและแก่ชราแค่ไหน หัวใจของอินชิงเสวียนหัวใจก็ค่อยๆ อ่อนลงเมื่อนึกถึงพฤติกรรมน่าเกลียดของเฮ่อยวน ที่มีสัมพันธ์กับหญิงอื่นลับหลังกงซวินอวิ๋นเฟิ่ง อินชิงเสวียนก็รู้สึกเห็นใจเหมยชิงเกอทันทีนางดึงเหมยชิงเกอไว้ ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสเหมยกรุณาเชื้อเชิญ เช่นนั้นเคารพมิสู้ทำตาม ข้าจะอยู่ที่นี่อีกสองสามวัน”เหมยชิงเกอแสดงสีหน้ายินดีทันที“ดีมาก เรารีบกลับขึ้นเขากันเถอะ”เหมยชิงเกอจับมือของอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนหันไปหาเย่จิ่งอวี้ แล้วพูดว่า “อาอวี้ อยู่กับข้าอีกสองสามวันนะ”ดวงตาของเย่จิ่งอวี้เต็มไปด้วยความรัก เขาพูดอย่างอบอุ่น “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเสวียนเอ๋อร์”ขณะที่พวกเขาจากไป ร่างของฉางเฮิ่นเทียนก็หายวับออกมาจากก้อนหิน ดวงตามืดมนเคลือบคลุม ไม่แน่นอนเดิมทีข้า
เมื่อฟังเสียงนุ่มนิ่มไร้เดียงสาของเจ้าเด็กน้อย เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกปวดใจ รีบอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมาพูดเสียงละล่ำละลักว่า “ทั้งหมดเป็นเพราะความผิดของเสด็จพ่อเอง ทำให้เจ้ากับเสด็จแม่ของเจ้าลำบากแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงเหยียดแขนที่ป้อมๆ ออกเหมือนดอกบัวบาน กอดแขนของเย่จิ่งอวี้ไว้แน่น พูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “ต้องโทษคนแก่ชั่วร้ายนั่น เด็จพ่อจะต้องล้างแค้นแทนพวกเรานะ”ในชั่วพริบตา อินชิงเสวียนก็ออกมาเป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้ว เสี่ยวหนานเฟิงที่ได้รับการบำรุงเลี้ยงจากน้ำพุวิญญาณ ย่อมเติบโตอย่างน่าอัศจรรย์แม้ว่าน้ำเสียงจะดูเด็ก แต่คำพูดก็ค่อนข้างชัดเจน ในหัวน้อยๆ ล้วนมีเหตุผลเป็นของตัวเองเย่จิ่งอวี้ลูบหน้าเล็กๆ ของเขา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “จ้าวเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว เสต็จพ่อได้ล้างแค้นให้กับเจ้าแล้ว”ดวงตาสีเข้มของเสี่ยวหนานเฟิงเบิกกว้าง“จริงหรือ?”เย่จิ่งอวี้กล่าวว่า “เสด็จพ่อจะโกหกเจ้าได้อย่างไร”เสี่ยวหนานเฟิงมีความสุขมากจนขยับเท้าเล็กๆ กระโดดโลดเต้นเหมือนปลาตัวน้อย มือเล็กป้อมก็ปรบมืออย่างแรง“ลูกรู้อยู่แล้ว เด็จพ่อเก่งกาจที่สุด”เขาเม้มปากนุ่มๆ อีกครั้ง และหอมที่ใบหน้าเย่จิ่งอวี้หลาย
เย่จิ่งหลานเงยหน้าขึ้น พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้ากับเจ้าไม่คุ้นเคยกัน จะให้เจ้าเป็นบ่าวรับใช้ได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าเคยอยู่กับเจ้าสำนักฉุยมาก่อน งั้นก็ควรไปหานาง”ฉางเฮิ่นเทียนดูเหมือนจะรู้ว่าเย่จิ่งหลานจะไม่รับปาก เขาจึงถอนหายใจและพูดว่า “คุณชายกล่าวถูกแล้ว เป็นข้าที่บุ่มบ่ามเกินไป เช่นนั้นต้องขอตัวลาแล้ว”ฉางเฮิ่นเทียนโค้งคำนับ แล้วขึ้นไปบนภูเขาหวังซุ่นเลียนแบบท่าทางของเย่จิ่งหลาน ลูบคางไปมา“ฉางเฮิ่นเทียนคนนี้มาจากไหน ตอนอยู่ในเป่ยไห่ก็ไม่ค่อยได้เจอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นชาวเป่ยไห่ดั้งเดิม แต่ถึงอย่างไรชาวยุทธ์ที่มีทักษะวรยุทธ์ไม่โดดเด่นมากนัก