ค่ายมวยอรุณรุ่ง
นักมวยของค่ายมารวมตัวกันในวันนี้ไม่ใช่เพราะมีการแข่งขันหรือการฝึกซ้อมชกมวยแต่อย่างใด แต่มาเพื่อช่วยกันจัดสถานที่ ในการจัดงานวันคล้ายวันเกิดครบรอบยี่สิบปีให้กับทายาทของเจ้าของค่าย หรืออีกในสถานะหนึ่งคือ นักมวยสาวดาวรุ่งที่กำลังเป็นที่จับตามองในขณะนี้ ฉายา ‘ต้า นางฟ้ามวยไทย’ ไม่ได้มาเล่นๆ เพราะนอกจากความสวยแล้วการออกอาวุธบนเวทีของเธอนั้นยังทำให้คู่แข่งจดจำเธอไปอีกนาน
“พี่ต้า ทำอะไรอยู่คะ” เสียงหวานของไข่หวานนักมวยสาวรุ่นน้องวัยสิบเจ็ดปีเอ่ยถามขึ้น
“กำลังดูซีรีส์จีน เนี่ยเรื่องนี้กำลังสนุกเลย พระนางฉลาดทันกัน ชิงไหวชิงพริบกันสุดๆ” ต้า หรืออมิตาบอกนักมวยสาวรุ่นน้องที่วันนี้มาช่วยจัดสถานที่ในงานวันคล้ายวันเกิดของเธอในวันรุ่งขึ้น
“หือ…. พี่ต้าชอบดูซีรีส์จีนเหรอคะ” ไข่หวานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“อืม… ชอบมาก ดูตลอดเวลาที่ว่าง คิกๆๆ” นางฟ้ามวยไทยตอบพร้อมทั้งหัวเราะออกมา
“อือ…. เรื่องนี้ไข่หวานก็ชอบ เรื่องก่อนนั้นดูไม่ไหว นางเอกอ่อนแอ เป็นลูกอนุด้วย” เด็กสาวชะโงกหน้าไปมองก่อนที่จะแสดงความเห็นออกมา
“อืม…. พี่ก็ไม่ชอบเรื่องนั้น พี่บ่นกับพ่ออยู่ว่านางเอกอ่อนแอ ถ้าพี่เป็นนางเอกของเรื่องนั้นนะ จะอัดคนพวกนั้นให้เละเลย” อมิตาเอ่ยออกมาอย่างออกรสออกชาติ
“แต่นางเอกเรื่องนั้นนางเก่งทีหลังนะคะ สงสัยพี่ต้าเทเสียก่อนคิกๆๆ”
คอซีรีส์จีนนั่งคุยกันอยู่อย่างสนุกสนาน ส่วนผู้ชายก็จัดสถานที่ไปมองสองสาวไป บอสที่เห็นภาพที่ไม่ควรเห็นเมื่อหลายวันก่อนก็อดที่จะรู้สึกเป็นห่วงรุ่นพี่นักมวยสาวไม่ได้ เขาเป็นเด็กรุ่นใหม่ แต่ทว่ามีความเชื่อเรื่องลี้ลับหรือความเชื่อตามแบบโบราณ การเห็นนักมวยสาวรุ่นพี่ไม่มีศีรษะทำให้เขารู้สึกใจหายอยู่ไม่น้อย
“มึงเป็นอะไรไอ้บอส กูเห็นมึงมองไอ้ต้ามันมาหลายวันละนะ” รุ่นพี่นักมวยหนุ่มเอ่ยถามนักมวยรุ่นน้องในค่าย
“เห้อ…. ไม่รู้สิ ผมรู้สึกเป็นห่วงพี่ต้าแปลกๆ รู้สึกใจคอไม่ดียังไงก็ไม่รู้” บอสตอบพร้อมถอนหายใจออกมา
“อย่าห่วงเลย ไอ้ต้ามันเก่งกว่ามึงอีกฮ่าๆๆๆ” รุ่นพี่นักมวยอีกคนพูดกลั้วหัวเราะออกมา สามหนุ่มจึงเลิกสนใจสองสาวที่เอาแต่นั่งดูซีรีส์จีนในแอปพลิเคชันดัง
ช่วงเย็นอมิตาและเด็กในค่ายอีกสองคนได้พากันออกไปซื้อของแห้งและของสดเพื่อจะมาเตรียมอาหารในวันรุ่งขึ้น ตลาดสดแห่งนี้นั้นมีผู้คนพลุกพล่าน สินค้าทั้งอาหารสดและอาหารแห้งมีให้เลือกหลากหลาย ร่างบางในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงกีฬาขายาวสีดำสวมรองเท้าแตะเดินไปกับรุ่นน้องนักมวยภายในค่ายยืนเลือกผักสำหรับทำอาหารในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของเธอในวันพรุ่งนี้
“เอาไปเยอะไหมอะ” อมิตาเอ่ยถามรุ่นน้องในค่ายมวยที่มาช่วยกันเลือกซื้อของ
“นักมวยในค่ายเรากินเก่งนะพี่ต้า เอาไปเยอะๆ หน่อย” ไข่หวานที่มาด้วยกันแสดงความเห็นออกมา
“คิกๆๆ นั่นน่ะสินะ พวกผู้ชายนี่กินเก่งกันจริงๆ” อมิตาหัวเราะออกมาก่อนที่จะเอ่ยถึงนักมวยชายในค่ายมวยของบิดาที่กินเก่งกินเร็วราวกับพายุพัดพาในพริบตาเดียว
ในระหว่างที่สองสาวกับอีกหนึ่งหนุ่มเลือกซื้อผักกันอยู่ที่แผงผัก จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา เสียงโหวกเหวกโวยวายทำให้นักมวยสาวหันกลับไปมอง
“ช่วยด้วย!!! ช่วยด้วยจ้า!!! ขโมย!!! ขโมยกระเป๋าฉันไปแล้ว…. ใครก็ได้ช่วยจับขโมยหน่อย!!!” เสียงของหญิงวัยกลางคนแต่งตัวดีร้องโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นมา อมิตาเห็นขโมยวิ่งผ่านไปเธอจึงรีบวิ่งตามไปทันที
“เห้ย!!! พี่ต้า อย่าไป!!! พี่ต้า!!!”
รุ่นน้องในค่ายที่เป็นผู้ชายร้องเรียกรุ่นพี่นักมวยสาวที่กำลังวิ่งตามขโมยไปติดๆ เธอไม่หันกลับมามอง ร่างบางแต่ทว่าแข็งแรงวิ่งตามขโมยไปด้วยใจมุ่งมั่น เธอจะต้องนำกระเป๋ากลับไปคืนป้าคนนั้นให้ได้
“เห้ย!!!หยุดนะเว้ย คืนกระเป๋ามาเดี๋ยวนี้ ช่วยด้วย!!! ช่วยกันจับขโมยหน่อย”
เธอตะโกนดังขึ้นตลอดทาง แต่ไม่มีใครสนใจที่จะช่วยเธอจับขโมยเลยสักคน ขโมยวิ่งเข้าไปในซอยที่คนไม่พลุกพล่าน ร่างบางของนักมวยสาววิ่งตามไปแบบไม่ลดละ มือที่ถือถุงผักที่ซื้อมาก่อนหน้าถูกปาไปโดนศีรษะของขโมยจนอีกฝ่ายล้มลง ก่อนที่เธอจะวิ่งตามไปถึงตัวแล้วใช้เท้าหนักๆ ถีบเข้าไปที่หน้าท้องของขโมย จนมันลุกไม่ขึ้น อมิตาจึงเดินไปหยิบกระเป๋าหิ้วที่ถูกขโมยขึ้นมาแล้วทำท่าจะหันหลังกลับไป
“คิดจะมาเอาไปง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอวะ!!!”
ขโมยตะโกนเสียงดังออกมาขณะที่เข้าประชิดตัวของฮีโร่สาว อมิตาหันหลังกลับมาแต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว มีดพกขนาดเล็กก็ถูกมือหนาของอีกฝ่ายจับจ้วงแทงเข้าที่หน้าท้องของเธอ
“โอ๊ย!!!” อมิตาตาเบิกโพลงร้องอุทานออกมาได้เพียงเท่านั้น
คนที่วิ่งตามมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดีจึงรีบวิ่งมาช่วย พลเมืองดีที่เข้ามาช่วยถีบไปยังร่างหนาของขโมย มันล้มลงกับพื้นก่อนที่จะถูกรุมกระทืบจนสะบักสะบอม ร่างบางของนักมวยสาวล้มลงไปกองกับพื้น ตรงหน้าท้องถูกแทงด้วยมีดพกที่ยังคาอยู่ เลือดสีแดงฉานไหลแปดเปื้อนกับเสื้อสีขาว เธอหมดสติไปในทันที คนที่พบเห็นต่างตกใจกันอยู่ไม่น้อย
“พี่ต้า!!!”
เสียงสองนักมวยรุ่นน้องที่วิ่งตามมาตะโกนร้องเรียกชื่อนักมวยสาวพร้อมกับวิ่งเข้ามาดู
“ไม่นะ!!! พี่ต้า… พี่อย่าเป็นอะไรนะ พี่จะวิ่งตามมันมาทำไม ฮือๆๆๆ” ไข่หวานร้องไห้ฟูมฟาย
คนที่เห็นเหตุการณ์รีบโทรแจ้งตำรวจและเรียกกู้ภัยอย่างเร่งด่วน เจ้าของกระเป๋ารีบวิ่งตามมาเช่นกันพอเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็อดที่จะรู้สึกเสียใจไม่ได้ เป็นเพราะเธอเด็กสาวพลเมืองดีถึงต้องบาดเจ็บ
“นั่นมันน้องต้า นางฟ้ามวยไทยนี่หว่า เป็นไปได้ยังไงวะเนี่ย ขออย่าให้เธอเป็นอะไรเลย” ไทยมุงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นร่างโชกเลือดของนักมวยสาวบนเตียงที่กู้ภัยลากผ่านหน้าไปขึ้นรถ
“ขอให้พระคุ้มครองเธอ อนาคตกำลังสดใส ไม่น่ามาเจอเรื่องแบบนี้เลย” ไทยมุงอีกคนยกมือพนมไหว้ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เสียงสัญญาณไซเรนของรถกู้ภัยดังขึ้นร่างบางที่ชุ่มเลือดนอนหายใจโรยริน เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลนั้นแดงฉาน เสื้อสีขาวที่นักมวยสาวใส่มานั้นกลายเป็นสีแดงจนมองไม่ได้ ขโมยถูกตำรวจจับเพราะถูกพลเมืองดีรุมซ้อม อรุณที่ได้รับข่าวร้ายจากเด็กในค่ายที่ไปซื้อของด้วยกันกับบุตรสาวรีบตรงไปยังโรงพยาบาลทันที
“ไข่หวาน!!! พี่ต้าเป็นยังไงบ้าง” อรุณเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ครู… พี่ต้า…. พี่ต้าเสียแล้วจ้ะ หมอบอกว่าพี่ต้าทนพิษบาดแผลไม่ไหว เธอเสียเลือดมากก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาล ฮือๆๆ ครูจ๋า พี่ต้าไม่อยู่แล้ว ฮือๆๆๆ”ไข่หวานบอกครูมวยของเธอออกมาทั้งน้ำตา อรุณเกิดอาการช็อกจนเป็นลมล้มลงไป ดีที่นักมวยหนุ่มๆ รีบเข้าประคองร่างของเจ้าของค่ายมวยได้ทันควัน เขาจึงไม่ได้ล้มลงไปบนพื้นของโรงพยาบาล เมื่อได้สติอรุณจึงเข้าไปดูร่างของบุตรสาว น้ำตาของลูกผู้ชายไหลลงมาอาบแก้ม เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าบุตรสาวของเขาจะมีอายุสั้นถึงเพียงนี้ เจ้าของกระเป๋าเมื่อรู้ข่าวเธอจึงเดินทางมาขอบคุณและขอโทษอรุณที่ทำให้เขาต้องสูญเสียบุตรสาวเพียงคนเดียวไป อรุณไม่ได้โกรธใคร เขาภูมิใจด้วยซ้ำที่บุตรสาวของเขาจากไปเพราะทำความดีข่าวการเสียชีวิตของนักมวยสาวดาวรุ่งวัยสิบเก้าปี ที่กำลังจะย่างเข้าสู่วัยยี่สิบปีในวันถัดมาถูกตีแผ่ออกไปอย่างรวดเร็ว ข่าวนี้นับเป็นข่าวที่หดหู่ สร้างความเสียใจให้กับแฟนมวยทั้งประเทศและต่างประเทศเป็นอย่างมาก นอกจากเธอจะเป็นนักมวยที่มีฝีมือและชื่อเส
อมิตาหลับไปจากอาการอ่อนเพลียที่ยังคงมีอยู่ เธอยังคงมีความหวังว่าตื่นขึ้นมาแล้วเธอจะสามารถกลับไปยังโลกเดิม โลกที่เธอจากมา หากเธอยังไม่ตายจากโลกนั้นจริงๆ แต่ถ้าหากเธอตายแล้ว เธอก็จะขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ในร่างของเด็กสาวผู้อ่อนแอผู้นี้ ภาษาการพูดการฟังเธอสามารถรับฟังและพูดภาษาของคนที่นี่ได้ออกมาอัตโนมัติ ราวกับว่าเป็นคนที่อยู่เมืองแห่งนี้มานานอย่างไรอย่างนั้น นั่นอาจจะเป็นผลพลอยได้จากเจ้าของร่างนี้ที่ทิ้งความเคียดแค้นเอาไว้ให้เธอ เพื่อทวงคืนความยุติธรรมและนำร่างนี้ทำความดีต่อไป“คุณหนู… เมื่อไหร่จะตื่นเสียทีล่ะเจ้าคะ บ่าวรอคุณหนูตื่นมาคุยกับบ่าวตั้งนานแล้วนะเจ้าคะ ท่านแม่ของคุณหนูก็รอคุณหนูอยู่ รีบตื่นขึ้นมาเถอะเจ้าค่ะ” เสี่ยวเอ๋อร้องเรียกคุณหนูห้าอยู่ที่ข้างเตียง ถึงแม้ท่านหมอจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ทว่านางเองก็ไม่ยอมวางใจ“ขอน้ำหน่อย…” เปลือกตาบางที่เปิดออกพร้อมกับริมฝีปากที่แห้งผาก“คุณหนู!!!! คุณหนูฟื้นแล้ว!!! นี่เจ้าค่ะน้ำ” เสี่ยวเอ๋อรีบประคองคุณหนูห้าขึ้นมาแล้วนำน้ำในถ้วยชาให้เธอดื่ม“แค่กๆๆ” อม
“ไม่เป็นอันใดมากก็ดีแล้ว ต่อจากนี้เจ้าก็ดูแลตัวเองให้ดีๆ อย่าไปเดินใกล้น้ำอีก เข้าใจไหม” หลินฮูหยินเอ่ยออกมาอย่างมีเมตตา“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ลูกขอขอบพระคุณในความกรุณาของท่านพ่อกับแม่ใหญ่ด้วยนะเจ้าคะ” อมิตาในร่างหลินซูเหมยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนอบน้อมหลินฮูหยินไม่เคยถือสาหาความกับเด็กสาวเพราะนางป่วยมาตั้งแต่เด็กๆ การที่นางไม่ได้ไปคารวะตนเองที่เรือนใหญ่ในทุกๆ เช้าก็เป็นเพราะนางป่วยกระออดกระแอดมาตั้งแต่เกิด นับได้ว่าเป็นบุตรีในจวนที่มีชะตาชีวิตน่าสงสารที่สุด“เช่นนั้น เจ้าพักผ่อนเถอะเหมยเอ๋อ พ่อกับแม่ใหญ่กลับเรือนก่อนล่ะ หากรู้สึกไม่ดีหรือไม่สบายตรงไหนเจ้าให้คนไปตามท่านหมอหวงมาดูอาการลูกห้าด้วยนะซูฉี” เจ้ากรมการกลาโหมบอกบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนที่จะหันไปสั่งอนุภรรยาของตน“เจ้าค่ะท่านพี่” อนุซูฉีตอบสามีก่อนที่เธอจะคำนับส่งเขาและหลินฮูหยิน“พี่กลับเรือนก่อนหนา หากเจ้ารู้สึกดีขึ้นก็ไปหาพี่ที่เรือนได้ อีกไม่นานพี่ก็จะออกเรือนแล้ว”คุณหนูรองบอกน้องสาวต่างมารดา อมิตาดูพี่สาวผู้นี้น่
จวนเจ้ากรมการกลาโหมที่เรือนรับรอง วันนี้มีการต้อนรับตระกูลโจวของเสนาบดีกรมยุติธรรมที่กำลังจะเกี่ยวดองกันในเร็ววันนี้ โจวถิงหลาน บัณฑิตหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มีใบหน้าหล่อเหลาซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลโจว เขาดูเหมาะสมกับบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเจ้ากรมการกลาโหมอย่างหลินเยว่หรูยิ่งนัก ชายหญิงทั้งสองนั่งเคียงข้างกันดูเหมาะสมราวกับคู่ที่ฟ้าดินสร้างมา“อีกสองเดือนเราสองตระกูลก็จะเกี่ยวดองกันแล้ว ข้าล่ะดีใจยิ่งนัก”เจ้ากรมการกลาโหมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี แววตาที่มองไปยังสองหนุ่มสาวนั้นล้วนแล้วแต่แสดงออกว่ามีความสุขที่บุตรสาวคนรองของตนกำลังจะได้ออกเรือนไปกับผู้ชายดีๆ“ข้าก็ดีใจ และรู้สึกยินดีเช่นเดียวกันกับท่านใต้เท้า” โจวถิงเหวิน เสนาบดีกรมยุติธรรมเอ่ยออกมา“แล้วบุตรชายคนโตของท่านล่ะ วันนี้เขามิได้กลับจวนหรอกหรือ”“ช่วงนี้หลินชูจ้านไม่ว่างน่ะ เห็นบอกว่ามีงานที่ต้องทำให้เสร็จก่อนกลับมาเยี่ยมจวน ส่วนลูกสามของข้าก็ไม่ว่างเช่นกัน เขาก็ยุ่งอยู่กับงานไม่ต่างจากพี่ใหญ่ของเขา”หลินหยางตอบด้วยน้ำเสียงภาค
หลังจากกลับจากเรือนใหญ่หลินจินหรูก็เอาแต่กรีดร้องออกมาด้วยความคับแค้นใจ คนที่นางไม่อยากเห็นหน้า คนที่นางหวังอยากให้ตายกลับมาแข็งแรง มีชีวิตที่น่าอิจฉา ใครๆ ต่างก็เอ็นดู ต่างจากนางที่ไร้ผู้ใดมาสนใจ แม้แต่ท่านพ่อก็ยังไม่สนใจนางเท่านางเด็กต่ำต้อยนั่น“คุณหนูสี่ของพวกเจ้าเป็นอันใดไป เหตุใดถึงเอาแต่กรีดร้องเสียงดังเช่นนั้น" อนุจินหรงเอ่ยถามสองสาวรับใช้ของบุตรสาวที่เดินวนไปวนมาอยู่ที่หน้าห้อง“นายหญิงเล็ก… คือคุณหนูห้าน่ะเจ้าค่ะ วันนี้ไม่รู้เป็นอันใดนางถึงได้ลุกขึ้นมาไปคารวะนายท่านกับนายหญิงใหญ่ได้ นางดูแข็งแรงขึ้นมากกว่าแต่ก่อนอีกเจ้าค่ะ” หุ้ยฉิน สาวใช้คนสนิทของหลินจินหรูรีบรายงานออกมา“นังเด็กนั่นยังกลับมาแข็งแรงได้อีกอย่างนั้นหรือเนี่ย ข้านึกว่านางจะถึงแก่ชีวิตไปแล้ว” น้ำเสียงตกใจของอนุจินดังขึ้นแต่ทว่าไม่ดังมากนักเพราะเกรงว่าจะมีใครมาได้ยิน“ราวกับเป็นคนล่ะคนเลยล่ะเจ้าค่ะ คุณหนูห้าในตอนนี้นางดูเหมือนกับว่าไม่เคยเป็นคนเจ็บป่วยมาก่อนอย่างไรอย่างนั้นเลยเจ้าค่ะ” รูอี้สาวใช้อีกนางของหลินจินหรูรีบบอกนายหญิงเล็ก
เทศกาลโคมไฟวันหยวนเซียว*ของเมืองหนานอันเพิ่งเริ่มขึ้นวันนี้วันแรก หลินเยว่หรูจึงได้ชักชวนน้องสาวทั้งสองให้ออกไปเที่ยวกับนางด้วย สร้างความดีใจให้กับหลินจินหรูเป็นอย่างมาก ส่วนหลินซูเหมยก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นกันเพราะเจ้าของร่างเดิมที่นางมาเกิดใหม่นี้ไม่เคยก้าวเท้าออกจากจวนแห่งนี้เลยสักครั้ง ครั้งนี้ก็ถือเป็นโอกาสดีที่นางจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาและดูโลกแห่งความเป็นจริงว่ามันต่างจากที่เธอรับรู้มาอย่างไร“เหมยเอ๋อ…. อย่าดื้ออย่าซนนะลูก คอยติดตามคุณหนูรองนางให้ดีๆ อย่าอยู่ห่างจากนางเด็ดขาด” อนุซูฉีบอกบุตรสาวเพียงคนเดียวด้วยความเป็นห่วง วันนี้จะเป็นครั้งแรกที่บุตรสาวออกไปเที่ยวนอกจวน“เจ้าค่ะท่านแม่ ข้าจะติดตามพี่หญิงรองไม่ให้ห่างเลยเจ้าค่ะ”น้ำเสียงสดใสที่ดังมาจากริมฝีปากอิ่มของบุตรสาวทำให้นางฉีกยิ้มออกมาก่อนที่จะหันไปสั่งสาวรับใช้ข้างกายของบุตรสาว“เสี่ยวเอ๋อ… ดูแลคุณหนูห้าด้วยนะ อย่าละสายตาไปจากนางเด็ดขาด”“เจ้าค่ะ… นายหญิงเล็ก บ่าวจะดูแลคุณหนูห้าให้ดี ไม่ให้คาดสายตาเลยเจ้าค่ะ” นี่ก็เป็นค
หลังจากเดินไปหยุดอยู่ที่โรงเตี๊ยมเพื่อพักเท้า หลินจินหรูก็ออกอุบายเพื่อแยกพี่รองกับน้องห้าออกจากกัน และก็เป็นไปตามที่นางต้องการ เพราะว่าที่พี่เขยอย่างบัณฑิตโจวนั้นมาชักชวนพี่รองอย่างหลินเยว่หรูไปเที่ยวชมงานพอดี แม้หลินเยว่หรูนางจะไม่อยากทิ้งน้องห้าเอาไว้กับน้องสี่ แต่ก็เพราะเห็นแก่หน้าว่าที่สามีในอนาคตนางจึงต้องตัดสินใจไปกับเขา แต่ทว่าก่อนแยกกัน หลินเยว่หรูไม่ลืมที่จะสั่งให้เสี่ยวเอ๋อดูแลน้องห้าของนางให้ดีๆ ซึ่งสาวรับใช้คนสนิทของน้องสาวก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะทำให้นางรู้สึกวางใจขึ้นมาอีกเปราะนึง“น้องหญิงห้า พี่สี่ว่าเราไปดูพลุที่ริมน้ำกันเถิดหนา เอ… หรือเจ้ากลัวน้ำจนมิกล้าเดินไปใกล้” คุณหนูสี่นางเอ่ยชวนหลินซูเหมยออกมาขณะที่ผู้เป็นพี่สาวเดินจากไปเสี่ยวเอ๋อพยายามสะกิดแขนเตือนให้คุณหนูห้าของนางหลีกเลี่ยง แต่ทว่าหลินซูเหมยกลับตอบรับคำชวนของอีกฝ่ายโดยง่าย เด็กรับใช้คนสนิทอย่างนางจึงต้องตามติดคุณหนูเพื่อไม่ให้เกิดอันตราย นางรู้ดีว่าคุณหนูสี่นั้นไม่ได้คิดหวังดีต่อคุณหนูของนางหญิงงามสองนางเดินนำหน้าสาวรับใช้ทั้งสามออกไป มีชายหนุ่มมากมายอยู่ไม่น้อย
หลังจากกลับมาถึงจวน หลินหยางและหลินฮูหยินก็ให้บ่าวรับใช้ที่เป็นชายออกไปตามท่านหมอหวงมาดูอาการของหลินจินหรูที่ตกน้ำไป เพื่อไม่ให้มีอาการเจ็บป่วยขึ้นมาในภายหลัง อนุจินหรงพอรู้ว่าบุตรสาวและบ่าวรับใช้ทำแผนการล้มเหลว แถมยังพลาดท่าเป็นฝ่ายตกน้ำไปเสียเองก็รู้สึกขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย“เหตุใดเจ้าถึงไม่ระวังเลย แล้วนี่มีผู้ใดจับได้ไหมว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ”อนุจินหรงบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายใจ หากมีคนจับได้ว่าที่บุตรสาวของนางตกน้ำไปครั้งนี้เพราะไม่ใช่อุบัติเหตุแล้วล่ะก็ งานนี้แม้แต่เงาหัวก็คงไม่เหลือให้มองเห็น“โถ่….ท่านแม่ ท่านพ่อสนใจข้าที่ไหนกัน มัวแต่สนใจนังลูกคนชั้นต่ำนั่น”หลินจินหรูกล่าวออกมาอย่างขุ่นเคืองใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เรื่องที่นางคาดหวังว่าจะให้เกิดขึ้นกับคนที่นางเกลียดชังในวันนี้กลับกลายเป็นว่านางต้องมาตกอยู่ในสภาพยกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับขาตัวเอง“ชูว…. เบาๆ หน่อยลูกหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง” อนุฉินรีบยกมือขึ้นมาปิดปากบุตรสาวของนาง“ไหนแม่ดูสิ รูอี้!! หุ้ยฉ
หลังรับประทานอาหารเย็นร่วมกันเสร็จ อนุซูฉีจึงเอ่ยขอตัวกลับเรือนก่อน นางเจียมตัวและรู้ดีว่าที่นี่มิใช่ที่ของนาง หลินซูเหมย แม่ทัพฟางเซี่ยหมินและบุตรชายที่กำลังจะติดตามมารดาของนางไปนอนค้างที่เรือนก็ต้องชะงักเท้าเมื่อหลินจินหรู หรือพี่สี่ร้องเรียกนางเอาไว้ หลินซูเหมยจึงบอกให้มารดาพาหลานและท่านแม่ทัพกลับไปเรือนก่อนแล้วนางจะตามไป มีเพียงมู่หลันที่ต้องอยู่กับนายหญิงเพื่อคอยดูแลนาง“พี่ขอคุยกับเจ้าสักประเดี๋ยว”หลินซูเหมยจึงบอกให้มู่หลันหลบไปให้ห่างๆ เพราะเท่าที่ดูพี่หญิงสี่ผู้นี้คงจะมีเรื่องสำคัญอยากที่จะคุยกับนาง เมื่อสาวรับใช้ของทั้งสองเดินหลบไปยืนอยู่ไกลๆแล้ว สตรีทั้งสองจึงยืนประจันหน้ากันอยู่ตามลำพัง แววตาที่เคยอิจฉาริษยาของพี่สาวผู้นี้ดูเปลี่ยนไป“ที่ผ่านมาพี่ขออภัยต่อเจ้าด้วย ตอนนั้นพี่อาจจะยังเด็กจึงยังตีความหมายของคำว่ารักไม่เข้าใจ ตอนนั้นพี่เข้าใจว่าท่านพ่อรักเจ้า ท่านพี่หญิงรองเอ็นดูเจ้า พี่เข้าใจว่าเจ้าแย่งความรักจากพวกเขาไป แต่พอพี่เสียท่านแม่ไป พี่ถึงได้รู้ว่าความอิจฉาริษยาที่พี่มีต่อเจ้าในอดีตทำให้ท่านแม่ของพี่ต้องมาทำผิดเพื่อพี่จนมีจุด
หลังจากงานแต่งงานของฟางเซี่ยฉินผ่านพ้นไป ฟางเซี่ยหมินจึงพาภรรยาและบุตรชายไปพักที่จวนสกุลหลินต่อ เพราะตอนที่เดินทางมานั้นยังไม่ได้แวะคารวะบิดามารดาของภรรยาเลย ด้วยภาระหน้าที่ตำแหน่งแม่ทัพที่ต้องแบกรับจึงมิอาจสามารถกลับมาเยี่ยมทั้งสองครอบครัวได้บ่อยๆ เมื่อคำนับลาใต้เท้าฟางกับฟางฮูหยินแล้ว รถม้าของจวนแม่ทัพทิศเหนือจึงมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลหลินณ ยามนี้ที่ด้านหน้าจวนมีรถม้าจากจวนสกุลโจวและรถม้าจากจวนสกุลซื่อมาจอดอยู่ก่อนหน้าแล้ว เมื่อสองสามีภรรยาพร้อมกับลูกชายตัวน้อยเดินทางมาถึงจึงได้พบกับพี่สาวทั้งสองนางของหลินซูเหมย แม้แรกๆ หลินจินหรูจะรู้สึกไม่ดีที่ได้พบเจอน้องห้าที่มิได้พบเจอกันมานาน แต่นางก็เริ่มที่จะปล่อยวางเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมิได้ติดใจเอาความเรื่องราวในอดีตแต่อย่างใด“คารวะท่านพ่อตา ท่านแม่ยายขอรับ”“คารวะท่านพ่อท่านแม่ใหญ่เจ้าค่ะ” สองสามีภรรยาที่เพิ่งเดินทางมาถึงเข้าไปคำนับผู้ใหญ่ทั้งสอง“ตามสบายเขยห้า เหมยเอ๋อร์ นั่นใช่เหวินเอ๋อร์ใช่หรือไม่"ใต้เท้าหลินยิ้มแย้มก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อเห็นเด็กชายตัวน้อยที่ยืนเขินอ
“จ้านเอ๋อร์ ดูน้องด้วยนะลูก” สะใภ้ใหญ่เอ่ยขึ้นบ้าง“เพิ่งจะขวบกว่าๆ แต่ซนนักเจ้าค่ะ” หลินซูเหมยเอ่ยออกมาพลางยกน้ำชาขึ้นมาจิบ เสี่ยวเอ๋อมิได้ติดตามนางมาด้วยเพราะว่ากำลังตั้งครรภ์ นางจึงให้มู่หลันติดตามนางกับแม่นมฉวนที่กลับมาอยู่ที่จวนแม่ทัพเช่นเดิม“สายเลือดนักรบแรงกล้า เจ้าคงต้องทำใจแล้วล่ะน้องสะใภ้สาม” พี่สะใภ้รองขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม“นั่นน่ะสิเจ้าคะ พวกบ่าวในเรือนช่วยกันวิ่งตามจับแทบจะไม่ทัน” หลินซูเหมยเห็นด้วย บุตรชายของนางผู้นี้ช่างมีพลังเยอะเหลือล้น เขาวิ่งเล่นจนบ่าวในเรือนพากันเหน็ดเหนื่อยที่ต้องคอยวิ่งตามระแวดระวังความปลอดภัยให้กับคุณชายน้อยสตรีทั้งสามนั่งพูดคุยกันขณะที่สายตาก็จ้องมองบุตรของพวกตนไปด้วย ฟางเซี่ยฉินที่เตรียมตัวจะออกเรือนในวันพรุ่งนี้เดินเข้ามาหาพี่สะใภ้ทั้งสามกับหลานๆ ที่สวนดอกไม้แห่งนี้ นางตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก จึงอยากจะมาขอคำปรึกษาพี่สะใภ้ซึ่งล้วนแต่เป็นสตรีด้วยกันทั้งสาม“คารวะพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง พี่สะใภ้สามเจ้าค่ะ” เจ้าของเรือนร่างงามคำนับสตรีทั้งสามที่กำล
ในขณะที่ท่านแม่ทัพอดหลับอดนอนเพื่อดูแลภรรยาที่นอนหลับไปสามวันสามคืน นิ้วมือของเจ้าของร่างอวบอิ่มก็เริ่มขยับจนคนที่กุมเอาไว้รู้สึกไปด้วย เขาลุกขึ้นก่อนที่จะเรียกท่านหมอที่เขาเชิญให้อยู่ดูอาการให้ภรรยาของเขาตั้งแต่วันแรกที่นางสลบไป“ท่านหมอ… ฮูหยินของข้านางรู้สึกตัวแล้ว รีบมาตรวจดูอาการของนางเร็วเข้า”ท่านหมอชุนรีบเข้ามาในห้องนอนของท่านแม่ทัพ ก่อนที่จะลงมือจับชีพจรของฮูหยิน เป็นปกติ นางรอดพ้นเงื้อมมือของมัจจุราชมาได้แล้ว“รายงานท่านแม่ทัพ อาการของนายหญิงตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วขอรับ นางปลอดภัยแล้วขอรับ” หมอหลวงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี ท่านแม่ทัพรีบปรี่เข้าไปหาภรรยาก่อนที่จะจับมือนางมากุมเอาไว้“น้องหญิง… ตื่นเถิด พี่กับลูกรอเจ้านานแล้วนะ แม่นมฉวน พาเหวินเอ๋อร์มาหาข้าทีเถิด ข้าจะให้เขาได้ปลุกแม่ของเขา ให้นางตื่นขึ้นมาให้นมเขาเองเสียที”แม่นมฉวนน้ำตาคลอเมื่อรู้ว่านายหญิงปลอดภัยแล้ว นางรีบอุ้มคุณชายน้อยมาส่งให้กับคุณชายสาม เขารับร่างเล็กที่นอนมองหน้าเขาตาแป๋วมาอุ้มเอาไว้พลางนำมือของภรรยามาวางไว้บนมือของลูกน
หมอตำแยจัดการทำความสะอาดและดูแลแผลให้กับนาง พร้อมกับพาคุณชายน้อยมารับน้ำนมจากถันงามของฮูหยิน ทารกน้อยดูดกลืนน้ำนมจากเต้างามของมารดา หลินซูเหมยสลบไปแล้วจึงมิได้รับรู้ว่าบุตรชายตัวน้อยของนางนั้นหน้าตาน่ารักน่าชังขนาดไหน“ท่านแม่ทัพ ได้คุณชายน้อยเจ้าค่ะ"มู่หลันออกมารายงาน แม่นมฉวนอุ้มทารกน้อยในห่อผ้าออกมาหลังจากที่คุณชายน้อยดูดนมจากอกของนายหญิงจนอิ่มแล้ว“ลูกพ่อ…” เขารับมาอุ้มก่อนที่จะกดจมูกโด่งลงบนหน้าผากเล็กของบุตรชาย“คุณชายสาม ตั้งชื่อคุณชายน้อยไว้หรือยังเจ้าคะ” แม่นมฉวนเอ่ยถามคุณชายของตนยิ้มๆ“ฟางเซี่ยเหวิน เขามีชื่อว่า ฟางเซี่ยเหวิน” คนที่ได้เป็นพ่อหมาดๆ ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“แล้วฮูหยินล่ะ นางเป็นเช่นไรบ้าง” เขาไม่ลืมที่จะเอ่ยถามถึงภรรยา“ฮูหยินสลบไปหลังจากคลอดคุณชายน้อยเจ้าค่ะ อาจจะเพราะความอ่อนเพลีย นางจึงยังไม่รู้สึกตัว” หมอตำแยที่เดินออกจากห้องนอนที่เพิ่งทำคลอดให้กับคุณชายน้อยตอบออกมา“สลบเช่นนั้นหรือ นี่เป็นเรื่องปกติหรือไม่”
ความสุขเกิดขึ้นหลังจากสงครามสงบ หนึ่งเดือนให้หลังตงหลงกับเสี่ยวเอ๋อก็ได้แต่งงานกัน แต่ทว่าทั้งสองก็ยังคงอยู่รับใช้ท่านแม่ทัพและนายหญิงใหญ่ที่จวนแม่ทัพทิศเหนือไม่ได้พากันย้ายออกไปไหน แม่นมฉวน แม่นมของแม่ทัพฟางเซี่ยหมินได้เดินทางมาคอยดูแลนายหญิงที่จวนแม่ทัพที่เมืองหนานถิงหลังจากอายุครรภ์ของนายหญิงใหญ่เริ่มมากขึ้น เพราะสาวรับใช้ที่อยู่ที่จวนแห่งนี้มีแต่สาวแรกรุ่นกับคนที่มิเคยผ่านการดูแลเด็กมาก่อน“นายหญิง… ช้าๆ หน่อยเจ้าค่ะ” แม่นมฉวนที่พยุงเรือนร่างอวบอิ่มของนายหญิงเอ่ยออกมา“โถ่…แม่นมฉวน ข้ามิเป็นอันใดหรอกนะ นี่เพิ่งจะห้าเดือนเอง ยังอีกนาน” ฮูหยินแม่ทัพยิ้มก่อนที่จะเอ่ยออกมาเมื่อเห็นแม่นมของสามีแสดงอาการห่วงใยจนเกินเหตุ“ถึงแบบนั้นก็เถอะเจ้าค่ะ นายหญิงต้องดูแลตัวเองดีๆ นะเจ้าคะ ท่านแม่ทัพท่านจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” แม่นมฉวนเอ่ยออกมาประคองนายหญิงไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวที่อยู่ริมหน้าต่าง“นายหญิงหิวหรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวเอ๋อเอ่ยถามนายหญิงออกมา“อืม… อยากกินขนมกุ้ยฮวา” น้ำเสียง
ทหารจากกองทัพหนานอันที่เดินทางมาเป็นกองหนุนให้กับกองทัพทิศเหนือเดินทางกลับเมืองหนานอันทันทีที่ท่านแม่ทัพทิศเหนือเดินทางกลับมาถึงเมืองหนานถิง ข่าวเรื่องการทำคุณงามความดีของฮูหยินแม่ทัพทิศเหนือที่ได้จัดตั้งศูนย์พักพิงและแจกอาหารให้แก่ชาวเมืองซาย่าที่ลี้ภัยมาช่วงสงครามถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งแคว้นต้าตง ใต้เท้าหลินถูกชื่นชมจากเหล่าขุนนาง ถึงเรื่องที่บุตรีสร้างผลงานให้แก่บ้านเมืองมิต่างจากผู้เป็นสามี“ท่านเลี้ยงดูบุตรีได้ดียิ่งนักท่านใต้เท้าหลิน ได้บุตรเขยก็ดี เป็นแม่ทัพทิศเหนือที่เก่งกาจ” ใต้เท้าหยวน ขุนนางในเมืองหนานอันเอ่ยชมใต้เท้าหลินออกมา“ขอบคุณ ขอบคุณ เรื่องสามีของนางก็เป็นวาสนาของนางเอง ข้าก็เลยได้หน้าไปด้วย” เขาบอกออกมาอย่างถ่อมตน เขามิเคยโอ้อวดว่าบุตรเขยนั้นเป็นถึงแม่ทัพ“ท่านก็ช่างถ่อมตนยิ่งนัก”เสียงหัวเราะจากเหล่าขุนนางดังออกมา หลังจากนี้แคว้นต้าตงคงจะมีแค่ความสงบสุข เพราะมิว่าศัตรูจะมารุกรานทิศใด แม่ทัพของทิศนั้นก็สามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี“อีกเรื่องข้าขอแสดงความยินดีกับท่านด้วยนะ เรื่องที่บุตรีขอ
กองทัพฝั่งศัตรูรีรอที่จะตีเมืองซาย่าเพราะรอทหารที่แอบลอบเข้าไปในเมืองหนานถิงเพื่อจับฮูหยินของแม่ทัพทิศเหนือมาเป็นตัวประกันเพื่อให้อีกฝ่ายยอมวางอาวุธและให้พวกเขายึดเมืองแต่โดยดี รออยู่นานเกือบสัปดาห์จนเสบียงร่อยหรอก็ยังมิมีผู้ใดกลับออกมา แม่ทัพของแคว้นต้าเฉวียนจึงมิอาจรีรอได้อีก เพราะยิ่งรอนานกองทัพทหารของเขาก็ยิ่งเสียเปรียบ แถมเส้นทางการส่งเสบียงมาให้กองทัพยังมีพวกโจรที่แอบอาศัยอยู่ในเมืองฉงหนานปล้นเสบียงจนทำให้กองทัพเสบียงเดินทางมาไม่ถึงชายแดนอีก เรียกได้ว่าศึกในยังไม่สงบแต่ฮ่องเต้ของแคว้นก็อยากจะสร้างศึกนอกเสียแล้วแม่ทัพของแคว้นฉงหนานส่งสัญญาณให้เหล่าทหารเตรียมพร้อม เสียงเป่าแตรที่เป็นสัญญาณออกรบดังขึ้น กองทัพธนูจึงเดินนำหน้าไปก่อน ต่อด้วยกองทัพเดินเท้าและทหารม้าเรียงหน้ากระดานเข้าไปใกล้เขตเชื่อมต่อของเมืองฉงหนานและเมืองซาย่า แม่ทัพฟางเซี่ยหมินจึงเตรียมส่งสัญญาณให้ทหารที่ไปรออยู่ที่ฝายเก็บน้ำแล้วเตรียมปล่อยน้ำออกมาเช่นกัน และเมื่อกองทัพฝั่งศัตรูกำลังพากันเดินลงมาในเส้นทางน้ำ พลุที่นายทหารเตรียมไว้ก็ถูกจุดทันทีที่ท่านแม่ทัพทิศเหนือทำสัญญาณมือเหล่าทหารกล้าของกองทัพหน
กองทัพทหารนับสามหมื่นนาย ซึ่งนำทัพโดยท่านแม่ทัพฟางเซี่ยหมิน แม่ทัพทิศเหนือผู้องอาจน่าเกรงขาม ที่มิว่าจะเยือนสนามรบใด ศีรษะของศัตรูมักจะถูกบั่นออกจากคอทุกครั้งไป เขาใช้เวลานำทัพเดินทางไปถึงเมืองซาย่าจากเมืองหนานถิงนานถึงสามวันสามคืน ระหว่างทางพบเจอกับชาวเมืองที่อพยพทิ้งเมืองมาเพราะความหวาดกลัว เป็นภาพที่เขาเห็นทีไรก็รู้สึกเจ็บปวดใจ สงครามมิเคยนำความสงบสุขมาให้แก่ผู้ใด มีสงครามที่ใดก็มีแต่การนองเลือดและการสูญเสียบุคคลที่รัก“สถานการณ์ด้านนอกประตูเมือง กองทัพของแคว้นต้าเฉวียนอยู่ห่างจากเมืองออกไปประมาณสองหมื่นลี้ มีทหารร่วมทัพมาราวๆ สามถึงห้าหมื่นนาย” แม่ทัพภาคเข้ามารายงานต่อท่านแม่ทัพทิศเหนือที่ยืนสูงสง่าอยู่ด้านหน้าสุดบนกำแพงเมืองซาย่า“ข้ารู้มาว่าเขตแดนระหว่างเมืองซาย่ากับเมืองฉงหนานของแคว้นต้าเฉวียนมีแม่น้ำตัดผ่านใช่หรือไม่” เสียงเข้มของท่านแม่ทัพหนุ่มดังขึ้น“ใช่แล้วขอรับ แต่ตอนนี้น้ำในแม่น้ำนั้นแห้งขอด จึงไม่มีน้ำไหลผ่านมาขวางทางทหารเหล่านั้นแล้วขอรับ” แม่ทัพภาคตอบตามความจริง“แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าเรามีฝายกั