เซี่ยหลูโม่รู้ว่าเขาหุนหันพลันแล่นและประมาท แผนการนี้โดนทำลายอย่างง่ายดายแถมยังได้จับตัวเจิ้งหยงโซวในที่เกิดเหตุ เขาจะสงสัยเป็นอ๋องฮวยหลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักครู่ จากนั้นก็จะสงสัยว่าพวกเขากำลังสมรู้ร่วมคิดกัน แต่เมื่อเห็นเขาเปิดปากกำลังจะพูดนั้นก็หยุดพูดทันที ซึ่งแสดงให้เห็นว่าถึงแม้เขาจะหุนหันพลันแล่น แต่เขาก็ไม่โง่"เฉินยี สอบสวนต่อไป" เซี่ยหลูโม่ไม่ได้ผิดหวัง หลังจากออกคำสั่งกับเฉินยีแล้วก็บอกกับหวังเจิงว่า "ส่งใต้เท้าซูกลับไปหอฮุยตงและรายงานเรื่องนี้ให้องค์หญิงใหญ่ทราบด้วย""ขอรับ!" หวังเจิงรับคำสั่งและพูดกับซูลันซือว่า "ใต้เท้าซู เชิญ"ซูลันซือเหลือบมองเจิ้งหยงโซวแวบหนึ่ง และเอื้อมมือไปจับกระเป๋าแขนเสื้อซึ่งเป็นที่ที่เก็บพระราชโองการจากฝ่าบาทอยู่ เพื่อส่งสัญญาณให้เจิ้งหยงโซวอย่าพูดอะไรเรื่อยเปื่อยเมื่อเห็นการกระทำในมือของเขา หัวใจของเจิ้งหยงโซวเย็นวาบทันที เพราะเขารู้ว่าตนเองกลายเป็นหมากไร้ค่าแล้วเขาถูกจับตัวได้ในที่เกิดเหตุมันแก้ตัวไม่ได้อีกเลย แต่ต้องไม่ส่งผลทำให้ซีจิงประสบความล้มเหลวของการเจรจาครั้งนี้เด็ดขาด เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแบกรับความผิดของเรื่
ซูลันซือโต้เถียงกลับด้วยจิตใต้สำนึก "เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าทักษะศิลปะการต่อสู้ของซ่งซีซีจะยอดเยี่ยมแค่ไหน นางสามารถเทียบนักรบอันดับหนึ่งแห่งเมืองซีจิงได้หรือ"องค์หญิงใหญ่พูดอย่างเย็นชา "ความจริงก็คือนางเก่งกว่า อีกอย่างเขาถูกจับตัวได้อย่างง่ายดาย นักรบอันดับหนึ่งแห่งเมืองซีจิงกลับหมกมุ่นกับอำนาจ การแสวงหาอำนาจของเขาเป็นตัวกำหนดขีดจำกัดสูงสุดของทักษะการต่อสู้ของเขา ในเมื่อพวกเข้าทำความเข้าใจกับซ่งซีซีมาแล้ว ย่อมรู้ว่านางฝึกศิลปะการต่อสู้ในสถาบันว่านซงเหมินตั้งแต่เด็ก พวกเจ้ารู้ไหมว่าสถาบันว่านซงเหมินคือสถานที่อะไรกัน""มันก็แค่นิกายในแวดวงการต่อสู้นิกายหนึ่งไม่ใช่เหรอ มีอะไรพิเศษช?" ซูลันซือกล่าว แม้ว่าความจริงอยู่ต่อหน้าต่อตาแล้ว เจิ้งหยงโซวพ่ายแพ้ให้กับแส้แดงของซ่งซีซี แต่เขาก็ไม่เชื่อว่าซ่งซีซีมีวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ถ้าบอกว่าเป็นเป่ยหมิงอ๋องที่เอาชนะเจิ้งหยงโซว เขาคงไม่มีข้อสงสัยใดๆ"ศิษย์หญิงของนิกายหนึ่งแถมยังอายุน้อยเช่นนี้ มันจะมีวรยุทธ์เก่งขนาดไหนกันเชียว?" เหลียงอันก็พูดแบบเดียวกันอีกด้วย เขาไม่เชื่อว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะแข็งแกร่งขนาดนั้นองค์หญิงใหญ่เหลิ่งอวี่มองดูพวกเขา
ก่อนการเจรจามีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเกินไปมันเป็นคืนอดนอนที่หอฮุยตง และทางหอต้าหลี่ก็ดำเนินคดีในคืนนั้น ที่กรมราชทัณฑ์ หลังจากที่ยี่ฝางสารภาพเสร็จแล้วก็โวยวายจะขอพบจ้านเป่ยว่าง ขอพบหน้าเป็นครั้งสุดท้าย นาง ถึงขนาดก็คุกเข่าลงกับพื้นและร้องไห้ขอร้องนางไม่เคยอ่อนแอขนาดนี้ตั้งแต่เข้ามาในกรมราชทัณฑ์ หลี่ลี่คิดว่าหลังจากการเจรจาเสร็จ ยี่ฝางจะต้องถูกส่งมอบให้กับนักการทูตจากซีจิงอย่างแน่นอน ความตายจะเป็นเรื่องง่าย แต่อาจจะไม่ตายดีนักโทษที่ถูกประณามสามารถเจอญาติของตนเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตายได้ ดังนั้นหลี่ลี่จึงอนุญาตให้ทั้งสองคนพบกันในคืนนี้ แน่นอนว่าเจอกันที่คุกเท่านั้นเขาส่งคนไปพาจ้านเป่ยว่างไปที่คุก เจ้าหน้าที่เปิดประตูคุกแล้วถอยตัวออกไปข้างนอกแน่นอนว่าก่อนที่จ้านเป่ยว่างเข้าไปนั้นก็ถูกค้นตัวไปหมดแล้ว และไม่อนุญาตให้นำของมีคมเข้าไป เผื่อยี่ฝางจะฆ่าตัวตาย งั้นพวกเขาก็งานเข้าแล้วปัจจุบันี้ยี่ฝางถูกคุมขังเพียงลำพังในเรือนจำหญิง เหตุผลหลักก็คือนางเป็นนักโทษที่สำคัญมาก และไม่อนุญาตให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ดังนั้นหลี่ลี่จึงส่งกองกำลังแข็งแกร่งมาเฝ้าดูอย่างหนักแน่นแสงส่องลงบนใบหน้าที่ซีดเ
นางไม่ใช่คนยอมทอดทิ้งชีวิตของตนเองอย่างง่ายดาย ต่อให้ใช้ชีวิตอย่างน่าอนาถแต่ก็ดีกว่าตายไปนางเชื่อมั่นว่าคนๆ หนึ่งจะไม่โชคร้ายไปตลอดชีวิต ตราบใดที่นางยังมีชีวิตอยู่ นางจะมีโอกาสพลิกผันได้ แม้ว่าจะเป็นแม่ทัพหญิงไม่ได้อีก งั้นนางก็สามารถเลือกเส้นทางอื่นได้ โลกมันใหญ่ขนาดนี้ แค่นางเข้มแข็งมากพอ สักวันหนึ่งนางจะประสบความสำเร็จได้เพราะงั้นนางจึงตายไม่ได้จ้านเป่ยว่างคิดว่านางกำลังพูดเพ้อเจ้อ "การมีเส้นทางจะมีประโยชน์อะไร? เจ้ารู้ไหมว่าครั้งนี้มีคนจากซีจิงมากันกี่คน มีทั้งหมดมากกว่าร้อยคนและมีองครักษ์อย่างน้อยหกสิบหรือเจ็ดสิบคน ข้าไม่มีทางช่วยจเจ้าได้""ไม่ได้ลำพังเจ้าผู้เดียวหรอก ทางจวนเป่ยหมิงอ๋องจะช่วยเจ้า" ยี่ฝางพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ และมันเบามากจนมีแต่จ้านเป่ยว่างคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยินได้ "หลังจากที่ข้าตกไปอยู่ในกำมือของชาวซีจิง ข้ามีวิธีให้พวกเขาเอาเซียวเฉิงไปด้วย ทางจวนเป่ยหมิงอ๋องจะไม่เพิกเฉยต่อเซียวเฉิง เจ้าเพียงแค่ต้องติดตามพวกเขาและช่วยเหลือข้าในขณะที่พวกเขาช่วยเซียวเฉิงอยู่"จ้านเป่ยว่างรู้สึกตัวหนาวสั่งเมื่อได้ยินคำพูดของนาง "เจ้าว่าอะไรนะ เจ้ามีวิธีให้ชาวซีจิงจับตัวแม่ทัพ
อาจารย์หยูลูบท้องน้อยและถูมือไปมาบนใบหน้า เห้อ ยากเหลือเกิน "เกิดอะไรขึ้นกับจวนอ๋องฮวย""มีรถม้าสามคันถูกระดมมาจอดที่ประตูหลัง และพวกมันก็ขนของเข้าไปข้างในรถ เมื่อมองจากระยะไกล ดูเหมือนจะเป็นทองคำและพวกของมีค่า"อาจารย์หยูกล่าวว่า "เขากำลังจะหนี""อาจารย์อู อาจารย์หยู จะส่งคนไปหยุดพวกเขากลางทางหรือไม่?"อาจารย์หยูต้องถามศิษย์อาอย่างนอบน้อม "อาจารย์อูคิดว่าไง""เขาจะหนีไปไหนได้อีกเล่า จะต้องไปที่เยี่ยนโจวแน่ๆ ส่งคนไปติดตามเขา ในระหว่างทางก็ขโมยทองคำและพวกของมีค่าทั้งหมดไปและปล่อยให้เขาไปที่เยี่ยนโจวโดยมือเปล่า หลังจากถึงเยี่ยนโจว... " เขามองไปที่ผิงหวูจูงอย่างเรยบๆ แล้วพูดว่า "ส่งคนของเจ้าจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิด และบันทึกและรายงานทุกสิ่งที่เขาทำ"ผิงหวูจูงกัดฟันแล้วตอบว่า "เจ้าค่ะ!"อาจารย์หยูรู้ว่าต้องการส่งคนไปจับตาดูพวกเขาเอาไว้ แต่ที่อาจารย์อูสั่งให้ไปขโมยทองคำและพวกของมีค่าทั้งหมด นี่ก็อุบายร้ายกาจจริงๆ แต่เขาชอบมากอูโซเว่ยชำเลืองมองพวกเขา ในที่สุดก็มีเมตตาขึ้นมา "รักษาท่านี้แล้วเดินออกไปวางถังลง จากนั้นก็ไปสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำต่อไป"ราวกับว่าพวกเขาได้รับการนิรโทษกรรม ทั้ง
เซี่ยหลูโม่ไม่กล้าพูดต่อจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง "มาถึงเมื่อไหร่เล่า? ทำไมไม่ส่งคนมาแจ้งให้ข้าทราบด้วยขอรับ?""พวกเจ้าก็ทำงานของตนเองไป ข้าจะคอยให้คำปรึกษาเจ้าที่นี่ แล้วเรื่องเป็นไงบ้าง ได้จับตัวไว้หรือเปล่า?"เมื่อได้ยินเขาถามแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเขารู้เกี่ยวกับการลอบสังหารในคืนนี้ เขาพูดอย่างภาคภูมิใจว่า "พวกซีซีสามคนนั้นได้จับเจิ้งหยงโซวเอาไว้แล้วส่งเขาไปที่หอต้าหลี่แล้ว เจิ้งหยงโซวคนนั้นเอาแต่ชมว่าตนเองเป็นนักรบอันดับหนึ่งแห่งเมืองซีจิง แต่เมื่อพบกับซีซี ก็ประสบความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่""อืม" อูโซเว่ยตอบรับเบาๆ จากนั้นมองไปที่ซ่งซีซี "นางไม่มีข้อดีอะไรทั้งนั้นเลย ยกเว้นมีวรยุทธ์ที่ค่อนข้างไม่เลว แล้วเจิ้งหยงโซวก็มิใช่นักรบอันดับหนึ่งแห่งซีจิงเลย นักรบแข็งแกร่งที่ซีจิงส่วนมากจะไม่เข้าราชการหรอก การเอาชนะเขาก็ไม่เห็นจะเก่งอะไรกัน ไม่ควรทะนงตน""เจ้าค่ะ" ซ่งซีซีตอบรับอย่างว่าง่ายซ่งซีซีผ่านอะไรมามากมาย และทุกคนที่มองนางมีความรู้สึกต่างๆ นานา บางคนรู้สึกเห็นใจกับนาง บางคนชื่นชมนาง และบางคนก็อิจฉานางแต่มีเพียงอูโซเว่ยยังคงปฏิบัติต่อนางในแบบเดียวกับที่เขาทำตอนที่นางยังอยู่ในภูเขาเหม่ยชาน
คำให้การทั้งหมดเป็นภาษาซาง และพวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด ล่ามทั้งสองคนอ่านให้พวกเขาฟังเป็นภาษาซีจิงอย่างนุ่มนวลเจิ้งหยงโซวยอมรับความผิดทุกอย่างไว้กับตัวเองโดยบอกว่าเป็นเพราะซ่งฮวยอันเอาชนะซีจิงใตหลายปีก่อน และสังหารทหารซีจิงเป็นจำนวนมาก บวกกับท่านตาของเซียวเฉิงเฝ้าอยู่ชายแดนเฉิงหลิงมานานหลายปี เคยทำสงครามทั้งเล็กทั้งใหญ่นับไม่ถ้วน ทำให้เขาเกลียดชังตระกูลเซียว เกลียดซ่งซีซีมากจนใช้ประโยชน์จากการเดินทางครั้งนี้เพื่อหาโอกาสฆ่าซ่งซีซีเพื่อระบายความโกรธหลังจากได้ยินคำสารภาพเสร็จ สีหน้าของพวกนักการทูตซีจิงก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใดกล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ที่เขาลอบสังหารซ่งซีซีมันก็ยังเกี่ยวข้องกับชายแดนเฉิงหลิงนักการทูตคิดว่าเป่ยหมิงอ๋องได้ทำอะไรอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา และไม่เอาเรื่องคุยตอนเจรจา แต่คุยก่อนการเจรจาคือต้องการเรียกร้องความยุติธรรมทว่าสิ่งนี้ทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกหนักใจมากขึ้น พวกเขาอยากจะให้อีกฝ่ายเจ้าเล่ห์หน่อย เอาเรื่องนี้คุยตรงๆ ในประชุมการเจรจา งั้นก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอะไรให้ยกเว้นเหลียงอัน นักการทูตคนอื่นๆ ได้ด่าทอซูลันซือในใจยกใหญ่ และยังเฟ้อ
ซูลันซืออึดอัดมาก ในการเจรจาวันนี้ เดิมทีเขาต้องการสร้างอานุภาพขู่ขวัญไว้ก่อน เอาเรื่องเอาความอีกฝ่าย เสนอข้อแม้ที่พวกเขาทำไม่ได้ จากนั้นประกาศว่าการเจรจาล้มเหลวและกลับประเทศเพื่อประกาศทำสงครามตอนนี้ไม่เพียงแต่ทำเช่นนั้นไม่ได้ แต่การเจรจายังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ยิ่งไปหว่านั้นยังถูกองค์หญิง หลานสาวของตนเองดูถูก เขารู้สึหงุดหงิดอย่างยิ่งเสนาบดีมู่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นฉากเปิดงานแบบนี้ จิตใจของเขาก็สงบลงคงจะดีถ้าพวกเขาสามารถเจรจาอย่างสันติเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองลู่เปินเอ่อร์ มันคือความผิดของทางแคว้นซาง แคว้นซางยินดีที่จะขอโทษและชดเชยให้ แต่จำเป็นต้องมีโอกาสในการเจรจาอย่างสันติทางซีจิงได้แจกจ่ายเอกสารบันทึกคดีของเหตุการณ์เมืองลู่เปินเอ่อร์ให้กับพวกเขา เอกสารชุดนั้นประกอบด้วยบันทึกปากเปล่ามากมาย พวกทหารที่ถูกจับพร้อมกับรัชทายาทซีจิง และมีโอกาสได้รอดชีวิตมาได้จึงได้เล่าสถานการณ์ที่แท้จริงในตอนนั้นให้ไม่ใช่ทุกคนในหมู่บ้านถูกสังหารอย่างน่าอนาถไปหมด มีบางคนที่หลบหนีได้ และผู้ที่หลบหนีก็ได้เห็นฉากโหดร้ายบางส่วนเช่นกันในเอกสารบันทึกคดี ทหารตัวน้อยคนนั้นถูกเรียกชื่อว่าโหย่วห
ผ่านไปไม่กี่วัน วังหลังได้เคลื่อนย้ายร่างของนางกำนัลคนหนึ่งออกไปวันนั้น จักรพรรดิ์ซูชิงมีพระราชโองการให้พระสนมซูเฟยย้ายออกจากตำหนักฮุ่ยอี๋ นำนางกำนัล องค์หญิงสาม และองค์ชายสามไปพำนักที่ตำหนักกุ้ยหลานตำหนักกุ้ยหลานตั้งอยู่มุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ใกล้กับตำหนักเย็น ปกติแทบไม่มีใครไปเยือนเมื่อพระราชโองการประกาศออกมา พระสนมซูเฟยราวกับถูกฟ้าผ่า ยืนอึ้งอยู่นานกว่าจะตั้งสติได้ครู่หนึ่ง นางจึงเอ่ยสั่งบรรดาข้ารับใช้ด้วยใบหน้าซีดเผือด “เก็บข้าวของเถิด”นางรู้ดีว่า ตนเองและองค์ชายสามหมดโอกาสแล้วโดยสิ้นเชิงแต่ที่จริง นางไม่ได้นึกแปลกใจเลย นับตั้งแต่นางรู้ว่าฝูเจาอี๋สูญเสียลูกไป นางก็ทำใจไว้แล้วเพราะเรื่องนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ ยาที่นางให้ไปมีปริมาณเพียงน้อยนิด ต้องดื่มติดต่อกันครึ่งเดือนถึงจะเห็นผลแต่กลับกลายเป็นว่าเพียงวันรุ่งขึ้น ฝูเจาอี๋ก็ตกเลือดเสียแล้ว นั่นย่อมหมายความว่าคนของนางที่แทรกซึมอยู่ข้างกายฝูเจาอี๋ ได้ทรยศและหันไปเข้ากับฮองเฮา หรือมิฉะนั้นก็พระสนมเต๋อเฟยนางไม่จำเป็นต้องไปไตร่ตรองอีกแล้วว่าเป็นใคร เพราะไม่มีความหมายใดอีก ฮ่องเต้มีพระราชโองการให้ย้ายตำหน
ซ่งซีซีรู้สึกว่าการเป็นฮ่องเต้ช่างอึดอัดยิ่งนัก เรื่องของอำนาจและการคำนวณผลประโยชน์ล้วนเป็นไปตามสถานการณ์โดยมิอาจควบคุมได้เองบัดนี้ฮ่องเต้คงต้องการแต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาท เช่นนั้นฮองเฮาก็ไม่อาจเกี่ยวข้องได้ องค์ชายใหญ่เดิมทีก็เป็นเพียงบุคคลธรรมดา หากฮองเฮายังถูกกล่าวหาเรื่องวางแผนปองร้ายรัชทายาท ก่อความวุ่นวายในวังหลัง ตำแหน่งองค์รัชทายาทขององค์ชายใหญ่ก็คงไม่มั่นคงส่วนพระสนมซูเฟยที่เป็นผู้ลงมือโดยตรง ฮ่องเต้ย่อมต้องคำนึงถึงบิดาของนาง จึงมิอาจลงโทษอย่างรุนแรงได้กล่าวโดยสรุป เรื่องทั้งหมดนี้มิอาจเปิดเผยให้รับรู้โดยทั่วไปได้“แต่ละคนล้วนไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ” ไทเฮาถอนหายใจ “แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าอำนาจสูงสุดแล้ว มีผู้ใดบ้างที่ไม่อยากเดิมพันสุดกำลัง?”ซ่งซีซีกำลังจะเอ่ยถามว่าทำไมไทเฮาจึงเล่าเรื่องเหล่านี้ให้นางฟัง ทว่าไทเฮากลับตรัสขึ้นมาก่อน “เรื่องในวัง เจ้าควรรู้ไว้ว่าต้องระวังให้มากที่สุด จิตใจของผู้คนเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก ฮ่องเต้ทรงหวาดระแวงต่อจวนเป่ยหมิงอ๋อง บัดนี้กลับให้ความไว้วางใจพวกเจ้า หากพวกนางต้องการแย่งชิงบัลลังก์ ย่อมมิอาจเลี่ยงที่จะลงมือผ่านตัวเจ้า วัง
เรื่องที่ฝูเจาอี๋แท้งลูก ซ่งซีซีได้รับรู้จากปากของเซี่ยหลูโม่พระชายาฉินอ๋องมาเชิญนางให้เข้าเฝ้าในวังด้วยกัน ซ่งซีซีก็ตอบตกลงเดิมทีซ่งซีซีกับพระชายาฉินอ๋องไม่มีความเกี่ยวข้องกันมากนัก แต่ตั้งแต่ฉินอ๋องเดินทางไปซีจิงด้วยกัน พระชายาฉินอ๋องก็ดูสนิทสนมกับซ่งซีซีมากขึ้น กล่าวว่าภรรยาของพี่น้องควรไปมาหาสู่กันบ่อยๆพระชายาฉินอ๋องเป็นสตรีตระกูลฉี เป็นลูกพี่ลูกน้องของฮองเฮา แต่หลังจากฮองเฮาถูกกักบริเวณ พระชายาฉินอ๋องก็ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนฮองเฮาอีกดังนั้น คำว่าภรรยาของพี่น้องควรไปมาหาสู่กันบ่อยๆ สำหรับนางแล้ว แท้จริงหมายความว่าหากไม่มีเรื่องเดือดร้อน ก็สามารถไปมาหาสู่กันได้ แต่หากมีปัญหา ก็ควรอยู่ให้ห่างตัวอย่างเช่น ตอนที่ฮ่องเต้ทรงระแวงจวนเป่ยหมิงอ๋อง พระชายาฉินอ๋องก็ถอยห่างจากซ่งซีซีอย่างชัดเจน ราวกับกลัวจะถูกลูกหลงแท้จริงแล้ว ฉินอ๋องไม่ได้สร้างผลงานอะไรมากนัก เพียงแต่ได้รับคำชมจากฮ่องเต้หนึ่งประโยค ซึ่งก็เพียงพอให้ฉินอ๋องลำพองใจไปได้อีกสองปีขณะที่ทั้งสองเดินทางเข้าเฝ้า พระชายาฉินอ๋องก็ไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแต่สนทนาเรื่องทั่วไปซ่งซีซีคิดว่าพระชายาฉินอ๋องเป็นคนฉลาด บางครั้งจงใจแ
จักรพรรดิ์ซูชิงเผยความผิดหวังออกมาเมื่อตรัสกลับถึงตำหนักของพระองค์การสอบสวนไม่พบอะไร ไม่ได้แปลว่าไม่มีปัญหาเล่ห์กลในวังหลังนั้น บางครั้งใช้ออกไปแล้วไม่เหลือร่องรอยให้ตามหาหมอมหัศจรรย์เคยกล่าวไว้ว่า ครรภ์ของฝูเจาอี๋อาจรักษาไว้ไม่ได้ แม้จะรักษาไว้ได้ เด็กที่เกิดมาอาจร่างกายอ่อนแอ หรือแม้กระทั่งเป็นคนปัญญาอ่อนพระองค์เองมิใช่ว่าไม่เคยคิดจะให้ฝูเจาอี๋ดื่มยาถ้วยหนึ่งแต่ท้ายที่สุดก็ยังลังเลไม่อาจตัดใจ นี่อาจเป็นพระโอรสองค์สุดท้ายของพระองค์แล้ว พระองค์จึงอยากลองเสี่ยงดูสักครั้งครานี้พระองค์มั่นใจว่ามีผู้ลงมือแน่นอน ช่วงที่ผ่านมา พระองค์เสด็จไปที่ตำหนักของฝูเจาอี๋บ่อยครั้ง เช่นนี้ย่อมทำให้บางคนรู้สึกไม่พอใจเต๋อเฟยมีใจอยากดูแลฝูเจาอี๋ แต่ฝูเจาอี๋กลับยโสโอหังเพราะความโปรดปราน จนถึงขั้นแสดงความไม่พอใจต่อนาง วันนั้นก็เอ่ยเตือนนางไปแล้ว น่าเสียดายที่นางกลับไม่เข้าใจความหมายเต๋อเฟยเป็นผู้ดูแลวังหลัง หญิงงามมากมายในตำหนักล้วนเป็นคนที่เต๋อเฟยและซูเฟยเป็นผู้เลือก หากคิดจะลงมือกับครรภ์ของฝูเจาอี๋ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อยทว่าเต๋อเฟยคงไม่ได้เป็นคนลงมือเอง ไม่เช่นนั้น คงไม่ช่วยปกป้อง
ในตำหนักฮุ่ยอี๋ องค์ชายสามนั่งอยู่บนเก้าอี้ องค์หญิงสามช่วยเช็ดเส้นผมที่เปียกชื้นของเขา นางกล่าวด้วยความขุ่นเคืองว่า “เพิ่งสระผมไปเมื่อวันก่อนแท้ๆ เจ้าต้องเล่นกับเจ้าแมวป่าตัวนั้นให้ได้ ทำให้เส้นผมและใบหน้าของเจ้ามีแต่ขนแมว ถ้ามีคราวหน้าอีก พี่จะตีเจ้าที่ก้น”เด็กชายตัวน้อยที่งดงามราวกับแกะสลักจากหยก ดวงตาดำขลับทอประกายราวดวงดาว ยิ้มแย้มขณะที่พิงตัวอยู่ในอ้อมกอดพี่สาว “ท่านพี่ เจ้าแมวป่าสนุกและน่ารักมาก มันใช้เท้าเล็กๆ เหยียบข้า รู้สึกสบายจริงๆ แถมเวลากอดมันก็อบอุ่นด้วย”องค์หญิงสามกล่าวว่า “เสด็จแม่บอกแล้วว่าเสด็จพ่อไม่ชอบเจ้าแมวป่า แต่เจ้ากลับเอาแต่นำเรื่องของมันไปพูดกับเสด็จพ่อ ไม่แปลกใจเลยที่ช่วงนี้เสด็จพ่อไม่มาหาเจ้าเลย”องค์ชายสามนั่งตัวตรง ปล่อยให้พี่สาวช่วยเช็ดผม แต่ปากยังไม่วายโต้กลับ “ข้ากับเสด็จพ่อเป็นคนละคน ย่อมมีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบแตกต่างกัน เสด็จพ่อไม่ชอบ แต่ข้าชอบ ข้ารักมัน ต่อให้เสด็จพ่อไม่พอใจ ก็ใช่ว่าจะบังคับให้ข้าทิ้งมันได้”องค์หญิงสามเอานิ้วแตะจมูกเขาเบาๆ “ปากคมเสียจริง”องค์ชายสามยิ้มกว้าง “ท่านพี่เถียงข้าไม่ชนะ เพราะพี่ไม่มีเหตุผล เสด็จอาบอกว่าหากพี่มีเหตุผล
ฝูเจาอี๋มิได้สังเกตเห็นรอยเย้ยหยันที่มุมปากของชุนถังชุนถังเป็นนางกำนัลที่คอยรับใช้ข้างกายนาง ตั้งแต่นางได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเจี๋ยหยู นางเฉลียวฉลาดและสุขุม ยามที่ฝูเจาอี๋ต้องการคำแนะนำ นางก็มักเป็นผู้วางแผนให้อยู่เสมอ ครั้งนั้น ฮองเฮามีใจต้องการดึงนางเข้าสังกัด ทว่าชุนถังกลับเตือนว่าสถานะของฮองเฮาเริ่มสั่นคลอนแล้ว ถูกกักบริเวณอยู่บ่อยครั้ง ฝ่าบาททรงไม่โปรดอีกต่อไป อีกทั้งยังไม่มีอำนาจดูแลวังหลัง สู้ทำทีเป็นให้ความร่วมมือไปก่อน แล้วค่อยเบนเข้าหาเต๋อเฟยและซูเฟยจะดีกว่าและชุนถังก็คิดถูก เต๋อเฟยเมตตานางยิ่งนัก ทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และข้าวของล้วนจัดหาให้อย่างดี ไม่มีใครกล้าดูแคลนนางอีกทว่า ในอดีต เต๋อเฟยเคยดีกับนางก็จริง แต่ตอนนี้กลับใช้ประโยชน์จากครรภ์ของนางเพื่อเข้าหาฝ่าบาท สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก“เจาอี๋มิทรงยินดีให้พระนางเต๋อเฟยเสด็จมาหรือเพคะ?” ชุนถังช่วยประคองศีรษะและเอวของนางให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อย การต้องนอนติดเตียงเป็นเวลานานเช่นนี้ ทำให้นางมักบ่นว่าปวดหลังฝูเจาอี๋วางใจชุนถังมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่ลังเลที่จะเอ่ยความในใจ “ตอนที่ครรภ์ของข้ายังมั่นคงอยู่ พระน
ครรภ์ของฝูเจาอี๋ เดิมทีก็มั่นคงดี หมอหลวงเองก็กล่าวว่าไม่มีปัญหาใหญ่อันใด แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอเข้าสู่เดือนเหมันต์ ครรภ์นี้กลับเริ่มไม่มั่นคง อีกทั้งยังมีเลือดออกถึงสองครั้งหมอหลวงจินทุ่มเทสรรพวิธีเพื่อรักษาครรภ์ของนางไว้ ทำให้พอประคองสถานการณ์ได้ แต่นางก็ต้องนอนพักอยู่บนเตียง ยังไม่อาจลุกเดินไปไหนได้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด หมอหลวงย่อมให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ตรวจสอบทั้งอาหารการกินและข้าวของที่ใช้ในวังอย่างละเอียด ทว่ากลับไม่พบความผิดปกติใดๆ จึงคาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากการที่ฝ่าบาทเสวยโอสถมาเป็นเวลานาน จึงทำให้ครรภ์นี้ไม่มั่นคงจักรพรรดิ์ซูชิงทรงเป็นกังวลอย่างยิ่งกับครรภ์นี้ นับตั้งแต่นางต้องนอนพักรักษาครรภ์ ฝ่าบาทก็ทรงเสด็จมาเยี่ยมเกือบวันเว้นวัน บางคราก็ทรงประทับร่วมเสวยพระกระยาหารเมื่อเอาใจใส่สิ่งหนึ่ง ก็ย่อมละเลยอีกสิ่งหนึ่งไป ทำให้ช่วงนี้ฝ่าบาทแทบไม่ได้เสด็จไปยังตำหนักของซูเฟย อีกทั้งยังมิได้ทรงเรียกองค์ชายสามเข้าพบที่ห้องพระอักษรเลยส่วนเต๋อเฟยนั้น เนื่องจากต้องดูแลกิจการในวังหลัง เมื่อพอมีเวลาว่างก็มักจะพาองค์ชายรองมาเยี่ยมฝูเจาอี๋ด้วย ดังนั้นจึงได้มีโอกา
ในวังหลัง เดิมทีมีผู้คาดเดาเกี่ยวกับพระอาการของฝ่าบาทไม่น้อย แม้ยามนี้ฝูเจาอี๋จะตั้งครรภ์ ทว่าหมอมหัศจรรย์กลับพำนักอยู่ในวัง เป็นหลักฐานว่าพระวรกายของฝ่าบาทหาใช่เพียงต้องบำรุงรักษาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นดังนั้น การที่ฝ่าบาทโปรดปรานเช่นนี้ ทำให้บางคนเริ่มอยู่นิ่งไม่ได้โดยเฉพาะฮองเฮา นางรับรู้เรื่องพระอาการของฝ่าบาทอยู่บ้าง ตอนนี้หมอมหัศจรรย์กลับเข้าวังเพื่อถวายการรักษา ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรนางไม่อาจคาดเดา เพียงแต่รู้สึกว่าฝ่าบาทอาจอยู่ในช่วงที่พละกำลังถดถอยเต็มที่แล้วครรภ์ของฝูเจาอี๋ นางไม่ได้ใส่ใจ ไม่ว่าบุตรในครรภ์จะเป็นชายหรือหญิงก็ยังไม่อาจทราบได้ ต่อให้เป็นองค์ชาย ก็ยังไม่ถึงคราวของเขาแต่การที่ฝ่าบาททรงเอ็นดูองค์ชายสามถึงเพียงนี้ กลับทำให้นางรู้สึกถึงภัยคุกคามเดิมทีฝ่าบาทให้ทางเลือกแก่นาง นางเลือกตำแหน่งฮองเฮา เลือกมีชีวิตรอด ทว่าหลังจากนิ่งเฉยมาพักหนึ่ง นางก็เข้าใจว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงละทิ้งองค์ชายใหญ่ได้รวดเร็วเพียงนั้น ยิ่งตอนนี้องค์ชายใหญ่ขยันขันแข็งศึกษาหาความรู้ แม้แต่ไท่ฝู่และเสด็จอายังเอ่ยปากชม นางยังสืบมาว่าฝ่าบาททรงพอพระทัยองค์ชายใหญ่อยู่ไม่น้อยองค์ชายรองและองค์ชายสามล
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงประชุมหารือกับขุนนางในห้องทรงอักษรยาวนานจนถึงดึกดื่น สุดท้ายเป็นหมอมหัศจรรย์ดันที่ต้องเข้าไปขัดจังหวะ แจ้งว่าดึกมากแล้ว พระองค์ถึงกับเหยียดพระกรพลางแย้มพระสรวล “ถึงกับดึกเพียงนี้แล้วรึ? เช่นนั้นก็เลิกประชุมเถิด ประตูวังใกล้จะปิดแล้ว”แม้จะเป็นช่วงเวลาดึกมากแล้ว แต่พระองค์กลับยังดูสดชื่น โดยเฉพาะบนพระพักตร์ที่มีเลือดฝาดขึ้น ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้ที่ประชวรเลยซ่งซีซีรอให้เซี่ยหลูโม่ประชุมเสร็จ ก่อนจะออกจากวังกลับจวนพร้อมกันนางอ่อนล้ามาก พิงไหล่ของเซี่ยหลูโม่แล้วเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัวเมื่อรถม้ามาถึงหน้าจวน เซี่ยหลูโม่อุ้มนางขึ้นมา ซ่งซีซีรับรู้ได้รางๆ แต่ก็ขี้เกียจจะตื่น เลยปล่อยให้เขาอุ้มเข้าไป อ้อมแขนอบอุ่นแข็งแกร่งช่างสบายเหลือเกินตลอดสามเดือนที่ผ่านมา นอกจากตอนอยู่ที่ด่านเฉิงหลิง นางแทบไม่มีคืนไหนที่สามารถนอนหลับได้อย่างสนิทใจ แต่เมื่อกลับถึงจวน ก็รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์ ดำดิ่งสู่ห้วงนิทราลึกทว่า…นอนหลับไปก็ยังรู้สึกว่ามีมือร้อนจัดคู่หนึ่งลูบไล้ไปทั่วร่างนางยังคงหลับตา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “ลืมที่ท่านลุงดันบอกไปแล้วหรือ?”เสียงร้อนผ่าวกระซิบข