เซี่ยหลูโม่รีบกลับจวนและมาที่ห้องประชุม อาจารย์กำลังนั่งอยู่ที่ที่นั่งหลักรอให้ทุกคนกลับมารายงานเขาให้อาจารย์หยูไปสืบข้อมูลของขุนนางหญิงทั้งสามคนที่มาในครั้งนี้ เพื่อตรวจดูให้ละเอียดมากหน่อยยามจือที่หอฮุยตงเสิ่นว่านจือดื่มชาไปเยอะมาก และรู้สึกกลั้นไว้ไม่หยุดแล้ว จึงบอกกับองครักษ์ของซีจิงว่าจะไปเข้าห้องส้วม ส่วนซ่งซีซีก็ลุกขึ้นไปพร้อมกันด้วยองครักษ์ซีจิงตามหาสาวใช้ที่สามารถพูดภาษาซางมา จากนั้นพาพวกนางไปห้องส้วมเมื่อเดินผ่านลานหลักของหอฮุยตง กลับได้เห็นแสงไฟสว่างจ้าในข้างใน และเสียงปากเสียงดังมาออก ซ่งซีซีมองดูแวบหนึ่งและเห็นว่าพวกนักการทูตเกือบทั้งหมดนั่งอยู่ข้างใน และขุนนางหญิงที่อยู่ข้างกายองค์หญิงใหญ่ก็อยู่ที่นั่นด้วย ที่นั่นมีคนมากกว่าสิบกว่าคนกำลังพูดจาโต้ตอบกัน มีเสียงไม่ได้ดังมากนัก แต่สีหน้าของบางคนก็ดูเคร่งขรึมและบางคนก็ดูโกรธๆซ่งซีซีเข้าใจภาษซีจิงแค่บางคำ จึงไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังโต้เถียงกันเรื่องอะไรอยู่ แค่เข้าใจคำว่า "อันตราย" และ "อันตรายมาก" เท่านั้นซ่งซีซียืนนิ่งและต้องการฟังให้ชัดเจนมากกว่านี้ แต่ถูกสาวใช้เร่งให้ออกไปซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเดินไปยังห้องส
ห้องประชุมของจวนเป่ยหมิงอ๋องอาจารย์หยูจัดเรียงข้อมูลทั้งหมดของขุนนางหญิงสามคนนั้นออกมา เซี่ยงผิง อันหวินหลูและฮั่วหย้าถิง"กล่าวได้ว่าทั้งสามคนนี้ล้วนเป็นคนสนิทขององค์หญิงใหญ่ ผู้หญิงของซีจิงเป็นขุนนางที่ราชสำนัก ล้วนไม่สามารถดำรงตำแหน่งที่สำคัญได้ เซี่ยงผิงเป็นขุนนางหญิงคนแรกที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นสู่ระดับชั้นห้า องค์หญิงใหญ่ให้ความสำคัญกับนางมาก รองมาก็คือฮั่วหย้าถิง บุตรีของฮูหยินเอกของผู้นำตระกูลฮั่วในซีจิง ภรรยาของซูลันจีคือป้าของนาง คนสุดท้ายคืออันหวินหลู อันหวินหลูคนนี้เป็นลูกสาวของสามัญชน เรียนหนังสืออย่างหนักและสุดท้ายได้สอบติดขุนนางเป็นอันดับที่หนึ่ง ติดตามข้างกายองค์หญิงใหญ่ช่วยจัดการธุรกิจการเมืองด้วย พวกนางทั้งสามได้ติดตามองค์หญิงใหญ่ตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ยังอยู่ ข้อมูลที่เราสืบสวนในก่อนหน้านี้คือทั้งสามคนนี้ภักดีต่อองค์หญิงเป็นอย่างมาก"เซี่ยหลูโม่หยิบข้อมูลของทั้งสามคนขึ้นมาและพิจารณาอย่างรอบคอบ รวมถึงชื่อ อายุ นิสัย ต้นกำเนิด ทะเบียนบ้าน การแต่งงาน ครอบครัว รวมถึงวันที่พวกนางเข้ารับเป็นขุนนางและสิ่งที่พวกนางทำหลังจากที่เซี่ยหลูโม่อ่านมารอบหนึ่งแล้ว เขาก็กลับไปดู
ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "เจ้าไปเชิญลุงดันมาที่นี่ก่อน แล้วข้าจะคิดหาวิธีเข้าไปสอบสวนดูอีกที"ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ไปตามกาหมอมหัศจรรย์ดันมาได้เตรียมตัวให้พร้อมจะดีกว่าเสิ่นว่านจือกล่าวว่า "ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้"เสิ่นว่านจือออกไปแล้วรีบขี่ม้าออกเดินทาง ตอนกลางคืนยังค่อนข้างหนาว ต้องลำบากหมอมหัศจรรย์ดันจริงๆนางพบกับกุ้นเอ๋อร์ในครึ่งทาง แต่กุ้นเอ๋อร์ดูเหมือนจะไม่เห็นนาง และขี่ตรงผ่านนางไป นางตะโกนเสียงดัง หลังจากใช้เวลาสักพักก่อนจะได้ยินเสียงกีบม้ากลับมาซ่งซีซีให้กองกำลังเมืองหลวงเฝ้าประตูไว้ และไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไป หากเป็นกลอุบาย ก็กลัวว่านางจะไม่ลงมือ พวกเขาได้จัดคนไว้ ยังไงก็ควรให้ระวังตัวหน่อยนางออกจากห้องเล็กของผู้ดูแลประตู และเดินไปรอบๆ หอฮุยตง เนื่องจากข้างนอกหอฮุยตงล้วนเป็นคนของนางเอง จึงไม่ได้เป็นอะไรที่นางเดินรอบๆ อยู่ข้างนอกหลังจากเดินไปสักพัก นางก็บินเข้าไปจากกำแพงหลังลานเห็นได้ชัดว่าระบบการป้องกันข้างในไม่แน่นหนาขนาดนั้น ไม่รู้ว่าทิ้งช่องโหว่ไว้โดยเจตนาหรือไม่นางรู้ว่าองค์หญิงใหญ่อาศัยอยู่ในลานด้านตะวันออก แต่สถานที่ ที่นางยืนอยู่ห่างจากลานด้านต
หลังจากนั้นไม่นาน ผิงหวูจูงก็ปรากฏตัวที่หน้าประตูหอฮุยตง นางคงไม่ได้มาคนเดียว เพราะเมื่อกี้ที่ซ่งซีซีเจอนาง นางสวมชุดดำกลางคืน ตอนนี้นางสวมชุดธรรมดา และชุดดำกลางคืนก็ไม่อยู่ในมือด้วย"ศิษย์พี่ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?" ซ่งซีซีรีบเข้าไปถามนางผิงหวูจูงกล่าวว่า "ข้าฟังอยู่บนหลังคาขององค์หญิงใหญ่อยู่พักหนึ่ง องค์หญิงใหญ่หมดสติ มีสาวใช้หลายคนคอยดูแลนาง ข้าฟังพวกนางพูดคุยกัน ไม่นานหลังจากที่องค์หญิงใหญ่กลับมาจากสำนักหงลู่ จู่ๆ นางก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาและถึงกับกัดคนด้วย อาละวาดไปได้สักพักก็สลบไป""เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาและกัดคนเหรอ? หรือว่าเป็นโรคประสาทกระมัง?" เสิ่นว่านจือรู้สึกประหลาดใจมาก"พี่ได้ยินที่ลานหลักใช่ไหม? พวกเขาได้พูดอะไรกัน?" ซ่งซีซีถาม"ทะเลาะกันที่ลานหลัก บางคนบอกว่าจะไปตามหาหมอหลวงหรือท่านลุงดัน แต่มีคนไม่เห็นด้วย เนื่องจากข้าได้ฟังจากบนหลังคา เพราะฉะนั้นข้าจึงไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายไม่เห็นด้วยและฝ่ายที่สนับสนุน""แล้วได้ยินเสียงผู้หญิงที่ไม่เห็นด้วยกับการตามหาหมอมหัศจรรย์หรือไม่?""มี" เมื่อผิงหวูจูงได้เห็นกุ้นเอ๋อร์ก็รู้ว่าพวกนางได้รู้เรื่องของขุนนางหญิง "แต่ไม
แม้ว่าเซี่ยงผิงจะเป็นขุนนางหญิงที่ธรรมดามาก แต่นางก็ได้รับความไว้วางใจและความสำคัญจากองค์หญิงใหญ่ เพราะเมื่อกี้นางต่อต้านอย่างรุนแรง จึงทำให้คนที่เดิมทีให้ความสนับสนุนนั้นกลับเปลียนใจต่อต้านเช่นกันอย่างไรก็ตาม ก็มีนักการทูตสองสามคนเห็นด้วยที่ตามหาหมอมหัศจรรย์ดันจากแคว้นซางมา ชื่อเสียงของหมอมหัศจรรย์ดันดังไปถึงซีจิง ตอนแรกที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระประชวร ก็มีขุนนางเสนอว่าให้ไปเชิญหมอมหัศจรรย์ดันมารักษาให้ เพียงแต่ว่าอดีตฮ่องเต้ไม่ต้องการมอบชีวิตของตนเองไว้กับมือของชาวซาง เรื่องนี้ถึงไม่ได้ดำเนินต่อพวกเขาเริ่มโต้เถียงกันอีกครั้ง เมื่อเห็นดังนั้น ซ่งซีซีและผิงหวูจูงจึงช่วยพยุงหมอมหัศจรรย์ดันขึ้นมา และวิ่งไปทางเรือนตะวันออก"หยุดพวกนางเอาไว้" เซี่ยงผิงกรีดร้อง"ฟังข้านะ ฟังข้า…" เสิ่นว่านจือก้าวไปข้างหน้าและจับมือของเซี่ยงผิง "เราทำแบบนี้ก็เพื่อองค์หญิงใหญ่ ข้างกายองค์หญิงใหญ่มีสาวใช้อยู่ หากเราต้องการลงมือทำอะไร คนของพวกเจ้าก็มองเห็นได้หมด""ใช่ ใช่" กุ้นเอ๋อร์ห้ามซูลันซือไว้ "ไม่ต้องกังวล มันเป็นเพียงการวินิจฉัยชีพจรเท่านั้น หมอหลวงของพวกเจ้าอยู่ไหน? ให้รีบตามไปด้วย มีหมอหลวงอยู่ข้างๆ ด
เซี่ยงผิงวิ่งเข้าไปและเมื่อเห็นว่าม่านขององค์หญิงใหญ่ถูกเปิดออก จากนั้นก็ชัดสีหน้าดุอันหวินหลูด้วยความโกรธว่า "ช่างบังอาจ จะปล่อยให้ชายนอกมาเห็นท่าทางการนอนหลับขององค์หญิงใหญ่ได้อย่างไร?"นางต้องการก้าวไปข้างหน้าเพื่อปิดม่านลง และขับไล่หมอมหัศจรรย์ดันออกไป แต่กลับถูกอันหวินหลูหยุดเธอไว้ "ในเมื่อเห็นแล้ว งั้นก็ทำการวินิจฉัยให้ละเอียดจะดีกว่า""อันหวินหลู!" เซี่ยงผิงจ้องมองด้วยความโกรธเกรี้ยว "เจ้าบังอาจ!"อันหวินหลูมีภูมิหลังที่ธรรมดามาก ระดับขุนนางก็ต่ำกว่าอีกฝ่าย หลังจากถูกนางขึ้นอารมณ์ใส่แล้วก็อึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นยังคงพูดอย่างหนักแน่นว่า "ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสุขภาพขององค์หญิงใหญ่ องค์หญิงใหญ่หมดสติไปนานกว่าสองชั่วยามแล้ว หากยังตรวจสอบสาเหตุไม่ได้ เกรงว่ามันจะอันตรายต่อร่างกายขององค์หญิงใหญ่"ขุนนางหญิงฮั่วหย้าถิงก็มาสนับสนุนอันหวินหลูด้วยเช่นกัน "ไหนๆ ก็มาแล้วงั้นก็คอยให้ตรวจดูสักหน่อย เจ้าจะเอาแต่คัดค้านอะไรอยู่? ข้าว่าดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ค่อยเป็นห่วงองค์หญิงใหญ่สินะ"เซี่ยงผิงทำท่าเอาจริงเอาจัง "อย่ามาพูดไปเรื่อย ข้าจะไม่ห่วงใยองค์หญิงใหญ่ได้อย่างไร ชาวซางเป็นคนเจ้าเล่ห์และเ
นักการทูตมองไปที่หมอหลวงจินแล้วก็มองหมอมหัศจรรย์ดันอีกครั้ง ในใจของพวกเขาจะยอมเชื่อใจหมอหลวงจินมากกว่า เพราะหมอหลวงจินทำการรักษาให้องค์หญิงใหญ่อมาหลายปีแล้วและมีความภักดีต่อนางมาก เขาน่าเชื่อใจทว่าหมอมหัศจรรย์ดันมีทักษะด้านการแพทย์มากและมีชื่อเสียงในซีจิงดังมากผิงหวูจูงแปลคำพูดของหมอหลวงจิน จากนั้นหมอมหัศจรรย์ดันก็ดึงมือที่วินิจฉัยชีพจรนั้นออกแล้วพูดกับผิงหวูจูงว่า "บอกพวกเขา ก็คือถูกวางยาพิษ""ไม่ต้องแปลแล้ว เราฟังเข้าใจ" เกากงรีบพูดขึ้น นักการทูตที่มาครั้งนี้ ส่วนมากจะเข้าใจภาษาซางได้ มีแค่คนสองคนที่ไม่เข้าใจเอง "ท่านบอกได้เลยว่าองค์หญิงใหญ่ได้รับยาพิษอะไรหรือ?"หมอมหัศจรรย์ดันมองไปที่ซ่งซีซี ในเวลานี้ซ่งซีซีได้คิดถึงคดีที่เกิดขึ้นในปิ้โจว หญิงวัยกลางที่โดนไส้เดือนฝอยเสน่ห์คนนั้น ผู้หญิงที่อ่อนแอแต่เดิมนั้นกลับมีพลังอย่างมากและถึงกับคลั่งไคล้ทว่าความแตกต่างก็คือผู้หญิงคนนั้นถูกควบคุมได้สำเร็จ แต่องค์หญิงใหญ่กลับอยู่ในอาการหมดสติ ดังนั้นนางจึงไม่กล้าด่วนสรุปหมอหลวงจินยังคงยืนกรานในความคิดเห็นของเขาว่า "เดิมทีก็มีสุขภาพที่อ่อนแอ และปวดหัวมาเป็นเวลานาน บัดนี้เลือดไหลเวียนไม่ดี
ซูลันซือขมวดคิ้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขาก็พบว่าเซี่ยงผิงผิดปกติ แต่ไม่ว่าเซี่ยงผิงจะทำอะไรก็ตาม ตราบใดที่องค์หญิงใหญ่ไม่สามารถเข้าร่วมในการเจรจา อำนาจการตัดสินใจก็อยู่ในมือของเขาแต่เขาต้องมีเงื่อนไงข้อหนึ่ง นั่นคือไม่ทำร้ายชีวิตของเหลิ่งอวี่ไม่ว่ายังไงเหลิ่งอวี่ก็เป็นหลานสาวของเขา นางเรียกเขาว่าท่านลุงเล็ก จิงอวี้จากไปแล้ว แม้ว่าเหลิ่งอวี่จะมีความเห็นที่ตรงกันข้ามกันกับเขาในเรื่องการทำสงคราม แต่เขาไม่ยอมให้ผู้ใดปลิดชีพนางได้ตามอำเภอใจเขาก็แปลกใจมากเซี่ยงผิงเป็นคนสนิทของเหลิ่งอวี่มาโดยตลอด ทำไมครั้งนี้ถึงทรยศนางเล่า?นางสนับสุนทำสงครามหรือ? แต่เดิมทีนางไม่เห็นด้วยกับมันสิและเห็นได้ชัดว่านางไม่ต้องการให้เหลิ่งอวี่ตาย แต่ก็ไม่ยอมที่จะยอมแพ้ทั้งอย่างนี้นางไม่มีทางทำคนเดียว มีคนอยู่เบื้องหลังยุยงให้นางทรยศเหลิ่งอวี่ ผู้ใดเป็นคนยุยงนางเล่า ฝ่าบาทเหรอ?คำถามมากมายโผล่ออกมาจากสมองของซูลันซือ และเขาหาคำตอบไม่ได้เนื่องจากเขาได้ร่วมมือกับอ๋องฮวย เขาจึงเดาว่าเซี่ยงผิงผิดปกติ คนอื่นๆ อาจไม่สามารถมองออกได้เพราะเซี่ยงผิงเป็นคนสนิทที่ภักดีต่อเหลิ่งอวี่มากที่สุดมาโดยตลอดขณะที่ซ
เต๋อเฟยสะดุ้งไปเล็กน้อย มือกำผ้าเช็ดหน้าแน่นแล้วเอ่ยถามว่า “เรื่องใด? พระชายาว่ามาตรงๆ ได้เลย” ซ่งซีซีกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้วังหลังคึกคักกันยกใหญ่ เดี๋ยวก็ว่าฝูเจาอี๋ตกเลือดเพราะซูเฟย เดี๋ยวก็ว่าฮองเฮาเป็นผู้ก่อเหตุ พระนางเต๋อเฟยดูแลวังหลังมานาน ย่อมต้องรู้ว่าเรื่องพวกนี้แพร่มาจากที่ใด และใครเป็นผู้จงใจขยายข่าวลือออกไป ใช่หรือไม่?” เต๋อเฟยไม่คิดว่านางจะมาถามถึงเรื่องเก่าเช่นนี้ สีหน้าที่แฝงความโศกเศร้าแข็งค้างไปชั่วขณะ โดยไม่รู้ตัวก็สบตากับชิงหลันแลกเปลี่ยนสายตากัน แต่ก็เป็นเพียงชั่วขณะเท่านั้น นางก็ปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวว่า “ในวังมีข่าวลือมากมายมาแต่ไหนแต่ไร ไม่จำเป็นต้องใส่ใจนัก พระชายาควรสืบสวนคดีลอบสังหารองค์ชายใหญ่ดีกว่า” ซ่งซีซีกล่าวว่า “ไทเฮามีรับสั่งให้หม่อมฉันสืบสวนตั้งแต่เหตุฝูเจาอี๋ตกเลือด ดังนั้นคดีลอบสังหารองค์ชายใหญ่ต้องตรวจสอบแน่นอน แต่เรื่องอื่นก็ต้องสืบสวนด้วย พระนางและซูเฟยช่วยกันดูแลวังหลังมาเนิ่นนาน คงทราบเรื่องราวในวังหลังเป็นอย่างดี หม่อมฉันคิดว่าแทนที่จะจับตัวเหล่านางกำนัลมาทรมานสอบสวนให้เอิกเกริก จะดีกว่าหากมาขอคำตอบโดยตรงจากพระ
ในตำหนักของฝูเจาอี๋ ซ่งซีซีก็ได้เข้าไปสอบถาม แม้ว่าฝูเจาอี๋จะไม่ได้กล่าวตรงๆ ว่าซูเฟยเป็นคนทำให้นางแท้งบุตร แต่กลับพูดว่า “ผู้ที่ทำความชั่ว ย่อมได้รับผลกรรม ไม่ว่าเป็นใครก็ตาม ไม่อาจหนีพ้นไปได้” วาจานี้มิได้พาดพิงถึงซูเฟยเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงฮองเฮาด้วย ขณะที่ซ่งซีซีเตรียมตัวจะออกจากตำหนัก ฝูเจาอี๋กลับถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน “พระชายา องค์ชายใหญ่... ไม่อาจช่วยไว้ได้แล้วจริงหรือ?” ซ่งซีซีเดิมคิดว่านางคงเสียใจต่อชะตากรรมขององค์ชายใหญ่ แต่เมื่อหันไปมองกลับเห็นว่า ในนัยน์ตาของฝูเจาอี๋ ไม่มีแววเวทนาใดๆ ซ้ำยังแฝงด้วยความปีติเล็กๆ ราวกับว่าเป็นความยินดีจากการล้างแค้นสำเร็จ แม้ว่านางจะพยายามปกปิด แต่ก็ยังเผยออกมาโดยไม่รู้ตัว ซ่งซีซีมิได้ตอบอะไร เพียงแค่หมุนตัวเดินออกไป ฮองเฮาทำให้นางแท้งบุตร นางย่อมไม่หวังให้องค์ชายใหญ่มีชีวิตรอด ซ่งซีซีไม่มีสิทธิ์ตัดสินนาง ผู้ใดไม่เคยผ่านความเจ็บปวดของผู้อื่น ก็ไม่มีสิทธิ์สั่งสอนให้เขาทำดี เดิมที นางควรไปที่ตำหนักกุ้ยหลันต่อ แต่หลังจากไตร่ตรอง นางตัดสินใจนำคนไปตำหนักไฉหลิงก่อน ก่อนหน้านี้ นางคิดว่าจะยังไม่ไป เพราะได้ยินว่าองค์ชายรอ
ฮองเฮาไม่เคยเห็นค่าเต๋อเฟยนัก ตระกูลไม่มีรากฐานที่มั่นคง รูปโฉมก็มิได้โดดเด่น นางสามารถก้าวขึ้นมาเป็นพระสนมได้ ก็เพียงเพราะโชคดีที่ให้กำเนิดองค์ชายรอง ตัวนางเองก็คงรู้ดีว่าไม่มีคนคอยหนุนหลัง จึงต้องประพฤติตนอย่างอ่อนน้อมระมัดระวัง อาจมีเล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าใช้กลอุบายร้ายกาจเกินไป อย่างเรื่องที่เต๋อเฟยให้ความช่วยเหลือฝูเจาอี๋ ก็เพียงเพื่อใช้ฝูเจาอี๋สร้างอำนาจในวังหลัง หวังให้ตนเองมั่นคงขึ้น แต่นางให้การช่วยเหลือเท่าไร ฝูเจาอี๋ก็ไม่เคยเห็นคุณค่า กลับมองว่านางเพียงแค่พาองค์ชายรองไปแย่งความรักจากฮ่องเต้ เรื่องที่เต๋อเฟยมักทำก็คือ การนำก้อนหินมาทุ่มใส่เท้าของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ ฮองเฮาจึงไม่เห็นนางอยู่ในสายตา แต่บัดนี้ องค์ชายใหญ่เกิดเรื่องขึ้น นางมีเพียงแค่ซูเฟยเป็นผู้ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม นางเคยคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่า ซูเฟยมีคนหนุนหลัง ตระกูลของนางเป็นขุนนางสายเดียวกับเซี่ยหลูโม่ ภรรยาของอัครเสนาบดีหลี่ก็ดูแลโรงงานผลิตเสื้อผ้า ส่วนซ่งซีซีก็เป็นผู้รับหน้าที่สืบสวน นางไม่มีวันยอมให้ซ่งซีซีช่วยปกป้องซูเฟย ทุกอย่างต้องทำต่อหน้าตนเอง ซ่งซีซีมองออกถึงความคิดข
ซูเฟยนั่งอยู่หน้ากระจกเครื่องแป้ง จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า ชุดที่ก่อนหน้านี้นางให้มารดาว่าจ้างสตรีนามว่าม่อเหนียงจื่อให้ตัดเย็บ ก็ถูกส่งมาถึงแล้ว นางเคยเห็นชุดนั้นมาก่อน เดิมทีตั้งใจจะสวมไปงานเลี้ยงในคืนวันตรุษจีน ชุดเป็นสีเหลืองอัสดง ปักลวดลายดอกไห่ถางเล็กๆ งดงามและละเอียดอ่อน ให้ความรู้สึกสดใสอ่อนหวาน ปลายกระโปรงพลิ้วไหวเสริมให้ดูสูงศักดิ์และสง่างามยิ่งขึ้น นางสั่งให้ฮว๋าเชี่ยนนำชุดมาให้ และเปลี่ยนใส่ทันที นางจ้องมองเงาตัวเองในกระจกทองเหลือง ดวงหน้าของนางแม้จะซีดเซียวลงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงงามสะคราญดังเช่นเคย ผิวขาวละเอียด ไม่มีริ้วรอยหรือร่องรอยแห่งความชราเลยสักนิด นางยังคงงดงามอยู่ ปลายนิ้วเรียวขาวลูบไล้ลวดลายปักอันวิจิตร นางพึมพำเบาๆ "ฝีมือปักผ้าของม่อเหนียงจื่อช่างดีนัก ชุดนี้งามกว่าชุดเครื่องแต่งกายในวังของข้าเสียอีก งดงามจริงๆ" ฮว๋าเชี่ยนคุกเข่าลง น้ำตาคลอเต็มดวงตา "พระสนม หม่อมฉันรู้ว่าพระองค์คิดจะทำอะไร แต่โปรดอย่าได้ทำเลยเพคะ หากพระองค์ทำเช่นนั้น จะกลายเป็นการหนีความผิด องค์ชายสามจะต้องแบกรับข้อหาปลงพระชนม์พี่ชายไปตลอดชีวิต" ซูเฟยหัวเราะเยาะเยียบหยิ่ง แต่แวว
รุ่งขึ้น ณ ท้องพระโรง เซี่ยหลูโม่ประกาศข่าวการสวรรคตขององค์ชายใหญ่ ขุนนางทั้งราชสำนักต่างตกตะลึงและเศร้าสลด! เซี่ยหลูโม่กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง "ฮ่องเต้ทรงได้รับความกระทบกระเทือนทางพระทัยอย่างหนัก จนล้มประชวร ในช่วงเวลานี้ กระหม่อมและอัครเสนาบดีมู่จะเป็นผู้ว่าราชการแทน พระราชพิธีพระศพขององค์ชายใหญ่ จะมอบให้กรมพิธีการและกรมวังเป็นผู้ดำเนินการร่วมกัน" เจ้ากรมฉีทรงตัวยืนไม่อยู่ ดวงตาแดงก่ำ เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนแม้แต่น้อย แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อได้ฟังข่าวนี้ เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าสลดถึงขีดสุด ณ วังหลัง ข่าวการสวรรคตแพร่กระจายออกไป ฮองเฮาตั้งแต่ถูกส่งกลับมาวานนี้ ก็คอยร่ำไห้ขอเข้าเฝ้าองค์ชายใหญ่เสมอ บัดนี้เมื่อทราบข่าวร้าย นางก็หมดสติไปอีกครั้ง โชคดีที่หมอหลวงคอยเฝ้าอยู่ในตำหนักฉางชุนตลอด เมื่อหมอหลวงช่วยให้ฮองเฮาฟื้นขึ้นมา เสียงร่ำไห้อันโศกเศร้าก็ดังก้องไปทั่ววังหลัง ณ ตำหนักไฉหลิง เต๋อเฟยเมื่อได้ยินข่าวก็ทั้งดีใจและกังวล ดีใจ เพราะแผนการสำเร็จลุล่วง ไม่มีร่องรอย ไม่อาจสาวถึงนางและโอรสของนาง กังวล เพราะตั้งแต่เมื่อวานที่องค์ชายรองกลับจากอุทยานบุปผาห
จักรพรรดิซูชิงทรงประกาศพระดำริแล้ว จึงทรงถามเซี่ยหลูโม่ถึงผลการสอบสวน พระองค์ทรงทราบดีว่า ม้าหนุ่มไม่อาจคลุ้มคลั่งขึ้นมาโดยไร้เหตุผล ม้าทุกตัวล้วนผ่านการฝึกฝนมาแล้ว แม้จะมีนิสัยดื้อรั้นเล็กน้อย แต่ก็เชื่องภายใต้การดูแลของเหล่าองค์ชาย เซี่ยหลูโม่มิได้ปิดบัง หยิบเอาดอกหนามเหล็กออกมาถวาย "มีผู้วางดอกหนามเหล็กนี้ไว้ใต้อานม้า หากไม่มีผู้ใดนั่งบนอาน ดอกหนามเหล็กเพียงแค่สร้างความรำคาญให้กับม้าเล็กน้อย แต่เมื่อองค์ชายใหญ่ขึ้นขี่ ดอกหนามเหล็กที่แหลมคมจะทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อ ทำให้ม้าเจ็บปวดจนคลุ้มคลั่ง" สายพระเนตรของจักรพรรดิซูชิงฉายแววเย็นเยียบ ทรงหันไปมองซ่งซีซี "ก่อนหน้านี้มิได้ตรวจสอบเลยหรือ?" ซ่งซีซีรีบตอบ "กราบทูลฝ่าบาท ได้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งมีองครักษ์เฝ้าอยู่ตลอดเวลา นอกจากองค์ชายทั้งสามพระองค์กับรุ่ยเอ่อร์แล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ม้าเหล่านั้นได้ อีกทั้งตลอดทางมา พวกเขาต่างจูงม้าของตนเอง ไม่มีผู้ใดผ่านมือคนอื่น" ไทเฮาทรงมีพระพักตร์เคร่งขรึม "ข้าได้สั่งกำชับไปแล้ว องค์ชายทั้งสามพระองค์กับซ่งรุ่ย รวมถึงม้าทุกตัว จะต้องอยู่ในสายตาของพวกเขาเสมอ เว้นเสียแต่ว่ามีคนของ
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงถามเช่นนั้น หมอมหัศจรรย์ดันนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน เขากำลังครุ่นคิด กำลังไตร่ตรอง ในห้องมีเพียงเสียงหายใจหนักหน่วงและเสียงหัวใจเต้นเงียบสงัดราวกับความตาย ความเงียบที่แฝงไปด้วยความสิ้นหวัง กดดันจนแทบหายใจไม่ออก "มิอาจเรียกว่ามีหนทาง เพียงแต่เป็นการลองเสี่ยงดู" หมอมหัศจรรย์ดันเอ่ยขึ้นช้าๆ "อีกทั้งโอกาสสำเร็จนั้นต่ำมาก ต่ำยิ่งนัก" "ท่านว่ามาเถิด" ไทเฮาร้อนพระทัยยิ่งกว่าจักรพรรดิ์ซูชิง "บอกมาให้ฟังเสีย" หมอมหัศจรรย์ดันถอนหายใจหนักหน่วง "ถึงแม้จะเป็นหนทางที่เสี่ยง แต่ต้องให้เขาผ่านสามวันแรกไปได้เสียก่อน หากรอดพ้นสามวันนี้ ข้าจะนำเขาไปยังสำนักเทพโอสถ ให้เขาแช่ร่างในน้ำยาต้มจากหญ้าต้วนซวี่ ซึ่งเติบโตในสำนักเทพโอสถทุกวัน อาจพอรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ว่าความหวังริบหรี่นัก เกรงว่าเขาอาจทนไม่ไหวจนไปไม่ถึงสำนักเทพโอสถ" ซ่งซีซีถามขึ้น "มิอาจเก็บหญ้าต้วนซวี่มาได้หรือ? บัดนี้เขาบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ จะเคลื่อนย้ายได้อย่างไร?" หมอมหัศจรรย์ดันส่ายหน้า "มิอาจ แม้ว่าหญ้าต้วนซวี่ที่แห้งแล้วจะยังมีสรรพคุณอยู่ แต่หากต้องการใช้ให้เกิดผลสูงสุด ต้องนำไปต้มภายในครึ่งชั่วโมงหลังจากเก็บเ
องค์ชายใหญ่ถูกส่งกลับไปยังตำหนักภายในอุทยานบุปผาหลวง บัดนี้ไม่มีหนทางที่จะส่งเขากลับวังหลวงได้ จำต้องทำการรักษา ณ ที่ใกล้ที่สุด ส่วนอาการของเขาเป็นเช่นไร ทุกคนเพียงแค่มองสีหน้าของหมอมหัศจรรย์ดัน ก็คาดเดาได้ไม่ยาก เกรงว่า… คงไม่รอดแล้ว เซี่ยหลูโม่สั่งให้กระจายผู้คนออกไป ส่วนผลการสอบสวน เขาไม่ได้เร่งส่งขึ้นไปทันที แต่สั่งให้คนสืบต่อไป บรรดาสนมทั้งหมดถูกส่งกลับคืนสู่พระตำหนัก รวมถึงฮองเฮาด้วย เดิมทีนางไม่ยอมกลับ ไม่ว่าเป็นหรือตายก็ยังคงยืนกรานจะอยู่ข้างกายโอรส แต่เมื่อเข้าไปพบองค์ชายใหญ่ นางกลับหมดสติไปอีกครั้ง จักรพรรดิ์ซูชิงจึงมีรับสั่งให้นำตัวนางกลับไป รุ่ยเอ่อร์ไม่ยอมจากไป ยืนกรานจะอยู่เคียงข้างองค์ชายใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เซี่ยหลูโม่จึงอนุญาตให้เขาอยู่ต่อ คืนนั้น จักรพรรดิ์ซูชิงประทับอยู่ ณ อุทยานบุปผาหลวง ไทเฮาเสด็จมาในยามเย็น ข่าวคราวที่เกิดขึ้นมีคนกราบทูลนางแล้ว ทันทีที่ไทเฮามาถึง นางก็รับช่วงต่อจากซ่งซีซี นางเป็นผู้คอยดูแลองค์ชายใหญ่ด้วยพระองค์เอง เมื่อนำองค์ชายใหญ่มายังตำหนักฉือหนิงในครั้งแรก ไทเฮาไม่มีทางเลือกอื่น ความเย็นชาของนางที่มีต่อองค์ชายใหญ่
ฮองเฮามิได้ถูกขัดขวาง นางพุ่งเข้าไปภายในฉากไม้ไผ่ เพียงแค่เห็นพระโอรสที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิต นางก็กรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น ก่อนจะเป็นลมล้มลงในทันที โชคยังดีที่หมอหลวงอยู่ในที่นั้น นางกำนัลรีบพยุงนางออกไปด้านนอกเพื่อให้หมอหลวงช่วยรักษา หลังจากฟื้นคืนสติแล้ว ฮองเฮาทรงร่ำไห้อย่างสุดกำลัง เซี่ยหลูโม่พาผู้คนเข้าควบคุมสถานการณ์ และสกัดจับม้าบ้าคลั่งตัวนั้น พร้อมกับเริ่มต้นสืบสวนเหตุการณ์ทันที ภายในฉากไม้ไผ่ จักรพรรดิ์ซูชิงทรงคุกเข่าลง พระหัตถ์ที่สั่นระริกลูบใบหน้าขององค์ชายใหญ่ พระหัตถ์เปื้อนไปด้วยโลหิตสด หมอมหัศจรรย์ดันรีบปักเข็มลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตรัสให้ฮ่องเต้หลบไปด้านข้าง เขาต้องทำให้เลือดที่ศีรษะหยุดไหลก่อน การฝังเข็มในครั้งนี้ เป็นเพียงการรั้งลมหายใจสุดท้ายเอาไว้เท่านั้น ยาเม็ดที่เตรียมมาไม่สามารถให้กลืนลงไปได้ เขาจึงยื่นขวดยาห้ามเลือดให้ซ่งซีซี “ให้เขากลืนลงไป ถ้าเขากลืนได้ จะช่วยชะลอการตกเลือดภายใน” หมอมหัศจรรย์ดันมองออกอย่างชัดเจนว่า ฝีเท้าม้าที่เหยียบลงไปย่อมส่งผลกระทบอย่างรุนแรง น้ำหนักของม้ารวมกับความเร็วเช่นนั้น แน่นอนว่าทำให้อวัยวะภายในเสียหายและตกเลือด หา