นักพรตเต๋าร่างผอมกล่าวว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ถ้าฉลาดก็ยอมมอบตัว ไปสถานที่เนรเทศกับเราซะ”ร่างของเย่จิ่งหลานหายวับ และมาปรากฏตัวต่อหน้านักพรตเต๋าร่างผอม ยกมือขึ้นตบบ้องหูทั้งสองคนเสียงดังฟังชัดดังก้องไปทั่วมิติ ทั้งสองถูกตบหน้าเพียะอย่างแรง“ด้วยความสามารถของพวกเจ้าในตอนนี้ ยังคิดว่าจะพาข้าไปได้รึ โคตรพ่อมันเถอะ นี่เป็นเรื่องตลกที่น่าขันที่สุดที่ข้าเคยได้ยินในชีวิต”นักพรตเต๋าผู้แข็งแกร่งถูกด่าสาดเสียเทเสีย“ไอ้เด็กเวร เจ้ากล้าทำร้ายพวกเรารึ”“แล้วไงล่ะ? พวกเจ้าก็มาหาข้าโดยไม่มีคำอธิบายเหมือนกันไม่ใช่รึ ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าครั้งสุดท้าย พวกเจ้ามาจากไหน ทำไมเจ้าถึงมาหาข้า”เมื่อมองดูสีหน้ากวนบาทาของเย่จิ่งหลาน นักพรตเต๋าทั้งสองก็กัดกรามกรอด“ข้าได้พูดชัดเจนมากแล้ว ศิลาตอบสวรรค์แสดงให้เห็น เราแค่ปฏิบัติตามบัญชาสวรรค์เท่านั้น”เย่จิ่งหลานพูดไม่ออก นักพรตเต๋าสองคนนี้โง่ไปแล้วหรือ ทำไมถึงฟังไม่เข้าใจ พูดไปพูดมาอยู่คำเดียว หรือว่าบำเพ็ญตบะนานเกินไป จนสมองมีปัญหา“ศิลาตอบสวรรค์อยู่ที่ใด”นักพรตเต๋าอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ที่พักของเรา”เย่จิ่งหลานอยากจะกระอักเลือดออกมาจริงๆ
ฮั่วเทียนเฉิงตกตะลึงเล็กน้อย“ทำไมจู่ๆ คุณชายถึงรับปากล่ะ?”เมื่อเห็นว่าฮั่วเทียนเฉิงไม่ดีใจ เย่จิ่งหลานก็ถามด้วยความสับสน “สีหน้าของท่านฮั่วทำไมถึงเป็นเช่นนี้ หรือว่าท่านไม่ดีใจ?”ฮั่วเทียนเฉิงส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว“จะเป็นไปได้อย่างไร คุณชายน้อยเย่สามารถไปกับข้าได้ ข้ามีแต่จะยินดีด้วยซ้ำ”เย่จิ่งอวี้พยักหน้าและถามว่า “เช่นนี้แล้ว ทำไมท่านฮั่วถึงดูกังวล หรือว่าที่ท่านพูดก่อนหน้านี้เป็นเรื่องโกหกข้า?”ฮั่วเทียนเฉิงโบกมือโดยเร็ว“ตำหนักเทพให้เกียรติแก่นักปราชญ์ราชบัณฑิตมาแต่ไหนแต่ไร ทุกสิ่งที่พูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องจริง”“งั้นก็ใช้ได้แล้วไม่ใช่หรือ ช่วงนี้จิตใจของข้าสับสนอยู่พอดี ที่ตำหนักเทพคงเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการบำเพ็ญภาวนา”หลังจากได้ยินคำพูดของเย่จิ่งหลาน ฮั่วเทียนเฉิงก็ขมวดคิ้วอีกครั้งหลังจากคบค้าสมาคมกันนานกว่าหนึ่งเดือน เขาก็รู้สึกนิยมชมชอบและเคารพเลื่อมใสเด็กคนนี้มากแม้ว่าเย่จิ่งหลานจะเปลี่ยนใบหน้ามาหล่อเหลาราวกับหยก แต่ฮั่วเทียนเฉิงก็เห็นเป็นเหมือนเดิม ถือว่าเขาเป็นเด็กอายุเจ็ดแปดขวบมาโดยตลอดหลังจากรู้จักกันมานาน เขารู้สึกว่าความเฉลียวฉลาดของเย่จิ่งหลา
