เสียงเนื้อกระทบกับกระสอบทรายดังขึ้นมาไม่ขาดสาย ค่ายมวยที่เต็มไปด้วยนักมวยชายรูปร่างกำยำกำลังฝึกซ้อมมวยกันอยู่อย่างขะมักเขม้น รวมไปถึงร่างเล็กแต่กำยำของหญิงสาวที่มีใบหน้าสะสวยกำลังซ้อมอยู่กับคู่ซ้อมที่เป็นชายอยู่อย่างไม่เกรงกลัว ท่าทางออกหมัด เท้า เข่า ศอกของเธอเป็นไปอย่างชำนาญ อีกทั้งยังหลบหลีกคู่ต่อสู้ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว
เสียงระฆังดังเตือนหมดยกจากข้างเวทีมวย ร่างบางจึงเดินกลับไปทิ้งตัวลงที่เก้าอี้พักผ่อนของเธอ อมิตายกขวดน้ำเกลือแร่ขึ้นมาดื่ม ก่อนที่จะหยิบผ้าเย็นที่พี่เลี้ยงเตรียมเอาไว้ให้ขึ้นมาเช็ดเหงื่อ
“อีกตั้งหลายเดือนกว่าจะได้แข่งอีก พี่ต้าทำไมซ้อมหนักจัง” ไข่หวานนักมวยสาวสมัครเล่นภายในค่ายมวยอรุณรุ่งแห่งนี้เอ่ยถามไอดอลของเธอออกมา
“ก็เพราะการรักษาแชมป์พี่จึงต้องฝึกให้ร่างกายพร้อมและตื่นตัวอยู่เสมอไง” ต้า นางฟ้าเอเชียหรือ อมิตานักมวยคนสวยตอบรุ่นน้องด้วยรอยยิ้ม
“อนาคตข้างหน้า หากไข่หวานได้ก้าวขึ้นสังเวียน ไข่หวานต้องจำเอาไว้ให้ดีว่าการเป็นแชมป์มันไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการรักษาแชมป์ เข้าใจไหม” อมิตาบอกรุ่นน้องสาวก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินไปกลางเวที
นวมของเธอชนกับนวมของคู่ซ้อมอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะแลกอาวุธกันอย่างดุเดือดแบบไม่มีใครยอมใคร เสียงเชียร์จากลูกศิษย์ของเจ้าของค่าย รวมไปถึงนักมวยของค่ายดังไปทั่วทั้งค่ายมวย นายอรุณมองบุตรสาวอยู่ไกลๆ ด้วยสายตาแห่งความภูมิใจ กว่าอมิตาจะมีวันนี้มันไม่ง่ายเลย แต่ทุกอย่างก็เป็นไปได้เพียงเพราะเธออดทนและพยายามฟันฝ่าทุกอุปสรรคที่เข้ามา
นักมวยหนุ่มพ่ายแพ้ให้กับชั้นเชิงการหลบหลีกที่เหนือกว่า และหมัดกับเข่าที่เน้นหนักจนเขาต้องยอมรับเลยว่า สมแล้วกับแชมป์ที่เธอได้รับ ดีที่ว่าเธอไม่น๊อคเขากลางอากาศอย่างเช่นคู่แข่งคนอื่น
"พี่ว่าผู้ท้าชิงรอบหน้าน๊อคตั้งแต่ยกแรกแน่ๆ ฮ่าๆ" นักมวยหนุ่มรุ่นพี่เอ่ยขึ้น
"หึๆ พี่ก็พูดเกินไป รอบหน้าหนูอาจจะพลาดก็ได้" อมิตาบอกพร้อมกับหัวเราะออกมา นักมวยรุ่นพี่กับรุ่นน้องถึงกับปรามออกมา
"พูดอะไรแบบนั้นต้า ยังไงแกก็ทำได้อยู่แล้ว พี่ว่าอนาคตแชมป์โลกไม่ไกลแน่นอน"
“นั่นสิ! พี่ก็คิดเหมือนกันว่าต้าเป็นนักมวยอนาคตไกล” พี่เลี้ยงนักมวยที่เป็นคนดูแลนักมวยสาวมาตั้งแต่ขึ้นสังเวียนชกครั้งแรกเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ
“โอเค อาทิตย์หน้าวันเกิดต้าแล้ว ขอเชิญพี่ๆ น้องๆ ทุกคนมาร่วมงานด้วยนะ” นักมวยสาวบอกขณะที่ลุกขึ้นยืน
“ได้เลย” ทุกคนเอ่ยออกมาพร้อมกัน ต้า หรืออมิตาจึงเดินมุดเชือกแล้วลงจากเวทีฝึกซ้อมมวยของบิดา
เธอเดินจากไปท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองตามไปด้วยความชื่นชม อมิตาเป็นนักมวยหญิงที่เก่งจนหาตัวจับยากในปัจจุบัน ไม่เพียงศิลปะแม่ไม้มวยไทยเท่านั้น เรียกได้ว่าศิลปะการต่อสู้ทุกอย่างเธอเก่งหมด แต่ถ้าถนัดและชื่นชอบจริงๆ คงต้องยกให้การชกมวยเป็นลำดับแรก
"เห้ย!!"
จู่ๆ รุ่นน้องในค่ายก็อุทานออกมาเสียงดังพร้อมกับแสดงท่าทางตกใจราวกับมองเห็นบางสิ่งบางอย่างเบื้องหน้าที่ทำให้เกิดอาการแบบนั้น
"ไอ้บอส เป็นอะไรของมึงวะ ร้องซะเสียงดัง กูสะดุ้งหมดไอ้เด็กนี่"
"พ่ะ...พ่ะ... พวกพี่ไม่เห็นกันเหรอ" เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ราวกับกำลังเสียขวัญ
"เห็น... เห็นอะไรของมึง กูก็เห็นน้องต้าเดินกลับบ้านเธอไปปกติ" รุ่นพี่เอ่ยถามออกมาอย่างงุนงง
"ป่ะ...ผม ผม เห็น.... เห็น"
"เห็นอะไรของมึง พูดดีๆ นะ ถ้าโจ๊กใส่พวกกู มึงโดนอัดแทนกระสอบทรายแน่" นักมวยรุ่นพี่คนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ผ่ะ…ผม เห็นพี่ต้า… เห็นพี่ต้า” รุ่นน้องชื่อบอสเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ พร้อมทั้งขยี้เปลือกตาของตนอีกครั้ง
“เออ…กูรู้แล้ว กูก็เห็นน้องต้าเพิ่งเดินไป ไอ้นี่!!! จะโวยวายทำเพื่อ!!!”
นักมวยรุ่นพี่ตะคอกใส่รุ่นน้องที่ชื่อบอสเสียงดังก่อนที่จะตบหัวเด็กหนุ่มไปหนึ่งทีแล้วแยกย้ายกันไปฝึกซ้อมต่อ บอสไม่กล้าพูดเรื่องที่เขามองเห็นเมื่อสักครู่ออกมา เขากลัวว่าถ้าพูดไปแล้วจะทำให้ทุกคนรู้สึกไม่ดีและไม่สบายใจไปด้วย เขาจึงเลือกที่จะไม่พูดมัน ว่าเขามองเห็นนักมวยสาวดาวรุ่งที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการมวยอย่าง พี่ต้า นางฟ้ามวยไทยไม่มีศีรษะ เด็กหนุ่มยกแขนขึ้นมาก็พบว่าขนของเขาลุกชัน ถึงจะเพียงแค่แว๊บเดียวมันก็ทำให้เขารู้สึกใจคอไม่ดี
“พ่อจ๋า… กำลังทำอะไรอยู่จ๊ะ”
ต้า หรืออมิตาเดินเข้ามาภายในบ้านก็มองเห็นบิดานั่งเช็ดถ้วยรางวัลของเธอที่ได้มาจากการแข่งขันชกมวยมาตั้งแต่เด็กจึงเอ่ยถามขึ้น ก่อนที่จะเดินไปนั่งลงข้างๆ ของบิดา
“พ่อกำลังเช็ดถ้วยรางวัลของลูกอยู่น่ะต้า เป็นยังไงซ้อมมวยเหนื่อยไหม”
น้ำเสียงอ่อนโยนดังออกมาจากริมฝีปากหนาของชายวัยสี่สิบ เขาละสายตาจากสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วเงยหน้าขึ้นมองบุตรสาววัยสิบเก้าปีที่เป็นดังตัวแทนความรักของเขาและภรรยา เขาและภรรยาอายุเท่ากันแต่งงานกันตอนอายุยี่สิบปี และมีบุตรสาวเพียงคนเดียวคือต้า หรืออมิตา ภรรยาจากเขาไปในวัยเพียงสามสิบห้าปี
“กำลังคิดถึงแม่อยู่ล่ะสิ” เธอยิ้มบางๆ ออกมา
“อืม…. ความสำเร็จในวันนี้ของลูก เสียดายที่แม่เขาไม่ได้เห็น”
อรุณเอ่ยออกมาน้ำตาซึมเมื่อนึกถึงภรรยาที่ร่วมกันปลุกปั้นนักมวยกันมา รวมไปถึงบุตรสาวที่ภรรยาสนับสนุนให้ชกมวยมาตั้งแต่ห้าขวบ
“พ่อจ๋า.. ต้าเชื่อว่าแม่จะต้องมองเห็น พ่ออย่าเสียใจไปเลยนะจ๊ะ ถึงเราสามคนจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่ยังไงเราก็ยังอยู่ในใจของกันและกันเสมอ ต้าเชื่อว่าแม่กำลังมองมาที่เราสองคนพ่อลูกอย่างมีความสุข และต้าเชื่อว่าแม่ต้องภูมิใจในตัวต้า”
หญิงสาวเมื่อถอดชุดนักมวย ถอดนวมออกนักมวยสาวที่เก่งกาจก็กลายเป็นเพียงบุตรสาวที่น่ารักของบิดาเสมอ อรุณดึงร่างเล็กของบุตรสาวเข้ามาในอ้อมกอด
“ชีวิตของพ่อตอนนี้ก็มีแค่ลูกคนเดียวเท่านั้นที่พ่อเป็นห่วง ถึงลูกจะเก่งกาจขนาดไหน แต่อย่าลืมว่าอย่าใช้ชีวิตประมาท” อรุณบอกบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“จ้ะพ่อ… ต้าจะใช้ชีวิตให้ดีๆ จะไม่ประมาทและจะคิดก่อนทำเสมอ” อมิตาให้คำมั่นสัญญากับบิดา
สองพ่อลูกนั่งช่วยกันเช็ดถ้วยรางวัลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะขอตัวกลับเข้าห้องไปดูซีรีส์จีนที่เธอชื่นชอบ อรุณมองตามร่างบางที่เดินจากไปด้วยสายตาห่วงใย ทั้งชีวิตนี้เขาก็เหลือบุตรสาวเพียงคนเดียวแล้ว มีเพียงเธอที่เขาเป็นห่วงและอยากพาเธอเดินไปบนเส้นทางความฝันให้ได้ไกลที่สุดเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะสามารถทำเพื่อลูกได้
อมิตาเดินเข้าห้องนอนของตนก่อนที่จะตรงไปยังห้องน้ำเพื่ออาบน้ำชำระล้างคราบเหงื่อไคลจากการฝึกซ้อมมวยเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่สวมใส่สบายๆ เสร็จแล้ว ร่างเล็กที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามจึงเดินกลับมายังเตียงนอน เธอเอื้อมมือไปหยิบแทปแล็ตเครื่องบางขึ้นมาแล้วเปิดแอปพลิเคชันเพื่อดูซีรีส์จีนที่ตนชื่นชอบ
“โถ่เว้ย!!! เป็นลูกอนุแล้วยังไงวะ เป็นลูกอนุแล้วไม่ใช่คนหรือยังไงกันวะ”
เสียงหวานสบถออกมาให้กับฉากหนึ่งของซีรีส์จีนที่กำลังดูอยู่ ซีรีส์จีนเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัวของขุนนางที่มีภรรยาหลวงและภรรยาน้อย บุตรของภรรยาน้อยนั้นโดนดูถูกเหยียดหยาม และถูกข่มเหงสารพัด ต่างจากลูกที่เกิดจากภรรยาหลวง การแบ่งชนชั้นในซีรีส์ทำให้เธอรู้สึกโมโหและอินไปกับเนื้อเรื่องด้วย
“ถ้าแม่เป็นนางเอกนะ แม่จะจัดการคนพวกนี้ให้หลาบจำเลย กล้าดียังไงมารังแกนาง คนเขียนบททำไมเขียนให้นางเอกอ่อนแอจังวะหึ่ยๆๆๆ”
เธอยังคงก่นด่าและแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างออกรสออกชาติ เธอปิดแอปพลิเคชันก่อนที่จะวางแทปแล็ตเครื่องบางของตนไว้บนหัวเตียงเช่นเดิม
อารมณ์การดูซีรีส์เรื่องนี้ของเธอหมดไปทันทีที่นางเอกของเรื่องถูกรังแก เธอเอาแต่คิดเล่นๆ อยู่ภายในใจ ถ้าหากเธอเป็นลูกอนุแบบในซีรีส์เธอจะไม่อ่อนแอแบบในซีรีส์เด็ดขาด เธอจะต่อสู้กับทุกอุปสรรคที่เข้ามาและเธอจะปกป้องคนที่เธอรัก แต่พอคิดไปคิดมานี่ก็เป็นแค่ละครที่มีคนเขียนบทขึ้นมา หากเป็นเรื่องจริงนางเอกคงจะไม่ยอมคนง่ายๆ แบบนั้นแน่ๆ เธอล้มตัวลงนอนก่อนที่จะหลับตาลงเพียงไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไปเพราะความอ่อนเพลียจากการฝึกซ้อมมวย
ช่วงเย็นหลังจากที่อรุณทำอาหารง่ายๆ ให้ตนเองและบุตรสาวเสร็จเขาจึงหันไปล้างจาน แต่ทว่าเขากลับพลาดไปถูกจานใบโปรดของอมิตาตกลงมาแตกกระจาย บุตรสาวเมื่อได้ยินเสียงของตกแตกดังมาจากในครัวเธอจึงรีบสาวเท้าก้าวเดินไปตามเสียงทันที
“พ่อ!!! เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” เสียงหวานอุทานร้องเรียกบิดา ก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นมา
“โอ๊ย!!! อย่าเพิ่งเข้ามาลูก พ่อทำจานตกแตก” อรุณอุทานออกมาเมื่อจานที่แตกบาดเข้าที่มือของตน ก่อนที่จะร้องห้ามไม่ให้บุตรสาวเดินเข้ามาหาตน
“โถ่!!! พ่อจ๋า…. ทำไมไม่ระวังเลยจ๊ะ พ่อรีบไปทำแผลเถอะ เดี๋ยวทางนี้ต้าเก็บกวาดให้”
อมิตารีบบอกบิดาด้วยน้ำเสียงห่วงใย อรุณพยักหน้าก่อนที่จะลุกขึ้นยืน เขามองจานที่แตกก่อนที่จะมองไปยังใบหน้าสวยของบุตรสาวอย่างใจคอไม่ดี
“ต้า… เก็บระวังหน่อยนะลูก อย่าให้เศษจานบาดนะ” เขาบอกเธอด้วยความเป็นห่วง
“จ้ะพ่อ… พ่อรีบไปทำแผลเถอะนะจ๊ะ” อมิตาบอกบิดา อรุณพยักหน้าก่อนที่จะเดินจากไป
อมิตาก้มหน้าลงมองเศษจานที่แตกกระจายบนพื้น จานใบนี้เป็นจานที่เธอชอบมากเพราะเป็นจานที่มารดาซื้อมาให้เธอโดยเฉพาะ ถึงจะรู้สึกเสียดายแต่ในเมื่อของมันแตกไปแล้วมันก็คงไม่สามารถทำให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ อมิตาเดินไปหยิบที่ตักผงขยะกับไม้กวาดมาจัดการเก็บกวาดเศษแก้วที่อยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง เมื่อเก็บกวาดเสร็จแล้วเธอจึงนำไปเททิ้งลงถังขยะ
“พ่อจ๋า… ทำแผลหรือยังจ๊ะ” เธอเอ่ยถามบิดาหลังจากที่ทิ้งเศษจานที่แตกเรียบร้อยแล้ว
“ทำแล้วลูก แผลนิดเดียวไกลหัวใจ” อรุณชูมือที่ทำแผลเรียบร้อยให้บุตรสาวดู
“ไปกินข้าวเย็นกันดีกว่านะลูก พ่อหิวแล้ว”
อมิตาพยักหน้าก่อนที่จะเดินนำไปที่ห้องครัว แล้วเป็นฝ่ายตักผัดและแกงใส่จานชามวางลงบนโต๊ะบริการบิดาที่บาดเจ็บเพราะล้างจานแทนเธอ ทุกทีเธอจะเป็นฝ่ายล้างจานด้วยตนเองแต่ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นเพราะเหตุใดเธอจึงนอนหลับลึกจนเลยเวลาที่ต้องล้างจาน พอตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงของที่ตกแตกพอดีจึงได้เห็นว่าบิดาทำจานใบโปรดของเธอตกแตก แต่เธอก็ไม่ได้โกรธเขา เพราะตัวเขามีค่ากับเธอมากกว่าจานใบนั้นหลายเท่า
เมืองหนานอัน ยามโหยว่(1)ภายในเรือนหลังขนาดกลางของอนุจินหรง เสียงเอะอะโวยวายปะปนกับเสียงร้องไห้ของหญิงต่างวัยดังขึ้น ณ ยามนี้ผู้เป็นใหญ่ของจวนแห่งนี้กำลังสั่งให้บ่าวรับใช้ลงโทษบุตรีที่เกิดจากอนุจินหรงรวมไปถึงสองสาวใช้ที่ติดตามนาง สาเหตุของการลงโทษในครั้งนี้นั้น เป็นเพราะหลินเยว่หรูหรือคุณหนูรองของฮูหยินใหญ่ ได้รายงานถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานกับน้องห้าของเธอให้บิดาฟัง ทำให้เย็นนี้เขาต้องมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง เมื่อไตร่สวนแล้วพบว่าเรื่องที่หลินเยว่หรูเล่ามานั้นคือเรื่องจริง“นังลูกไม่รักดี!!! เหตุใดเจ้าถึงต้องกระทำการรุนแรงกับบ่าวของน้องสาวเจ้าด้วย พ่อเคยสั่งสอนเจ้าแล้วมิใช่หรือว่ามิให้ใช้กำลังไม่ว่าจะกับใครก็ตาม"“ท่านพ่อลูกขอโทษเจ้าค่ะ ลูกขอโทษฮือๆๆๆ” คุณหนูสี่ร้องไห้คร่ำครวญกล่าวคำขอโทษออกมา"แล้วเจ้า… ไปยุ่งอันใดกับน้องสาวของเจ้าหรือไม่ น้องห้าของเจ้าร่างกายอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร เจ้าต้องรักและเอ็นดูนาง มิใช่ไปรังแกนาง”“ท่านพี่… อภัยให้ลูกสี่เถอะนะเจ้าคะ ลูกสี่ไม่ได้ตั้งใจ อีกอย่างนางยังเด็กนัก ยังไม่รู้ความ” อนุจินหรงคุกเข่าอ้อนวอนผู้เป็นสามี“หุบปาก!!! อนุจิน หากเจ้าดูแลนาง
ค่ายมวยอรุณรุ่งนักมวยของค่ายมารวมตัวกันในวันนี้ไม่ใช่เพราะมีการแข่งขันหรือการฝึกซ้อมชกมวยแต่อย่างใด แต่มาเพื่อช่วยกันจัดสถานที่ ในการจัดงานวันคล้ายวันเกิดครบรอบยี่สิบปีให้กับทายาทของเจ้าของค่าย หรืออีกในสถานะหนึ่งคือ นักมวยสาวดาวรุ่งที่กำลังเป็นที่จับตามองในขณะนี้ ฉายา ‘ต้า นางฟ้ามวยไทย’ ไม่ได้มาเล่นๆ เพราะนอกจากความสวยแล้วการออกอาวุธบนเวทีของเธอนั้นยังทำให้คู่แข่งจดจำเธอไปอีกนาน“พี่ต้า ทำอะไรอยู่คะ” เสียงหวานของไข่หวานนักมวยสาวรุ่นน้องวัยสิบเจ็ดปีเอ่ยถามขึ้น“กำลังดูซีรีส์จีน เนี่ยเรื่องนี้กำลังสนุกเลย พระนางฉลาดทันกัน ชิงไหวชิงพริบกันสุดๆ” ต้า หรืออมิตาบอกนักมวยสาวรุ่นน้องที่วันนี้มาช่วยจัดสถานที่ในงานวันคล้ายวันเกิดของเธอในวันรุ่งขึ้น“หือ…. พี่ต้าชอบดูซีรีส์จีนเหรอคะ” ไข่หวานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“อืม… ชอบมาก ดูตลอดเวลาที่ว่าง คิกๆๆ” นางฟ้ามวยไทยตอบพร้อมทั้งหัวเราะออกมา“อือ…. เรื่องนี้ไข่หวานก็ชอบ เรื่องก่อนนั้นดูไม่ไหว นางเอกอ่อนแอ เป็นลูกอนุ
“ไข่หวาน!!! พี่ต้าเป็นยังไงบ้าง” อรุณเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ครู… พี่ต้า…. พี่ต้าเสียแล้วจ้ะ หมอบอกว่าพี่ต้าทนพิษบาดแผลไม่ไหว เธอเสียเลือดมากก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาล ฮือๆๆ ครูจ๋า พี่ต้าไม่อยู่แล้ว ฮือๆๆๆ”ไข่หวานบอกครูมวยของเธอออกมาทั้งน้ำตา อรุณเกิดอาการช็อกจนเป็นลมล้มลงไป ดีที่นักมวยหนุ่มๆ รีบเข้าประคองร่างของเจ้าของค่ายมวยได้ทันควัน เขาจึงไม่ได้ล้มลงไปบนพื้นของโรงพยาบาล เมื่อได้สติอรุณจึงเข้าไปดูร่างของบุตรสาว น้ำตาของลูกผู้ชายไหลลงมาอาบแก้ม เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าบุตรสาวของเขาจะมีอายุสั้นถึงเพียงนี้ เจ้าของกระเป๋าเมื่อรู้ข่าวเธอจึงเดินทางมาขอบคุณและขอโทษอรุณที่ทำให้เขาต้องสูญเสียบุตรสาวเพียงคนเดียวไป อรุณไม่ได้โกรธใคร เขาภูมิใจด้วยซ้ำที่บุตรสาวของเขาจากไปเพราะทำความดีข่าวการเสียชีวิตของนักมวยสาวดาวรุ่งวัยสิบเก้าปี ที่กำลังจะย่างเข้าสู่วัยยี่สิบปีในวันถัดมาถูกตีแผ่ออกไปอย่างรวดเร็ว ข่าวนี้นับเป็นข่าวที่หดหู่ สร้างความเสียใจให้กับแฟนมวยทั้งประเทศและต่างประเทศเป็นอย่างมาก นอกจากเธอจะเป็นนักมวยที่มีฝีมือและชื่อเส
อมิตาหลับไปจากอาการอ่อนเพลียที่ยังคงมีอยู่ เธอยังคงมีความหวังว่าตื่นขึ้นมาแล้วเธอจะสามารถกลับไปยังโลกเดิม โลกที่เธอจากมา หากเธอยังไม่ตายจากโลกนั้นจริงๆ แต่ถ้าหากเธอตายแล้ว เธอก็จะขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ในร่างของเด็กสาวผู้อ่อนแอผู้นี้ ภาษาการพูดการฟังเธอสามารถรับฟังและพูดภาษาของคนที่นี่ได้ออกมาอัตโนมัติ ราวกับว่าเป็นคนที่อยู่เมืองแห่งนี้มานานอย่างไรอย่างนั้น นั่นอาจจะเป็นผลพลอยได้จากเจ้าของร่างนี้ที่ทิ้งความเคียดแค้นเอาไว้ให้เธอ เพื่อทวงคืนความยุติธรรมและนำร่างนี้ทำความดีต่อไป“คุณหนู… เมื่อไหร่จะตื่นเสียทีล่ะเจ้าคะ บ่าวรอคุณหนูตื่นมาคุยกับบ่าวตั้งนานแล้วนะเจ้าคะ ท่านแม่ของคุณหนูก็รอคุณหนูอยู่ รีบตื่นขึ้นมาเถอะเจ้าค่ะ” เสี่ยวเอ๋อร้องเรียกคุณหนูห้าอยู่ที่ข้างเตียง ถึงแม้ท่านหมอจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ทว่านางเองก็ไม่ยอมวางใจ“ขอน้ำหน่อย…” เปลือกตาบางที่เปิดออกพร้อมกับริมฝีปากที่แห้งผาก“คุณหนู!!!! คุณหนูฟื้นแล้ว!!! นี่เจ้าค่ะน้ำ” เสี่ยวเอ๋อรีบประคองคุณหนูห้าขึ้นมาแล้วนำน้ำในถ้วยชาให้เธอดื่ม“แค่กๆๆ” อม
“ไม่เป็นอันใดมากก็ดีแล้ว ต่อจากนี้เจ้าก็ดูแลตัวเองให้ดีๆ อย่าไปเดินใกล้น้ำอีก เข้าใจไหม” หลินฮูหยินเอ่ยออกมาอย่างมีเมตตา“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ลูกขอขอบพระคุณในความกรุณาของท่านพ่อกับแม่ใหญ่ด้วยนะเจ้าคะ” อมิตาในร่างหลินซูเหมยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนอบน้อมหลินฮูหยินไม่เคยถือสาหาความกับเด็กสาวเพราะนางป่วยมาตั้งแต่เด็กๆ การที่นางไม่ได้ไปคารวะตนเองที่เรือนใหญ่ในทุกๆ เช้าก็เป็นเพราะนางป่วยกระออดกระแอดมาตั้งแต่เกิด นับได้ว่าเป็นบุตรีในจวนที่มีชะตาชีวิตน่าสงสารที่สุด“เช่นนั้น เจ้าพักผ่อนเถอะเหมยเอ๋อ พ่อกับแม่ใหญ่กลับเรือนก่อนล่ะ หากรู้สึกไม่ดีหรือไม่สบายตรงไหนเจ้าให้คนไปตามท่านหมอหวงมาดูอาการลูกห้าด้วยนะซูฉี” เจ้ากรมการกลาโหมบอกบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนที่จะหันไปสั่งอนุภรรยาของตน“เจ้าค่ะท่านพี่” อนุซูฉีตอบสามีก่อนที่เธอจะคำนับส่งเขาและหลินฮูหยิน“พี่กลับเรือนก่อนหนา หากเจ้ารู้สึกดีขึ้นก็ไปหาพี่ที่เรือนได้ อีกไม่นานพี่ก็จะออกเรือนแล้ว”คุณหนูรองบอกน้องสาวต่างมารดา อมิตาดูพี่สาวผู้นี้น่
จวนเจ้ากรมการกลาโหมที่เรือนรับรอง วันนี้มีการต้อนรับตระกูลโจวของเสนาบดีกรมยุติธรรมที่กำลังจะเกี่ยวดองกันในเร็ววันนี้ โจวถิงหลาน บัณฑิตหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มีใบหน้าหล่อเหลาซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลโจว เขาดูเหมาะสมกับบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเจ้ากรมการกลาโหมอย่างหลินเยว่หรูยิ่งนัก ชายหญิงทั้งสองนั่งเคียงข้างกันดูเหมาะสมราวกับคู่ที่ฟ้าดินสร้างมา“อีกสองเดือนเราสองตระกูลก็จะเกี่ยวดองกันแล้ว ข้าล่ะดีใจยิ่งนัก”เจ้ากรมการกลาโหมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี แววตาที่มองไปยังสองหนุ่มสาวนั้นล้วนแล้วแต่แสดงออกว่ามีความสุขที่บุตรสาวคนรองของตนกำลังจะได้ออกเรือนไปกับผู้ชายดีๆ“ข้าก็ดีใจ และรู้สึกยินดีเช่นเดียวกันกับท่านใต้เท้า” โจวถิงเหวิน เสนาบดีกรมยุติธรรมเอ่ยออกมา“แล้วบุตรชายคนโตของท่านล่ะ วันนี้เขามิได้กลับจวนหรอกหรือ”“ช่วงนี้หลินชูจ้านไม่ว่างน่ะ เห็นบอกว่ามีงานที่ต้องทำให้เสร็จก่อนกลับมาเยี่ยมจวน ส่วนลูกสามของข้าก็ไม่ว่างเช่นกัน เขาก็ยุ่งอยู่กับงานไม่ต่างจากพี่ใหญ่ของเขา”หลินหยางตอบด้วยน้ำเสียงภาค
หลังจากกลับจากเรือนใหญ่หลินจินหรูก็เอาแต่กรีดร้องออกมาด้วยความคับแค้นใจ คนที่นางไม่อยากเห็นหน้า คนที่นางหวังอยากให้ตายกลับมาแข็งแรง มีชีวิตที่น่าอิจฉา ใครๆ ต่างก็เอ็นดู ต่างจากนางที่ไร้ผู้ใดมาสนใจ แม้แต่ท่านพ่อก็ยังไม่สนใจนางเท่านางเด็กต่ำต้อยนั่น“คุณหนูสี่ของพวกเจ้าเป็นอันใดไป เหตุใดถึงเอาแต่กรีดร้องเสียงดังเช่นนั้น" อนุจินหรงเอ่ยถามสองสาวรับใช้ของบุตรสาวที่เดินวนไปวนมาอยู่ที่หน้าห้อง“นายหญิงเล็ก… คือคุณหนูห้าน่ะเจ้าค่ะ วันนี้ไม่รู้เป็นอันใดนางถึงได้ลุกขึ้นมาไปคารวะนายท่านกับนายหญิงใหญ่ได้ นางดูแข็งแรงขึ้นมากกว่าแต่ก่อนอีกเจ้าค่ะ” หุ้ยฉิน สาวใช้คนสนิทของหลินจินหรูรีบรายงานออกมา“นังเด็กนั่นยังกลับมาแข็งแรงได้อีกอย่างนั้นหรือเนี่ย ข้านึกว่านางจะถึงแก่ชีวิตไปแล้ว” น้ำเสียงตกใจของอนุจินดังขึ้นแต่ทว่าไม่ดังมากนักเพราะเกรงว่าจะมีใครมาได้ยิน“ราวกับเป็นคนล่ะคนเลยล่ะเจ้าค่ะ คุณหนูห้าในตอนนี้นางดูเหมือนกับว่าไม่เคยเป็นคนเจ็บป่วยมาก่อนอย่างไรอย่างนั้นเลยเจ้าค่ะ” รูอี้สาวใช้อีกนางของหลินจินหรูรีบบอกนายหญิงเล็ก
เทศกาลโคมไฟวันหยวนเซียว*ของเมืองหนานอันเพิ่งเริ่มขึ้นวันนี้วันแรก หลินเยว่หรูจึงได้ชักชวนน้องสาวทั้งสองให้ออกไปเที่ยวกับนางด้วย สร้างความดีใจให้กับหลินจินหรูเป็นอย่างมาก ส่วนหลินซูเหมยก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นกันเพราะเจ้าของร่างเดิมที่นางมาเกิดใหม่นี้ไม่เคยก้าวเท้าออกจากจวนแห่งนี้เลยสักครั้ง ครั้งนี้ก็ถือเป็นโอกาสดีที่นางจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาและดูโลกแห่งความเป็นจริงว่ามันต่างจากที่เธอรับรู้มาอย่างไร“เหมยเอ๋อ…. อย่าดื้ออย่าซนนะลูก คอยติดตามคุณหนูรองนางให้ดีๆ อย่าอยู่ห่างจากนางเด็ดขาด” อนุซูฉีบอกบุตรสาวเพียงคนเดียวด้วยความเป็นห่วง วันนี้จะเป็นครั้งแรกที่บุตรสาวออกไปเที่ยวนอกจวน“เจ้าค่ะท่านแม่ ข้าจะติดตามพี่หญิงรองไม่ให้ห่างเลยเจ้าค่ะ”น้ำเสียงสดใสที่ดังมาจากริมฝีปากอิ่มของบุตรสาวทำให้นางฉีกยิ้มออกมาก่อนที่จะหันไปสั่งสาวรับใช้ข้างกายของบุตรสาว“เสี่ยวเอ๋อ… ดูแลคุณหนูห้าด้วยนะ อย่าละสายตาไปจากนางเด็ดขาด”“เจ้าค่ะ… นายหญิงเล็ก บ่าวจะดูแลคุณหนูห้าให้ดี ไม่ให้คาดสายตาเลยเจ้าค่ะ” นี่ก็เป็นค
หลังรับประทานอาหารเย็นร่วมกันเสร็จ อนุซูฉีจึงเอ่ยขอตัวกลับเรือนก่อน นางเจียมตัวและรู้ดีว่าที่นี่มิใช่ที่ของนาง หลินซูเหมย แม่ทัพฟางเซี่ยหมินและบุตรชายที่กำลังจะติดตามมารดาของนางไปนอนค้างที่เรือนก็ต้องชะงักเท้าเมื่อหลินจินหรู หรือพี่สี่ร้องเรียกนางเอาไว้ หลินซูเหมยจึงบอกให้มารดาพาหลานและท่านแม่ทัพกลับไปเรือนก่อนแล้วนางจะตามไป มีเพียงมู่หลันที่ต้องอยู่กับนายหญิงเพื่อคอยดูแลนาง“พี่ขอคุยกับเจ้าสักประเดี๋ยว”หลินซูเหมยจึงบอกให้มู่หลันหลบไปให้ห่างๆ เพราะเท่าที่ดูพี่หญิงสี่ผู้นี้คงจะมีเรื่องสำคัญอยากที่จะคุยกับนาง เมื่อสาวรับใช้ของทั้งสองเดินหลบไปยืนอยู่ไกลๆแล้ว สตรีทั้งสองจึงยืนประจันหน้ากันอยู่ตามลำพัง แววตาที่เคยอิจฉาริษยาของพี่สาวผู้นี้ดูเปลี่ยนไป“ที่ผ่านมาพี่ขออภัยต่อเจ้าด้วย ตอนนั้นพี่อาจจะยังเด็กจึงยังตีความหมายของคำว่ารักไม่เข้าใจ ตอนนั้นพี่เข้าใจว่าท่านพ่อรักเจ้า ท่านพี่หญิงรองเอ็นดูเจ้า พี่เข้าใจว่าเจ้าแย่งความรักจากพวกเขาไป แต่พอพี่เสียท่านแม่ไป พี่ถึงได้รู้ว่าความอิจฉาริษยาที่พี่มีต่อเจ้าในอดีตทำให้ท่านแม่ของพี่ต้องมาทำผิดเพื่อพี่จนมีจุด
หลังจากงานแต่งงานของฟางเซี่ยฉินผ่านพ้นไป ฟางเซี่ยหมินจึงพาภรรยาและบุตรชายไปพักที่จวนสกุลหลินต่อ เพราะตอนที่เดินทางมานั้นยังไม่ได้แวะคารวะบิดามารดาของภรรยาเลย ด้วยภาระหน้าที่ตำแหน่งแม่ทัพที่ต้องแบกรับจึงมิอาจสามารถกลับมาเยี่ยมทั้งสองครอบครัวได้บ่อยๆ เมื่อคำนับลาใต้เท้าฟางกับฟางฮูหยินแล้ว รถม้าของจวนแม่ทัพทิศเหนือจึงมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลหลินณ ยามนี้ที่ด้านหน้าจวนมีรถม้าจากจวนสกุลโจวและรถม้าจากจวนสกุลซื่อมาจอดอยู่ก่อนหน้าแล้ว เมื่อสองสามีภรรยาพร้อมกับลูกชายตัวน้อยเดินทางมาถึงจึงได้พบกับพี่สาวทั้งสองนางของหลินซูเหมย แม้แรกๆ หลินจินหรูจะรู้สึกไม่ดีที่ได้พบเจอน้องห้าที่มิได้พบเจอกันมานาน แต่นางก็เริ่มที่จะปล่อยวางเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมิได้ติดใจเอาความเรื่องราวในอดีตแต่อย่างใด“คารวะท่านพ่อตา ท่านแม่ยายขอรับ”“คารวะท่านพ่อท่านแม่ใหญ่เจ้าค่ะ” สองสามีภรรยาที่เพิ่งเดินทางมาถึงเข้าไปคำนับผู้ใหญ่ทั้งสอง“ตามสบายเขยห้า เหมยเอ๋อร์ นั่นใช่เหวินเอ๋อร์ใช่หรือไม่"ใต้เท้าหลินยิ้มแย้มก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อเห็นเด็กชายตัวน้อยที่ยืนเขินอ
“จ้านเอ๋อร์ ดูน้องด้วยนะลูก” สะใภ้ใหญ่เอ่ยขึ้นบ้าง“เพิ่งจะขวบกว่าๆ แต่ซนนักเจ้าค่ะ” หลินซูเหมยเอ่ยออกมาพลางยกน้ำชาขึ้นมาจิบ เสี่ยวเอ๋อมิได้ติดตามนางมาด้วยเพราะว่ากำลังตั้งครรภ์ นางจึงให้มู่หลันติดตามนางกับแม่นมฉวนที่กลับมาอยู่ที่จวนแม่ทัพเช่นเดิม“สายเลือดนักรบแรงกล้า เจ้าคงต้องทำใจแล้วล่ะน้องสะใภ้สาม” พี่สะใภ้รองขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม“นั่นน่ะสิเจ้าคะ พวกบ่าวในเรือนช่วยกันวิ่งตามจับแทบจะไม่ทัน” หลินซูเหมยเห็นด้วย บุตรชายของนางผู้นี้ช่างมีพลังเยอะเหลือล้น เขาวิ่งเล่นจนบ่าวในเรือนพากันเหน็ดเหนื่อยที่ต้องคอยวิ่งตามระแวดระวังความปลอดภัยให้กับคุณชายน้อยสตรีทั้งสามนั่งพูดคุยกันขณะที่สายตาก็จ้องมองบุตรของพวกตนไปด้วย ฟางเซี่ยฉินที่เตรียมตัวจะออกเรือนในวันพรุ่งนี้เดินเข้ามาหาพี่สะใภ้ทั้งสามกับหลานๆ ที่สวนดอกไม้แห่งนี้ นางตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก จึงอยากจะมาขอคำปรึกษาพี่สะใภ้ซึ่งล้วนแต่เป็นสตรีด้วยกันทั้งสาม“คารวะพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง พี่สะใภ้สามเจ้าค่ะ” เจ้าของเรือนร่างงามคำนับสตรีทั้งสามที่กำล
ในขณะที่ท่านแม่ทัพอดหลับอดนอนเพื่อดูแลภรรยาที่นอนหลับไปสามวันสามคืน นิ้วมือของเจ้าของร่างอวบอิ่มก็เริ่มขยับจนคนที่กุมเอาไว้รู้สึกไปด้วย เขาลุกขึ้นก่อนที่จะเรียกท่านหมอที่เขาเชิญให้อยู่ดูอาการให้ภรรยาของเขาตั้งแต่วันแรกที่นางสลบไป“ท่านหมอ… ฮูหยินของข้านางรู้สึกตัวแล้ว รีบมาตรวจดูอาการของนางเร็วเข้า”ท่านหมอชุนรีบเข้ามาในห้องนอนของท่านแม่ทัพ ก่อนที่จะลงมือจับชีพจรของฮูหยิน เป็นปกติ นางรอดพ้นเงื้อมมือของมัจจุราชมาได้แล้ว“รายงานท่านแม่ทัพ อาการของนายหญิงตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วขอรับ นางปลอดภัยแล้วขอรับ” หมอหลวงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี ท่านแม่ทัพรีบปรี่เข้าไปหาภรรยาก่อนที่จะจับมือนางมากุมเอาไว้“น้องหญิง… ตื่นเถิด พี่กับลูกรอเจ้านานแล้วนะ แม่นมฉวน พาเหวินเอ๋อร์มาหาข้าทีเถิด ข้าจะให้เขาได้ปลุกแม่ของเขา ให้นางตื่นขึ้นมาให้นมเขาเองเสียที”แม่นมฉวนน้ำตาคลอเมื่อรู้ว่านายหญิงปลอดภัยแล้ว นางรีบอุ้มคุณชายน้อยมาส่งให้กับคุณชายสาม เขารับร่างเล็กที่นอนมองหน้าเขาตาแป๋วมาอุ้มเอาไว้พลางนำมือของภรรยามาวางไว้บนมือของลูกน
หมอตำแยจัดการทำความสะอาดและดูแลแผลให้กับนาง พร้อมกับพาคุณชายน้อยมารับน้ำนมจากถันงามของฮูหยิน ทารกน้อยดูดกลืนน้ำนมจากเต้างามของมารดา หลินซูเหมยสลบไปแล้วจึงมิได้รับรู้ว่าบุตรชายตัวน้อยของนางนั้นหน้าตาน่ารักน่าชังขนาดไหน“ท่านแม่ทัพ ได้คุณชายน้อยเจ้าค่ะ"มู่หลันออกมารายงาน แม่นมฉวนอุ้มทารกน้อยในห่อผ้าออกมาหลังจากที่คุณชายน้อยดูดนมจากอกของนายหญิงจนอิ่มแล้ว“ลูกพ่อ…” เขารับมาอุ้มก่อนที่จะกดจมูกโด่งลงบนหน้าผากเล็กของบุตรชาย“คุณชายสาม ตั้งชื่อคุณชายน้อยไว้หรือยังเจ้าคะ” แม่นมฉวนเอ่ยถามคุณชายของตนยิ้มๆ“ฟางเซี่ยเหวิน เขามีชื่อว่า ฟางเซี่ยเหวิน” คนที่ได้เป็นพ่อหมาดๆ ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“แล้วฮูหยินล่ะ นางเป็นเช่นไรบ้าง” เขาไม่ลืมที่จะเอ่ยถามถึงภรรยา“ฮูหยินสลบไปหลังจากคลอดคุณชายน้อยเจ้าค่ะ อาจจะเพราะความอ่อนเพลีย นางจึงยังไม่รู้สึกตัว” หมอตำแยที่เดินออกจากห้องนอนที่เพิ่งทำคลอดให้กับคุณชายน้อยตอบออกมา“สลบเช่นนั้นหรือ นี่เป็นเรื่องปกติหรือไม่”
ความสุขเกิดขึ้นหลังจากสงครามสงบ หนึ่งเดือนให้หลังตงหลงกับเสี่ยวเอ๋อก็ได้แต่งงานกัน แต่ทว่าทั้งสองก็ยังคงอยู่รับใช้ท่านแม่ทัพและนายหญิงใหญ่ที่จวนแม่ทัพทิศเหนือไม่ได้พากันย้ายออกไปไหน แม่นมฉวน แม่นมของแม่ทัพฟางเซี่ยหมินได้เดินทางมาคอยดูแลนายหญิงที่จวนแม่ทัพที่เมืองหนานถิงหลังจากอายุครรภ์ของนายหญิงใหญ่เริ่มมากขึ้น เพราะสาวรับใช้ที่อยู่ที่จวนแห่งนี้มีแต่สาวแรกรุ่นกับคนที่มิเคยผ่านการดูแลเด็กมาก่อน“นายหญิง… ช้าๆ หน่อยเจ้าค่ะ” แม่นมฉวนที่พยุงเรือนร่างอวบอิ่มของนายหญิงเอ่ยออกมา“โถ่…แม่นมฉวน ข้ามิเป็นอันใดหรอกนะ นี่เพิ่งจะห้าเดือนเอง ยังอีกนาน” ฮูหยินแม่ทัพยิ้มก่อนที่จะเอ่ยออกมาเมื่อเห็นแม่นมของสามีแสดงอาการห่วงใยจนเกินเหตุ“ถึงแบบนั้นก็เถอะเจ้าค่ะ นายหญิงต้องดูแลตัวเองดีๆ นะเจ้าคะ ท่านแม่ทัพท่านจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” แม่นมฉวนเอ่ยออกมาประคองนายหญิงไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวที่อยู่ริมหน้าต่าง“นายหญิงหิวหรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวเอ๋อเอ่ยถามนายหญิงออกมา“อืม… อยากกินขนมกุ้ยฮวา” น้ำเสียง
ทหารจากกองทัพหนานอันที่เดินทางมาเป็นกองหนุนให้กับกองทัพทิศเหนือเดินทางกลับเมืองหนานอันทันทีที่ท่านแม่ทัพทิศเหนือเดินทางกลับมาถึงเมืองหนานถิง ข่าวเรื่องการทำคุณงามความดีของฮูหยินแม่ทัพทิศเหนือที่ได้จัดตั้งศูนย์พักพิงและแจกอาหารให้แก่ชาวเมืองซาย่าที่ลี้ภัยมาช่วงสงครามถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งแคว้นต้าตง ใต้เท้าหลินถูกชื่นชมจากเหล่าขุนนาง ถึงเรื่องที่บุตรีสร้างผลงานให้แก่บ้านเมืองมิต่างจากผู้เป็นสามี“ท่านเลี้ยงดูบุตรีได้ดียิ่งนักท่านใต้เท้าหลิน ได้บุตรเขยก็ดี เป็นแม่ทัพทิศเหนือที่เก่งกาจ” ใต้เท้าหยวน ขุนนางในเมืองหนานอันเอ่ยชมใต้เท้าหลินออกมา“ขอบคุณ ขอบคุณ เรื่องสามีของนางก็เป็นวาสนาของนางเอง ข้าก็เลยได้หน้าไปด้วย” เขาบอกออกมาอย่างถ่อมตน เขามิเคยโอ้อวดว่าบุตรเขยนั้นเป็นถึงแม่ทัพ“ท่านก็ช่างถ่อมตนยิ่งนัก”เสียงหัวเราะจากเหล่าขุนนางดังออกมา หลังจากนี้แคว้นต้าตงคงจะมีแค่ความสงบสุข เพราะมิว่าศัตรูจะมารุกรานทิศใด แม่ทัพของทิศนั้นก็สามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี“อีกเรื่องข้าขอแสดงความยินดีกับท่านด้วยนะ เรื่องที่บุตรีขอ
กองทัพฝั่งศัตรูรีรอที่จะตีเมืองซาย่าเพราะรอทหารที่แอบลอบเข้าไปในเมืองหนานถิงเพื่อจับฮูหยินของแม่ทัพทิศเหนือมาเป็นตัวประกันเพื่อให้อีกฝ่ายยอมวางอาวุธและให้พวกเขายึดเมืองแต่โดยดี รออยู่นานเกือบสัปดาห์จนเสบียงร่อยหรอก็ยังมิมีผู้ใดกลับออกมา แม่ทัพของแคว้นต้าเฉวียนจึงมิอาจรีรอได้อีก เพราะยิ่งรอนานกองทัพทหารของเขาก็ยิ่งเสียเปรียบ แถมเส้นทางการส่งเสบียงมาให้กองทัพยังมีพวกโจรที่แอบอาศัยอยู่ในเมืองฉงหนานปล้นเสบียงจนทำให้กองทัพเสบียงเดินทางมาไม่ถึงชายแดนอีก เรียกได้ว่าศึกในยังไม่สงบแต่ฮ่องเต้ของแคว้นก็อยากจะสร้างศึกนอกเสียแล้วแม่ทัพของแคว้นฉงหนานส่งสัญญาณให้เหล่าทหารเตรียมพร้อม เสียงเป่าแตรที่เป็นสัญญาณออกรบดังขึ้น กองทัพธนูจึงเดินนำหน้าไปก่อน ต่อด้วยกองทัพเดินเท้าและทหารม้าเรียงหน้ากระดานเข้าไปใกล้เขตเชื่อมต่อของเมืองฉงหนานและเมืองซาย่า แม่ทัพฟางเซี่ยหมินจึงเตรียมส่งสัญญาณให้ทหารที่ไปรออยู่ที่ฝายเก็บน้ำแล้วเตรียมปล่อยน้ำออกมาเช่นกัน และเมื่อกองทัพฝั่งศัตรูกำลังพากันเดินลงมาในเส้นทางน้ำ พลุที่นายทหารเตรียมไว้ก็ถูกจุดทันทีที่ท่านแม่ทัพทิศเหนือทำสัญญาณมือเหล่าทหารกล้าของกองทัพหน
กองทัพทหารนับสามหมื่นนาย ซึ่งนำทัพโดยท่านแม่ทัพฟางเซี่ยหมิน แม่ทัพทิศเหนือผู้องอาจน่าเกรงขาม ที่มิว่าจะเยือนสนามรบใด ศีรษะของศัตรูมักจะถูกบั่นออกจากคอทุกครั้งไป เขาใช้เวลานำทัพเดินทางไปถึงเมืองซาย่าจากเมืองหนานถิงนานถึงสามวันสามคืน ระหว่างทางพบเจอกับชาวเมืองที่อพยพทิ้งเมืองมาเพราะความหวาดกลัว เป็นภาพที่เขาเห็นทีไรก็รู้สึกเจ็บปวดใจ สงครามมิเคยนำความสงบสุขมาให้แก่ผู้ใด มีสงครามที่ใดก็มีแต่การนองเลือดและการสูญเสียบุคคลที่รัก“สถานการณ์ด้านนอกประตูเมือง กองทัพของแคว้นต้าเฉวียนอยู่ห่างจากเมืองออกไปประมาณสองหมื่นลี้ มีทหารร่วมทัพมาราวๆ สามถึงห้าหมื่นนาย” แม่ทัพภาคเข้ามารายงานต่อท่านแม่ทัพทิศเหนือที่ยืนสูงสง่าอยู่ด้านหน้าสุดบนกำแพงเมืองซาย่า“ข้ารู้มาว่าเขตแดนระหว่างเมืองซาย่ากับเมืองฉงหนานของแคว้นต้าเฉวียนมีแม่น้ำตัดผ่านใช่หรือไม่” เสียงเข้มของท่านแม่ทัพหนุ่มดังขึ้น“ใช่แล้วขอรับ แต่ตอนนี้น้ำในแม่น้ำนั้นแห้งขอด จึงไม่มีน้ำไหลผ่านมาขวางทางทหารเหล่านั้นแล้วขอรับ” แม่ทัพภาคตอบตามความจริง“แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าเรามีฝายกั