เจ้าตำหนักจินตงไหลมองไปยังเหมยชิงเกอถามด้วยสีหน้ามืดลง “เจ้าไม่ได้อยู่ที่ผาเฟิงเริ่นหรือ ใครอนุญาตให้เจ้าออกมา เจ้าคนทรยศต่อตำหนักเทพ ยังไม่คุกเข่าลงอีก”เหมยชิงเกอกำลังปีติยินดี เมื่อนางได้ยินสิ่งนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจเล็กน้อย“ท่านอาจารย์...”จินตงไหลตลวาดอีกครั้ง“ศิษย์ชั่ว คุกเข่าลง”“ช้าก่อน”น้ำเสียงแผ่วเบาดังมาจากด้านหลังเหมยชิงเกอ ร่างงามเดินออกไปอย่างช้าๆ ผู้อาวุโสหันและเจ้าตำหนักมองมาทางนี้พร้อมกัน แสงสีทองแวบขึ้นมาในดวงตาของอินชิงเสวียน เจ้าตำหนักก็ล้มลงกับพื้นทันที“ท่านอาจารย์”เหมยชิงเกอปราดเข้าไปประคองเจ้าตำหนัก ในขณะที่อินชิงเสวียนและเย่จิ่งหลานเคลื่อนไหวพร้อมกัน มาขวางหน้าของทั้งสองคน“ผู้อาวุโสหัน เจ้าตำหนักถูกท่านกักขังไว้กระมัง ไม่เพียงเท่านั้น ท่านยังใช้วิชาเนตรควบคุมเขา ช่างโหดร้ายยิ่งนัก”เย่จิ่งหลานกล่าวว่า “ถูกต้อง เมื่อท่านเห็นว่าไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จึงพาเจ้าตำหนักกลับมา พยายามปิดบังหูตาให้ทุกคนสับสน ทุกคนไม่ใช่คนโง่ จะถูกท่านบงการได้อย่างไร”สายตาที่เฉียบแหลมของฉุยอวี้เหลือบเห็นรอยแผลเป็นบนแขนของเจ้าตำหนัก พูดเสียงดังทันที “ถ้าเจ้าตำหน
ชิงผิงและชิงอานมองหน้ากันเลิ่กลั่ก“เจ้าตำหนักจินคือใคร”หวังซุ่นกล่าว “เขาเป็นผู้ปกครองของสถานที่แห่งนี้ ได้ยินมาจากคุณชายว่า เจ้าตำหนักอาจถูกคนกักขังไว้อยู่”ชิงผิงมองเห็นรอยแผลเป็นด้วยสายตาที่เฉียบคม“คนผู้นี้ได้รับบาดเจ็บจริงๆ”ชิงอานก้มลง“รีบช่วยเขาเร็ว พลังชีวิตของคนผู้นี้ดูเหมือนจะสูญสลายไปแล้ว”เขารวบรวมกำลังภายใน วางฝ่ามือบนหลังของเจ้าตำหนักจินภายในมิติก็กำลังดำเนินการกู้ชีพ แต่ภายนอกมิติเกิดความวุ่นวายขึ้นล้วเหล่าศิษย์ปิดล้อมอินชิงเสวียนและเย่จิ่งหลาน เหมยชิงเกอศิษย์พี่น้องทั้งสามสาวก็เข้าร่วมวงการต่อสู้เช่นกัน ชั่วครู่หนึ่งก็มีเสียงตะโกนสังหารดังทั่วสารทิศ และตำหนักเทพก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนผู้อาวุโสหันรู้ดีว่าวันนี้คงเป็นเรื่องยากที่จะทำหน้าใจดีได้อีก เขาจึงตัดสินใจล่าถอย ทิ้งเนินเขาเขียวขจีไว้เบื้องหลังก่อน ไม่ต้องกลัวว่าฟืนจะหมดอินชิงเสวียนจับตามองเขาตลอดเวลา เมื่อนางเห็นผู้อาวุโสหันล่าถอย ก็ตะโกนขึ้นทันที“จะหนีไปไหน”นางใช้วิชาตัวเบา เหยียบไปไปบนไหล่ของลูกศิษย์ ซักฝ่ามือใส่ผู้อาวุโสหันเย่จิ่งหลานไล่ตามไปติดๆ เหวี่ยงหมักไปที่ศ
