หลังจากนั้นไม่นาน ผิงหวูจูงก็ปรากฏตัวที่หน้าประตูหอฮุยตง นางคงไม่ได้มาคนเดียว เพราะเมื่อกี้ที่ซ่งซีซีเจอนาง นางสวมชุดดำกลางคืน ตอนนี้นางสวมชุดธรรมดา และชุดดำกลางคืนก็ไม่อยู่ในมือด้วย"ศิษย์พี่ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?" ซ่งซีซีรีบเข้าไปถามนางผิงหวูจูงกล่าวว่า "ข้าฟังอยู่บนหลังคาขององค์หญิงใหญ่อยู่พักหนึ่ง องค์หญิงใหญ่หมดสติ มีสาวใช้หลายคนคอยดูแลนาง ข้าฟังพวกนางพูดคุยกัน ไม่นานหลังจากที่องค์หญิงใหญ่กลับมาจากสำนักหงลู่ จู่ๆ นางก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาและถึงกับกัดคนด้วย อาละวาดไปได้สักพักก็สลบไป""เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาและกัดคนเหรอ? หรือว่าเป็นโรคประสาทกระมัง?" เสิ่นว่านจือรู้สึกประหลาดใจมาก"พี่ได้ยินที่ลานหลักใช่ไหม? พวกเขาได้พูดอะไรกัน?" ซ่งซีซีถาม"ทะเลาะกันที่ลานหลัก บางคนบอกว่าจะไปตามหาหมอหลวงหรือท่านลุงดัน แต่มีคนไม่เห็นด้วย เนื่องจากข้าได้ฟังจากบนหลังคา เพราะฉะนั้นข้าจึงไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายไม่เห็นด้วยและฝ่ายที่สนับสนุน""แล้วได้ยินเสียงผู้หญิงที่ไม่เห็นด้วยกับการตามหาหมอมหัศจรรย์หรือไม่?""มี" เมื่อผิงหวูจูงได้เห็นกุ้นเอ๋อร์ก็รู้ว่าพวกนางได้รู้เรื่องของขุนนางหญิง "แต่ไม
แม้ว่าเซี่ยงผิงจะเป็นขุนนางหญิงที่ธรรมดามาก แต่นางก็ได้รับความไว้วางใจและความสำคัญจากองค์หญิงใหญ่ เพราะเมื่อกี้นางต่อต้านอย่างรุนแรง จึงทำให้คนที่เดิมทีให้ความสนับสนุนนั้นกลับเปลียนใจต่อต้านเช่นกันอย่างไรก็ตาม ก็มีนักการทูตสองสามคนเห็นด้วยที่ตามหาหมอมหัศจรรย์ดันจากแคว้นซางมา ชื่อเสียงของหมอมหัศจรรย์ดันดังไปถึงซีจิง ตอนแรกที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระประชวร ก็มีขุนนางเสนอว่าให้ไปเชิญหมอมหัศจรรย์ดันมารักษาให้ เพียงแต่ว่าอดีตฮ่องเต้ไม่ต้องการมอบชีวิตของตนเองไว้กับมือของชาวซาง เรื่องนี้ถึงไม่ได้ดำเนินต่อพวกเขาเริ่มโต้เถียงกันอีกครั้ง เมื่อเห็นดังนั้น ซ่งซีซีและผิงหวูจูงจึงช่วยพยุงหมอมหัศจรรย์ดันขึ้นมา และวิ่งไปทางเรือนตะวันออก"หยุดพวกนางเอาไว้" เซี่ยงผิงกรีดร้อง"ฟังข้านะ ฟังข้า…" เสิ่นว่านจือก้าวไปข้างหน้าและจับมือของเซี่ยงผิง "เราทำแบบนี้ก็เพื่อองค์หญิงใหญ่ ข้างกายองค์หญิงใหญ่มีสาวใช้อยู่ หากเราต้องการลงมือทำอะไร คนของพวกเจ้าก็มองเห็นได้หมด""ใช่ ใช่" กุ้นเอ๋อร์ห้ามซูลันซือไว้ "ไม่ต้องกังวล มันเป็นเพียงการวินิจฉัยชีพจรเท่านั้น หมอหลวงของพวกเจ้าอยู่ไหน? ให้รีบตามไปด้วย มีหมอหลวงอยู่ข้างๆ ด
เซี่ยงผิงวิ่งเข้าไปและเมื่อเห็นว่าม่านขององค์หญิงใหญ่ถูกเปิดออก จากนั้นก็ชัดสีหน้าดุอันหวินหลูด้วยความโกรธว่า "ช่างบังอาจ จะปล่อยให้ชายนอกมาเห็นท่าทางการนอนหลับขององค์หญิงใหญ่ได้อย่างไร?"นางต้องการก้าวไปข้างหน้าเพื่อปิดม่านลง และขับไล่หมอมหัศจรรย์ดันออกไป แต่กลับถูกอันหวินหลูหยุดเธอไว้ "ในเมื่อเห็นแล้ว งั้นก็ทำการวินิจฉัยให้ละเอียดจะดีกว่า""อันหวินหลู!" เซี่ยงผิงจ้องมองด้วยความโกรธเกรี้ยว "เจ้าบังอาจ!"อันหวินหลูมีภูมิหลังที่ธรรมดามาก ระดับขุนนางก็ต่ำกว่าอีกฝ่าย หลังจากถูกนางขึ้นอารมณ์ใส่แล้วก็อึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นยังคงพูดอย่างหนักแน่นว่า "ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสุขภาพขององค์หญิงใหญ่ องค์หญิงใหญ่หมดสติไปนานกว่าสองชั่วยามแล้ว หากยังตรวจสอบสาเหตุไม่ได้ เกรงว่ามันจะอันตรายต่อร่างกายขององค์หญิงใหญ่"ขุนนางหญิงฮั่วหย้าถิงก็มาสนับสนุนอันหวินหลูด้วยเช่นกัน "ไหนๆ ก็มาแล้วงั้นก็คอยให้ตรวจดูสักหน่อย เจ้าจะเอาแต่คัดค้านอะไรอยู่? ข้าว่าดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ค่อยเป็นห่วงองค์หญิงใหญ่สินะ"เซี่ยงผิงทำท่าเอาจริงเอาจัง "อย่ามาพูดไปเรื่อย ข้าจะไม่ห่วงใยองค์หญิงใหญ่ได้อย่างไร ชาวซางเป็นคนเจ้าเล่ห์และเ
นักการทูตมองไปที่หมอหลวงจินแล้วก็มองหมอมหัศจรรย์ดันอีกครั้ง ในใจของพวกเขาจะยอมเชื่อใจหมอหลวงจินมากกว่า เพราะหมอหลวงจินทำการรักษาให้องค์หญิงใหญ่อมาหลายปีแล้วและมีความภักดีต่อนางมาก เขาน่าเชื่อใจทว่าหมอมหัศจรรย์ดันมีทักษะด้านการแพทย์มากและมีชื่อเสียงในซีจิงดังมากผิงหวูจูงแปลคำพูดของหมอหลวงจิน จากนั้นหมอมหัศจรรย์ดันก็ดึงมือที่วินิจฉัยชีพจรนั้นออกแล้วพูดกับผิงหวูจูงว่า "บอกพวกเขา ก็คือถูกวางยาพิษ""ไม่ต้องแปลแล้ว เราฟังเข้าใจ" เกากงรีบพูดขึ้น นักการทูตที่มาครั้งนี้ ส่วนมากจะเข้าใจภาษาซางได้ มีแค่คนสองคนที่ไม่เข้าใจเอง "ท่านบอกได้เลยว่าองค์หญิงใหญ่ได้รับยาพิษอะไรหรือ?"หมอมหัศจรรย์ดันมองไปที่ซ่งซีซี ในเวลานี้ซ่งซีซีได้คิดถึงคดีที่เกิดขึ้นในปิ้โจว หญิงวัยกลางที่โดนไส้เดือนฝอยเสน่ห์คนนั้น ผู้หญิงที่อ่อนแอแต่เดิมนั้นกลับมีพลังอย่างมากและถึงกับคลั่งไคล้ทว่าความแตกต่างก็คือผู้หญิงคนนั้นถูกควบคุมได้สำเร็จ แต่องค์หญิงใหญ่กลับอยู่ในอาการหมดสติ ดังนั้นนางจึงไม่กล้าด่วนสรุปหมอหลวงจินยังคงยืนกรานในความคิดเห็นของเขาว่า "เดิมทีก็มีสุขภาพที่อ่อนแอ และปวดหัวมาเป็นเวลานาน บัดนี้เลือดไหลเวียนไม่ดี
ซูลันซือขมวดคิ้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขาก็พบว่าเซี่ยงผิงผิดปกติ แต่ไม่ว่าเซี่ยงผิงจะทำอะไรก็ตาม ตราบใดที่องค์หญิงใหญ่ไม่สามารถเข้าร่วมในการเจรจา อำนาจการตัดสินใจก็อยู่ในมือของเขาแต่เขาต้องมีเงื่อนไงข้อหนึ่ง นั่นคือไม่ทำร้ายชีวิตของเหลิ่งอวี่ไม่ว่ายังไงเหลิ่งอวี่ก็เป็นหลานสาวของเขา นางเรียกเขาว่าท่านลุงเล็ก จิงอวี้จากไปแล้ว แม้ว่าเหลิ่งอวี่จะมีความเห็นที่ตรงกันข้ามกันกับเขาในเรื่องการทำสงคราม แต่เขาไม่ยอมให้ผู้ใดปลิดชีพนางได้ตามอำเภอใจเขาก็แปลกใจมากเซี่ยงผิงเป็นคนสนิทของเหลิ่งอวี่มาโดยตลอด ทำไมครั้งนี้ถึงทรยศนางเล่า?นางสนับสุนทำสงครามหรือ? แต่เดิมทีนางไม่เห็นด้วยกับมันสิและเห็นได้ชัดว่านางไม่ต้องการให้เหลิ่งอวี่ตาย แต่ก็ไม่ยอมที่จะยอมแพ้ทั้งอย่างนี้นางไม่มีทางทำคนเดียว มีคนอยู่เบื้องหลังยุยงให้นางทรยศเหลิ่งอวี่ ผู้ใดเป็นคนยุยงนางเล่า ฝ่าบาทเหรอ?คำถามมากมายโผล่ออกมาจากสมองของซูลันซือ และเขาหาคำตอบไม่ได้เนื่องจากเขาได้ร่วมมือกับอ๋องฮวย เขาจึงเดาว่าเซี่ยงผิงผิดปกติ คนอื่นๆ อาจไม่สามารถมองออกได้เพราะเซี่ยงผิงเป็นคนสนิทที่ภักดีต่อเหลิ่งอวี่มากที่สุดมาโดยตลอดขณะที่ซ
มีไส้เดือนฝอยทั้งหมดสี่ตัว สองบรรทัดสุดท้ายมีสีต่างกัน ท่อนหน้าเป็นสีแดง และท่อนหลังเป็นสีแดงอ่อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้ดูดเลือดเข้าไปหรือเปล่าหมอมหัศจรรย์ดันพูดอย่างใจเย็น "ถ้าไส้เดือนฝอยทั้งสี่ได้ดูดเลือดเต็มตัวงั้นองค์หญิงใหญ่ก็หมดหวังแล้ว"เขาหยิบกระถางธูปขึ้นมาและวางไว้ข้างๆ ทุกคนถอยออกไปข้างหลัง ไม่เคยเห็นสิ่งที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อนและรู้สึกหวาดกลัวจริงๆซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือมองหน้ากันและรู้สึกน่าอึดอัดใจมาก โดยมีอาการขนลุกไปทั่วทั้งร่างกายเซี่ยงผิงตกใจมากจนแทบจะทรงตัวไม่ไหว นางเอามือข้างหนึ่งค้ำกับโต๊ะ ริมฝีปากสั่นเทา และดวงตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อหมอมหัศจรรย์ดันพูดเรียบๆ ว่า "อีกสักพักก็จะฟื้น หมอหลวงจินไปตรวจชีพจรให้องค์หญิงอีกทีว่าตอนนี้สามารถวินิจฉัยฉีสถานการณ์เลือดได้หรือไม่"ซูลันซือผลักหมอหลวงจินที่นิ่งอึ้ง "ไป ไปตรวจชีพจรสิ"ในที่สุดหมอหลวงจินก็ตอบสนอง และก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจชีพจร หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ส่ายหัวและหายใจเข้าลึกๆ "เป็นไปได้ยังไง? สภาพชีพจรนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง""มีไส้เดือนฝอยพิษออกมาเช่นนี้ มันย่อมเปลี่ยนไปสิ" อันหวินหลูนั่งอยู่ที่ขอบเ
ตัวพิษไม่ถูกเอาออกไป มันยังอยู่ในกระถางธูป ตัวพิษชอบกลิ่นเลือดของยานั้นจึงจะอยู่ตรงนั้นไปจนตายอย่างไรก็ตามตัวพิษที่ถูกล่อออกมานั้นจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานด้วยหมอมหัศจรรย์ดันกล่าวว่า "มันอยู่ในกระถางธูป เอาไปแสดงให้องค์หญิงใหญ่ดูได้เลย"แม้ว่าตัวพิษนั้นจะตัวเล็กมาก แต่ก็น่ากลัว หมอหลวงจินยื่นมือออกไป แต่หยุดกลางอากาศโดยไม่กล้าเข้าไปใกล้อีก เขาถามว่า "แมลงนี้สามารถเข้าไปในร่างกายมนุษย์อีกครั้งได้หรือไม่"เมื่อเห็นว่าเขาไม่กล้าหยิบมัน ผิงหวูจูงก็เดินไปยกกระถางธูปก่อนเปิดฝาออก แล้วนำไปให้องค์หญิงใหญ่ดูทันใดนั้น องค์หญิงใหญ่ก็รู้สึกคลื่นไส้อย่างมาก ท้องของนางกำลังปั่นป่วน และเกือบจะอาเจียนออกมาในขณะที่ท้องกำลังปั่นป่วน นางก็เลือดขึ้นหน้าพร้อมกับความโกรธเกรี้ยว หลับตาลงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจัดการกับอารมณ์มาได้ท้ายที่สุดแล้วหมอมหัศจรรย์ดันก็ไม่ได้ให้ยานาง เขาแค่พูดว่า "ภายในครึ่งชั่วยาม แมลงพิษตัวนี้ก็จะตาย หลังจากที่แมลงพิษออกมาแล้ว มันก็จะไม่สามารถคลานกลับเข้าไปในร่างกายได้อีก""ขอบคุณพวกเจ้า" องค์หญิงใหญ่กล่าวอีกครั้งซ่งซีซีพยักหน้าให้นางเล็กน้อยแล้วจากไปพร้อมกับคนของตนเอง"ใคร
ด้วยการตบฉาดนี้ ทำเอาความหงุดหงิดและความโกรธที่ซ่อนอยู่ในใจของเซี่ยงผิงระเบิดออกมานางปิดหน้าและถามอย่างเศร้าใจว่า "องค์หญิงใหญ่ ท่านลืมไปแล้วหรือว่ารัชทายาทตายอย่างน่าเศร้าเช่นไร นี่จะเป็นปมในใจของชาวซีจิงตลอดไป จะไม่ให้แก้แค้นได้อย่างไร ได้อย่างไรกัน เขาเป็นน้องชายแท้ๆ ของท่าน ทำไมท่านถึงโหดร้ายขนาดนี้และเพิกเฉยต่อความสัมพันธ์ที่เป็นพี่น้องกันล่ะ?"ฝ่ามือที่กำแน่นขององค์หญิงใหญ่เปียกโชกไปหมด แสงส่องมาบนใบหน้าที่ซีดเซียวของนาง และดวงตาก็มืดมนและหดหู่ "เพราะงั้นที่พวกเจ้าทุกคนคิดว่าข้าไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามเพราะข้าไม่ต้องการแก้แค้นให้เขาเหรอ?"นางหายใจเข้าลึกๆ ดวงตามีแต่ความโกรธเกรี้ยว และแม้ว่าจะยังคงอ่อนแอมาก แต่ก็ชี้ไปที่นางพลางด่าว่า "เซี่ยงผิง คนอื่นสามารถคิดอย่างนั้นได้ แต่ทุกย่ามก้าวของข้าเจ้าก็รู้ชัดเจนหมด ข้าคิดอย่างไรเจ้าก็รู้ด้วย เจ้าคือคนที่น่าจะรู้จักข้าเป็นอย่างดีที่สุด แต่เจ้ากลับเห็นแต่เรื่องการแก้แค้น โดยไม่สนว่าสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ในเมื่อเจ้าภักดีต่อจิงอวี้ งั้นเจ้าก็คิดดีๆ ว่าจิงอวี้อยากทำสงครามกับแคว้นซางหรือไม่?"เซี่ยงผิงร้องไห้และพูดว่า "แต่เราจะไม่แก้แค้
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า