“ปล่อยตัวโคตรพ่อเจ้าน่ะสิ ข้ายังไม่ได้ฆ่าคนก็มาว่าฆ่าคน เอาความผิดมาจากไหน ขืนพวกเจ้ายังบีบบังคับกันอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”เขาทำมือประสานอิน ครั้นแล้วร่างนั้นก็เคลื่อนตัวไปอยู่ต่อหน้านักพรตเต๋าทันที เมื่อพลิกมือ ก็เกิดเป็นเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอานุภาพอินชิงเสวียนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ พยายามฟังด้วยความสับสน จากนั้นยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ช้าก่อน ท่านนักพรตเข้าใจผิดหรือเปล่า เพื่อนของข้าไม่ใช่ผู้ที่จะทำบาปมหันต์มั่วซั่วแน่นอน ท่านนักพรตจำคนผิดแล้วกระมัง”นักพรตเต๋าหลบเลี่ยงการโจมตีที่น่าตกใจของเย่จิ่งหลาน พูดด้วยน้ำเสียงสงบ “หว่างคิ้วของเขาปรากฏชาดแห่งบาปแล้ว ไม่มีทางผิดพลาดแน่”ชาดแห่งบาป?เป็นคำใหม่อีกแล้ว อินชิงเสวียนอึ้งไปอีกครั้งชาดก็คือสีแดง หรือจะเป็นไฝสีแดงที่หว่างคิ้วของเย่จิ่งหลานนั่น?หรือว่าเขาทำบาปมหันต์จริงๆ?สถานที่ที่เขาไปนั้นก็อยู่ที่ตงหลิวเท่านั้น ถึงเข่นฆ่าสังผีแคระเหล่านั้นไป ก็ไม่น่าเสียดาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ผู้ที่ลงมือสังหารจริงๆ เป็นศิษย์ของสำนักหลักต่างๆ เหตุใดนักพรตเต๋าจึงไม่ไปหาพวกเขา แต่กลับยืนยันตัวว่าเป็นเย่จิ่งหลานแทน เรื่องนี้ช
“สาวน้อย เจ้าคงไม่ได้เชื่อคำพูดบ้าๆ ของนักพรตเต๋าเหม็นเน่านั่นใช่ไหม”เย่จิ่งหลานกลอกตา ความโกรธในดวงตาก็บรรเทาลงอินชิงเสวียนกระแอมในลำคอแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ค่อนข้างแปลก ในเมื่อเจ้าไม่ได้ฆ่าใคร ทำไมเขาจึงยืนยันมั่นใจว่าเป็นเจ้านัก ในนี้มีความเข้าใจผิดหรือไม่”เย่จิ่งหลานแค่นเสียงหึๆ และพูดว่า “ความเข้าใจผิดบ้าบอน่ะสิ พวกเกล้าผมเหมือนจมูกวัวพวกนั้นไม่มีเหตุผลเลย”ดวงตากลมโตของอินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นมอง“เจ้าไม่มีอะไรจะปิดบังข้าจริงๆ หรือ”เย่จิ่งหลานพูดอย่างหมดคำบรรยาย “เรื่องที่ข้าเดินทางไปตงหลิว ทั้งฮวาเชียนและหวังซุ่นต่างก็รู้เรื่องดี หากไม่เชื่อเจ้าก็ไปถามพวกเขาได้”อินชิงเสวียนย่อมไม่อยากมีความขัดแย้งภายในกับเขาอยู่แล้ว“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อเจ้า แค่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างที่น่าสงสัย”ดวงตาของเย่จิ่งหลานเบิกกว้าง“ก็ไม่แปลกหรอก ถ้าทำให้ข้าโกรธนักจะตบพวกเกล้าผมเหมือนจมูกวัวสองคนที่อยู่ในมิติซะ”อินชิงเสวียนพูดโดยเร็ว “เจ้าอย่าบุ่มบ่าม คราวหน้าถ้าเจอเขาอีก พวกเราก็ค่อยๆ คุยกับเขาดีๆ”“ไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยกัน พวกเรามาหารือกันเรื่องตำหนักเทพก่อนเถอะ ถ้าตาแก่หนังเหนี
ศิษย์หลายคนลอบมองไปที่เย่จิ่งหลาน กระซิบกระซาบบอกกัน จากนั้นก็แยกย้ายกันไปเงียบๆ เย่จิ่งหลานก็เดินกลับไปยังที่พักหินของตัวเอง ทันทีที่ไปถึงประตู หวังซุ่นก็เดินออกมาด้วยสีหน้ายินดี“นายท่าน ข้าทำงานเสร็จก่อนกำหนด ทำหน้ากากออกมาได้แล้ว”“โอ้?”ดวงตาของเย่จิ่งหลานเต็มไปด้วยความสุข เขานึกในใจ จากนั้นก็พาหวังซุ่นเข้าไปในมิติ“เจ้าใส่มันให้ข้าดูหน่อย”หวังซุ่นหยิบหน้ากากออกจากแขนเสื้อทันที และในพริบตาเดียว เขาก็กลายเป็นชายชราที่มีท่าทางราวกับเทพเซียนเย่จิ่งหลานหยิบภาพวาดออกมา เปรียบเทียบซ้ายขวาบนล่างอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ลูบคางพลางพยักหน้า“ไม่เลว คล้ายมาก”หวังซุ่นหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ขอบคุณนายท่านสำหรับคำชม”เย่จิ่งหลานหยิบบุหรี่ยี่ห้อดังออกมาจากความว่างเปล่า“รางวัลเจ้า”หวังซุ่นรับไว้ด้วยรอยยิ้มยินดี“ขอบคุณนายท่าน ต่อไปเราควรทำอย่างไรดี”“ส่งหน้ากากมาให้ข้า ข้าจะเอาไปให้ยัยเด็กนั่น”เย่จิ่งหลานหยิบหน้ากาก แล้วออกจากที่พักหินไปในเวลานี้ อินชิงเสวียนได้เข้ามาในมิติแล้วเหมยชิงเกอกำลังเล่นวิ่งไล่จับกับเสี่ยวหนานเฟิงเมื่อเห็นอินชิงเสวียนเข้ามา ทั้งคู่ก็หยุดเล่นท
“เสี่ยวอวี้ อวิ๋นลี่!”เหมยชิงเกอจับมือของทั้งสองคน ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กันชั่วพริบตาศิษย์พี่น้องสามสาวไม่ได้เจอกันนานกว่าสิบปี เมื่อนึกถึงสมัยที่ทุกคนเพิ่งเข้ามาในสำนัก ในตอนนั้นต่างก็ไร้เดียงสา ทุกอย่างช่างดูเหมือนเมื่อวานเฟิงเอ้อร์เหนียงมองไปที่เหมยชิงเกออย่างพิจารณา “ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว แต่รูปร่างหน้าตาของศิษย์พี่ยังคงเหมือนเดิม ข้าอยากร้องไห้ด้วยความดีใจจริงๆ”ฉุยอวี้ก็พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก“ศิษย์พี่ไม่เป็นไรก็ดี ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”นางกอดเหมยชิงเกออย่างแรง ราวกับว่าระบายความปรารถนาและความคับข้องใจมานานหลายปีเหมยชิงเกอตบหลังนางเบาๆ “พวกเจ้าสบายดีหรือไม่...”อินชิงเสวียนมองไปยังศิษย์พี่น้องสามสาวที่แสดงความรู้สึกจริงใจ แล้วขยิบตาให้เย่จิ่งหลาน และอุ้มเด็กเดินออกจากที่พักหินไป“นักพรตเต๋าสองคนในมิติของเจ้า เป็นคนแบบไหน”เย่จิ่งหลานนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง“ทำไมถึงคิดถามเรื่องนี้ล่ะ”“ผู้อาวุโสเหมยออกมาดูแลสถานการณ์โดยรวม ให้เสี่ยวหนานเฟิงอยู่ในมิติเองก็คงจะน่าเบื่อไปหน่อย ข้าอยากฝากให้เขาอยู่ในมิติของเจ้า”เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมของนักพรตเต๋าในตอนนี้ เขาคง