สามารถติดตามผู้อาวุโสหันได้ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าเขาต้องโดดเด่น เขารั้งอยู่บนเขาได้ ก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน”หวังซุ่นถามทันทีว่า “นายท่าน คนดั้งเดิมหมายความว่าอย่างไร”เย่จิ่งหลานยกมือขึ้นสั่นแรงๆ“หมายถึงคนท้องถิ่น”หวังซุ่นหัวเราะแหะๆ “นายท่านใช้คำพูดดีจริงๆ แล้วเราจะไปหาเจ้าตำหนักเหมยคนใหม่ตอนนี้เลยหรือไม่”“ไปเถอะ จะทิ้งร่างของเจ้าตำหนักไว้ในมิติตลิดไปก็ไม่ได้”สองนายบ่าวพูดคุยกันสักพัก แล้วจึงเดินไปท
“นี่...”เฟิงเอ้อร์เหนียงอึกอักอยากพูดบางอย่าง สุดท้ายก็เงียบแต่ไหนแต่ไรมานั้นเจ้าตำหนักคนเดิมมักจะมองว่าการต่อสู้ระหว่างตำหนักเทพและอิ๋นเฉิงนั้นเป็นการแข่งขันด้านทักษะ ไม่เคยคิดที่จะขอความช่วยเหลือจากคนภายนอก จนให้มีใครในอิ๋นเฉิงต้องเสียชีวิตการตัดสินใจของผู้อาวุโสหันขัดแย้งกับความตั้งใจเดิมของเจ้าตำหนัก เดิมทีคิดว่าหลังจากที่เหมยชิงเกอเข้ารับตำแหน่ง ก็จะดำเนินตามรอยเดิมของเจ้าตำหนักคนเก่า แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นเลยเมื่อนึกถึงความทุกข์ทรมานของเหมยชิงเกอที่ผาเฟิงเริ่นนับสิบปี จะกลายเป็นคนมีนิสัยรุนแรงก็ไม่แปลก จากนั้นนางก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้“ในเมื่อศิษย์พี่ใหญ่ตัดสินใจเช่นนี้ น้องก็พูดอะไรไม่ได้มาก แค่รู้สึกอยู่เสมอว่าเรื่องระหว่างศิษย์พี่ใหญ่กับเจ้าเมืองเฮ่ออาจมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ เขารักศิษย์พี่ใหญ่อย่างสุดซึ้ง แล้วจะส่งคนไปตามฆ่าได้อย่างไร บางทีอาจเป็นแผนชั่วของผู้อาวุโสหัน เพียงแต่เสียดายที่ตอนนี้เขาตายจึงไร้หลักฐาน”เสียงของเฟิงเอ้อร์เหนียงอ่อนโยน พยายามระมัดระวังในการพูดใบหน้าของเหมยชิงเกอมืดลง“เรื่องที่ข้าเดินทางไปอิ๋นเฉิง มีเพียงเจ้าตำหนักและเฮ่
ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตรกรรมที่เย่จิ่งอวี้กล่าวถึงนั้น ย่อมไม่ได้กล่าวถึงจิตรกรธรรมดาๆ แต่เป็นยอดฝีมือที่มีการฝึกฝนอย่างลึกซึ้งความคิดแวบขึ้นมาในใจของอินชิงเสวียน และทันใดนั้นนางก็นึกถึงคนผู้หนึ่ง“ผู้อาวุโสลิ่นก็อยู่ที่นี่ด้วย หากไม่มีวิธีอื่นจริงๆ ก็ลองไปถามเขาดูดีกว่า”จู่ๆ เย่จั้นก็พยักหน้าเร็วๆ ราวกับเจอฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย“ถูกต้อง ผู้อาวุโสลิ่นมีชื่อเสียงมาหลายปีแล้ว ความสำเร็จในวิชากระบี่และวรยุทธ์นั้นไม่ธรรมดา บางทีเขาอาจจะช่วยเราไขข้อสงสัยของเราได้ เช่นนั้นต้องรบกวนฮองเฮาด้วย”เย่จั้นประสานมือคารวะค้อมกายถึงพื้น อินชิงเสวียนก็เอื้อมมือไปช่วยเขา แต่ก็คว้าพลาดใบหน้าของเย่จิ่งอวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย“เสวียนเอ๋อร์ เจ้า...”อินชิงเสวียนขัดจังหวะเขา พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าสบายดี ไปคุยกับผู้อาวุโสลิ่นเซียวก่อนเถอะ แล้วเราค่อยหารือเรื่องอื่นในภายหลัง”นางก้าวสั้นๆ เดินไปที่ประตู เย่จิ่งอวี้เอื้อมมือไปช่วยประคอง พูดด้วยสีหน้ายุ่งงยากใจ “เสวียนเอ๋อร์...”อินชิงเสวียนโบกมือ“ถ้าท่านมีคำถามใดๆ ไว้เราค่อยคุยกัน ช่วยคนสำคัญกว่า”เย่จิ่งอวี้เม้มริมฝีปากล่างอย่างแรง“ก็ได้”เขามองออ