ประเทศไทย
เสียงพิธีกรบนเวทีมวยขนาดใหญ่ดังขึ้นประกาศชื่อเสียงเรียงนามของคู่ชกคู่สำคัญของวันนี้ เสียงเชียร์ดังกระหึ่มทั่วทั้งสนามมวยที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงของประเทศไทย เรือนร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของสตรีที่มีนามว่า อมิตา หรือ ฉายาน้องต้านางฟ้ามวยไทย ปรากฏบนเวทีมวย นอกจากฝีมือการออกหมัดและลูกเตะที่ทำเอาคู่แข่งน๊อคคาเวทีภายในสองยก เธอยังมีหน้าตาสะสวยเป็นอาวุธ ทำให้เธอมีทั้งแฟนคลับที่เป็นผู้ชายและผู้หญิงทั่วทั้งประเทศไทย
“กรี๊ด……น้องต้านางฟ้ามวยไทย”
เสียงแฟนคลับสาวๆ ที่มาเชียร์นักมวยสาวในดวงใจต่างพากันส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเรียกขานฉายาของเธอออกมา อมิตายกมือไหว้ก่อนที่จะเดินไปสวมนวมและใส่ฟันยาง คู่แข่งของเธอวันนี้เป็นนักมวยสาวชาวจีนที่เดินทางมาท้าประลองกับเธอ ดวงตากลมโตของหญิงสาวมองไปยังคู่แข่งที่มีรูปร่างไม่ต่างกันจากเธอสักเท่าไหร่ ริมฝีปากบางฉีกยิ้มออกมา
“ขอต้อนรับ น้องต้า นางฟ้ามวยไทยแห่งค่ายมวย อรุณรุ่ง”
สิ้นเสียงของพิธีกรเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ชื่อเธอก็ดังกระหึ่มเวทีอีกครั้ง นักมวยคนสวยเดินไปกลางเวทีแล้วยกมือไหว้รอบทิศ ก่อนที่จะวิ่งไปอยู่ข้างขวาของกรรมการ
“ขอต้อนรับผู้ท้าชิงเข็มขัดแชมป์มวยไทยของนางฟ้าเอเชียร์ของเราจากประเทศจีน หลินชูฉวง”
สิ้นเสียงพิธีกรนักมวยสาวจีนจึงยกนวมขึ้นมาไหว้เช่นกัน เสียงปรบมือพร้อมกับเสียงเชียร์เป็นภาษาจีนดังขึ้นรอบทิศ
สองสาวยืนประจันหน้ากันอยู่บนเวที แววตาวาวโรจน์อย่างมุ่งมั่นของนักมวยสาวชาวไทยทำให้นักมวยสาวชาวจีนรู้สึกท้าทาย นานแล้วที่ไม่ได้เจอคู่แข่งที่น่าสนใจแบบนี้ เสียงระฆังดังขึ้นนวมทั้งสองชนกันก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มขยับเท้าของตน นักมวยทั้งสองต่างลองดูเชิงมวยของกันและกันในยกแรก
อมิตาก็ไม่ได้ออกอาวุธหนักมาตั้งแต่ต้น เธอต้องการหลอกล่อให้อีกฝ่ายใช้แรงให้มากในยกแรก และก็เป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้ หลินชูฉวงออกอาวุธจนหายใจหอบ ส่วนอมิตานั้นก็หลบหลีกหมัด เข่า และลูกถีบของอีกฝ่ายอย่างคล่องแคล่ว เสียงระฆังหมดยกดังขึ้นนักมวยทั้งสองจึงหยุดการชกแล้วเดินกลับไปยังข้างเวทีที่มีพี่เลี้ยงรอดูแลอยู่
“ไหวนะน้องต้า” เสียงของพี่เลี้ยงดังขึ้น
“ไหวพี่…เมื่อกี้หนูดูเชิงมวยของอีกฝ่ายแล้ว งานนี้ไม่หมู…แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของหนูแน่นอน”
นักมวยสาวบอกก่อนที่จะฉีกยิ้มออกมา พี่เลี้ยงกับบิดาของเธอที่เป็นถึงเจ้าของค่ายมวยอรุณรุ่งค่อยสบายใจขึ้นเมื่อได้ยินเธอบอกเช่นนั้น
“เห้ย!! พวกมึงว่าน้องต้าจะน๊อคนักมวยจีนยกนี้ไหมวะ” แฟนคลับที่เชียร์อยู่ด้านล่างเอ่ยถามเพื่อนที่มาเชียร์ด้วยกัน
“กูว่ามีสิทธิ์ว่ะ ดูสายตากับรอยยิ้มของเธอ เป็นเหมือนรอบก่อนเลยฮ่าๆ ยิ้มแบบนี้โคตรน่ากลัว”
เพื่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจังก่อนที่จะหัวเราะออกมา เพื่อนที่เหลือเห็นด้วย
ระฆังเตือนยกต่อไปดังขึ้น นักมวยสาวจากสองประเทศเดินไปประจันหน้ากันที่กลางเวที ก่อนที่กรรมการจะสั่งเริ่ม นวมของทั้งสองชนกันอีกครั้งก่อนที่นักมวยสาวชาวจีนจะสาวเท้าเข้าหาแล้วเริ่มออกหมัดก่อน อมิตาหลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่จะสวนกลับไปอย่างเน้นๆ เสียงนวมกระแทกเนื้อของอีกฝ่ายจนเกิดเสียงดังสนั่น หลินชูฉวงเริ่มออกอาการเหนื่อยเพราะออกแรงตั้งแต่ต้นยก
"นาทีสุดท้าย"
เสียงตะโกนดังจากข้างสังเวียนผืนผ้าใบ หญิงร่างเล็กแต่กำยำด้วยกล้ามเนื้อ ออกอาวุธทั้งหมัด เข่า ศอกใส่คู่แข่งนักมวยสาวชาวจีนแบบไม่ยั้ง แรงกระแทกถึงกับทำให้อีกฝ่ายชะงักนิ่งเป็นพัก จนสัญญาณหมดยกใกล้ดัง
หมัดตรงของนักมวยสาวชาวไทยก็พุ่งตรงไปยังโหนกแก้มของอีกฝ่าย ร่างกำยำของนักมวยสาวชาวจีนถึงกับเซเพราะมึนกับหมัดที่เน้นและหนักแน่นของอีกฝ่าย และแล้วร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของคู่แข่งก็ล้มตึงลงเรียกเสียงฮือฮาจากแฟนๆ ที่มาเชียร์
“นั่นไง..กูว่าแล้วฮ่าๆๆๆ” แฟนมวยของอมิตาร้องออกมาให้กับความคิดที่ถูกต้องของตน
เสียงระฆังดังขึ้นพร้อมกับกรรมการที่ยกมือทั้งสองขึ้นมาทำท่าไขว้กันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายชกไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีกับนักมวยสาวดาวรุ่งดังขึ้น อมิตานั่งลงก้มกราบเวทีก่อนที่จะลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปดูคู่แข่งที่ยังนอนสลบอยู่
เธอยกมือไหว้ขอโทษขอโพยก่อนที่จะลุกขึ้นวิ่งชูมือไปรอบๆ เวทีเรียกเสียงปรบมือดังสนั่นไปทั้งเวทีมวย ทีมแพทย์สนามเข้ามาดูแลก่อนที่จะหามนักมวยสาวชาวจีนออกจากสนามไปส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจเช็กสมองเพราะแรงกระแทกน่าจะหนักพอสมควร
พิธีกรประกาศชื่อผู้ชนะในการป้องกันเข็มขัดแชมป์มวยไทยในครั้งนี้ กรรมการชูมือหญิงสาวขึ้นมา รอยยิ้มจากนักมวยสาวที่แจกจ่ายไปยังแฟนมวยทุกคนทำให้ทุกคนรู้สึกมีความสุขไปกับเธอด้วย น้อยนักที่ผู้หญิงจะชกมวยเก่งขนาดนี้ อมิตา น้องต้านางฟ้ามวยไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น หนึ่งในส่วนที่มีน้อยนิด หนึ่งในความภูมิใจของชาวไทย
นักข่าวที่มาทำข่าวต่างรอสัมภาษณ์นักมวยสาวดาวรุ่งที่สามารถรักษาเข็มขัดแชมป์ในครั้งนี้ได้อีกครั้ง ภาพที่นักมวยสาวคาดเข็มขัดและรับรางวัลถูกตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์และออกข่าวกีฬาแทบจะทุกช่อง เรียกได้ว่าเธอกำลังโด่งดังและเป็นที่จับตามองของวงการมวยไทย
“ขอสัมภาษณ์น้องต้าหน่อยนะคะ” นักข่าวสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นขณะที่นักมวยสาวเปิดโอกาสให้สัมภาษณ์ได้
“ได้ค่ะ” เธอตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้
“กว่าที่น้องต้าจะประสบความสำเร็จในวันนี้ น้องต้าผ่านอะไรมาบ้าง ช่วยเล่าให้เป็นแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ เยาวชนหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้ค่ะ… กว่าที่ต้าจะมีวันนี้มันไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่เพราะความชอบและความพยายาม ขยันฝึกซ้อมให้เป็นประจำเลยทำให้ต้าแข็งแกร่งขึ้น จากเด็กผู้หญิงอ่อนแอ ก็กลายเป็นเด็กผู้หญิงที่แข็งแรงมาได้ ดีที่คุณพ่อสนับสนุนและให้กำลังใจต้ามาโดยตลอด ไม่ว่าต้าจะล้มสักกี่ครั้ง ต้าก็จะรีบลุกขึ้นเสมอ ต้าจะไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์” คำตอบของนักมวยสาววัยสิบเก้าปีเอ่ยออกมาทำให้คนฟังรู้สึกชื่นชม
“เห็นมีวงในบอกมาว่าน้องต้าฝึกหนักมาก เวลาพักก็มีเพียงน้อยนิด ขอถามได้ไหมคะว่าทำไมน้องต้าต้องฝึกหนักขนาดนั้น” นักข่าวสาวอีกคนเอ่ยถามขึ้น อมิตาหันไปมองก่อนที่จะส่งยิ้มให้
“เพราะการเป็นแชมป์มันไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยาก…คือการรักษาแชมป์เอาไว้ให้ได้ค่ะ”
บรรดานักข่าวที่ยืนสัมภาษณ์นักมวยสาวดาวรุ่งของยุคต่างพากันยิ้มออกมากับคำตอบของเด็กสาววัยเพียงสิบเก้าปี แต่ทว่าประสบความสำเร็จในเส้นทางที่เลือกเดินเพียงเพราะความมุ่งมั่น ขยันและพยายาม พี่เลี้ยงและบิดาเข้ามาขออนุญาตพานักมวยสาวกลับไปพักผ่อน บรรดานักข่าวจึงยอมปล่อยให้นักมวยสาวไปทันที
ชุดนักมวยถูกเปลี่ยนเป็นชุดสมวัยของเด็กสาววัยสิบเก้าปี อมิตารีบหยิบแท็บเล็ตของตนขึ้นมาเปิดแอปพลิเคชันดูซีรีส์จีนที่ตนเปิดดูเอาไว้ก่อนการขึ้นชก นอกจากการเป็นนักมวยที่มีฝีมือแล้ว อมิตายังเป็นคอซีรีส์จีนอีกด้วย เรียกว่าซีรีส์จีนเรื่องไหนที่เธอไม่รู้จักคงจะไม่มีอีกแล้ว เพราะเด็กสาวนั้นติดซีรีส์จีนมาตั้งแต่เด็ก จนคนเป็นบิดามารดาคิดว่าลูกสาวเป็นคนจีนกลับชาติมาเกิด
“ฟังรู้เรื่องเหรอต้า” บิดาเอ่ยถามบุตรสาวขณะที่นั่งอยู่ในรถตู้ด้วยกัน
“รู้เรื่องสิพ่อ พูดได้ด้วยจะฟังไหมคิกๆๆ” อมิตาตอบบิดาก่อนที่จะเอ่ยถามพร้อมส่งเสียงหัวเราะออกมา
“ดีเว้ย วันข้างหน้าพ่อจะได้รับลูกศิษย์เป็นคนจีนด้วยเลย ไหนๆ ลูกสาวก็พูดฟังภาษาจีนได้อยู่แล้ว จริงไหม” นายอรุณเอ่ยขอความเห็นจากบุตรสาว
“ดีค่ะ… แต่ตอนนี้ขอต้าดูซีรีส์ก่อนนะพ่อ นางเอกกำลังจัดการกับพวกที่มารังแกอยู่พอดี ถ้าต้าได้เจอผู้หญิงแบบคนพวกนี้นะ ต้าจะชกให้พวกนี้ให้พูดไม่ได้ไปหลายวันเลยคอยดูสิ หึๆ เห็นคนอ่อนแอกว่าแล้วชอบรังแก” นักมวยสาวตอบบิดาก่อนที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับซีรีส์จีนที่กำลังดูอยู่อย่างออกรสออกชาติ
“ฮ่าๆๆ พ่อล่ะกลัวแทนคนพวกนั้นเลย แต่ลูก… นี่มันคือละคร คือการแสดง เรื่องจริงคงไม่มีแบบนี้หรอกมั้ง”
อรุณบอกบุตรสาวก่อนที่จะยื่นมือไปยีผมของเธออย่างเอ็นดู อมิตาละสายตาจากจอมองหน้าบิดาแล้วส่งยิ้มให้ จากนั้นจึงก้มดูภาพเคลื่อนไหวในจอแท็บเล็ตต่อไปอย่างสนใจ อรุณมองบุตรสาวด้วยแววตาอ่อนโยน ถึงแม้อมิตาจะเป็นนักมวยที่เก่งกาจ แต่เธอก็ยังเป็นบุตรสาวที่อ่อนโยนและน่าทะนุถนอมของเขาเสมอ
อมิตาสูญเสียมารดาไปตั้งแต่อายุห้าขวบ อรุณผู้เป็นบิดาจึงเลี้ยงดูบุตรสาวมาเพียงลำพัง เธอถูกสอนท่ามกลางผู้ชาย ด้วยบิดาเปิดค่ายมวยจึงทำให้เด็กหญิงซึมซับและเริ่มที่จะเรียนรู้ เธอฝึกซ้อมมวยมาตั้งแต่เด็กและผ่านเวทีการชกมวยมามากมาย ถ้วยรางวัลเข็มขัดแชมป์ที่อยู่ในตู้ภายในบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ เป็นการบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นและพยายามของเธอ
“วันเกิดปีนี้อยากจัดที่ไหนล่ะลูก” อรุณเอ่ยถามบุตรสาวทันทีที่รถจอดลงที่หน้าบ้าน
“บ้านเรานี่แหละพ่อ ให้พวกพี่ๆ เขาได้กินกับเราด้วย”
พี่ๆ ที่เธอเอ่ยถึงนั้นเป็นนักมวยในค่ายที่มีทั้งหญิงและชาย บิดาของเธอมีลูกศิษย์ที่รักเขาและเขารักอยู่หลายคน และหลายคนนั้นเธอก็นับถือเป็นพี่ชายพี่สาวอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ เพราะทุกคนนั้นคอยดูแลเธอมาโดยตลอด จากเด็กหญิงผู้อ่อนแอ กลับกลายมาเป็นเด็กสาวที่แข็งแกร่งได้ในวันนี้ก็เพราะมีบิดาและพวกพี่ๆ คอยช่วยฝึกฝน
“อืม… แบบนั้นก็ได้ลูก หนูไปพักเถอะ เดี๋ยวสักพักค่อยลงมากินข้าว ขึ้นรถมานึกว่าจะหลับกลับดูซีรีส์ตลอดทาง ไม่ไหวเลยลูกคนนี้” อรุณบอกก่อนที่จะบ่นออกมาให้บุตรสาวเรื่องที่เธอติดซีรีส์จีนจนแทบจะไม่ยอมพักผ่อน
อมิตาหันมาส่งยิ้มทะเล้นให้บิดาก่อนที่จะเดินเข้าบ้านไป อรุณเดินตรงไปยังค่ายมวยของตนที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณบ้าน บ้านนอกเมืองหลังนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากบิดาของเขาที่เปิดค่ายมวยมาก่อนหน้าเช่นกัน อมิตาที่เข้าบ้านไปตรงไปยังห้องนอนของตนจากนั้นจึงเดินเข้าห้องน้ำไปเพื่อชำระล้างคราบเหงื่อไคลจากการกลับมาจากแข่งขันชกมวยเมื่อเช้าที่ผ่านมา
ณ เมืองหนานอัน เมืองแห่งการค้าขายของแคว้นต้าตง ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหนานอันแห่งนี้นั้น ทำให้มีตระกูลของขุนนางและตระกูลของพ่อค้าจากหลากหลายสกุลมาสร้างจวนและลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองแห่งนี้ รวมไปถึงจวนสกุลหลินของเจ้ากรมการกลาโหม 'หลินหยาง' ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในจวน เขามีฮูหยินและมีอนุภรรยาอีกสองคน มีบุตรชายกับบุตรีรวมห้าคน จากฮูหยินสองคนคือ ‘หลินชูจ้าน’ และ ‘หลินเยว่หรู’ กับอนุภรรยารองสองคนคือ ‘หลินจางหลง’ และ ‘หลินจินหรู’ และจากอนุภรรยาคนที่สองอีกหนึ่งคน คือ 'หลินซูเหมย' ภายในจวนแห่งนี้นั้นจึงมีเรือนทั้งหมดสี่หลัง หลังแรกเป็นบ้านใหญ่ และไล่ไปตามลำดับ“ท่านพี่...ลูกซูเหมยป่วยอีกแล้วเจ้าค่ะ” อนุซูฉีมารดาของหลินซูเหมยบอกผู้เป็นสามีขณะที่เขามาค้างที่เรือน"เจ้าว่าอย่างไรนะ ลูกห้าป่วยอีกแล้วอย่างนั้นหรือ" หลินหยางเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย เขาเป็นชายที่ไม่ลำเอียง รักและห่วงใยบุตรทุกคนของตนอย่างเท่าเทียมกัน"เจ้าค่ะท่านพี่ ยิ่งนางเติบโตขึ้นก็ยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ""แล้วเจ้าตามท่านหมอมาดูนางหรือยัง"“ตามมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านหมอบอกเพียงว่าลูกห้านั้นมีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก นางต้องออกกำลังให้มา
เสียงเนื้อกระทบกับกระสอบทรายดังขึ้นมาไม่ขาดสาย ค่ายมวยที่เต็มไปด้วยนักมวยชายรูปร่างกำยำกำลังฝึกซ้อมมวยกันอยู่อย่างขะมักเขม้น รวมไปถึงร่างเล็กแต่กำยำของหญิงสาวที่มีใบหน้าสะสวยกำลังซ้อมอยู่กับคู่ซ้อมที่เป็นชายอยู่อย่างไม่เกรงกลัว ท่าทางออกหมัด เท้า เข่า ศอกของเธอเป็นไปอย่างชำนาญ อีกทั้งยังหลบหลีกคู่ต่อสู้ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวเสียงระฆังดังเตือนหมดยกจากข้างเวทีมวย ร่างบางจึงเดินกลับไปทิ้งตัวลงที่เก้าอี้พักผ่อนของเธอ อมิตายกขวดน้ำเกลือแร่ขึ้นมาดื่ม ก่อนที่จะหยิบผ้าเย็นที่พี่เลี้ยงเตรียมเอาไว้ให้ขึ้นมาเช็ดเหงื่อ“อีกตั้งหลายเดือนกว่าจะได้แข่งอีก พี่ต้าทำไมซ้อมหนักจัง” ไข่หวานนักมวยสาวสมัครเล่นภายในค่ายมวยอรุณรุ่งแห่งนี้เอ่ยถามไอดอลของเธอออกมา“ก็เพราะการรักษาแชมป์พี่จึงต้องฝึกให้ร่างกายพร้อมและตื่นตัวอยู่เสมอไง” ต้า นางฟ้าเอเชียหรือ อมิตานักมวยคนสวยตอบรุ่นน้องด้วยรอยยิ้ม“อนาคตข้างหน้า หากไข่หวานได้ก้าวขึ้นสังเวียน ไข่หวานต้องจำเอาไว้ให้ดีว่าการเป็นแชมป์มันไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการรักษาแชมป์ เข้าใจไหม” อมิตาบอกรุ่นน้องสาวก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินไปกลางเวทีนวมของเธอชนกับนวมของคู่ซ้อ
เมืองหนานอัน ยามโหยว่(1)ภายในเรือนหลังขนาดกลางของอนุจินหรง เสียงเอะอะโวยวายปะปนกับเสียงร้องไห้ของหญิงต่างวัยดังขึ้น ณ ยามนี้ผู้เป็นใหญ่ของจวนแห่งนี้กำลังสั่งให้บ่าวรับใช้ลงโทษบุตรีที่เกิดจากอนุจินหรงรวมไปถึงสองสาวใช้ที่ติดตามนาง สาเหตุของการลงโทษในครั้งนี้นั้น เป็นเพราะหลินเยว่หรูหรือคุณหนูรองของฮูหยินใหญ่ ได้รายงานถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานกับน้องห้าของเธอให้บิดาฟัง ทำให้เย็นนี้เขาต้องมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง เมื่อไตร่สวนแล้วพบว่าเรื่องที่หลินเยว่หรูเล่ามานั้นคือเรื่องจริง“นังลูกไม่รักดี!!! เหตุใดเจ้าถึงต้องกระทำการรุนแรงกับบ่าวของน้องสาวเจ้าด้วย พ่อเคยสั่งสอนเจ้าแล้วมิใช่หรือว่ามิให้ใช้กำลังไม่ว่าจะกับใครก็ตาม"“ท่านพ่อลูกขอโทษเจ้าค่ะ ลูกขอโทษฮือๆๆๆ” คุณหนูสี่ร้องไห้คร่ำครวญกล่าวคำขอโทษออกมา"แล้วเจ้า… ไปยุ่งอันใดกับน้องสาวของเจ้าหรือไม่ น้องห้าของเจ้าร่างกายอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร เจ้าต้องรักและเอ็นดูนาง มิใช่ไปรังแกนาง”“ท่านพี่… อภัยให้ลูกสี่เถอะนะเจ้าคะ ลูกสี่ไม่ได้ตั้งใจ อีกอย่างนางยังเด็กนัก ยังไม่รู้ความ” อนุจินหรงคุกเข่าอ้อนวอนผู้เป็นสามี“หุบปาก!!! อนุจิน หากเจ้าดูแลนาง
ค่ายมวยอรุณรุ่งนักมวยของค่ายมารวมตัวกันในวันนี้ไม่ใช่เพราะมีการแข่งขันหรือการฝึกซ้อมชกมวยแต่อย่างใด แต่มาเพื่อช่วยกันจัดสถานที่ ในการจัดงานวันคล้ายวันเกิดครบรอบยี่สิบปีให้กับทายาทของเจ้าของค่าย หรืออีกในสถานะหนึ่งคือ นักมวยสาวดาวรุ่งที่กำลังเป็นที่จับตามองในขณะนี้ ฉายา ‘ต้า นางฟ้ามวยไทย’ ไม่ได้มาเล่นๆ เพราะนอกจากความสวยแล้วการออกอาวุธบนเวทีของเธอนั้นยังทำให้คู่แข่งจดจำเธอไปอีกนาน“พี่ต้า ทำอะไรอยู่คะ” เสียงหวานของไข่หวานนักมวยสาวรุ่นน้องวัยสิบเจ็ดปีเอ่ยถามขึ้น“กำลังดูซีรีส์จีน เนี่ยเรื่องนี้กำลังสนุกเลย พระนางฉลาดทันกัน ชิงไหวชิงพริบกันสุดๆ” ต้า หรืออมิตาบอกนักมวยสาวรุ่นน้องที่วันนี้มาช่วยจัดสถานที่ในงานวันคล้ายวันเกิดของเธอในวันรุ่งขึ้น“หือ…. พี่ต้าชอบดูซีรีส์จีนเหรอคะ” ไข่หวานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“อืม… ชอบมาก ดูตลอดเวลาที่ว่าง คิกๆๆ” นางฟ้ามวยไทยตอบพร้อมทั้งหัวเราะออกมา“อือ…. เรื่องนี้ไข่หวานก็ชอบ เรื่องก่อนนั้นดูไม่ไหว นางเอกอ่อนแอ เป็นลูกอนุ
“ไข่หวาน!!! พี่ต้าเป็นยังไงบ้าง” อรุณเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ครู… พี่ต้า…. พี่ต้าเสียแล้วจ้ะ หมอบอกว่าพี่ต้าทนพิษบาดแผลไม่ไหว เธอเสียเลือดมากก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาล ฮือๆๆ ครูจ๋า พี่ต้าไม่อยู่แล้ว ฮือๆๆๆ”ไข่หวานบอกครูมวยของเธอออกมาทั้งน้ำตา อรุณเกิดอาการช็อกจนเป็นลมล้มลงไป ดีที่นักมวยหนุ่มๆ รีบเข้าประคองร่างของเจ้าของค่ายมวยได้ทันควัน เขาจึงไม่ได้ล้มลงไปบนพื้นของโรงพยาบาล เมื่อได้สติอรุณจึงเข้าไปดูร่างของบุตรสาว น้ำตาของลูกผู้ชายไหลลงมาอาบแก้ม เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าบุตรสาวของเขาจะมีอายุสั้นถึงเพียงนี้ เจ้าของกระเป๋าเมื่อรู้ข่าวเธอจึงเดินทางมาขอบคุณและขอโทษอรุณที่ทำให้เขาต้องสูญเสียบุตรสาวเพียงคนเดียวไป อรุณไม่ได้โกรธใคร เขาภูมิใจด้วยซ้ำที่บุตรสาวของเขาจากไปเพราะทำความดีข่าวการเสียชีวิตของนักมวยสาวดาวรุ่งวัยสิบเก้าปี ที่กำลังจะย่างเข้าสู่วัยยี่สิบปีในวันถัดมาถูกตีแผ่ออกไปอย่างรวดเร็ว ข่าวนี้นับเป็นข่าวที่หดหู่ สร้างความเสียใจให้กับแฟนมวยทั้งประเทศและต่างประเทศเป็นอย่างมาก นอกจากเธอจะเป็นนักมวยที่มีฝีมือและชื่อเส
อมิตาหลับไปจากอาการอ่อนเพลียที่ยังคงมีอยู่ เธอยังคงมีความหวังว่าตื่นขึ้นมาแล้วเธอจะสามารถกลับไปยังโลกเดิม โลกที่เธอจากมา หากเธอยังไม่ตายจากโลกนั้นจริงๆ แต่ถ้าหากเธอตายแล้ว เธอก็จะขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ในร่างของเด็กสาวผู้อ่อนแอผู้นี้ ภาษาการพูดการฟังเธอสามารถรับฟังและพูดภาษาของคนที่นี่ได้ออกมาอัตโนมัติ ราวกับว่าเป็นคนที่อยู่เมืองแห่งนี้มานานอย่างไรอย่างนั้น นั่นอาจจะเป็นผลพลอยได้จากเจ้าของร่างนี้ที่ทิ้งความเคียดแค้นเอาไว้ให้เธอ เพื่อทวงคืนความยุติธรรมและนำร่างนี้ทำความดีต่อไป“คุณหนู… เมื่อไหร่จะตื่นเสียทีล่ะเจ้าคะ บ่าวรอคุณหนูตื่นมาคุยกับบ่าวตั้งนานแล้วนะเจ้าคะ ท่านแม่ของคุณหนูก็รอคุณหนูอยู่ รีบตื่นขึ้นมาเถอะเจ้าค่ะ” เสี่ยวเอ๋อร้องเรียกคุณหนูห้าอยู่ที่ข้างเตียง ถึงแม้ท่านหมอจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ทว่านางเองก็ไม่ยอมวางใจ“ขอน้ำหน่อย…” เปลือกตาบางที่เปิดออกพร้อมกับริมฝีปากที่แห้งผาก“คุณหนู!!!! คุณหนูฟื้นแล้ว!!! นี่เจ้าค่ะน้ำ” เสี่ยวเอ๋อรีบประคองคุณหนูห้าขึ้นมาแล้วนำน้ำในถ้วยชาให้เธอดื่ม“แค่กๆๆ” อม
“ไม่เป็นอันใดมากก็ดีแล้ว ต่อจากนี้เจ้าก็ดูแลตัวเองให้ดีๆ อย่าไปเดินใกล้น้ำอีก เข้าใจไหม” หลินฮูหยินเอ่ยออกมาอย่างมีเมตตา“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ลูกขอขอบพระคุณในความกรุณาของท่านพ่อกับแม่ใหญ่ด้วยนะเจ้าคะ” อมิตาในร่างหลินซูเหมยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนอบน้อมหลินฮูหยินไม่เคยถือสาหาความกับเด็กสาวเพราะนางป่วยมาตั้งแต่เด็กๆ การที่นางไม่ได้ไปคารวะตนเองที่เรือนใหญ่ในทุกๆ เช้าก็เป็นเพราะนางป่วยกระออดกระแอดมาตั้งแต่เกิด นับได้ว่าเป็นบุตรีในจวนที่มีชะตาชีวิตน่าสงสารที่สุด“เช่นนั้น เจ้าพักผ่อนเถอะเหมยเอ๋อ พ่อกับแม่ใหญ่กลับเรือนก่อนล่ะ หากรู้สึกไม่ดีหรือไม่สบายตรงไหนเจ้าให้คนไปตามท่านหมอหวงมาดูอาการลูกห้าด้วยนะซูฉี” เจ้ากรมการกลาโหมบอกบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนที่จะหันไปสั่งอนุภรรยาของตน“เจ้าค่ะท่านพี่” อนุซูฉีตอบสามีก่อนที่เธอจะคำนับส่งเขาและหลินฮูหยิน“พี่กลับเรือนก่อนหนา หากเจ้ารู้สึกดีขึ้นก็ไปหาพี่ที่เรือนได้ อีกไม่นานพี่ก็จะออกเรือนแล้ว”คุณหนูรองบอกน้องสาวต่างมารดา อมิตาดูพี่สาวผู้นี้น่
จวนเจ้ากรมการกลาโหมที่เรือนรับรอง วันนี้มีการต้อนรับตระกูลโจวของเสนาบดีกรมยุติธรรมที่กำลังจะเกี่ยวดองกันในเร็ววันนี้ โจวถิงหลาน บัณฑิตหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มีใบหน้าหล่อเหลาซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลโจว เขาดูเหมาะสมกับบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเจ้ากรมการกลาโหมอย่างหลินเยว่หรูยิ่งนัก ชายหญิงทั้งสองนั่งเคียงข้างกันดูเหมาะสมราวกับคู่ที่ฟ้าดินสร้างมา“อีกสองเดือนเราสองตระกูลก็จะเกี่ยวดองกันแล้ว ข้าล่ะดีใจยิ่งนัก”เจ้ากรมการกลาโหมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี แววตาที่มองไปยังสองหนุ่มสาวนั้นล้วนแล้วแต่แสดงออกว่ามีความสุขที่บุตรสาวคนรองของตนกำลังจะได้ออกเรือนไปกับผู้ชายดีๆ“ข้าก็ดีใจ และรู้สึกยินดีเช่นเดียวกันกับท่านใต้เท้า” โจวถิงเหวิน เสนาบดีกรมยุติธรรมเอ่ยออกมา“แล้วบุตรชายคนโตของท่านล่ะ วันนี้เขามิได้กลับจวนหรอกหรือ”“ช่วงนี้หลินชูจ้านไม่ว่างน่ะ เห็นบอกว่ามีงานที่ต้องทำให้เสร็จก่อนกลับมาเยี่ยมจวน ส่วนลูกสามของข้าก็ไม่ว่างเช่นกัน เขาก็ยุ่งอยู่กับงานไม่ต่างจากพี่ใหญ่ของเขา”หลินหยางตอบด้วยน้ำเสียงภาค
หลังรับประทานอาหารเย็นร่วมกันเสร็จ อนุซูฉีจึงเอ่ยขอตัวกลับเรือนก่อน นางเจียมตัวและรู้ดีว่าที่นี่มิใช่ที่ของนาง หลินซูเหมย แม่ทัพฟางเซี่ยหมินและบุตรชายที่กำลังจะติดตามมารดาของนางไปนอนค้างที่เรือนก็ต้องชะงักเท้าเมื่อหลินจินหรู หรือพี่สี่ร้องเรียกนางเอาไว้ หลินซูเหมยจึงบอกให้มารดาพาหลานและท่านแม่ทัพกลับไปเรือนก่อนแล้วนางจะตามไป มีเพียงมู่หลันที่ต้องอยู่กับนายหญิงเพื่อคอยดูแลนาง“พี่ขอคุยกับเจ้าสักประเดี๋ยว”หลินซูเหมยจึงบอกให้มู่หลันหลบไปให้ห่างๆ เพราะเท่าที่ดูพี่หญิงสี่ผู้นี้คงจะมีเรื่องสำคัญอยากที่จะคุยกับนาง เมื่อสาวรับใช้ของทั้งสองเดินหลบไปยืนอยู่ไกลๆแล้ว สตรีทั้งสองจึงยืนประจันหน้ากันอยู่ตามลำพัง แววตาที่เคยอิจฉาริษยาของพี่สาวผู้นี้ดูเปลี่ยนไป“ที่ผ่านมาพี่ขออภัยต่อเจ้าด้วย ตอนนั้นพี่อาจจะยังเด็กจึงยังตีความหมายของคำว่ารักไม่เข้าใจ ตอนนั้นพี่เข้าใจว่าท่านพ่อรักเจ้า ท่านพี่หญิงรองเอ็นดูเจ้า พี่เข้าใจว่าเจ้าแย่งความรักจากพวกเขาไป แต่พอพี่เสียท่านแม่ไป พี่ถึงได้รู้ว่าความอิจฉาริษยาที่พี่มีต่อเจ้าในอดีตทำให้ท่านแม่ของพี่ต้องมาทำผิดเพื่อพี่จนมีจุด
หลังจากงานแต่งงานของฟางเซี่ยฉินผ่านพ้นไป ฟางเซี่ยหมินจึงพาภรรยาและบุตรชายไปพักที่จวนสกุลหลินต่อ เพราะตอนที่เดินทางมานั้นยังไม่ได้แวะคารวะบิดามารดาของภรรยาเลย ด้วยภาระหน้าที่ตำแหน่งแม่ทัพที่ต้องแบกรับจึงมิอาจสามารถกลับมาเยี่ยมทั้งสองครอบครัวได้บ่อยๆ เมื่อคำนับลาใต้เท้าฟางกับฟางฮูหยินแล้ว รถม้าของจวนแม่ทัพทิศเหนือจึงมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลหลินณ ยามนี้ที่ด้านหน้าจวนมีรถม้าจากจวนสกุลโจวและรถม้าจากจวนสกุลซื่อมาจอดอยู่ก่อนหน้าแล้ว เมื่อสองสามีภรรยาพร้อมกับลูกชายตัวน้อยเดินทางมาถึงจึงได้พบกับพี่สาวทั้งสองนางของหลินซูเหมย แม้แรกๆ หลินจินหรูจะรู้สึกไม่ดีที่ได้พบเจอน้องห้าที่มิได้พบเจอกันมานาน แต่นางก็เริ่มที่จะปล่อยวางเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมิได้ติดใจเอาความเรื่องราวในอดีตแต่อย่างใด“คารวะท่านพ่อตา ท่านแม่ยายขอรับ”“คารวะท่านพ่อท่านแม่ใหญ่เจ้าค่ะ” สองสามีภรรยาที่เพิ่งเดินทางมาถึงเข้าไปคำนับผู้ใหญ่ทั้งสอง“ตามสบายเขยห้า เหมยเอ๋อร์ นั่นใช่เหวินเอ๋อร์ใช่หรือไม่"ใต้เท้าหลินยิ้มแย้มก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อเห็นเด็กชายตัวน้อยที่ยืนเขินอ
“จ้านเอ๋อร์ ดูน้องด้วยนะลูก” สะใภ้ใหญ่เอ่ยขึ้นบ้าง“เพิ่งจะขวบกว่าๆ แต่ซนนักเจ้าค่ะ” หลินซูเหมยเอ่ยออกมาพลางยกน้ำชาขึ้นมาจิบ เสี่ยวเอ๋อมิได้ติดตามนางมาด้วยเพราะว่ากำลังตั้งครรภ์ นางจึงให้มู่หลันติดตามนางกับแม่นมฉวนที่กลับมาอยู่ที่จวนแม่ทัพเช่นเดิม“สายเลือดนักรบแรงกล้า เจ้าคงต้องทำใจแล้วล่ะน้องสะใภ้สาม” พี่สะใภ้รองขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม“นั่นน่ะสิเจ้าคะ พวกบ่าวในเรือนช่วยกันวิ่งตามจับแทบจะไม่ทัน” หลินซูเหมยเห็นด้วย บุตรชายของนางผู้นี้ช่างมีพลังเยอะเหลือล้น เขาวิ่งเล่นจนบ่าวในเรือนพากันเหน็ดเหนื่อยที่ต้องคอยวิ่งตามระแวดระวังความปลอดภัยให้กับคุณชายน้อยสตรีทั้งสามนั่งพูดคุยกันขณะที่สายตาก็จ้องมองบุตรของพวกตนไปด้วย ฟางเซี่ยฉินที่เตรียมตัวจะออกเรือนในวันพรุ่งนี้เดินเข้ามาหาพี่สะใภ้ทั้งสามกับหลานๆ ที่สวนดอกไม้แห่งนี้ นางตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก จึงอยากจะมาขอคำปรึกษาพี่สะใภ้ซึ่งล้วนแต่เป็นสตรีด้วยกันทั้งสาม“คารวะพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง พี่สะใภ้สามเจ้าค่ะ” เจ้าของเรือนร่างงามคำนับสตรีทั้งสามที่กำล
ในขณะที่ท่านแม่ทัพอดหลับอดนอนเพื่อดูแลภรรยาที่นอนหลับไปสามวันสามคืน นิ้วมือของเจ้าของร่างอวบอิ่มก็เริ่มขยับจนคนที่กุมเอาไว้รู้สึกไปด้วย เขาลุกขึ้นก่อนที่จะเรียกท่านหมอที่เขาเชิญให้อยู่ดูอาการให้ภรรยาของเขาตั้งแต่วันแรกที่นางสลบไป“ท่านหมอ… ฮูหยินของข้านางรู้สึกตัวแล้ว รีบมาตรวจดูอาการของนางเร็วเข้า”ท่านหมอชุนรีบเข้ามาในห้องนอนของท่านแม่ทัพ ก่อนที่จะลงมือจับชีพจรของฮูหยิน เป็นปกติ นางรอดพ้นเงื้อมมือของมัจจุราชมาได้แล้ว“รายงานท่านแม่ทัพ อาการของนายหญิงตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วขอรับ นางปลอดภัยแล้วขอรับ” หมอหลวงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี ท่านแม่ทัพรีบปรี่เข้าไปหาภรรยาก่อนที่จะจับมือนางมากุมเอาไว้“น้องหญิง… ตื่นเถิด พี่กับลูกรอเจ้านานแล้วนะ แม่นมฉวน พาเหวินเอ๋อร์มาหาข้าทีเถิด ข้าจะให้เขาได้ปลุกแม่ของเขา ให้นางตื่นขึ้นมาให้นมเขาเองเสียที”แม่นมฉวนน้ำตาคลอเมื่อรู้ว่านายหญิงปลอดภัยแล้ว นางรีบอุ้มคุณชายน้อยมาส่งให้กับคุณชายสาม เขารับร่างเล็กที่นอนมองหน้าเขาตาแป๋วมาอุ้มเอาไว้พลางนำมือของภรรยามาวางไว้บนมือของลูกน
หมอตำแยจัดการทำความสะอาดและดูแลแผลให้กับนาง พร้อมกับพาคุณชายน้อยมารับน้ำนมจากถันงามของฮูหยิน ทารกน้อยดูดกลืนน้ำนมจากเต้างามของมารดา หลินซูเหมยสลบไปแล้วจึงมิได้รับรู้ว่าบุตรชายตัวน้อยของนางนั้นหน้าตาน่ารักน่าชังขนาดไหน“ท่านแม่ทัพ ได้คุณชายน้อยเจ้าค่ะ"มู่หลันออกมารายงาน แม่นมฉวนอุ้มทารกน้อยในห่อผ้าออกมาหลังจากที่คุณชายน้อยดูดนมจากอกของนายหญิงจนอิ่มแล้ว“ลูกพ่อ…” เขารับมาอุ้มก่อนที่จะกดจมูกโด่งลงบนหน้าผากเล็กของบุตรชาย“คุณชายสาม ตั้งชื่อคุณชายน้อยไว้หรือยังเจ้าคะ” แม่นมฉวนเอ่ยถามคุณชายของตนยิ้มๆ“ฟางเซี่ยเหวิน เขามีชื่อว่า ฟางเซี่ยเหวิน” คนที่ได้เป็นพ่อหมาดๆ ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“แล้วฮูหยินล่ะ นางเป็นเช่นไรบ้าง” เขาไม่ลืมที่จะเอ่ยถามถึงภรรยา“ฮูหยินสลบไปหลังจากคลอดคุณชายน้อยเจ้าค่ะ อาจจะเพราะความอ่อนเพลีย นางจึงยังไม่รู้สึกตัว” หมอตำแยที่เดินออกจากห้องนอนที่เพิ่งทำคลอดให้กับคุณชายน้อยตอบออกมา“สลบเช่นนั้นหรือ นี่เป็นเรื่องปกติหรือไม่”
ความสุขเกิดขึ้นหลังจากสงครามสงบ หนึ่งเดือนให้หลังตงหลงกับเสี่ยวเอ๋อก็ได้แต่งงานกัน แต่ทว่าทั้งสองก็ยังคงอยู่รับใช้ท่านแม่ทัพและนายหญิงใหญ่ที่จวนแม่ทัพทิศเหนือไม่ได้พากันย้ายออกไปไหน แม่นมฉวน แม่นมของแม่ทัพฟางเซี่ยหมินได้เดินทางมาคอยดูแลนายหญิงที่จวนแม่ทัพที่เมืองหนานถิงหลังจากอายุครรภ์ของนายหญิงใหญ่เริ่มมากขึ้น เพราะสาวรับใช้ที่อยู่ที่จวนแห่งนี้มีแต่สาวแรกรุ่นกับคนที่มิเคยผ่านการดูแลเด็กมาก่อน“นายหญิง… ช้าๆ หน่อยเจ้าค่ะ” แม่นมฉวนที่พยุงเรือนร่างอวบอิ่มของนายหญิงเอ่ยออกมา“โถ่…แม่นมฉวน ข้ามิเป็นอันใดหรอกนะ นี่เพิ่งจะห้าเดือนเอง ยังอีกนาน” ฮูหยินแม่ทัพยิ้มก่อนที่จะเอ่ยออกมาเมื่อเห็นแม่นมของสามีแสดงอาการห่วงใยจนเกินเหตุ“ถึงแบบนั้นก็เถอะเจ้าค่ะ นายหญิงต้องดูแลตัวเองดีๆ นะเจ้าคะ ท่านแม่ทัพท่านจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” แม่นมฉวนเอ่ยออกมาประคองนายหญิงไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวที่อยู่ริมหน้าต่าง“นายหญิงหิวหรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวเอ๋อเอ่ยถามนายหญิงออกมา“อืม… อยากกินขนมกุ้ยฮวา” น้ำเสียง
ทหารจากกองทัพหนานอันที่เดินทางมาเป็นกองหนุนให้กับกองทัพทิศเหนือเดินทางกลับเมืองหนานอันทันทีที่ท่านแม่ทัพทิศเหนือเดินทางกลับมาถึงเมืองหนานถิง ข่าวเรื่องการทำคุณงามความดีของฮูหยินแม่ทัพทิศเหนือที่ได้จัดตั้งศูนย์พักพิงและแจกอาหารให้แก่ชาวเมืองซาย่าที่ลี้ภัยมาช่วงสงครามถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งแคว้นต้าตง ใต้เท้าหลินถูกชื่นชมจากเหล่าขุนนาง ถึงเรื่องที่บุตรีสร้างผลงานให้แก่บ้านเมืองมิต่างจากผู้เป็นสามี“ท่านเลี้ยงดูบุตรีได้ดียิ่งนักท่านใต้เท้าหลิน ได้บุตรเขยก็ดี เป็นแม่ทัพทิศเหนือที่เก่งกาจ” ใต้เท้าหยวน ขุนนางในเมืองหนานอันเอ่ยชมใต้เท้าหลินออกมา“ขอบคุณ ขอบคุณ เรื่องสามีของนางก็เป็นวาสนาของนางเอง ข้าก็เลยได้หน้าไปด้วย” เขาบอกออกมาอย่างถ่อมตน เขามิเคยโอ้อวดว่าบุตรเขยนั้นเป็นถึงแม่ทัพ“ท่านก็ช่างถ่อมตนยิ่งนัก”เสียงหัวเราะจากเหล่าขุนนางดังออกมา หลังจากนี้แคว้นต้าตงคงจะมีแค่ความสงบสุข เพราะมิว่าศัตรูจะมารุกรานทิศใด แม่ทัพของทิศนั้นก็สามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี“อีกเรื่องข้าขอแสดงความยินดีกับท่านด้วยนะ เรื่องที่บุตรีขอ
กองทัพฝั่งศัตรูรีรอที่จะตีเมืองซาย่าเพราะรอทหารที่แอบลอบเข้าไปในเมืองหนานถิงเพื่อจับฮูหยินของแม่ทัพทิศเหนือมาเป็นตัวประกันเพื่อให้อีกฝ่ายยอมวางอาวุธและให้พวกเขายึดเมืองแต่โดยดี รออยู่นานเกือบสัปดาห์จนเสบียงร่อยหรอก็ยังมิมีผู้ใดกลับออกมา แม่ทัพของแคว้นต้าเฉวียนจึงมิอาจรีรอได้อีก เพราะยิ่งรอนานกองทัพทหารของเขาก็ยิ่งเสียเปรียบ แถมเส้นทางการส่งเสบียงมาให้กองทัพยังมีพวกโจรที่แอบอาศัยอยู่ในเมืองฉงหนานปล้นเสบียงจนทำให้กองทัพเสบียงเดินทางมาไม่ถึงชายแดนอีก เรียกได้ว่าศึกในยังไม่สงบแต่ฮ่องเต้ของแคว้นก็อยากจะสร้างศึกนอกเสียแล้วแม่ทัพของแคว้นฉงหนานส่งสัญญาณให้เหล่าทหารเตรียมพร้อม เสียงเป่าแตรที่เป็นสัญญาณออกรบดังขึ้น กองทัพธนูจึงเดินนำหน้าไปก่อน ต่อด้วยกองทัพเดินเท้าและทหารม้าเรียงหน้ากระดานเข้าไปใกล้เขตเชื่อมต่อของเมืองฉงหนานและเมืองซาย่า แม่ทัพฟางเซี่ยหมินจึงเตรียมส่งสัญญาณให้ทหารที่ไปรออยู่ที่ฝายเก็บน้ำแล้วเตรียมปล่อยน้ำออกมาเช่นกัน และเมื่อกองทัพฝั่งศัตรูกำลังพากันเดินลงมาในเส้นทางน้ำ พลุที่นายทหารเตรียมไว้ก็ถูกจุดทันทีที่ท่านแม่ทัพทิศเหนือทำสัญญาณมือเหล่าทหารกล้าของกองทัพหน
กองทัพทหารนับสามหมื่นนาย ซึ่งนำทัพโดยท่านแม่ทัพฟางเซี่ยหมิน แม่ทัพทิศเหนือผู้องอาจน่าเกรงขาม ที่มิว่าจะเยือนสนามรบใด ศีรษะของศัตรูมักจะถูกบั่นออกจากคอทุกครั้งไป เขาใช้เวลานำทัพเดินทางไปถึงเมืองซาย่าจากเมืองหนานถิงนานถึงสามวันสามคืน ระหว่างทางพบเจอกับชาวเมืองที่อพยพทิ้งเมืองมาเพราะความหวาดกลัว เป็นภาพที่เขาเห็นทีไรก็รู้สึกเจ็บปวดใจ สงครามมิเคยนำความสงบสุขมาให้แก่ผู้ใด มีสงครามที่ใดก็มีแต่การนองเลือดและการสูญเสียบุคคลที่รัก“สถานการณ์ด้านนอกประตูเมือง กองทัพของแคว้นต้าเฉวียนอยู่ห่างจากเมืองออกไปประมาณสองหมื่นลี้ มีทหารร่วมทัพมาราวๆ สามถึงห้าหมื่นนาย” แม่ทัพภาคเข้ามารายงานต่อท่านแม่ทัพทิศเหนือที่ยืนสูงสง่าอยู่ด้านหน้าสุดบนกำแพงเมืองซาย่า“ข้ารู้มาว่าเขตแดนระหว่างเมืองซาย่ากับเมืองฉงหนานของแคว้นต้าเฉวียนมีแม่น้ำตัดผ่านใช่หรือไม่” เสียงเข้มของท่านแม่ทัพหนุ่มดังขึ้น“ใช่แล้วขอรับ แต่ตอนนี้น้ำในแม่น้ำนั้นแห้งขอด จึงไม่มีน้ำไหลผ่านมาขวางทางทหารเหล่านั้นแล้วขอรับ” แม่ทัพภาคตอบตามความจริง“แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าเรามีฝายกั