ชิงอานปวดใจ รีบอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมา พลางโยกตัวกล่อม พลางกล่าวปลอบใจ “จ้าวเอ๋อร์ไม่ร้องไห้นะ สักวันเจ้าจะได้เจอพ่อเอง”ชิงผิงพยักหน้าอยู่ข้างๆ“ใช่แล้ว บางทีแม่ของเจ้าอาจมีงานทำให้เสียเวลาอยู่ที่นี่ เมื่อนางเสร็จธุระแล้ว ก็จะพาเจ้ากลับไปเอง”เสี่ยวหนานเฟิงเช็ดหน้า จากนั้นกอดคอของชิงอาน และถามด้วยเสียงแผ่วเบาไร้เดียงสาว่า “พวกท่านเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจมากใช่ไหม”“อา?”ชิงอานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สำหรับคนธรรมดาทั่วไป พวกเขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือจริงๆหวังซุ่นขยับเข้ามาฟังใกล้ๆ ทันที แต่เสี่ยวหนานเฟิงยกมือขึ้นห้ามเขา“หยุด อย่าเข้ามานะ”“เอ่อ...พวกเขาสองคน...”หวังซุ่นชี้ไปที่นักพรตเต๋าสองคน“พวกเขาไม่มีทางทำร้ายข้า ข้ารู้สึกได้”เสี่ยวหนานเฟิงดื่มน้ำพุวิญญาณมาตั้งแต่เด็ก และเช่นเดียวกับแม่ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความอาฆาตพยาบาทจากนั้นเขาก็ชี้นิ้วบอกชิงอาน“เราไปคุยกันที่นั่นดีไหม”เมื่อพวกเขามาถึงสุดทางเดิน เสี่ยวหนานเฟิงก็กระซิบข้างหูของชิงอานว่า “พวกท่านต้องรู้วรยุทธ์แน่ๆ ช่วยสอนข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้าอยากช่วยท่านแม่ข้าต่อสู้กับชายชราผู้เลวร้ายคนนั้น”เมื่อมองดูดว
ชิงผิงและชิงอานต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กผู้หญิงคนนี้เป็นใครอีกชิงผิงที่ใจร้อนกว่า กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันที “คุณชายน้อยเย่เป็นผู้ชายที่มีเจตนาชั่วร้ายจริงๆ ถึงขั้นกล้าขังผู้หญิงไว้ที่นี่จริงๆ สมควรถูกลงโทษ”หวังซุ่นอธิบายอย่างรวดเร็ว “นักพรตเต๋าทั้งสองเข้าใจคุณชายของข้าผิด แม่นางผู้นี้ไม่ได้ถูกเขาคุมขังที่นี่ แต่สมองของนางมีปัญหา ยิ่งกว่านั้นแม่นางคนนี้มีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับคุณชายจ้าวเอ๋อร์ ถ้า ข้าเดาไม่ผิด นางก็คืออาหญิงของคุณชายน้อย”การเดินทางไปเป่ยไห่ ดูเหมือนว่าหวังซุ่นจะกลายเป็นคนสนิทของเย่จิ่งหลานไปแล้ว เรื่องของอินหลี เย่จิ่งหลานก็ไม่ได้ปิดบังเขาเสี่ยวหนานเฟิงเอียงคอมองอินหลีทันที ทว่าอินหลีเดินผ่านทุกคนไปหลายก้าวแล้ว และยังคงเดินหน้าต่อไปหวังซุ่นกล่าว “คุณชายของเราบอกว่า แม่นางผู้นี้ดูเหมือนจะถูกคนแอบถ่ายทอดกำลังภายในที่ทรงพลังอย่างยิ่งไว้ในตัว ทำให้จิตใจผิดปกติ ได้ยินแม่นางอินบอกว่า แม่นางอินหลีคนนี้ไม่รู้วรยุทธ์ แต่กำลังภายในที่อยู่ในตัว กลับเหนือกว่าคุณชายไปแล้ว”ชิงผิงหายตัวไล่ตามไป นิ้วจับชีพจรของอินหลีอย่างแม่นยำทันใดนั้นอินหลีก็ยืนนิ่งราวกับว่ามีคนแตะ
เหมยชิงเกอโคจรกำลังภายในที่จุดตันเถียน กล่าวเสียงดังทรงพลัง และก้องกังวานสายตาทุกคู่มองจับมาหานาง คนส่วนใหญ่รู้จักศิษย์พี่หญิงคนนี้ และบางคนก็ยังสงสัยเรื่องที่เจ้าตำหนักไม่ปรากฏตัวเป็นเวลานานหลายปีอยู่ครามครันสำหรับเรื่องที่เหมยชิงเกอถูกจองจำในผาเฟิงเริ่นนั้น ผู้อาวุโสหันมีคำอธิบายเพียงอย่างเดียว ซึ่งก็คือข้อหาทรยศต่อตำหนักเทพเมื่อไม่กี่วันก่อน ในตำหนักเทพมีข่าวออกมาว่าเหมยชิงเกอถูกลักพาตัว ซึ่งทำให้เหล่าศิษย์ทุกคนตื่นตระหนกในสายตาของพวกเขา แต่ไหนแต่ไรมาตำหนักเทพหอทองคำไม่อาจทำลายได้ แต่ตอนนี้ทั้งเหมยชิงเกอหายตัวไป และธิดาเทพก็มาหายตัวไปอีก ดินแดนที่เคยเป็นที่อยู่ของเทพเซียนแห่งนี้ ได้กลายเป็นเหมือนตลาดสดไปแล้ววันนี้ยังได้ยินมาว่าผู้อาวุโสหันหนีไปอีก ตำหนักเทพต้องมีคนมารับผิดชอบดูแลจริงๆ เหมยชิงเกอทำท่าทางบอกให้เงียบ เหล่าศิษย์ก็หยุดกระซิบทันทีเหมยชิงเกอกวาดตามองไปที่ทุกคน พูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ข้าไม่ใช่คนทรยศต่อตำหนักเทพ ทุกอย่างเป็นเพราะผู้อาวุโสหันจงใจขุดรากถอนโคน กำจัดผู้ไม่เห็นด้วย เขากักขังเจ้าตำหนักไว้ ทั้งยังทำให้ศิษย์พี่น้องทั้งสี่คนเราแตกแยกร้าวฉาน......เมื่อตัว
เจ้าตำหนักจินตงไหลมองไปยังเหมยชิงเกอถามด้วยสีหน้ามืดลง “เจ้าไม่ได้อยู่ที่ผาเฟิงเริ่นหรือ ใครอนุญาตให้เจ้าออกมา เจ้าคนทรยศต่อตำหนักเทพ ยังไม่คุกเข่าลงอีก”เหมยชิงเกอกำลังปีติยินดี เมื่อนางได้ยินสิ่งนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจเล็กน้อย“ท่านอาจารย์...”จินตงไหลตลวาดอีกครั้ง“ศิษย์ชั่ว คุกเข่าลง”“ช้าก่อน”น้ำเสียงแผ่วเบาดังมาจากด้านหลังเหมยชิงเกอ ร่างงามเดินออกไปอย่างช้าๆ ผู้อาวุโสหันและเจ้าตำหนักมองมาทางนี้พร้อมกัน แสงสีทองแวบขึ้นมาในดวงตาของอินชิงเสวียน เจ้าตำหนักก็ล้มลงกับพื้นทันที“ท่านอาจารย์”เหมยชิงเกอปราดเข้าไปประคองเจ้าตำหนัก ในขณะที่อินชิงเสวียนและเย่จิ่งหลานเคลื่อนไหวพร้อมกัน มาขวางหน้าของทั้งสองคน“ผู้อาวุโสหัน เจ้าตำหนักถูกท่านกักขังไว้กระมัง ไม่เพียงเท่านั้น ท่านยังใช้วิชาเนตรควบคุมเขา ช่างโหดร้ายยิ่งนัก”เย่จิ่งหลานกล่าวว่า “ถูกต้อง เมื่อท่านเห็นว่าไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จึงพาเจ้าตำหนักกลับมา พยายามปิดบังหูตาให้ทุกคนสับสน ทุกคนไม่ใช่คนโง่ จะถูกท่านบงการได้อย่างไร”สายตาที่เฉียบแหลมของฉุยอวี้เหลือบเห็นรอยแผลเป็นบนแขนของเจ้าตำหนัก พูดเสียงดังทันที “ถ้าเจ้าตำหน
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง