Share

บทที่ 953

Author: ปาเย่วเซิ่งเซี่ย
นางไม่ใช่คนยอมทอดทิ้งชีวิตของตนเองอย่างง่ายดาย ต่อให้ใช้ชีวิตอย่างน่าอนาถแต่ก็ดีกว่าตายไป

นางเชื่อมั่นว่าคนๆ หนึ่งจะไม่โชคร้ายไปตลอดชีวิต ตราบใดที่นางยังมีชีวิตอยู่ นางจะมีโอกาสพลิกผันได้ แม้ว่าจะเป็นแม่ทัพหญิงไม่ได้อีก งั้นนางก็สามารถเลือกเส้นทางอื่นได้ โลกมันใหญ่ขนาดนี้ แค่นางเข้มแข็งมากพอ สักวันหนึ่งนางจะประสบความสำเร็จได้

เพราะงั้นนางจึงตายไม่ได้

จ้านเป่ยว่างคิดว่านางกำลังพูดเพ้อเจ้อ "การมีเส้นทางจะมีประโยชน์อะไร? เจ้ารู้ไหมว่าครั้งนี้มีคนจากซีจิงมากันกี่คน มีทั้งหมดมากกว่าร้อยคนและมีองครักษ์อย่างน้อยหกสิบหรือเจ็ดสิบคน ข้าไม่มีทางช่วยจเจ้าได้"

"ไม่ได้ลำพังเจ้าผู้เดียวหรอก ทางจวนเป่ยหมิงอ๋องจะช่วยเจ้า" ยี่ฝางพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ และมันเบามากจนมีแต่จ้านเป่ยว่างคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยินได้ "หลังจากที่ข้าตกไปอยู่ในกำมือของชาวซีจิง ข้ามีวิธีให้พวกเขาเอาเซียวเฉิงไปด้วย ทางจวนเป่ยหมิงอ๋องจะไม่เพิกเฉยต่อเซียวเฉิง เจ้าเพียงแค่ต้องติดตามพวกเขาและช่วยเหลือข้าในขณะที่พวกเขาช่วยเซียวเฉิงอยู่"

จ้านเป่ยว่างรู้สึกตัวหนาวสั่งเมื่อได้ยินคำพูดของนาง "เจ้าว่าอะไรนะ เจ้ามีวิธีให้ชาวซีจิงจับตัวแม่ทัพ
Locked Chapter
Continue Reading on GoodNovel
Scan code to download App

Related chapters

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 954

    อาจารย์หยูลูบท้องน้อยและถูมือไปมาบนใบหน้า เห้อ ยากเหลือเกิน "เกิดอะไรขึ้นกับจวนอ๋องฮวย""มีรถม้าสามคันถูกระดมมาจอดที่ประตูหลัง และพวกมันก็ขนของเข้าไปข้างในรถ เมื่อมองจากระยะไกล ดูเหมือนจะเป็นทองคำและพวกของมีค่า"อาจารย์หยูกล่าวว่า "เขากำลังจะหนี""อาจารย์อู อาจารย์หยู จะส่งคนไปหยุดพวกเขากลางทางหรือไม่?"อาจารย์หยูต้องถามศิษย์อาอย่างนอบน้อม "อาจารย์อูคิดว่าไง""เขาจะหนีไปไหนได้อีกเล่า จะต้องไปที่เยี่ยนโจวแน่ๆ ส่งคนไปติดตามเขา ในระหว่างทางก็ขโมยทองคำและพวกของมีค่าทั้งหมดไปและปล่อยให้เขาไปที่เยี่ยนโจวโดยมือเปล่า หลังจากถึงเยี่ยนโจว... " เขามองไปที่ผิงหวูจูงอย่างเรยบๆ แล้วพูดว่า "ส่งคนของเจ้าจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิด และบันทึกและรายงานทุกสิ่งที่เขาทำ"ผิงหวูจูงกัดฟันแล้วตอบว่า "เจ้าค่ะ!"อาจารย์หยูรู้ว่าต้องการส่งคนไปจับตาดูพวกเขาเอาไว้ แต่ที่อาจารย์อูสั่งให้ไปขโมยทองคำและพวกของมีค่าทั้งหมด นี่ก็อุบายร้ายกาจจริงๆ แต่เขาชอบมากอูโซเว่ยชำเลืองมองพวกเขา ในที่สุดก็มีเมตตาขึ้นมา "รักษาท่านี้แล้วเดินออกไปวางถังลง จากนั้นก็ไปสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำต่อไป"ราวกับว่าพวกเขาได้รับการนิรโทษกรรม ทั้ง

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 955

    เซี่ยหลูโม่ไม่กล้าพูดต่อจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง "มาถึงเมื่อไหร่เล่า? ทำไมไม่ส่งคนมาแจ้งให้ข้าทราบด้วยขอรับ?""พวกเจ้าก็ทำงานของตนเองไป ข้าจะคอยให้คำปรึกษาเจ้าที่นี่ แล้วเรื่องเป็นไงบ้าง ได้จับตัวไว้หรือเปล่า?"เมื่อได้ยินเขาถามแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเขารู้เกี่ยวกับการลอบสังหารในคืนนี้ เขาพูดอย่างภาคภูมิใจว่า "พวกซีซีสามคนนั้นได้จับเจิ้งหยงโซวเอาไว้แล้วส่งเขาไปที่หอต้าหลี่แล้ว เจิ้งหยงโซวคนนั้นเอาแต่ชมว่าตนเองเป็นนักรบอันดับหนึ่งแห่งเมืองซีจิง แต่เมื่อพบกับซีซี ก็ประสบความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่""อืม" อูโซเว่ยตอบรับเบาๆ จากนั้นมองไปที่ซ่งซีซี "นางไม่มีข้อดีอะไรทั้งนั้นเลย ยกเว้นมีวรยุทธ์ที่ค่อนข้างไม่เลว แล้วเจิ้งหยงโซวก็มิใช่นักรบอันดับหนึ่งแห่งซีจิงเลย นักรบแข็งแกร่งที่ซีจิงส่วนมากจะไม่เข้าราชการหรอก การเอาชนะเขาก็ไม่เห็นจะเก่งอะไรกัน ไม่ควรทะนงตน""เจ้าค่ะ" ซ่งซีซีตอบรับอย่างว่าง่ายซ่งซีซีผ่านอะไรมามากมาย และทุกคนที่มองนางมีความรู้สึกต่างๆ นานา บางคนรู้สึกเห็นใจกับนาง บางคนชื่นชมนาง และบางคนก็อิจฉานางแต่มีเพียงอูโซเว่ยยังคงปฏิบัติต่อนางในแบบเดียวกับที่เขาทำตอนที่นางยังอยู่ในภูเขาเหม่ยชาน

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 956

    คำให้การทั้งหมดเป็นภาษาซาง และพวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด ล่ามทั้งสองคนอ่านให้พวกเขาฟังเป็นภาษาซีจิงอย่างนุ่มนวลเจิ้งหยงโซวยอมรับความผิดทุกอย่างไว้กับตัวเองโดยบอกว่าเป็นเพราะซ่งฮวยอันเอาชนะซีจิงใตหลายปีก่อน และสังหารทหารซีจิงเป็นจำนวนมาก บวกกับท่านตาของเซียวเฉิงเฝ้าอยู่ชายแดนเฉิงหลิงมานานหลายปี เคยทำสงครามทั้งเล็กทั้งใหญ่นับไม่ถ้วน ทำให้เขาเกลียดชังตระกูลเซียว เกลียดซ่งซีซีมากจนใช้ประโยชน์จากการเดินทางครั้งนี้เพื่อหาโอกาสฆ่าซ่งซีซีเพื่อระบายความโกรธหลังจากได้ยินคำสารภาพเสร็จ สีหน้าของพวกนักการทูตซีจิงก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใดกล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ที่เขาลอบสังหารซ่งซีซีมันก็ยังเกี่ยวข้องกับชายแดนเฉิงหลิงนักการทูตคิดว่าเป่ยหมิงอ๋องได้ทำอะไรอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา และไม่เอาเรื่องคุยตอนเจรจา แต่คุยก่อนการเจรจาคือต้องการเรียกร้องความยุติธรรมทว่าสิ่งนี้ทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกหนักใจมากขึ้น พวกเขาอยากจะให้อีกฝ่ายเจ้าเล่ห์หน่อย เอาเรื่องนี้คุยตรงๆ ในประชุมการเจรจา งั้นก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอะไรให้ยกเว้นเหลียงอัน นักการทูตคนอื่นๆ ได้ด่าทอซูลันซือในใจยกใหญ่ และยังเฟ้อ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 957

    ซูลันซืออึดอัดมาก ในการเจรจาวันนี้ เดิมทีเขาต้องการสร้างอานุภาพขู่ขวัญไว้ก่อน เอาเรื่องเอาความอีกฝ่าย เสนอข้อแม้ที่พวกเขาทำไม่ได้ จากนั้นประกาศว่าการเจรจาล้มเหลวและกลับประเทศเพื่อประกาศทำสงครามตอนนี้ไม่เพียงแต่ทำเช่นนั้นไม่ได้ แต่การเจรจายังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ยิ่งไปหว่านั้นยังถูกองค์หญิง หลานสาวของตนเองดูถูก เขารู้สึหงุดหงิดอย่างยิ่งเสนาบดีมู่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นฉากเปิดงานแบบนี้ จิตใจของเขาก็สงบลงคงจะดีถ้าพวกเขาสามารถเจรจาอย่างสันติเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองลู่เปินเอ่อร์ มันคือความผิดของทางแคว้นซาง แคว้นซางยินดีที่จะขอโทษและชดเชยให้ แต่จำเป็นต้องมีโอกาสในการเจรจาอย่างสันติทางซีจิงได้แจกจ่ายเอกสารบันทึกคดีของเหตุการณ์เมืองลู่เปินเอ่อร์ให้กับพวกเขา เอกสารชุดนั้นประกอบด้วยบันทึกปากเปล่ามากมาย พวกทหารที่ถูกจับพร้อมกับรัชทายาทซีจิง และมีโอกาสได้รอดชีวิตมาได้จึงได้เล่าสถานการณ์ที่แท้จริงในตอนนั้นให้ไม่ใช่ทุกคนในหมู่บ้านถูกสังหารอย่างน่าอนาถไปหมด มีบางคนที่หลบหนีได้ และผู้ที่หลบหนีก็ได้เห็นฉากโหดร้ายบางส่วนเช่นกันในเอกสารบันทึกคดี ทหารตัวน้อยคนนั้นถูกเรียกชื่อว่าโหย่วห

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 958

    องค์หญิงใหญ่พูดก่อน นางคิดว่าทางแคว้นซางไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างทั้งสองประเทศที่จะไม่ทำร้ายพลเรือนหรือฆ่านักโทษก่อน สังหารพลเรือนและทรมารผู้ถูกจับในช่วงเวลาทำสงคราม เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้สายลับซีจิงสังหารทั้งตระกูลซ่งก็ทำผิดพลาดครั้งใหญ่เช่นกัน"หากเราต้องการเจรจาอย่างสันติ ทั้งสองฝ่ายจะต้องเห็นด้วยกับข้อเท็จจริงนี้ เราสามารถทำการเจรจาอย่างสันติระหว่างทั้งสองประเทศได้โดยอิงตามข้อเท็จจริงนี้"หลังจากล่ามแปลเสร็จแล้ว เซี่ยหลูโม่และเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบการเจรจาจากแคว้นซางต่างก็ตกลงกันอย่างเป็นเอกฉันท์จากนั้นการเจรจาก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการทางซีจิงเสนอเงื่อนไขห้าประการ ประการแรก แคว้นซางขอโทษกับประชาชนซีจิงที่โดนสังหารอย่างเป็นทางการประการที่สอง ค่าชดเชยคือทองคำหนึ่งหมื่นตำลึงประการที่สาม จำเป็นต้องชดเชยธัญพืชสามแสนสือ และทางแคว้นซางจัดส่งไปที่เมืองซีจิงประการที่สี่ สนธิสัญญาสันติภาพที่ตกลงกันในเมืองลู่เปินเอ่อร์นั้นไร้ผล ซึ่งหมายความว่ายังคงต้องกำหนดเส้นเขตแดนเหมือนก่อนสนธิสัญญาสันติภาพประการที่ห้า จ้านเป่ยว่าง ยี่ฝางและเซียวเฉิงจะต้องถูกส่งมอบให้กับซีจิงจัดการเอ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 959

    หลังจากที่นักการทูตซีจิงออกจากสำนักหงลู่และกลับมาที่หอฮุยตง ผู้รับผิดชอบการเจรจาจากแคว้นซางยังไม่ได้จากไป ยังอยู่ที่สำนักหงลู่เพื่อหารือเกี่ยวกับการเจรจาครั้งต่อไปต่อเสนาบดีมู่ยังได้ร่วมอภิปรายด้วยว่า "หากจำเป็นต้องชดเชยธัญพืช ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะชดเชยมากขนาดนั้น ปีที่แล้วพวกเขาไม่ได้เกี่ยวธัญพืชอะไรมากนัก มีอาหารที่กองทัพไม่พอกิน หากเราชดเชยไปให้พวกเขาสามแสนซือ เทียบเท่ากับให้กำลังพวกเขาทำสงคราม ดังนั้นเรื่องธัญพืชนี้เราต้องไม่ปล่อย ชดเชยให้ได้ แต่ต้องไม่เกินสามหมื่นซือ"หลังจากหยุดชั่วคราว เสนาบดีมู่ก็พูดต่อ "อีกอย่าง ฝ่าบาทบอกว่าเราไม่สามารถยอมเรื่องเขตชายแดนด้วย"หลังจากพูดสองประโยคนี้แล้ว เขาก็จากไป เมื่อเห็นจังหวะการเจรจาของเป่ยหมิงอ๋อง เขาก็รู้สึกโล่งใจที่กรมราชทัณฑ์ จ้านเป่ยว่างต้องการไปพบหลี่ลี่หลังจากพูดคุยกับยี่ฝางเมื่อคืนนี้ ที่ยี่ฝางบอกว่าเขามีวิธีที่ทำให้ซีจิงพาตัวแม่ทัพใหญ่เซียวไปได้ ซึ่งทำให้เขากังวลมาก แต่เมื่อเขากลับไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็คิดไม่ออกเลยว่ายี่ฝางสามารถทำให้ซีจิงพาแม่ทัพใหญ่เซียวไปได้อย่างไร ดังนั้นจึงขอพบหลี่ลี่"นางพูดแบบนั้นจริงๆ เหรอ?" ห

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 960

    เมื่อไปตามหานางจีที่จวนป๋อผิงซี นางจีพูดเพียงประโยคเดียวว่า "มันเกี่ยวข้องกับแม่ทัพใหญ่เซียว ไม่สามารถล่าช้าได้ ข้าจะไปเกี๋ยวนี้"หวังชิงหลูเริ่มกระสับกระส่ายตั้งแต่จ้านเป่ยว่างถูกนำตัวไปที่กรมราชทัณฑ์ นางยังได้กลับไปบ้านพ่อแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ โดยหวังว่าพวกเขาจะช่วยจ้านเป่ยว่าง แต่ถูกนางจีปฏิเสธนี่เป็นเหตุการณ์สำคัญระหว่างทั้งสองประเทศ ผู้หญิงอย่างนางจะช่วยเขาได้อย่างไร?แต่นางจีก็ส่งคนไปสืบข่าว โดยบอกว่าแม้ว่าจ้านเป่ยว่างจะถูกควบคุมตัวในกรมราชทัณฑ์ แต่เขาก็ได้รับการดูแลเป็นพิเศษและไม่ได้รับความทุกข์ยากใดๆหลังจากสืบข่าวแล้ว นางก็บอกทุกอย่างให้กับหวังชิงหลู และหวังชิงหลูก็บ่นต่อหน้านาง โดยบอกว่ากว่าจะได้เป็นผู้บัญชาการขององครักษ์ซวนเท่ ตอนนี้ต้องถูกจำคุกเพราะยี่ฝาง นางโทษมู่ฮูหยินจัดการแต่งงานนี้ให้นาง และโทษที่ท่านแม่รับปากกับงานแต่งงานนี้ด้วยนางจียังตำหนินาง และบอกนางไม่ใช่พอเจอกับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ก็เอาแต่บ่น นางเองควรมีความรับผิดชอบมากกว่านี้เมื่อเห็นพี่สะใภ้โกรธขึ้นมา หวังชิงหลูไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไปก็กลับไปที่จวนแม่ทัพ แต่หากนางไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ปล่อยให่จ้านจี้ซึ่งเ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 961

    หลิงหลงรู้ว่าพี่สะใภ้ของฮูหยินมาสอบสวนคนรับใช้ แต่นางไม่รู้ว่าจะต้องสอบสวนอะไร ดังนั้นตอนที่นำตัวมานั้นนางมีสีหน้าสับสนจนกระทั่งนางจีถามนางว่า นางไปดื่มกับเพื่อนในวันก่อนงานศพฮูหยินผู้เฒ่า นางจึงมีสติกลับมาคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว "ฮูหยิน คนที่ดื่มชากับข้าน้อยในวันนั้น เป็นเพื่อนของข้าน้อย นางเป็นสาวรับใช้ที่ตระกูลหลิน เพราะนางบอกว่าจะกลับบ้านเกิดจึงมาถามข้าน้อยว่ามีคำพูดอะไรจะให้ฝากกับครอบครัวหรือไม่ และยังชวนข้าน้อยออกไปซื้อของขวัญด้วย…"นางจีรู้สึกเหนื่อยหลังจากถามคำถามมาเป็นเวลานาน จึงขัดจังหวะนาง และถามโดยตรงว่า "วันนั้นนางมีอะไรให้เจ้าพูดกับยี่ฝางบ้างไหม"หลิงหลงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "มีเจ้าค่ะ นางให้ข้าน้อยบอกยี่ฮูหยิน บอกว่านางหลินจะไปงานศพของฮูหยินผู้เฒ่าด้วย""นางให้เจ้านำอะไรไปให้ยี่ฝางหรือเปล่า""มีเจ้าค่ะ มันเป็นยาสมุนไพรห่อหนึ่ง""ยาจีนอะไร?""ข้าน้อยจำได้ว่ามันคือโกฐขี้แมวเจ้าค่ะ""ข้างในโกฐขี้แมวได้ยัดกระดาษอะไรอยู่หรือเปล่า?"หลิงหลงส่ายหัวแล้วพูดว่า "ข้าน้อยไม่รู้ หลังจากที่ ข้าน้อยแค่บอกเรื่องนี้ให้ จากนั้นยี่ฮูหยินก็ให้ข้าน้อยออกไปข้างนอกแล้ว"หลังจากที

Latest chapter

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1453

    กลับมาที่จวนอ๋องจึงค่อยมีบรรยากาศของปีใหม่จริงๆ พวกเขากำลังเล่นปะทัด โยนห่วง และยิงธนู ทุกการเล่นล้วนมีของรางวัลและรางวัลใหญ่ การเล่นปะทัดนั้น ต้องถือปะทัดไว้ในมือ แล้วโยนออกไปก่อนที่มันจะระเบิด แต่ต้องให้มันระเบิดกลางอากาศ ถ้าหากตกลงพื้นแล้วค่อยระเบิด ถือว่าแพ้ แต่แน่นอนว่า ถ้าระเบิดคามือก็ถือว่าได้รางวัลอยู่ดี เพราะขนาดมือระเบิดเจ็บแทบแย่แล้ว ถ้ายังไม่ได้รางวัลอีก กุ้นเอ๋อร์คงไม่ยอมแน่ ตอนที่ซ่งซีซีกลับมา พวกเขาเล่นกันไปกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว พื้นเต็มไปด้วยเศษกระดาษสีแดงหนาทับกันเป็นชั้นๆ เดินไปก็รู้สึกนุ่มเท้า พอลงจากพื้นที่แล้ว ฝ่าเท้าก็เปื้อนสีแดงเป็นมงคลไปหมด ซ่งซีซีชอบบรรยากาศเช่นนี้ นางจึงเข้าร่วมเล่นด้วย นางไม่เคยทำปะทัดระเบิดคามือเลย สามารถโยนออกไปได้อย่างแม่นยำก่อนที่มันจะระเบิดเสมอ เสียงระเบิดกลางอากาศดังกังวานใสชัดเจน แม้ว่ามือกุ้นเอ๋อร์จะเล่นจนแดงไปหมด แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับไม่มีทีท่าว่าจะลดลง รางวัลของเขาวางอยู่เต็มโต๊ะ จนแทบไม่มีที่เหลือ อาจารย์หยูก็ร่วมเล่นกับพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะไปนั่งชมเสิ่นชิงเหอวาดภาพ ในภาพของเสิ่นชิงเหอ เต็มไปด้วยใบหน้าข

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1452

    เดิมที หลานเจี่ยนกูกูคิดว่าเมื่อโยนประเด็นขึ้นมาแล้วซ่งซีซีจะต้องเล่นงานพวกนาง แต่ใครจะคิดว่าซ่งซีซีกลับรับคำว่าเป็นความเข้าใจผิดแล้วปล่อยผ่านไปง่ายๆ จนทำให้พวกนางรู้สึกทำอะไรไม่ถูก หลานเจี่ยนกูกูอับอายเล็กน้อย นางกล่าวขอบคุณก่อนถอยกลับไปยืนข้างๆ แต่ยังแอบปรายตามองซ่งซีซีว่ามีนางจะกล่าวอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ ทว่าซ่งซีซีเพียงแค่นั่งนิ่งๆ ดื่มชา ไม่พูดอะไรอีกเลย แค่นี้จบแล้วหรือ? นี่ถือว่าสะสางกันแล้วใช่หรือไม่? หรือว่าถือว่าเป็นการปรับความเข้าใจกันแล้ว? ฉีฮองเฮาและหลานเจี่ยนกูกูต่างก็รู้สึกว่า มันยังไม่ได้สะสางกันจริงๆ แต่พอประเด็นจบไปแล้ว ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ หากเอ่ยขึ้นมาอีก มันจะยิ่งเป็นการเผยไต๋ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ฉีฮองเฮาทำหน้าบึ้ง เอ่ยเสียงเย็น “น้ำชาเย็นหมดแล้ว รินถ้วยใหม่ให้พระชายาอ๋องเถิด” ในใจของนาง เต็มไปด้วยความขัดเคือง ซ่งซีซีกำลังตั้งกำแพงขึ้นมาขวางนาง ทำให้นางที่ตั้งใจจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซ่งซีซีถูกกั้นไว้ภายนอก แต่ที่แย่กว่านั้นคือ นางไม่สามารถทำอะไรได้เลย! ซ่งซีซียังคงจิบชาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย นั่งอยู่กับฮองเฮา โดยไม่ได้ชวนคุยก่อน หากอีกฝ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1451

    ภายใน ตำหนักฉางชุน มังกรดินใต้พื้นถูกจุดให้ความอบอุ่นทั่วทั้งห้อง ซ่งซีซีถอดเสื้อคลุมออก แล้วนั่งรออยู่ครู่ใหญ่ เมื่อมาถึง นางกำนัลได้แจ้งว่าฮองเฮาเสด็จกลับไปเปลี่ยนเครื่องทรง ให้รอสักครู่ นางจึงนั่งรอโดยมิได้เร่งรีบ ขณะเดียวกัน ฉีฮองเฮากำลังกินรังนกอยู่ในตำหนักบรรทม นางไม่พอใจนักที่หลานเจี่ยนกูกูเร่งเร้าให้รีบออกไป นางกล่าวด้วยน้ำเสียงรำคาญ “ให้นางรอหน่อยแล้วอย่างไร?” หลานเจี่ยนกูกูเอ่ยเกลี้ยกล่อม “ฮองเฮา ท่านทรงกล่าวมาตลอดว่า ไม่ควรทำให้พระชายาอ๋องขุ่นเคือง บัดนี้เมื่อทรงเชิญนางมาแล้ว ก็ควรพูดจากันดีๆ อธิบายเรื่องเข้าใจผิดให้กระจ่าง เรื่องก็จะจบลง” ฮองเฮาหัวเราะเยาะตนเอง ก่อนจะกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่เจ้าเองก็ได้ยินว่าตอนที่ข้าขอตัวออกมา ฮ่องเต้ตรัสว่าอะไร พระองค์ตรัสว่า ต่อให้ซ่งซีซีจะตีหรือด่าข้า ข้าก็ต้องอดทนรับไว้ พระองค์มิได้เห็นข้าเป็นฮองเฮาเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่อยากให้คนที่อยู่ในดวงใจของพระองค์ได้ระบายความโกรธออกมา” ฮองเฮา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บช้ำ ดันถ้วยรังนกออกไป น้ำตาหยดแหมะลงบนโต๊ะ “เขาทรงป่วยจนเลอะเลือนไปแล้ว หรือแท้จริงทรงโปรดปรานซ่ง

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1450

    ปีนี้ งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าในวัง เงียบเหงากว่าปีที่แล้วมาก ฮองเฮา แม้จะได้รับอนุญาตให้พ้นโทษกักบริเวณเป็นเวลา หนึ่งวัน แต่นางกลับแทบไม่ได้พูดอะไรเลย ดูท่าทางเหมือนมีเรื่องในใจมากมาย แม้แต่เหล่าพระโอรสพระธิดาที่เข้ามาทักทาย นางก็เพียงรับคำอย่างเรียบเฉย จักรพรรดิ์ซูชิงก็ทรงอ่อนล้ายิ่งนัก ตั้งแต่เช้าตรู่ทรงต้องเสด็จออกประกอบพิธีบวงสรวงสวรรค์ วุ่นวายไปทั้งวันจนหมดเรี่ยวแรง ไทเฮาเองก็ทรงได้รับลมเย็นจนประชวร จึงทรงลุกจากที่นั่งแต่เนิ่นๆ โดยมี สนมฮุ่ยไทเฟย ประคองกลับไปยังตำหนักฉืออัน ตอนที่ไทเฮาเสด็จออกจากงานฮองเฮารีบสั่งการทันที “พาองค์ชายใหญ่ ไปยังตำหนักฉืออันให้ไปอยู่ข้างพระวรกายของไทเฮา” จักรพรรดิ์ซูชิงขมวดพระขนง “เสด็จแม่ประชวร เจ้าให้เขาไปอยู่ด้วยทำไม?” ฮองเฮาสีพระพักตร์เคร่งขรึม เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เสด็จแม่ทรงรักและเอ็นดูเขานัก บัดนี้พระองค์ทรงประชวร เขาก็ต้องไปอยู่ข้างกาย คอยปรนนิบัติ” กล่าวจบ นางก็ทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “เดิมควรเป็นหม่อมฉันที่ต้องคอยดูแลปรนนิบัติพระอาการของไทเฮาแต่หม่อมฉันกลับไร้ความสามารถ เช่นนั้นก็ให้เขาทำหน้าที่กตัญญูแทนหม่อมฉันเถิด” จักร

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1449

    พระอาการของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นเพียงเล็กน้อย พระองค์ก็ทรงเรียกดูฎีกาทันที พระองค์ทรงไว้วางพระทัยเสนาบดีมู่ แต่ก็มิได้ไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่พระองค์ทรงหวาดระแวงที่สุดก็คือ หากกองทัพไม่ได้อยู่ที่หนานเจียง และไม่ได้อยู่ที่ซีม่อน เพื่อติดตามโจมตีกองทัพแคว้นซา แต่กลับเป็นว่าเป่ยหมิงอ๋องกำลังนำทัพบุกกลับมายังเมืองหลวง และข่าวทั้งหมดถูกปิดกั้น มิอาจมาถึงพระองค์ หากเป็นเช่นนั้น ด้วยความเร็วของเซี่ยหลูโม่ ภายในสามเดือน กองทัพของเขาย่อมสามารถกวาดล้างและยึดครองทุกหัวเมืองที่ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น พระองค์จึงทรงต้องการตรวจสอบฎีกาจากแต่ละแคว้นด้วยพระองค์เอง บัดนี้ซ่งซีซีกลับไปประจำการที่จวนกองกำลังเมืองหลวงแล้วพระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้เรียกตัวนางเข้าเฝ้าในห้องพระอักษร ครานี้มิใช่การสนทนาสัพเพเหระ หากแต่เป็นการไต่ถามว่านางมีข่าวเกี่ยวกับเซี่ยหลูโม่หรือไม่ ซ่งซีซีกราบทูลตามตรงว่านางเองก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรนาง ก็ไม่ทรงพบพิรุธใดๆ แต่ไม่ว่าความเป็นไปได้จะเป็นเช่นไร ก็ล้วนเป็นเรื่องเลวร้ายทั้งสิ้น หากกองทัพของพวกเขาถูกซุ่มโจมตี นั่นหมายความว่ากองทัพ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1448

    คืนนั้นหมอมหัศจรรย์ดันแบกหีบยาไปพร้อมกับหงเชวี่ย ออกจากร้านยา ก่อนออกเดินทาง เขาบอกกับหมอเวรกลางคืนของร้านยาเย่าหวังว่าจะไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของพระชายาอ๋อง รถม้าหยุดที่จวนอ๋อง หมอมหัศจรรย์ตั้นเดินพรวดพราดเข้าไปด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว เมื่อทุกคนทยอยออกมารับหน้า เขามองซ่งซีซีแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบายโทสะใส่นาง กลับหันไปเล่นงานอาจารย์หยูแทน "ใช้ข้าเป็นข้ออ้างอย่างน้อยก็ควรบอกข้าล่วงหน้าสักหน่อย! เกือบทำให้ข้าถูกผู้ตรวจการสวี่จับผิดได้แล้ว!" พอได้ยินท่านผู้เฒ่าโวยวายขึ้นมา ทุกคนถึงนึกขึ้นได้ว่าหมายถึงเรื่องอะไรอาจารย์หยูรีบขออภัยแล้วถามว่า “ผู้ตรวจการสวี่ถามท่านไปแล้วหรือ?” “เขาป่วย! องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงเชิญข้าไปตรวจอาการให้เขา พอเจอข้าเขาก็ร้องไห้เหมือนเด็ก แล้วคอยถามอยู่นั่นว่าฮ่องเต้ยังมีหนทางรักษาหรือไม่ แรกๆ เขายังไม่บอกด้วยซ้ำว่าเป็นโรคอะไร ข้าฟังแล้วงงเป็นไก่ตาแตก!” หมอมหัศจรรย์ดันพูดจบก็ฮึดฮัด “ท่านไม่ได้หลุดพิรุธใช่หรือไม่?” ซ่งซีซีรีบถาม เพราะเรื่องที่ผู้ตรวจการสวี่ตั้งใจจะถวายฎีกาตักเตือนด้วยชีวิตทำให้พวกนางตกใจไม่น้อย เขาเป็นคนที่ยอมให้มีข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1447

    หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเสิ่นว่านจือเอ่ยชวนผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไปเดินเล่นในลานกว้างของตึกว่างจิง ไม่ไกลจากตึกว่างจิงมีโรงแสดงศิลปะพื้นบ้าน ซึ่งเต็มไปด้วยนักเล่านิทาน นักแสดงงิ้ว พ่อค้า และร้านขายอาหาร ครึกครื้นครบครันทุกอย่าง ตั้งแต่มาเมืองหลวง เสิ่นว่านจือก็ยุ่งตลอด ไม่เคยมีเวลาว่างไปเดินเที่ยวเล่นเลย ครั้งนี้จึงถือโอกาสแยก ผิงหนานป๋อ ออกไป ให้ซ่งซีซีได้พูดคุยกับจูจิ่นเป็นการส่วนตัว อีกทั้งตนเองก็จะได้ไปเที่ยวเล่นกับเฉินเฉินด้วย เมื่อคนอื่นออกไปแล้วซ่งซีซีกับจูจิ่นก็ลดเสียงให้เบาลง ก่อนหน้านี้ พวกนางไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญเลย บัดนี้ ย่อมต้องกล่าวถึงบ้างแล้ว แขกที่เฝ้าดูจากภายนอก เมื่อเห็นผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไป ต่างพากันเข้าใจว่าพระชายาเป่ยหมิงอ๋องจะลงโทษคุณหนูเจ็ดเป็นการส่วนตัว จึงตั้งใจเงี่ยหูฟัง รอชมเรื่องสนุก ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม สองคนนี้คุยกันด้วยเสียงเบาๆ แถมยังมีเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ บรรยากาศกลับดูกลมเกลียวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก! เมื่อมีบ่าวไพร่เข้าออกตลอดเวลา ก็มีคนช่างสังเกตจงใจเลิกม่านขึ้นด้านหนึ่ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายนอกสามารถมองเ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1446

    ซ่งซีซีพร้อมด้วยเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินรออยู่ในเรือนหลันซี เมื่อเด็กในร้านนำผิงหนานป๋อและครอบครัว รวมถึงบ่าวไพร่เดินผ่านสวนเข้ามาถึงด้านหน้าเรือนหลันซีก็ร้องบอก ซ่งซีซีได้รับการพยุงจากเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ผิงหนานป๋อและภรรยา รวมถึง คุณหนูเจ็ดจูจิ่นรีบคำนับทำความเคารพ ซ่งซีซีแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องมากพิธี เชิญด้านในนั่งเถอะ” ระหว่างที่ซ่งซีซีกล่าวคำเชื้อเชิญ นางก็ลอบพินิจทั้งสามคน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางพบเจอผู้คนมามากมาย การสังเกตสีหน้า แววตา และท่าทางก็พอจะทำให้นางมองเห็นอะไรบางอย่างได้ ผิงหนานป๋อสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ ด้านในเป็นอาภรณ์ปักลายดอกไม้และวิหคขลิบทองบริเวณคอเสื้อ บริเวณอกมีสร้อยประคำขนาดใหญ่ห้อยอยู่ ดูเหมือนเป็นผู้มีฐานะดี แต่ก็แฝงกลิ่นอายของความละวางทางโลก ทว่าขณะยืนอยู่ ร่างของเขากลับโน้มเอียงไปทางบุตรสาวโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มบนใบหน้าเผยให้เห็นท่าทางประจบประแจงเล็กน้อย ชัดเจนว่าเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องการเข้าสังคม ส่วนฮูหยินผิงหนานป๋อสวมเสื้อนอกสีแดงเข้มทับด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาว ทำให้ดูสดใสเปล่งประกาย นางเป็นสตรีร่างท้วม ผิวพรรณเปล่

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1445

    ซ่งซีซีรู้สึกว่าคุณหนูเจ็ดไม่ควรต้องรับคำด่าทอโดยไร้เหตุผล อีกทั้งนางเองก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับจวนป๋อผิงหนานในเมื่อเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องให้คำอธิบายที่เหมาะสม ดังนั้น นางจึงสั่งให้หัวหน้าลู่ส่งเทียบเชิญไปยังจวนป๋อผิงหนาน ขอเชิญทั้งครอบครัวไปตึกว่างจิงเพื่อร่วมรับประทานอาหาร ขณะเดียวกัน เมื่อส่งเทียบเชิญ นางก็ปล่อยข่าวนี้ออกไปด้วย ส่วนเหตุผลที่ไม่เชิญไปที่จวนของตนเอง นั่นเพราะเรื่องนี้ต้องการให้มีการชี้แจงความเข้าใจผิดต่อสาธารณะ การนัดพบกันภายในจวนจึงไม่เหมาะสม ตึกว่างจิงเป็นสถานที่หรูหรา เพื่อแสดงความเคารพต่อจวนป๋อผิงหนานและคุณหนูเจ็ดการปล่อยข่าวล่วงหน้า ทำให้บรรดาพ่อค้าและขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ชอบสู่รู้เรื่องชาวบ้านย่อมไม่พลาดโอกาสเฝ้าดูเรื่องนี้ เมื่อมีคนจับตาอยู่มาก ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคลี่คลายปัญหา ภายในเรื่องนี้ยังมีเจตนาชดเชยให้กับคุณหนูเจ็ดตลอดหลายปีที่นางทำการค้า ผู้คนมักดูถูกนางเพียงเพราะเป็นสตรี ถูกเอาเปรียบและถูกกดขี่อยู่เสมอ จวนป๋อผิงหนาน ก็ไม่มีบุรุษคนใดที่สามารถเป็นเสาหลักได้ เดิมทีตระกูลนี้เคยเป็นตระกูลสูงศักดิ์ แต่บัดนี้กลับตกต่ำจนแท

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status