ณ ตำหนักเทพหอทองคำวันรุ่งขึ้น ไพรเขียวฟ้าโปร่ง เป็นอีกวันที่อากาศดีมีดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าอินชิงเสวียนบิดเนื้อตัวอย่างเมื่อยขบ และเดินออกจากที่พักหินหลังจากสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดก็รู้สึกเบิกบาน สดชื่นโล่งใจยุคที่ปราศจากมลภาวะนั้นดีมากจริงๆ อินชิงเสวียนมองดูทิวเขาไกลๆ อย่างทอดถอนใจ ทันใดนั้นก็จำได้ว่าเย่จั้นยังคงรอนางอยู่ แต่น่าเสียดายที่นางยังไม่ได้เจออินหลีนางขยับข้อมือและเท้า ตัดสินใจนำข่าวนี้ไปบอกเย่จั้น เมื่อเดินลงมาจากเขาเพียงสองก้าว ก็เห็นผู้อาวุโสหันปีนขึ้นบันไดมา ตามมาด้วยฉางเฮิ่นเทียนที่ก้มหน้าก้มอยู่ ราวกับรู้ว่าอินชิงเสวียนกำลังมองมาที่ตัวเอง ฉางเฮิ่นเทียนเงยหน้าขึ้น ขยิบตากับอินชิงเสวียน อย่างรวดเร็ว และพยักพเยิดไปที่ผู้อาวุโสหัน อินชิงเสวียนเหลือบมอง นางก็เข้าใจอย่างคร่าวๆ ในใจว่าอาจเป็นผู้อาวุโสหันที่มีความคิดชั่วร้ายอย่างใดอย่างหนึ่งผู้อาวุโสหันหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้ามีบางอย่างที่ต้องทำ ทำให้การแจกจ่ายน้ำพุวิญญาณล่าช้า วันนี้ก็นั่งปรึกษาหารือกันอย่างรอบคอบได้”เหตุผลนี้นั่นเองอินชิงเสวียนเลิกคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงสงบ “สิ่
ผู้อาวุโสหันลูบหนวดเคราสีเทาแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากให้เจ้าเข้าพบ แต่เจ้าตำหนักเก็บตัวตัวบำเพ็ญเพียรไม่ได้ออกมาหลายปีแล้ว โชคดีที่การต่อสู้ระหว่างทั้งสองสำนักกำลังจะมาถึงในไม่ช้า เมื่อถึงเวลานั้น ท่านเจ้าสำนักจะต้องปรากฏตัวอย่างแน่นอน”อินชิงเสวียนพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องใคร่ครวญให้รอบคอบ เด็กพวกท่านก็ตามหาไม่พบ เจ้าตำหนักก็ไม่ให้เจอ ทุกการกระทำของผู้อาวุโสหันล้วนไม่น่าเชื่อ แล้วจะให้ข้าเชื่อได้อย่างไร”ผู้อาวุโสหันกล่าวว่า “เรื่องเด็ก ข้าพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ว่า ข้ามีเป้าหมายอยู่แล้ว หากข้าเดาไม่ผิด เกรงว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับอิ๋นเฉิง”“โอ้?”อินชิงเสวียนเลิกคิ้วขึ้นผู้อาวุโสหันเอามือไพล่หลังแล้วกล่าวว่า “ดังที่เราทุกคนทราบ เพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงปิดประตูเมืองเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้จู่ๆ ก็เปิดออก เป็นที่น่าสงสัยจริงๆ และเด็กก็มาหายตัวไปในเวลานี้พอดีอีก ยังมีผู้ทรยศของตำหนักเทพ ยากที่คนจะไม่คิดมาก แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าได้ส่งคนไปแอบเข้าไปในอิ๋นเฉิงแล้ว หากมีข่าวใดๆ พวกเขาจะแจ้งข้าโดยเร็วที่สุด”“ในเมื่อผู้อาวุโสหันตั้งใจเพียงนี้ งั้นข้าจะรออีกสาม
ฉุยอวี้และเฟิงเอ้อร์เหนียงกำลังคุยกันอยู่ในห้องหิน เมื่อได้ยินเสียงประตู ทั้งคู่ก็หันศีรษะไปพร้อมกัน“ฉุยอวี้ ช่วงนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”สีหน้าของฉุยอวี้ตึงเครียด “ท่านมาทำอะไรที่นี่”ผู้อาวุโสหันหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “นี่คือสำนักของข้า ข้าจะมาไม่ได้หรือ”ฉุยอวี้แค่นเสียงหึอย่างเย็นชา “ตำหนักเทพกลายเป็นของคนแซ่หันตั้งแต่เมื่อใด”ผู้อาวุโสหันพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ตอนนี้ข้าดูแลตำหนักเทพหอทองคำอยู่ ข้าย่อมมีสิทธิ์ขาดอยู่แล้ว”ฉุยอวี้กล่าวอย่างเหน็บแนม “ดังคำกล่าวที่ว่า บนเขาไม่มีเจ้า ลิงตั้งตนเป็นราชาจริงๆ ตอนนี้เจ้าตำหนักไม่อยู่ที่นี่ ผู้อาวุโสก็ไม่ได้อยู่ในสำนัก ถึงอย่างไรท่านก็มีสิทธิ์ขาดอยู่แล้ว”ผู้อาวุโสหันยังคงมีสีหน้าไม่แยแส“เจ้าพูดเช่นนี้ก็ถูกแล้ว แล้วจะทำอะไรได้ล่ะ”ฉุยอวี้พูดด้วยความโกรธ “เห็นได้ชัดว่าท่านลงมือทำร้ายคนในสำนักด้วยเหตุผลเห็นแก่ตัว ผู้อาวุโสหลายท่านมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อตำหนักเทพ พวกเขาจะจากไปเองได้อย่างไร ด้วยพลังของพวกเขายิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะผ่านวัฏจักรความเป็นความตายเร็วขนาดนี้ หากเจ้าตำหนักออกจากการบำเพ็ญเพียร จะไม่ปล่อยท่านไปอย่างแน่นอน”“งั
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะกลับไปก่อน พวกเจ้าค่อยๆ คุยกันไป”หลังจากที่ผู้อาวุโสหันพูดจบ เขาก็เปิดประตูออกไป“ท่านเป็นอะไรหรือไม่”อินชิงเสวียนมองไปที่เฟิงเอ้อร์เหนียงอย่างเป็นห่วงเฟิงเอ้อร์เหนียงเช็ดเลือดจากมุมปาก“ข้าไม่เป็นไร ทำไมชิงเสวียนถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”อินชิงเสวียนกล่าวว่า “ข้าเดาว่าผู้อาวุโสหันอาจต้องการจัดการพวกท่าน จึงมาที่นี่”เมื่อประมาณสิบห้านาทีก่อน ฉางเฮิ่นเทียนบอกว่าเขาจะพานางไปที่หอตำราสะสม อินชิงเสวียนก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเหตุใดจู่ๆ ผู้อาวุโสหันจึงให้ฉางเฮิ่นเทียนพาตัวเองไปที่นั่น ทุกอย่างเกิดขึ้นย่อมมีเหตุผล ผู้อาวุโสหันยิ่งจะไม่แสดงความเมตตาต่อตัวเองโดยไม่มีเหตุผล ความเป็นไปได้เดียวคือ เขาต้องการจัดการกับฉุยเฟิงทั้งสองคนเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ อินชิงเสวียนก็ตรงไปที่พักของพวกนางทันที“โจรเฒ่าคนนี้ หากวันนี้เขาทำไม่สำเร็จ วันหน้าจะไม่ยอมเลิกราแน่ๆ ผู้อาวุโสทั้งสองโปรดไปพักอยู่กับข้าเถอะ”ฉุยอวี้พูดอย่างดื้อรั้น “ไม่ต้อง เราไม่เป็นไร”อินชิงเสวียนตบไหล่นางเบาๆ “เชื่อข้าเถอะ ตอนนี้พวกท่านไม่ใช่ศิษย์ของตำหนักเทพ หรืออาคันตุกะ หากโจรเฒ่าหันอยากมาหาเรื่อ
เมื่อมาถึงบริเวณใกล้เคียง อินชิงเสวียนก็หยิบขลุ่ยดินเผาออกมา แล้วเป่าเป็นเพลงใจหินผาถ้าเย่จั้นเคยได้ยินเพลงนี้ ต้องจำได้อย่างแน่นอนอย่างไรก็ตาม หลังจากเป่าไปถึงสิบห้านาที ก็ไม่มีวี่แววของเย่จั้น หัวใจของอินชิงเสวียนหนักอึ้งหรือว่าเขาถูกพบเข้าแล้ว?นางมองไปรอบๆ จากนั้นใช้วิชาตัวเบาไปที่ถ้ำ แต่ไม่มีใครอยู่ข้างในนางกวาดตาไปทั่วบริเวณ แต่ไม่พบกลไกใดๆ เย่จั้นไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆ ชั่วขณะหนึ่ง อินชิงเสวียนรู้สึกสับสนวุ่นวายใจเรื่องในตำหนักเทพยังไม่คลี่คลาย หากเย่จั้นเป็นอะไรไป นางจะอธิบายกับเย่จิ่งอวี้ได้อย่างไรขณะที่กำลังจะออกไปตามหา ทันใดนั้นก็พบว่าดูเหมือนจะมีตัวอักษรเล็กๆ สลักอยู่ในรอยแตกในหินตรงประตูอินชิงเสวียนโน้มตัวไปมอง สีหน้าก็พลันยินดี เป็นลายมือที่เย่จั้นทิ้งไว้จริงๆมีธุระด่วนต้องไป อย่าคิดมาก!ที่แท้ก็เป็นเขาที่จากไปเอง เพียงแต่มีเรื่องอะไรที่สำคัญกว่าอินหลีอินชิงเสวียนขมวดคิ้วเมื่อนางนึกถึงสตรีในชุดขาวซึ่งน่าจะเป็นอาหญิงของนางเมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมของผู้อาวุโสหัน เขาเหมือนจะกังวลเรื่องอินหลีมาก หรือว่าตัวนางมีความลับบางอย่างที่ไม่ทราบ?หากต้องการติดต่อ
อินชิงเสวียนเลิกคิ้ว“นี่คือเมืองเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงงั้นหรือ”ฉุยอวี้ส่ายศีรษะ“ไม่ใช่ นี่คือป่าหมอก ในป่าข้างในถึงจะเป็นเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิง ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาเปิดในเวลาเช้า และปิดในเวลาบ่ายคล้อยของทุกวัน ตอนนี้ก็มืดแล้ว ถ้าต้องการแอบเข้าไป ทำได้แค่รอจนถึงวันพรุ่งนี้ พวกเจ้าสองคนคิดว่าอย่างไร”อินชิงเสวียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ในเมื่อลงเขามาแล้ว งั้นก็ไปดูกันดีกว่า ใกล้ๆ นี้มีเมืองอยู่ หาที่พักค้างคืนกันสักคืนเถอะ”ในเมื่อมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรอินชิงเสวียนก็อยากเห็นว่าผู้ชายรูปงามปานเทพบุตรแบบใดถึงทำร้ายเหมยชิงเกอจนเป็นแบบนี้ฉุยอวี้ย่อมยกมือเห็นด้วยอยู่แล้ว“ได้ ที่นี่อยู่ห่างจากตลาดเพียงห้าหกลี้ ใช้เวลาไม่นานก็ไปถึง”อินชิงเสวียนพยักหน้าพูดว่า “ดี งั้นเราจะเข้าไปในอิ๋นเฉิงพรุ่งนี้เช้า”ทั้งสามใช้วิชาตัวเบา และภายในสิบห้านาทีพวกนางก็มาถึงตลาดเดิมทีคิดว่าในเวลานี้ปิดประตูไปนานแล้ว แต่ไม่นึกว่าจะเห็นแสงไฟสว่างจ้า สามารถมองเห็นชาวยุทธ์ที่ถือดาบได้ทุกที่เมื่อนั้นอินชิงเสวียนจึงจำตอนที่ผู้คนบุกโจมตีตำหนักเทพหอทองคำได้ เหมือนพวกเขาจะมารวมตัวกันที่นี่เมื่อนึกถึงคำพูดขอ
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี