เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้ทำทุกคนนิ่งอึ้งใครจะรู้ว่าจู่ๆ ไป๋เสวี่ยจะคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้วคาบเอาเด็กวิ่งหนีไป“พระสนม นี่ นี่จะทำเช่นไรดี!”ยายหลี่คุกเข่าลงกับพื้นทันที อ่อนยวบไปทั้งตัว สีหน้าขาวโพลน แม้กระทั่งพูดจายังติดขัดอินชิงเสวียนก็ตกใจจนเหงื่อท่วมกาย“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าไปตามเอง”นางผลักอวิ๋นฉ่ายที่ยืนอยู่ตรงปากประตู ส่วนตัวนางพุ่งออกไปราวกับธนูที่พุ่งออกจากคันศร“ไป๋เสวี่ย ไป๋เสวี่ย!”เจ้าหมาตัวนี้ราวกับรู้ใจมนุษย์ ไม่แน่ว่ามันได้กลิ่นว่าเจ้าหมาน้อยเป็นลูกชายของชายสารเลวเย่จิ่งอวี้นั่น ก็เลยจะคาบไปให้เย่จิ่งอวี้ดูเสียหน่อยเมื่อนึกถึงว่าเย่จิ่งอวี้จะรู้ตัวตนที่แท้จริงของตนและการมีอยู่ของเจ้าหมาน้อยแล้ว อินชิงเสวียนด้านชาไปทั้งศีรษะ ทั้งกายอาบด้วยเหงื่อเย็นเย่จิ่งอวี้เคยพูดไว้ว่า หากนางกล้าหักหลังเขา เขาจะฆ่านางแน่นอน!แล้วนี่นับว่าเป็นการหักหลังแบบหนึ่งหรือไม่“ไป๋เสวี่ย เจ้าหมาสมควรตาย หยุดเดี๋ยวนี้นะ”อาจเป็นเพราะอินชิงเสวียนดื่มน้ำจากน้ำพุวิญญาณ นางวิ่งได้อย่างรวดเร็ว เพียงหักมุมตรงตอก ก็เห็นเงาสีขาวท่ามกลางความมืดได้ ในใจโกรธกริ้ว ร้องตะโกนดังล
เย่จิ่งอวี้ยื่นมือผลักซูฉ่ายเวยออกถามเสียงราบเรียบว่า “เจ้าเห็นขันทีที่อุ้มทารกวิ่งมาทางนี้หรือไม่”ซูฉ่ายเวยนิ่งอึ้งจนปากน้อยอ้าค้าง ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “หม่อมฉันไม่เห็นขันทีไหนเลย อีกทั้งในวังนี้...จะมีทารกได้อย่างไรเพคะ” พระสนมทั้งหลายยังไม่เคยได้รับรักจากฮ่องเต้ หากจู่ๆ มีเด็กทารกโผล่มา ไม่แปลกประหลาดไปหน่อยหรือซูฉ่ายเวยเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นเย่จิ่งอวี้ก็เห็นลายดอกไม้บนหน้าผากนาง สองตาหรี่เล็กลง“ชาดดอกไม้ของพระสนมช่างโดดเด่นนัก ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนวาดให้รึ”พอซูฉ่ายเวยได้ยินคำชม ในใจนึกยินดี ยิ้มตอบว่า “เสี่ยวเสวียนจื่อกงกงเป็นผู้มอบให้หม่อมฉันเพคะ ของนี้มาจากแคว้นฮว๋าเซี่ยเช่นกัน หายากยิ่งเพคะ” พอได้ยิน ‘เสี่ยวเสวียนจื่อ’ สามคำนี้ ริมฝีปากของเย่จิ่งอวี้ค่อยๆ ยกขึ้นจึงถามขึ้นอย่างหยอกล้อว่า “ของสิ่งนี้คงราคาไม่ถูกสินะ”ซูฉ่ายเวยรีบอธิบาย “หม่อมฉันไม่บังอาจทำการซื้อขายในวังหลวงเพคะ นี่เป็นของที่เสี่ยวกงกงมอบให้หม่อมฉันเองเพคะ” “เช่นนั้นรึ”เย่จิ่งอวี้ไม่รอคำตอบ เดินดุ่มเข้าไปในตำหนักของนางพอเห็นว่าฮ่องเต้เสด็จเข้าตำหนักเอง ซูฉ่ายเวยยิ้มจนปากจะฉีกถึงหูแล้ว จึงรีบเ
“กระหม่อมขอถวายบังคมฝ่าบาท”อินชิงเสวียนยกเสื้อคลุมยาวขึ้น พลางคุกเข่าลงเย่จิ่งอวี้เปล่งเสียงอืม และเดินเข้าไปในวังเย็นหลี่เต๋อฝูและคนอื่นๆ รีบรุดเดินขึ้นมา ถือตะเกียงส่องไฟแสงเทียนอ่อนๆ ส่องให้เห็นฉากที่ทรุดโทรม เย่จิ่งอวี้ย่นคิ้วโดยไม่รู้ตัวแม้เขาจะเกิดในตระกูลราชวงศ์ กลับไม่เคยย่างกรายเข้ามาที่นี่เลย ตอนเด็กๆ เคยมาเล่นสนุกที่นี่ด้วยความสงสัย เมื่อถูกเหล่าข้าหลวงหญิงเฒ่าจับได้ เขาก็จะถูกพาตัวออกไปในทันทีวังเย็นสองคำนี้ เป็นคำต้องห้ามในวังหลัง พูดถึงไม่ได้ และยิ่งไม่ควรถามถึงเย่จิ่งอวี้รู้สึกอยู่เสมอว่าวังเย็นเป็นเพียงแค่สถานที่ที่มีผู้คนเข้าออกน้อย เมื่อได้เห็นในวันนี้จึงได้รู้ว่ามีสถานที่ทรุดโทรมเช่นนี้ในพระราชวังไม่แปลกที่อินซื่อจะทนไม่ไหว!เมื่อสตรีคนนั้นที่ไม่รู้ว่าเป็นคนอย่างไร คิ้วของเย่จิ่งอวี้ก็ขมวดแน่นขึ้นอีกแต่เดิมการแต่งงานครั้งนี้เป็นผลจากการต่อสู้เพื่ออำนาจของฮ่องเต้ ทั้งสองฝ่ายต่างไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น ซึ่งบอกไม่ได้ว่าใครผิดใจต่อใครหากไม่ใช่เพราะการสมคบคิดระหว่างอินจ้งและเจียงวู เขาไม่มีทางผลักไสอินซื่อเข้าสู่วังเย็นแน่ ตอนนี้ทุกคนล้วนก
เสียงของเย่จิ่งอวี้เย็นเข้ากระดูก ปลายของดวงตาเลิกขึ้นเล็กน้อย เจตนาฆ่าแฝงอยู่ภายในอย่างแรงกล้าอินชิงเสวียนมองดูด้วยความหวาดกลัว พร้อมคุกเข่าลงกับพื้นและหมอบลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ฝ่าบาท กระหม่อมจำใจต้องพาลูกชายเข้าวังจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาไว้ชีวิตเด็กด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้หิ้วเด็กมาไว้ตรงหน้าทันใดนั้นไป๋เสวี่ยก็วิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้น สุนัขล้อมเจ้าหนูน้อยพร้อมทั้งดมกลิ่นและเลียเดิมทียังมีน้ำตาอยู่บนใบหน้าของเจ้าหนูน้อยยังมีน้ำตา เมื่อถูกขนของไป๋เสวี่ยถู ดวงตาก็โค้งขึ้นทันใดและหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมารอยยิ้มนี้ช่างละม้ายกับบ่าวตัวน้อยเหลือเกิน โดยเฉพาะดวงตาสีดำที่เปล่งประกายราวกับดวงดาวคู่นั้นเย่จิ่งอวี้อดไม่ได้ที่จะยกมือซ้ายขึ้นมา และกอดเจ้าหนูน้อยไว้ในอ้อมอกเจ้าหนูน้อยจ้องมองด้วยดวงตากลมโตคู่หนึ่ง มองเย่จิ่งอวี้ด้วยความแปลกหน้า และส่งเสียงเล็กๆ ออกมาจากปากเย่จิ่งอวี้จับจ้องสายตา มองดูสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่มีกลิ่นน้ำนม ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความใกล้ชิดที่ไม่อาจอธิบายได้ในหัวใจของเขาความจริงที่น่าประหลาดใจก็คือ เจ้าหนูน้อยยกมือเล็กๆ ของเขาที่แดงบวมจากยุงก
“ท่านอาจารย์ เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่?”เสี่ยวอานจื่อสีหน้าเป็นกังวลหลี่เต๋อฝูถอนหายใจดังเฮ้อ “อย่าพูดเลย เสี่ยวเสวียนจื่อช่างบังอาจเสียจริง กล้าพาลูกเข้ามาในวัง...”หลี่เต๋อฝูพูดเพียงครึ่งเดียว จู่ๆ ก็ใจเต้นขึ้นมาวังเย็น ทารก เสี่ยวเสวียนจื่อ พระสนมอิน...หรือว่าเด็กคนนี้คือลูกของฝ่าบาท...ความคิดที่ถาโถมเข้ามากะทันหัน ทำให้หลี่เต๋อฝูตกใจกลัวก่อนหน้านี้เขายังสงสัยว่าเสี่ยวเสวียนจื่อก็คือพระสนมอิน แต่เมื่อเห็นเขาออกอุบายให้ฝ่าบาทอยู่หลายครั้ง ความคิดนี้ก็ถูกเก็บไว้ในใจไม่ว่าเขาเป็นใคร ขอเพียงทำประโยชน์ต่อต้าโจว และทำให้ฝ่าบาทมีความสุข เท่านี้ก็เพียงพอแล้วทว่าวันนี้มีเด็กคนหนึ่งโผล่ออกมา คือว่า... เรื่องนี้ต้องทูลฝ่าบาทหรือไม่?หลี่เต๋อฝูเดินวนไปมาในเรือนอยู่หลายรอบ พลางส่ายหัวไม่ได้ตระกูลอินเป็นคนทรยศ หากเสี่ยวเสวียนจื่อคือพระสนมท่านนั้นจริงๆ จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยอีกทั้งพระสนมผู้นี้ได้ตายไปหลายวันก่อนหน้าแล้ว เหตุใดจึงสามารถฟื้นขึ้นมาตายอีกรอบได้หากไม่ปฏิบัติอย่างถูกต้อง เด็กก็จะเป็นอันตรายไปด้วยและสถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่ชัดเจนนัก ทุกสิ่งยังเป็
คนคนนั้นสวมชุดสีดำ ศีรษะและใบหน้าถูกคลุมอยู่ใต้ผ้าสีดำ ยืนจ้องวังเย็นอยู่ที่มุมตะวันตกเฉียงเหนืออินชิงเสวียนตกใจในทันที นางไม่คิดว่าจะมีคนจริงๆ!คนผู้นี้จะมาฆ่านาง หรือว่ามาคอยสังเกตนางกันแน่?นางเดินเข้าไปในมิติทันที และหยิบกระบองไฟฟ้าออกมาความจริงด้านในมิติมีอาวุธที่ดียิ่งกว่า อย่างเช่นปืนกลเพียงของสิ่งนั้นแพงจนน่าตกใจ คะแนนหนึ่งหมื่นแลกปืนได้เพียงกระบอกเดียว ตอนนี้นางผ่านช่วงมือใหม่แล้ว วัฏจักรของการปลูกพืชใช้เวลาอย่างน้อยหกหรือเจ็ดวัน แม้ว่าหนึ่งเดือนนางจะได้สี่ร้อยคะแนน แต่ก็ต้องเก็บมากกว่าสองปี และยิ่งต้องใช้คะแนนเพื่อแลกเป็นเงินสด จึงต้องยุติความคิดที่อยากจะได้ของสิ่งนั้นไว้ก่อนระหว่างไตร่ตรองอยู่นั้น คนดังกล่าวก็ได้กระโดดขึ้นบนหลังคาบ้านแล้วอินชิงเสวียนไม่ได้ยินเสียงของกระเบื้องหลังคา อดไม่ได้ที่จะตกใจ นี่คือผู้มีฝีมือขั้นสูงนางรีบออกมาด้านนอกตำหนักในทันที และอุ้มเจ้าหมาน้อยออกมาด้วย“พระสนม…”อินชิงเสวียนจ้องขวับไปหานาง ยายหลี่รีบปิดปากทันที“หลายวันนี้รบกวนยายหลี่มาตลอด ในเมื่อข้าก็ถูกปิดตายอยู่ในวังเย็น ต่อไปข้าเลี้ยงลูกชายของข้าเองก็ได้”อินชิง
สวีจือย่วนเปลี่ยนสีหน้าในทันที นางรีบจัดการหน้าตาให้เรียบร้อย พร้อมเดินนวยนาดมายังประตูทางเข้า“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท!”เย่จิ่งอวี้พูดเสียงอ่อนโยน “ลุกขึ้นเถิด”“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”สวีจือย่วนไปยืนอยู่อีกด้าน และเชิญเย่จิ่งอวี้เข้าด้านในหอสุ่ยอวิ้น“หานปิง ไปเปลี่ยนชาเหยือกใหม่ให้ฝ่าบาท”เย่จิ่งอวี้นั่งลงบนเก้าอี้ยิ้มอ่อนๆ และพูดขึ้น “ไม่ต้องมากพิธีหรอก ข้านั่งครู่เดียวก็จะไปแล้ว”สวีจือย่วนขานตอบ ถามขึ้นอย่างหวาดกลัว “ไม่ทราบว่าอีกสักครู่ฝ่าบาทจะไปที่ใดเพคะ”เย่จิ่งอวี้เวยหน้าขึ้นมอง ดวงตาจ้องมองสวีจือย่วนอย่างลึกซึ้ง“หรือว่าเจ้ามีที่ที่อยากไป”สวีจือย่วนรีบก้มหน้าลง“หม่อมฉันมีที่ที่อยากไป ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาตหรือไม่”เย่จิ่งอวี้ถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าอยากไปที่ใด”สวีจือย่วนกัดริมฝีบางพูดว่า “หม่อมฉัน... หม่อมฉันอยากไปหอสวดมนต์เพคะ”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย“หอสวดมนต์เป็นที่สวดมนต์ของราชวงศ์ เจ้าไปที่นั่นทำไมกัน”สวีจือย่วนกำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น ปลายจมูกมีเหงื่อผุดขึ้นมา และพูดอย่างหวาดกลัวว่า “หม่อมฉันได้ยินมาว่าเมื่อเร็วๆ นี้เกิดภัยแล้
สวีจือย่วนสะดุ้งตกใจ และทันใดนั้นฝาในมือของนางก็ตกลงไปบนแท่นบูชา ทำให้เกิดเสียงเครื่องลายครามที่ปะทะกันดังก้องเสียงดังกร๊อบแกร๊บอยู่ด้านหลังของนาง ไทเฮาได้พาชุยไห่และยายเฒ่าหลิวเดินเข้ามาแล้วสวีจือย่วนคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความลนลาน“หม่อมฉันสวีจือย่วน ถวายบังคมไทเฮา”ไทเฮาเหลือบมองโกศอัฐิ และเหลือบมองสวีจือย่วนความเย็นชาในแววตาหายวับไป นางยิ้มด้วยเมตตาและพูดว่า “ลุกขึ้นเถิด เจ้าคือหญิงงาม นายหญิงคนใหม่สินะ เหตุใดจึงคิดมาที่นี่ได้”สวีจือย่วนพูดอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันอยากสวดมนต์ให้ประชาชนเพคะ จึงขอร้องฝ่าบาทให้พาหม่อมฉันมายังหอสวดมนต์ ขอไทเฮาโปรดประทานอภัยด้วย”ไทเฮายื่นมือจับสวีจือย่วนลุกขึ้น ยิ้มและพูดว่า “จิตใจเช่นเจ้าหาได้ยากยิ่ง จะมีโทษได้อย่างไร หากพระสนมในวังหลังล้วนเป็นเช่นเจ้า ไทเฮาคงเบาใจไม่น้อย”สวีจือย่วนพูดขึ้นเสียงเล็กเสียงน้อย “ไทเฮาทรงเยินยอเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่คิดเผื่อราษฎรใต้หล้าเท่านั้น”“การสวดขอพรเป็นเพียงการทำจิตใจให้สงบเท่านั้น หากมีประโยชน์จริง โลกนี้จะไม่มีผู้หิวโหยอีกต่อไป”ไทเฮายิ้มและตบมือของนางเบาๆ เมื่อเปลี่ยนบทสนทนาจึงถามขึ้นอ