นางไม่ใช่คนยอมทอดทิ้งชีวิตของตนเองอย่างง่ายดาย ต่อให้ใช้ชีวิตอย่างน่าอนาถแต่ก็ดีกว่าตายไปนางเชื่อมั่นว่าคนๆ หนึ่งจะไม่โชคร้ายไปตลอดชีวิต ตราบใดที่นางยังมีชีวิตอยู่ นางจะมีโอกาสพลิกผันได้ แม้ว่าจะเป็นแม่ทัพหญิงไม่ได้อีก งั้นนางก็สามารถเลือกเส้นทางอื่นได้ โลกมันใหญ่ขนาดนี้ แค่นางเข้มแข็งมากพอ สักวันหนึ่งนางจะประสบความสำเร็จได้เพราะงั้นนางจึงตายไม่ได้จ้านเป่ยว่างคิดว่านางกำลังพูดเพ้อเจ้อ "การมีเส้นทางจะมีประโยชน์อะไร? เจ้ารู้ไหมว่าครั้งนี้มีคนจากซีจิงมากันกี่คน มีทั้งหมดมากกว่าร้อยคนและมีองครักษ์อย่างน้อยหกสิบหรือเจ็ดสิบคน ข้าไม่มีทางช่วยจเจ้าได้""ไม่ได้ลำพังเจ้าผู้เดียวหรอก ทางจวนเป่ยหมิงอ๋องจะช่วยเจ้า" ยี่ฝางพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ และมันเบามากจนมีแต่จ้านเป่ยว่างคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยินได้ "หลังจากที่ข้าตกไปอยู่ในกำมือของชาวซีจิง ข้ามีวิธีให้พวกเขาเอาเซียวเฉิงไปด้วย ทางจวนเป่ยหมิงอ๋องจะไม่เพิกเฉยต่อเซียวเฉิง เจ้าเพียงแค่ต้องติดตามพวกเขาและช่วยเหลือข้าในขณะที่พวกเขาช่วยเซียวเฉิงอยู่"จ้านเป่ยว่างรู้สึกตัวหนาวสั่งเมื่อได้ยินคำพูดของนาง "เจ้าว่าอะไรนะ เจ้ามีวิธีให้ชาวซีจิงจับตัวแม่ทัพ
อาจารย์หยูลูบท้องน้อยและถูมือไปมาบนใบหน้า เห้อ ยากเหลือเกิน "เกิดอะไรขึ้นกับจวนอ๋องฮวย""มีรถม้าสามคันถูกระดมมาจอดที่ประตูหลัง และพวกมันก็ขนของเข้าไปข้างในรถ เมื่อมองจากระยะไกล ดูเหมือนจะเป็นทองคำและพวกของมีค่า"อาจารย์หยูกล่าวว่า "เขากำลังจะหนี""อาจารย์อู อาจารย์หยู จะส่งคนไปหยุดพวกเขากลางทางหรือไม่?"อาจารย์หยูต้องถามศิษย์อาอย่างนอบน้อม "อาจารย์อูคิดว่าไง""เขาจะหนีไปไหนได้อีกเล่า จะต้องไปที่เยี่ยนโจวแน่ๆ ส่งคนไปติดตามเขา ในระหว่างทางก็ขโมยทองคำและพวกของมีค่าทั้งหมดไปและปล่อยให้เขาไปที่เยี่ยนโจวโดยมือเปล่า หลังจากถึงเยี่ยนโจว... " เขามองไปที่ผิงหวูจูงอย่างเรยบๆ แล้วพูดว่า "ส่งคนของเจ้าจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิด และบันทึกและรายงานทุกสิ่งที่เขาทำ"ผิงหวูจูงกัดฟันแล้วตอบว่า "เจ้าค่ะ!"อาจารย์หยูรู้ว่าต้องการส่งคนไปจับตาดูพวกเขาเอาไว้ แต่ที่อาจารย์อูสั่งให้ไปขโมยทองคำและพวกของมีค่าทั้งหมด นี่ก็อุบายร้ายกาจจริงๆ แต่เขาชอบมากอูโซเว่ยชำเลืองมองพวกเขา ในที่สุดก็มีเมตตาขึ้นมา "รักษาท่านี้แล้วเดินออกไปวางถังลง จากนั้นก็ไปสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำต่อไป"ราวกับว่าพวกเขาได้รับการนิรโทษกรรม ทั้ง
เซี่ยหลูโม่ไม่กล้าพูดต่อจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง "มาถึงเมื่อไหร่เล่า? ทำไมไม่ส่งคนมาแจ้งให้ข้าทราบด้วยขอรับ?""พวกเจ้าก็ทำงานของตนเองไป ข้าจะคอยให้คำปรึกษาเจ้าที่นี่ แล้วเรื่องเป็นไงบ้าง ได้จับตัวไว้หรือเปล่า?"เมื่อได้ยินเขาถามแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเขารู้เกี่ยวกับการลอบสังหารในคืนนี้ เขาพูดอย่างภาคภูมิใจว่า "พวกซีซีสามคนนั้นได้จับเจิ้งหยงโซวเอาไว้แล้วส่งเขาไปที่หอต้าหลี่แล้ว เจิ้งหยงโซวคนนั้นเอาแต่ชมว่าตนเองเป็นนักรบอันดับหนึ่งแห่งเมืองซีจิง แต่เมื่อพบกับซีซี ก็ประสบความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่""อืม" อูโซเว่ยตอบรับเบาๆ จากนั้นมองไปที่ซ่งซีซี "นางไม่มีข้อดีอะไรทั้งนั้นเลย ยกเว้นมีวรยุทธ์ที่ค่อนข้างไม่เลว แล้วเจิ้งหยงโซวก็มิใช่นักรบอันดับหนึ่งแห่งซีจิงเลย นักรบแข็งแกร่งที่ซีจิงส่วนมากจะไม่เข้าราชการหรอก การเอาชนะเขาก็ไม่เห็นจะเก่งอะไรกัน ไม่ควรทะนงตน""เจ้าค่ะ" ซ่งซีซีตอบรับอย่างว่าง่ายซ่งซีซีผ่านอะไรมามากมาย และทุกคนที่มองนางมีความรู้สึกต่างๆ นานา บางคนรู้สึกเห็นใจกับนาง บางคนชื่นชมนาง และบางคนก็อิจฉานางแต่มีเพียงอูโซเว่ยยังคงปฏิบัติต่อนางในแบบเดียวกับที่เขาทำตอนที่นางยังอยู่ในภูเขาเหม่ยชาน
คำให้การทั้งหมดเป็นภาษาซาง และพวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด ล่ามทั้งสองคนอ่านให้พวกเขาฟังเป็นภาษาซีจิงอย่างนุ่มนวลเจิ้งหยงโซวยอมรับความผิดทุกอย่างไว้กับตัวเองโดยบอกว่าเป็นเพราะซ่งฮวยอันเอาชนะซีจิงใตหลายปีก่อน และสังหารทหารซีจิงเป็นจำนวนมาก บวกกับท่านตาของเซียวเฉิงเฝ้าอยู่ชายแดนเฉิงหลิงมานานหลายปี เคยทำสงครามทั้งเล็กทั้งใหญ่นับไม่ถ้วน ทำให้เขาเกลียดชังตระกูลเซียว เกลียดซ่งซีซีมากจนใช้ประโยชน์จากการเดินทางครั้งนี้เพื่อหาโอกาสฆ่าซ่งซีซีเพื่อระบายความโกรธหลังจากได้ยินคำสารภาพเสร็จ สีหน้าของพวกนักการทูตซีจิงก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใดกล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ที่เขาลอบสังหารซ่งซีซีมันก็ยังเกี่ยวข้องกับชายแดนเฉิงหลิงนักการทูตคิดว่าเป่ยหมิงอ๋องได้ทำอะไรอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา และไม่เอาเรื่องคุยตอนเจรจา แต่คุยก่อนการเจรจาคือต้องการเรียกร้องความยุติธรรมทว่าสิ่งนี้ทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกหนักใจมากขึ้น พวกเขาอยากจะให้อีกฝ่ายเจ้าเล่ห์หน่อย เอาเรื่องนี้คุยตรงๆ ในประชุมการเจรจา งั้นก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอะไรให้ยกเว้นเหลียงอัน นักการทูตคนอื่นๆ ได้ด่าทอซูลันซือในใจยกใหญ่ และยังเฟ้อ
ซูลันซืออึดอัดมาก ในการเจรจาวันนี้ เดิมทีเขาต้องการสร้างอานุภาพขู่ขวัญไว้ก่อน เอาเรื่องเอาความอีกฝ่าย เสนอข้อแม้ที่พวกเขาทำไม่ได้ จากนั้นประกาศว่าการเจรจาล้มเหลวและกลับประเทศเพื่อประกาศทำสงครามตอนนี้ไม่เพียงแต่ทำเช่นนั้นไม่ได้ แต่การเจรจายังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ยิ่งไปหว่านั้นยังถูกองค์หญิง หลานสาวของตนเองดูถูก เขารู้สึหงุดหงิดอย่างยิ่งเสนาบดีมู่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นฉากเปิดงานแบบนี้ จิตใจของเขาก็สงบลงคงจะดีถ้าพวกเขาสามารถเจรจาอย่างสันติเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองลู่เปินเอ่อร์ มันคือความผิดของทางแคว้นซาง แคว้นซางยินดีที่จะขอโทษและชดเชยให้ แต่จำเป็นต้องมีโอกาสในการเจรจาอย่างสันติทางซีจิงได้แจกจ่ายเอกสารบันทึกคดีของเหตุการณ์เมืองลู่เปินเอ่อร์ให้กับพวกเขา เอกสารชุดนั้นประกอบด้วยบันทึกปากเปล่ามากมาย พวกทหารที่ถูกจับพร้อมกับรัชทายาทซีจิง และมีโอกาสได้รอดชีวิตมาได้จึงได้เล่าสถานการณ์ที่แท้จริงในตอนนั้นให้ไม่ใช่ทุกคนในหมู่บ้านถูกสังหารอย่างน่าอนาถไปหมด มีบางคนที่หลบหนีได้ และผู้ที่หลบหนีก็ได้เห็นฉากโหดร้ายบางส่วนเช่นกันในเอกสารบันทึกคดี ทหารตัวน้อยคนนั้นถูกเรียกชื่อว่าโหย่วห
องค์หญิงใหญ่พูดก่อน นางคิดว่าทางแคว้นซางไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างทั้งสองประเทศที่จะไม่ทำร้ายพลเรือนหรือฆ่านักโทษก่อน สังหารพลเรือนและทรมารผู้ถูกจับในช่วงเวลาทำสงคราม เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้สายลับซีจิงสังหารทั้งตระกูลซ่งก็ทำผิดพลาดครั้งใหญ่เช่นกัน"หากเราต้องการเจรจาอย่างสันติ ทั้งสองฝ่ายจะต้องเห็นด้วยกับข้อเท็จจริงนี้ เราสามารถทำการเจรจาอย่างสันติระหว่างทั้งสองประเทศได้โดยอิงตามข้อเท็จจริงนี้"หลังจากล่ามแปลเสร็จแล้ว เซี่ยหลูโม่และเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบการเจรจาจากแคว้นซางต่างก็ตกลงกันอย่างเป็นเอกฉันท์จากนั้นการเจรจาก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการทางซีจิงเสนอเงื่อนไขห้าประการ ประการแรก แคว้นซางขอโทษกับประชาชนซีจิงที่โดนสังหารอย่างเป็นทางการประการที่สอง ค่าชดเชยคือทองคำหนึ่งหมื่นตำลึงประการที่สาม จำเป็นต้องชดเชยธัญพืชสามแสนสือ และทางแคว้นซางจัดส่งไปที่เมืองซีจิงประการที่สี่ สนธิสัญญาสันติภาพที่ตกลงกันในเมืองลู่เปินเอ่อร์นั้นไร้ผล ซึ่งหมายความว่ายังคงต้องกำหนดเส้นเขตแดนเหมือนก่อนสนธิสัญญาสันติภาพประการที่ห้า จ้านเป่ยว่าง ยี่ฝางและเซียวเฉิงจะต้องถูกส่งมอบให้กับซีจิงจัดการเอ
หลังจากที่นักการทูตซีจิงออกจากสำนักหงลู่และกลับมาที่หอฮุยตง ผู้รับผิดชอบการเจรจาจากแคว้นซางยังไม่ได้จากไป ยังอยู่ที่สำนักหงลู่เพื่อหารือเกี่ยวกับการเจรจาครั้งต่อไปต่อเสนาบดีมู่ยังได้ร่วมอภิปรายด้วยว่า "หากจำเป็นต้องชดเชยธัญพืช ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะชดเชยมากขนาดนั้น ปีที่แล้วพวกเขาไม่ได้เกี่ยวธัญพืชอะไรมากนัก มีอาหารที่กองทัพไม่พอกิน หากเราชดเชยไปให้พวกเขาสามแสนซือ เทียบเท่ากับให้กำลังพวกเขาทำสงคราม ดังนั้นเรื่องธัญพืชนี้เราต้องไม่ปล่อย ชดเชยให้ได้ แต่ต้องไม่เกินสามหมื่นซือ"หลังจากหยุดชั่วคราว เสนาบดีมู่ก็พูดต่อ "อีกอย่าง ฝ่าบาทบอกว่าเราไม่สามารถยอมเรื่องเขตชายแดนด้วย"หลังจากพูดสองประโยคนี้แล้ว เขาก็จากไป เมื่อเห็นจังหวะการเจรจาของเป่ยหมิงอ๋อง เขาก็รู้สึกโล่งใจที่กรมราชทัณฑ์ จ้านเป่ยว่างต้องการไปพบหลี่ลี่หลังจากพูดคุยกับยี่ฝางเมื่อคืนนี้ ที่ยี่ฝางบอกว่าเขามีวิธีที่ทำให้ซีจิงพาตัวแม่ทัพใหญ่เซียวไปได้ ซึ่งทำให้เขากังวลมาก แต่เมื่อเขากลับไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็คิดไม่ออกเลยว่ายี่ฝางสามารถทำให้ซีจิงพาแม่ทัพใหญ่เซียวไปได้อย่างไร ดังนั้นจึงขอพบหลี่ลี่"นางพูดแบบนั้นจริงๆ เหรอ?" ห
เมื่อไปตามหานางจีที่จวนป๋อผิงซี นางจีพูดเพียงประโยคเดียวว่า "มันเกี่ยวข้องกับแม่ทัพใหญ่เซียว ไม่สามารถล่าช้าได้ ข้าจะไปเกี๋ยวนี้"หวังชิงหลูเริ่มกระสับกระส่ายตั้งแต่จ้านเป่ยว่างถูกนำตัวไปที่กรมราชทัณฑ์ นางยังได้กลับไปบ้านพ่อแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ โดยหวังว่าพวกเขาจะช่วยจ้านเป่ยว่าง แต่ถูกนางจีปฏิเสธนี่เป็นเหตุการณ์สำคัญระหว่างทั้งสองประเทศ ผู้หญิงอย่างนางจะช่วยเขาได้อย่างไร?แต่นางจีก็ส่งคนไปสืบข่าว โดยบอกว่าแม้ว่าจ้านเป่ยว่างจะถูกควบคุมตัวในกรมราชทัณฑ์ แต่เขาก็ได้รับการดูแลเป็นพิเศษและไม่ได้รับความทุกข์ยากใดๆหลังจากสืบข่าวแล้ว นางก็บอกทุกอย่างให้กับหวังชิงหลู และหวังชิงหลูก็บ่นต่อหน้านาง โดยบอกว่ากว่าจะได้เป็นผู้บัญชาการขององครักษ์ซวนเท่ ตอนนี้ต้องถูกจำคุกเพราะยี่ฝาง นางโทษมู่ฮูหยินจัดการแต่งงานนี้ให้นาง และโทษที่ท่านแม่รับปากกับงานแต่งงานนี้ด้วยนางจียังตำหนินาง และบอกนางไม่ใช่พอเจอกับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ก็เอาแต่บ่น นางเองควรมีความรับผิดชอบมากกว่านี้เมื่อเห็นพี่สะใภ้โกรธขึ้นมา หวังชิงหลูไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไปก็กลับไปที่จวนแม่ทัพ แต่หากนางไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ปล่อยให่จ้านจี้ซึ่งเ