เปรี้ยงทั้งสามคนรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง ต่างก็กระอักเลือดออกมาเต็มคำในเวลานี้ เสียงของหวังซุ่นก็ดังขึ้นในหูของเย่จิ่งหลาน“นายท่าน เจ้าตำหนักใกล้จะไม่ไหวแล้ว”เย่จิ่งหลานขมวดคิ้วเล็กน้อย“สาวน้อย หวังซุ่นบอกว่า เจ้าตำหนักจะไม่ไหวแล้ว”ในขณะที่อินชิงเสวียนกำลังว่อกแว่ก ผู้อาวุโสหันก็งอมือ ก้าวไปข้างหน้า และพุ่งเข้าใส่ดวงตาทั้งสองข้างของอินชิงเสวียนแสงสีม่วงบนมือระเบิดเป็นรัศมีหนึ่งเมตร อินชิงเสวียนสังเกตเห็นว่าการขับเคลื่อนของชี่แปลกไป เมื่อหันขวับ แสงสีม่วงพราวพุ่งออกมาต่อหน้าต่อตา ครั้นแล้วนางก็รู้สึกปวดร้าวไปทั้งกระบอกตาความชัดเจนถูกแสงสีม่วงเข้ามาแทนที่จนมิด วิสัยทัศน์การมองเห็นของอินชิงเสวียนพลันมืดลง“สาวน้อย”เย่จิ่งหลานซัดฝ่ามือออกไป น้ำตาสีแดงได้ไหลออกมาจากหางตาของอินชิงเสวียนแล้ว“แม่นางชิงเสวียน เจ้าเป็นอะไรไป”เสียงของเหมยชิงเกอดังขึ้นข้างหูอินชิงเสวียนแสร้งทำเป็นสงบ“ข้าไม่เป็นไร วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ห้ามให้ผู้อาวุโสหันหนีไปได้เด็ดขาด”แม้ว่านางจะไม่สามารถมองเห็นด้วยตา แต่ก็สามารถตรวจจับทิศทางของผู้อาวุโสหันผ่านประสาทสัมผัสได้ตอนนี้เขาไม่แสร้งแกล้งทำ
“บังอาจ!”เสียงตะโกนดังออกมาจากปากของชายหนุ่ม ประหนึ่งอสุนีบาตที่ฟาดเปรี้ยงลงมา ผู้อาวุโสหันตกใจมากจนใจสั่น จากนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ ร่างของเขาก็เหาะออกไปอย่างไรก็ตามชายหนุ่มรูปหล่อติดตามเขาไปราวกับเงา เดินก้าวไปข้างหน้า นิ้วเรียวบีบคอของผู้อาวุโสหันอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า เรียวตาหงส์หรี่แคบลง เย็นชาราวกับน้ำแข็ง ทำให้คนรู้สึกหนาวเย็นจนเข้ากระดูกหลักการที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าล้อมรอบร่างกายของคนผู้นั้น แม้ว่าผู้อาวุโสหันจะมองไม่เห็นสิ่งที่ไร้รูปร่างเหล่านี้ แต่ก็รู้สึกว่าหายใจไม่ออก จู่ๆ ก็เหงื่อไหลออกมานี่เป็นความรู้สึกอึดอัดอย่างแท้จริง ทำให้หายใจไม่ออก จนใบหน้าแดงก่ำจากนั้นผู้อาวุโสหันก็ตระหนักว่ามือของคนผู้นั้นคล้องคอเขาไว้แล้ว ในฐานะยอดฝีมือลำดับที่สองของตำหนักเทพ เขากลับไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย“ผู้ที่กล้าแตะต้องคนของข้า มีทางเดียวเท่านั้นที่จะไป นั่นคือความตาย!”คนผู้นั้นกระชับนิ้ว จับคอของผู้อาวุโสหัน แล้วฟาดลงไปที่พื้นตูมมีเสียงดังลั่น ศีรษะของผู้อาวุโสหันก็กระแทกพื้นเข้าอย่างจังด้านหลังศีรษะเป็นจุดอ่อนที่สุดสำหรับผู้ฝึกยุทธ์มาโดยตลอด เมื่อถูกกระแทกดวงตา
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยอย่างยิ่งนี้ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะกำนิ้วแน่น ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “อาอวี้ ทำไม...ท่านมาที่นี่ทำไม...”“เจ้าเป็นภรรยาของข้า ข้าจะไม่มาได้อย่างไร”ซึ่งบุรุษที่พูดนั้น ก็คือเย่จิ่งอวี้เจวี๋ยอิ่งได้รับปากกับหลี่เต๋อฝูแล้วว่าจะติดต่อสหายชาวยุทธ์ ช่วยกับตามหาเบาะแสทิศทางของฮองเฮาไว้ก่อนแล้ว เมื่อเย่จิ่งอวี้ถาม เขาก็ไม่กล้าปิดบังอยู่แล้วแน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่เย่จิ่งอวี้ถาม หลังจากจัดการเรื่องในราชสำนักแล้ว เขาได้ติดต่อเย่จั้นผ่านจดหมายลับของราชวงศ์ เมื่อยืนยันที่อยู่ของอินชิงเสวียนอีกครั้งแล้ว ก็รีบรุดมุ่งหน้ามายังเทือกเขาเชื่อมเมฆาทันทีเฟยมั่วที่แปลว่าน้ำหมึกโบยบินนี้ ไหนเลยจะเป็นเพียงแค่นามของเจ้าม้า มันสามารถเดินทางได้หลายพันลี้ในหนึ่งวัน เขาทิ้งเจวี๋ยอิ่งและทหารองครักษ์คนอื่นๆ ไว้ข้างหลัง เมื่อเย่จิ่งอวี้มาถึงตีนเขา ก็ได้พบกับเย่จั้นที่กำลังยุยงให้ชาวยุทธ์โจมตีตำหนักเทพทันทีที่ค่ายกลแนวป้องกันเขาพังทลาย เย่จิ่งอวี้ก็วิ่งตรงไปยังยอดเขาบรรจบสวรรค์ทันทีเมื่อเห็นอินชิงเสวียนถูกชายชราที่มีหนวดเคราสีขาวโจมตีอย่างดุเดือด เข้าก็โกรธเกรี้ยวจนดวงต
เย่จิ่งหลานก้มลงอย่างรวดเร็ว กดนิ้วบนหลอดเลือดแดงของเจ้าตำหนักจิน แน่นอนว่าไม่มีร่องรอยของการสูบฉีดโลหิตอีกต่อไปเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย“เมื่อครู่มีเหตุฉุกเฉินข้างนอก ข้าไม่สามารถเปิดมิติได้ ท่านผู้เฒ่าจิน ข้าขอโทษจริงๆ”หลังจากที่เย่จิ่งหลานพูดจบ เขาก็หันไปมองหวังซุ่น“เจ้าตำหนักจินพูดอะไรก่อนที่เขาจะเสียชีวิต”“เขาทิ้งสิ่งนี้ไว้”หวังซุ่นชูหยกดำชิ้นสี่เหลี่ยมในมือขึ้น และมอบให้เย่จิ่งหลานด้วยความเคารพเมื่อเย่จิ่งหลานรับมาดู ก็เห็นว่ามันคือตราหยกด้านบนสลักเป็นภาพแสงสีม่วงเรืองรอง ณ ปลายเบื้องบุรพทิศ ด้านล่างสลักคำว่า ตราคำสั่งตำหนักเทพดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเป็นตราประทับสูงสุดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่สูงที่สุดของตำหนักเทพเย่จิ่งหลานถือวัตถุนี้ไว้ในมือ เพียงครู่หนึ่งอยู่ๆ ก็มีความคิดที่จะเก็บไว้ใช้ส่วนตัวเย่จิ่งหลานรู้สึกตกใจกับความคิดนี้ เขาเฉยชากับอำนาจแล้ว เพราะเหตุใดเขาถึงมีความคิดเช่นนี้น่าแปลกจริงๆเขาไอแห้งๆ แล้วถามอีกครั้ง “เจ้าไม่ได้ให้เขาดื่มน้ำพุวิญญาณหรือ”หวังซุ่นพูดด้วยใบหน้าโศกเศร้า “ดื่มแล้ว ผ่านไปราวๆ สิบห้านาที นักพรตเต๋าทั้งสองคนบอกว่า ผู้เฒ่าจินคนนี้หมดลมหายใ
ตำหนักเทพ ด้านหน้าภูเขาเหมยชิงเกอได้พาศิษย์น้องทั้งสองคนไปที่ประตูทางขึ้นเขานางก้มหน้ามองดูชาวยุทธ์แต่ละคนที่เชิงบันได โคจรกำลังภายในที่จุดตันเถียน เอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่ไหนแต่ไรมาตำหนักเทพหอทองคำกับยุทธภพต่างคนต่างอยู่มาตลอด ไม่รู้ว่าทุกท่านมาที่นี่ด้วยเจตนาใดหรือ”ผู้อาวุโสฉีจากสำนักอวิ๋นซานเดินออกมาจากฝูงชน หัวเราะหึๆ “เมื่อไม่กี่วันก่อนผู้อาวุโสหันจาก ตำหนักเทพหลอกลวงเรา บอกว่าได้ส่งหนังสือสวรรค์ไร้อักษรไปยังเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงแล้ว ทำให้เราก่อเรื่องราวใหญ่โตในอิ๋นเฉิง บาดเจ็บล้มตายกันไปมาก บัดนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าอิ๋นเฉิงไม่มีหนังสือสวรรค์ไร้อักษร ตำหนักเทพจะไม่พยายามชดเชยบ้างเลยหรือ”คนเหล่านี้ได้รับสมุนไพรล้ำค่ามากมายจากเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิง จึงอยากมาหาผลประโยชน์บางอย่างที่ตำหนักเทพหอทองคำบ้างเหมือนกันสำนักอวิ๋นซานเป็นที่รู้จักกันดีว่าอาศัยการหลอกลวงและใช้กลอุบายในยุทธจักร แม้ว่าทุกคนจะรู้ดี แต่พวกเขาก็ยังคงเพ้อฝัน ตราบใดที่ได้รับผลประโยชน์แค่เล็กน้อยก็พอ ถึงอย่างไร้ไม่อาจระดมกำลังของทุกคน วิ่งไปถึงที่อย่างเสียเปล่าได้หลังจากที่ผู้อาวุโสฉีพูดจบก็ถามอีกครั้ง “ไม่รู้
อินชิงเสวียนเห็นเงาสีขาวรางๆ ก็รู้ว่าเย่จั้นกำลังมา“พวกเราไม่เป็นไร สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”เย่จิ่งอวี้หันกลับมาถามเขารู้อยู่แล้วว่าครั้งนี้เย่จิ่งอวี้ปลอมตัวออกนอกวัง เย่จั้นจึงไม่ได้คุกเข่าโค้งคำนับ แต่ประกบมือคำนับแทน “เหล่าศิษย์ของตำหนักเทพกำลังต่อสู้กับชาวยุทธ์เหล่านั้น ข้าจึงถือโอกาสขึ้นเขามา”อินชิงเสวียนหันไปด้านข้างแล้วถามว่า “ผู้นำทัพของตำหนักเทพเป็นใคร”เย่จั้นกล่าวว่า “คือฉุยอวี้ เฟิงเอ้อร์เหนียง และสตรีแซ่เหมย”อินชิงเสวียนพยักหน้า เหมยชิงเกอออกหน้าคราวนี้ เป็นเวลาที่เหมาะสมยิ่ง ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว ตราบใดที่นางชนะการต่อสู้ครั้งนี้ ก็จะมีบารมีเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนเมื่อมีศิษย์ตำหนักเทพจำนวนมาก การจัดการกับความวุ่นวายก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาจากนั้นก็คิดถึงเรื่องอื่น จึงเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “อาอวี้ ท่านเห็นเย่จิ่งหลานบ้างไหม”เย่จิ่งอวี้มองไปรอบๆ ทันที“จิ่งหลานก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ ข้าไม่เห็นมีเด็กคนไหนเลย”อินชิงเสวียนหัวเราะและพูดว่า “ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กแล้ว เขาสูงพอๆ กับท่านแล้ว”เย่จิ่งอวี้รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ“นี่...เป็นไปได้อย่างไร”เย่จั้นยังถามอี
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง