หลังจากที่องค์หญิงใหญ่เหลิ่งอวี่กลับมาถึงหอฮุยตง นางก็พบว่าซูลันซือและเจิ้งหยงโซวยังไม่ได้กลับมาหัวใจของนางจมดิ่งลง โดยมีความรู้สึกมีเรื่องไม่ดีจะเกิดขึ้นซูลันซือเป็นลุงเล็กของนาง แต่กลับเป็นคนไม่เอาไหนที่สุดในตระกูลซู ไม่ใช่ว่าเขาไร้ความสามารถ แต่เขาเป็นคนชอบใช้กำลังชอบแย่งชิงอำนาจ หุนหันพลันแล่นและประมาท"ไปตามหาเหลียงอันมา!" นางสั่งขุนนางหญิงที่ชื่อเซี่ยงผิง "เดี๋ยวนี้เลย!"เหลียงอันเป็นมหาอำมาตย์คณะรัฐมนตรีในการเดินทางนี้ และยังเป็นน้องชายของภรรยาของซูลันซือด้วย ทั้งสองคนได้หารือกันมาตลอดทาง และเหลียงอันต้องรู้ว่าเขากับเจิ้งหยงโซวไปทำอะไรคืนนี้เหลียงอันกำลังรอข่าวอยู่เมื่อกลับมาที่ห้อง โดยธรรมชาติแล้วเขารู้เกี่ยวกับแผนการของซูลันซือ แผนการนี้ไม่ได้คิดมาอย่างกะทันหัน แต่ได้วางแผนไว้มานานแล้วเมื่อเขาจากไปนั้น เขาเห็นว่าซูลันซือประสบความสำเร็จมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะเขาก็พาเป่ยหมิงอ๋องออกไปแล้วตราบใดที่เขาหลอกให้เป่ยหมิงอ๋องออกไป งั้นการลักพาตัวซ่งซีซีก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว เพราะในคืนนี้พวกเขาแค่พาคนขับรถม้าคนหนึ่งและสาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น รวมทั้งคู่สามีภรรยาเป่ยหมิงอ๋องด้
เมื่อเขารู้ว่ามันมีโอกาสที่จะชนะสูงมาก แถมมีคำสั่งจากฝ่าบาทด้วย เหลียงอันก็ยืดหลังให้ตรงพลางขมวดคิ้วและพูดว่า "คำพูดขององค์หญิงใหญ่จะไม่น่าฟังหน่อย เอาแต่กล่าวว่าซีจิงจะจบเห่ มาดูถูกประเทศของตนเองเช่นนี้ มันไม่ควรออกมาจากปากขององค์หญิงใหญ่จริงๆ กระหม่อมไม่คิดว่าการกระทำของใต้เท้าซูจะผิดตรงไหน ก็บอกไปแล้วว่าได้เตรียมแผนการไว้สองแผน หากพวกเขายอมอ่อนข้อให้ งั้นเราก็ยินยอมที่จะเจรจาโดยธรรมชาติ แต่หากพวกเขาไม่ยอมอ่อนข้อ ในที่สุดก็จะทำสงครามอยู่ดี การจับตัวพระชายาเป่ยหมิงอ๋องก็แค่เลียนแบบการกระทำที่ยี่ฝางทำกับอดีตรัชทายาท หากทั้งสองประเทศทำสงคราม พระชายาเป่ยหมิงอ๋องจะกลายเป็นผู้ถูกจับปรากฏตัวในสนามรบชายแดนเฉิงหลิง มันย่อมทำให้ตระกูลเซียวยอมจำนน เช่นเดียวกับที่แม่ทัพซูลันจีทำในเมื่อก่อนเพื่ออดีตรัชทายาทแล้วทำสนธิสัญญาสันติภาพที่ให้ซีจิงของเราต้องอับอาย"องค์หญิงใหญ่เหลิ่งอวี่โกรธมากเมื่อได้ยินคำพูดนี้ "โง่เขลาเอาซะ ที่แม่ทัพซูลันจีทำเช่นนั้นเป็นเพราะยี่ฝางได้จับมรัชทายาทของประเทศเราไป ในเวลานั้นเกิดความขัดแย้งรุนแรงในราชสำนักเนื่องจากอดีตฮ่องเต้ป่วยหนัก หากไม่สามารถให้ประเทศภายในมั่นคงได้ เก
เกือบจะถึงยามจือแล้วแต่ตึกว่างจิงยังเปิดไฟสว่างอยู่ มีโคมไฟแตรแกะสองตัวที่มีคำว่า "ปิดร้าน" แขวนอยู่ที่ประตูห้องส่วนตัวบนชั้นสามเดิมเป็นสถานที่สำหรับดื่มชา แต่ตอนนี้มีสุราหนึ่งขวดและอาหารหลายอย่างเซี่ยหลูโม่ไม่ได้นำองครักษ์มาด้วย ส่วนซูลันซือก็นำคนใช้ไปเพียงคนเดียวซึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูสุราดื่มไปครึ่งทางแล้ว แม้ว่าทั้งสองจะพูดคุยเกี่ยวกับการเจรจาในวันพรุ่งนี้ แต่ก็ไม่มีใครเปิดเผยประเด็นหลักออกไปจุดประสงค์ของซูลันซือก็คือยืดเยื้อให้เขาอยู่ต่อให้นานๆ ที่นี่และจะไม่เปิดเผยสิ่งใดออกไปเลย ยามนี้เขาคาดว่าแผนการคงสิ้นสุดลงแล้วและบุคคลนั้นก็ถูกจับตัวไปแล้วทว่าเซี่ยหลูโม่ไม่รู้อะไรทั้งนั้นเลย เมื่อนึกถึงเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกได้ใจ พวกเขายังคิดว่าเป่ยหมิงอ๋องคงจัดการได้ยากมากทีเดียว ใครจะรู้ว่าแค่คำพุดไม่กี่คำเองก็ถูกหลอกมาได้ทว่าแต่ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่าเขาไม่ตื่นตัวเอาไว้ ถึงยังไงการเจรจาในวันพรุ่งนี้ ทางแคว้นซางต้องให้ความสำคัญอย่างมาก พวกเขารู้ว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด เลยกะว่าจะมาสอดรู้ข้อเสนอของอีกฝ่ายนี่แสดงว่าพวกเขาวิตกกังวลจริงๆอีกอย่างสิ่งที่ทำให้เขาน่าขำก็คือ เป่ยห
หลังจากกลับมามีสติได้ ซูลันจีก็วิ่งลงไปชั้นล่างอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นคนในเครื่องแบบองครักษ์หลายคนยืนอยู่ใกล้โต๊ะทำงานในห้องโถงใหญ่ชั้นที่หนึ่ง กำลังพูดคุยกับคนที่มารายงานหัวใจของเขาเต้นรัว เมื่อเขามา มีเพียงเถ้าแก่และเด็กหนุ่นคนหนึ่งที่นี่และไม่เห็นองครักษ์เลย องครักษ์พวกนี้มาเมื่อใดคนที่มารายงานนั้นคือหวังเจิง เขามากับคนอีกสามคน เมื่อเห็นซูลันซือ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ "ใต้เท้าซู ทางซีจิง ของเจ้าหมายความอย่างไร กลับจะทำร้ายใต้เท้าซ่งของเรา"ซูลันซือเหลือบมองรอบๆ และไม่พบซ่งซีซี เมื่อตระหนักว่ามันอาจเป็นกลอุบาย เขาก็ทำหน้าแดงก่ำออกมาและพูดว่า "ไม่มีทาง เจ้าอย่าพูดไปเรื่อย"เจิ้งหยงโซวไม่มีทางจะล้มเหลว แผนนั้นคือใช้คนสิบกว่าคนไปจัดการคนแค่สามสี่คนนั้นแล้วจะพลาดได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ศิลปะการต่อสู้ของเจิ้งหยงโซวแข็งแกร่งเช่นนั้น ต่อให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวไว้ก็แค่จับตัวไม่สำเร็จ แต่ไม่มีทางโดนจับดังนั้นมันย่อมเป็นกลอุบาย เมื่อซ่งซีซีถูกจับตัวไป พวกเขาเดาว่าเป็นฝีมือของซีจิง จงใจให้เขาติดกับดักเพื่อให้เขาเปิดเผยความจริงออกมาเขาหันไปมองเซี่ยหลูโม่ด้วยความโกรธและถามอย่างเ
มีไฟสองดวงห้อยอยู่ด้านนอกร้านขายยาเย่าหวัง เมื่อพวกของเซี่ยหลูโม่ขี่ม้ามาถึงนั้น ซ่งซีซีก็เดินออกมาโดยได้รับการพยุงจากเสิ่นว่านจือตอนที่นางเดินออกออกนั้น ร่างกายของซูลันซือก็แข็งทื่อ และหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ มันล้มเหลวแล้วเหรอทันใดนั้นดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นอย่างนองเลือด ต้องเป็นอ๋องฮวย จะต้องเป็นอ๋องฮวยแน่ๆ เขาไม่ต้องการสร้างพันธมิตรกับซีจิงเพื่อก่อกบฏ เขาถูกฮ่องเต้แคว้นซางส่งไปโดยตั้งใจผมของซ่งซีซียุ่งเหยิงเล็กน้อย บาดแผลที่แขนก็ถูกพันแผลเรียบร้อย และได้เปลี่ยนชุดชั้นนอกไปด้วย เห็นได้ชัดว่ามีคนกลับจวนนำชุดใหม่ให้นางเซี่ยหลูโม่กระโดดลงจากม้าทันทีและรีบเดินเข้าไปหาภายใต้แสงสลัว พูดน้ำเสียงด้วยความกังวล "เป็นอะไรหรือไม่?"น้ำเสียงของซ่งซีซีเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความคับข้องใจ "ถ้าข้าหนีไม่ทัน แขนของข้าก็คงถูกเขาตัดออกแล้ว ข้ามิรู้ว่าข้าไปทำอะไรให้ใต้เท้าเจิ้งต้องแค้นใจและเกลียดข้าขนาดนี้ กลับนำผู้คนมาลอบสังหารข้า"นางพูดแบบนี้ แต่ในเวลาเดียวกันก็จับมือของเซี่ยหลูโม่ แล้วตบหลังมือเขาเบาๆ เพื่อบ่งบอกว่านางสบายดีเสียงเอาความนี้กระทบหูของซูลันซือ เขายังคงมีท่าทีไม่อยาก
เซี่ยหลูโม่รู้ว่าเขาหุนหันพลันแล่นและประมาท แผนการนี้โดนทำลายอย่างง่ายดายแถมยังได้จับตัวเจิ้งหยงโซวในที่เกิดเหตุ เขาจะสงสัยเป็นอ๋องฮวยหลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักครู่ จากนั้นก็จะสงสัยว่าพวกเขากำลังสมรู้ร่วมคิดกัน แต่เมื่อเห็นเขาเปิดปากกำลังจะพูดนั้นก็หยุดพูดทันที ซึ่งแสดงให้เห็นว่าถึงแม้เขาจะหุนหันพลันแล่น แต่เขาก็ไม่โง่"เฉินยี สอบสวนต่อไป" เซี่ยหลูโม่ไม่ได้ผิดหวัง หลังจากออกคำสั่งกับเฉินยีแล้วก็บอกกับหวังเจิงว่า "ส่งใต้เท้าซูกลับไปหอฮุยตงและรายงานเรื่องนี้ให้องค์หญิงใหญ่ทราบด้วย""ขอรับ!" หวังเจิงรับคำสั่งและพูดกับซูลันซือว่า "ใต้เท้าซู เชิญ"ซูลันซือเหลือบมองเจิ้งหยงโซวแวบหนึ่ง และเอื้อมมือไปจับกระเป๋าแขนเสื้อซึ่งเป็นที่ที่เก็บพระราชโองการจากฝ่าบาทอยู่ เพื่อส่งสัญญาณให้เจิ้งหยงโซวอย่าพูดอะไรเรื่อยเปื่อยเมื่อเห็นการกระทำในมือของเขา หัวใจของเจิ้งหยงโซวเย็นวาบทันที เพราะเขารู้ว่าตนเองกลายเป็นหมากไร้ค่าแล้วเขาถูกจับตัวได้ในที่เกิดเหตุมันแก้ตัวไม่ได้อีกเลย แต่ต้องไม่ส่งผลทำให้ซีจิงประสบความล้มเหลวของการเจรจาครั้งนี้เด็ดขาด เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแบกรับความผิดของเรื่
ซูลันซือโต้เถียงกลับด้วยจิตใต้สำนึก "เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าทักษะศิลปะการต่อสู้ของซ่งซีซีจะยอดเยี่ยมแค่ไหน นางสามารถเทียบนักรบอันดับหนึ่งแห่งเมืองซีจิงได้หรือ"องค์หญิงใหญ่พูดอย่างเย็นชา "ความจริงก็คือนางเก่งกว่า อีกอย่างเขาถูกจับตัวได้อย่างง่ายดาย นักรบอันดับหนึ่งแห่งเมืองซีจิงกลับหมกมุ่นกับอำนาจ การแสวงหาอำนาจของเขาเป็นตัวกำหนดขีดจำกัดสูงสุดของทักษะการต่อสู้ของเขา ในเมื่อพวกเข้าทำความเข้าใจกับซ่งซีซีมาแล้ว ย่อมรู้ว่านางฝึกศิลปะการต่อสู้ในสถาบันว่านซงเหมินตั้งแต่เด็ก พวกเจ้ารู้ไหมว่าสถาบันว่านซงเหมินคือสถานที่อะไรกัน""มันก็แค่นิกายในแวดวงการต่อสู้นิกายหนึ่งไม่ใช่เหรอ มีอะไรพิเศษช?" ซูลันซือกล่าว แม้ว่าความจริงอยู่ต่อหน้าต่อตาแล้ว เจิ้งหยงโซวพ่ายแพ้ให้กับแส้แดงของซ่งซีซี แต่เขาก็ไม่เชื่อว่าซ่งซีซีมีวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ถ้าบอกว่าเป็นเป่ยหมิงอ๋องที่เอาชนะเจิ้งหยงโซว เขาคงไม่มีข้อสงสัยใดๆ"ศิษย์หญิงของนิกายหนึ่งแถมยังอายุน้อยเช่นนี้ มันจะมีวรยุทธ์เก่งขนาดไหนกันเชียว?" เหลียงอันก็พูดแบบเดียวกันอีกด้วย เขาไม่เชื่อว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะแข็งแกร่งขนาดนั้นองค์หญิงใหญ่เหลิ่งอวี่มองดูพวกเขา
ก่อนการเจรจามีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเกินไปมันเป็นคืนอดนอนที่หอฮุยตง และทางหอต้าหลี่ก็ดำเนินคดีในคืนนั้น ที่กรมราชทัณฑ์ หลังจากที่ยี่ฝางสารภาพเสร็จแล้วก็โวยวายจะขอพบจ้านเป่ยว่าง ขอพบหน้าเป็นครั้งสุดท้าย นาง ถึงขนาดก็คุกเข่าลงกับพื้นและร้องไห้ขอร้องนางไม่เคยอ่อนแอขนาดนี้ตั้งแต่เข้ามาในกรมราชทัณฑ์ หลี่ลี่คิดว่าหลังจากการเจรจาเสร็จ ยี่ฝางจะต้องถูกส่งมอบให้กับนักการทูตจากซีจิงอย่างแน่นอน ความตายจะเป็นเรื่องง่าย แต่อาจจะไม่ตายดีนักโทษที่ถูกประณามสามารถเจอญาติของตนเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตายได้ ดังนั้นหลี่ลี่จึงอนุญาตให้ทั้งสองคนพบกันในคืนนี้ แน่นอนว่าเจอกันที่คุกเท่านั้นเขาส่งคนไปพาจ้านเป่ยว่างไปที่คุก เจ้าหน้าที่เปิดประตูคุกแล้วถอยตัวออกไปข้างนอกแน่นอนว่าก่อนที่จ้านเป่ยว่างเข้าไปนั้นก็ถูกค้นตัวไปหมดแล้ว และไม่อนุญาตให้นำของมีคมเข้าไป เผื่อยี่ฝางจะฆ่าตัวตาย งั้นพวกเขาก็งานเข้าแล้วปัจจุบันี้ยี่ฝางถูกคุมขังเพียงลำพังในเรือนจำหญิง เหตุผลหลักก็คือนางเป็นนักโทษที่สำคัญมาก และไม่อนุญาตให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ดังนั้นหลี่ลี่จึงส่งกองกำลังแข็งแกร่งมาเฝ้าดูอย่างหนักแน่นแสงส่องลงบนใบหน้าที่ซีดเ