ซูลันซือโต้เถียงกลับด้วยจิตใต้สำนึก "เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าทักษะศิลปะการต่อสู้ของซ่งซีซีจะยอดเยี่ยมแค่ไหน นางสามารถเทียบนักรบอันดับหนึ่งแห่งเมืองซีจิงได้หรือ"องค์หญิงใหญ่พูดอย่างเย็นชา "ความจริงก็คือนางเก่งกว่า อีกอย่างเขาถูกจับตัวได้อย่างง่ายดาย นักรบอันดับหนึ่งแห่งเมืองซีจิงกลับหมกมุ่นกับอำนาจ การแสวงหาอำนาจของเขาเป็นตัวกำหนดขีดจำกัดสูงสุดของทักษะการต่อสู้ของเขา ในเมื่อพวกเข้าทำความเข้าใจกับซ่งซีซีมาแล้ว ย่อมรู้ว่านางฝึกศิลปะการต่อสู้ในสถาบันว่านซงเหมินตั้งแต่เด็ก พวกเจ้ารู้ไหมว่าสถาบันว่านซงเหมินคือสถานที่อะไรกัน""มันก็แค่นิกายในแวดวงการต่อสู้นิกายหนึ่งไม่ใช่เหรอ มีอะไรพิเศษช?" ซูลันซือกล่าว แม้ว่าความจริงอยู่ต่อหน้าต่อตาแล้ว เจิ้งหยงโซวพ่ายแพ้ให้กับแส้แดงของซ่งซีซี แต่เขาก็ไม่เชื่อว่าซ่งซีซีมีวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ถ้าบอกว่าเป็นเป่ยหมิงอ๋องที่เอาชนะเจิ้งหยงโซว เขาคงไม่มีข้อสงสัยใดๆ"ศิษย์หญิงของนิกายหนึ่งแถมยังอายุน้อยเช่นนี้ มันจะมีวรยุทธ์เก่งขนาดไหนกันเชียว?" เหลียงอันก็พูดแบบเดียวกันอีกด้วย เขาไม่เชื่อว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะแข็งแกร่งขนาดนั้นองค์หญิงใหญ่เหลิ่งอวี่มองดูพวกเขา
ก่อนการเจรจามีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเกินไปมันเป็นคืนอดนอนที่หอฮุยตง และทางหอต้าหลี่ก็ดำเนินคดีในคืนนั้น ที่กรมราชทัณฑ์ หลังจากที่ยี่ฝางสารภาพเสร็จแล้วก็โวยวายจะขอพบจ้านเป่ยว่าง ขอพบหน้าเป็นครั้งสุดท้าย นาง ถึงขนาดก็คุกเข่าลงกับพื้นและร้องไห้ขอร้องนางไม่เคยอ่อนแอขนาดนี้ตั้งแต่เข้ามาในกรมราชทัณฑ์ หลี่ลี่คิดว่าหลังจากการเจรจาเสร็จ ยี่ฝางจะต้องถูกส่งมอบให้กับนักการทูตจากซีจิงอย่างแน่นอน ความตายจะเป็นเรื่องง่าย แต่อาจจะไม่ตายดีนักโทษที่ถูกประณามสามารถเจอญาติของตนเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตายได้ ดังนั้นหลี่ลี่จึงอนุญาตให้ทั้งสองคนพบกันในคืนนี้ แน่นอนว่าเจอกันที่คุกเท่านั้นเขาส่งคนไปพาจ้านเป่ยว่างไปที่คุก เจ้าหน้าที่เปิดประตูคุกแล้วถอยตัวออกไปข้างนอกแน่นอนว่าก่อนที่จ้านเป่ยว่างเข้าไปนั้นก็ถูกค้นตัวไปหมดแล้ว และไม่อนุญาตให้นำของมีคมเข้าไป เผื่อยี่ฝางจะฆ่าตัวตาย งั้นพวกเขาก็งานเข้าแล้วปัจจุบันี้ยี่ฝางถูกคุมขังเพียงลำพังในเรือนจำหญิง เหตุผลหลักก็คือนางเป็นนักโทษที่สำคัญมาก และไม่อนุญาตให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ดังนั้นหลี่ลี่จึงส่งกองกำลังแข็งแกร่งมาเฝ้าดูอย่างหนักแน่นแสงส่องลงบนใบหน้าที่ซีดเ
นางไม่ใช่คนยอมทอดทิ้งชีวิตของตนเองอย่างง่ายดาย ต่อให้ใช้ชีวิตอย่างน่าอนาถแต่ก็ดีกว่าตายไปนางเชื่อมั่นว่าคนๆ หนึ่งจะไม่โชคร้ายไปตลอดชีวิต ตราบใดที่นางยังมีชีวิตอยู่ นางจะมีโอกาสพลิกผันได้ แม้ว่าจะเป็นแม่ทัพหญิงไม่ได้อีก งั้นนางก็สามารถเลือกเส้นทางอื่นได้ โลกมันใหญ่ขนาดนี้ แค่นางเข้มแข็งมากพอ สักวันหนึ่งนางจะประสบความสำเร็จได้เพราะงั้นนางจึงตายไม่ได้จ้านเป่ยว่างคิดว่านางกำลังพูดเพ้อเจ้อ "การมีเส้นทางจะมีประโยชน์อะไร? เจ้ารู้ไหมว่าครั้งนี้มีคนจากซีจิงมากันกี่คน มีทั้งหมดมากกว่าร้อยคนและมีองครักษ์อย่างน้อยหกสิบหรือเจ็ดสิบคน ข้าไม่มีทางช่วยจเจ้าได้""ไม่ได้ลำพังเจ้าผู้เดียวหรอก ทางจวนเป่ยหมิงอ๋องจะช่วยเจ้า" ยี่ฝางพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ และมันเบามากจนมีแต่จ้านเป่ยว่างคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยินได้ "หลังจากที่ข้าตกไปอยู่ในกำมือของชาวซีจิง ข้ามีวิธีให้พวกเขาเอาเซียวเฉิงไปด้วย ทางจวนเป่ยหมิงอ๋องจะไม่เพิกเฉยต่อเซียวเฉิง เจ้าเพียงแค่ต้องติดตามพวกเขาและช่วยเหลือข้าในขณะที่พวกเขาช่วยเซียวเฉิงอยู่"จ้านเป่ยว่างรู้สึกตัวหนาวสั่งเมื่อได้ยินคำพูดของนาง "เจ้าว่าอะไรนะ เจ้ามีวิธีให้ชาวซีจิงจับตัวแม่ทัพ
อาจารย์หยูลูบท้องน้อยและถูมือไปมาบนใบหน้า เห้อ ยากเหลือเกิน "เกิดอะไรขึ้นกับจวนอ๋องฮวย""มีรถม้าสามคันถูกระดมมาจอดที่ประตูหลัง และพวกมันก็ขนของเข้าไปข้างในรถ เมื่อมองจากระยะไกล ดูเหมือนจะเป็นทองคำและพวกของมีค่า"อาจารย์หยูกล่าวว่า "เขากำลังจะหนี""อาจารย์อู อาจารย์หยู จะส่งคนไปหยุดพวกเขากลางทางหรือไม่?"อาจารย์หยูต้องถามศิษย์อาอย่างนอบน้อม "อาจารย์อูคิดว่าไง""เขาจะหนีไปไหนได้อีกเล่า จะต้องไปที่เยี่ยนโจวแน่ๆ ส่งคนไปติดตามเขา ในระหว่างทางก็ขโมยทองคำและพวกของมีค่าทั้งหมดไปและปล่อยให้เขาไปที่เยี่ยนโจวโดยมือเปล่า หลังจากถึงเยี่ยนโจว... " เขามองไปที่ผิงหวูจูงอย่างเรยบๆ แล้วพูดว่า "ส่งคนของเจ้าจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิด และบันทึกและรายงานทุกสิ่งที่เขาทำ"ผิงหวูจูงกัดฟันแล้วตอบว่า "เจ้าค่ะ!"อาจารย์หยูรู้ว่าต้องการส่งคนไปจับตาดูพวกเขาเอาไว้ แต่ที่อาจารย์อูสั่งให้ไปขโมยทองคำและพวกของมีค่าทั้งหมด นี่ก็อุบายร้ายกาจจริงๆ แต่เขาชอบมากอูโซเว่ยชำเลืองมองพวกเขา ในที่สุดก็มีเมตตาขึ้นมา "รักษาท่านี้แล้วเดินออกไปวางถังลง จากนั้นก็ไปสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำต่อไป"ราวกับว่าพวกเขาได้รับการนิรโทษกรรม ทั้ง
เซี่ยหลูโม่ไม่กล้าพูดต่อจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง "มาถึงเมื่อไหร่เล่า? ทำไมไม่ส่งคนมาแจ้งให้ข้าทราบด้วยขอรับ?""พวกเจ้าก็ทำงานของตนเองไป ข้าจะคอยให้คำปรึกษาเจ้าที่นี่ แล้วเรื่องเป็นไงบ้าง ได้จับตัวไว้หรือเปล่า?"เมื่อได้ยินเขาถามแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเขารู้เกี่ยวกับการลอบสังหารในคืนนี้ เขาพูดอย่างภาคภูมิใจว่า "พวกซีซีสามคนนั้นได้จับเจิ้งหยงโซวเอาไว้แล้วส่งเขาไปที่หอต้าหลี่แล้ว เจิ้งหยงโซวคนนั้นเอาแต่ชมว่าตนเองเป็นนักรบอันดับหนึ่งแห่งเมืองซีจิง แต่เมื่อพบกับซีซี ก็ประสบความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่""อืม" อูโซเว่ยตอบรับเบาๆ จากนั้นมองไปที่ซ่งซีซี "นางไม่มีข้อดีอะไรทั้งนั้นเลย ยกเว้นมีวรยุทธ์ที่ค่อนข้างไม่เลว แล้วเจิ้งหยงโซวก็มิใช่นักรบอันดับหนึ่งแห่งซีจิงเลย นักรบแข็งแกร่งที่ซีจิงส่วนมากจะไม่เข้าราชการหรอก การเอาชนะเขาก็ไม่เห็นจะเก่งอะไรกัน ไม่ควรทะนงตน""เจ้าค่ะ" ซ่งซีซีตอบรับอย่างว่าง่ายซ่งซีซีผ่านอะไรมามากมาย และทุกคนที่มองนางมีความรู้สึกต่างๆ นานา บางคนรู้สึกเห็นใจกับนาง บางคนชื่นชมนาง และบางคนก็อิจฉานางแต่มีเพียงอูโซเว่ยยังคงปฏิบัติต่อนางในแบบเดียวกับที่เขาทำตอนที่นางยังอยู่ในภูเขาเหม่ยชาน
คำให้การทั้งหมดเป็นภาษาซาง และพวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด ล่ามทั้งสองคนอ่านให้พวกเขาฟังเป็นภาษาซีจิงอย่างนุ่มนวลเจิ้งหยงโซวยอมรับความผิดทุกอย่างไว้กับตัวเองโดยบอกว่าเป็นเพราะซ่งฮวยอันเอาชนะซีจิงใตหลายปีก่อน และสังหารทหารซีจิงเป็นจำนวนมาก บวกกับท่านตาของเซียวเฉิงเฝ้าอยู่ชายแดนเฉิงหลิงมานานหลายปี เคยทำสงครามทั้งเล็กทั้งใหญ่นับไม่ถ้วน ทำให้เขาเกลียดชังตระกูลเซียว เกลียดซ่งซีซีมากจนใช้ประโยชน์จากการเดินทางครั้งนี้เพื่อหาโอกาสฆ่าซ่งซีซีเพื่อระบายความโกรธหลังจากได้ยินคำสารภาพเสร็จ สีหน้าของพวกนักการทูตซีจิงก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใดกล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ที่เขาลอบสังหารซ่งซีซีมันก็ยังเกี่ยวข้องกับชายแดนเฉิงหลิงนักการทูตคิดว่าเป่ยหมิงอ๋องได้ทำอะไรอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา และไม่เอาเรื่องคุยตอนเจรจา แต่คุยก่อนการเจรจาคือต้องการเรียกร้องความยุติธรรมทว่าสิ่งนี้ทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกหนักใจมากขึ้น พวกเขาอยากจะให้อีกฝ่ายเจ้าเล่ห์หน่อย เอาเรื่องนี้คุยตรงๆ ในประชุมการเจรจา งั้นก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอะไรให้ยกเว้นเหลียงอัน นักการทูตคนอื่นๆ ได้ด่าทอซูลันซือในใจยกใหญ่ และยังเฟ้อ
ซูลันซืออึดอัดมาก ในการเจรจาวันนี้ เดิมทีเขาต้องการสร้างอานุภาพขู่ขวัญไว้ก่อน เอาเรื่องเอาความอีกฝ่าย เสนอข้อแม้ที่พวกเขาทำไม่ได้ จากนั้นประกาศว่าการเจรจาล้มเหลวและกลับประเทศเพื่อประกาศทำสงครามตอนนี้ไม่เพียงแต่ทำเช่นนั้นไม่ได้ แต่การเจรจายังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ยิ่งไปหว่านั้นยังถูกองค์หญิง หลานสาวของตนเองดูถูก เขารู้สึหงุดหงิดอย่างยิ่งเสนาบดีมู่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นฉากเปิดงานแบบนี้ จิตใจของเขาก็สงบลงคงจะดีถ้าพวกเขาสามารถเจรจาอย่างสันติเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองลู่เปินเอ่อร์ มันคือความผิดของทางแคว้นซาง แคว้นซางยินดีที่จะขอโทษและชดเชยให้ แต่จำเป็นต้องมีโอกาสในการเจรจาอย่างสันติทางซีจิงได้แจกจ่ายเอกสารบันทึกคดีของเหตุการณ์เมืองลู่เปินเอ่อร์ให้กับพวกเขา เอกสารชุดนั้นประกอบด้วยบันทึกปากเปล่ามากมาย พวกทหารที่ถูกจับพร้อมกับรัชทายาทซีจิง และมีโอกาสได้รอดชีวิตมาได้จึงได้เล่าสถานการณ์ที่แท้จริงในตอนนั้นให้ไม่ใช่ทุกคนในหมู่บ้านถูกสังหารอย่างน่าอนาถไปหมด มีบางคนที่หลบหนีได้ และผู้ที่หลบหนีก็ได้เห็นฉากโหดร้ายบางส่วนเช่นกันในเอกสารบันทึกคดี ทหารตัวน้อยคนนั้นถูกเรียกชื่อว่าโหย่วห
องค์หญิงใหญ่พูดก่อน นางคิดว่าทางแคว้นซางไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างทั้งสองประเทศที่จะไม่ทำร้ายพลเรือนหรือฆ่านักโทษก่อน สังหารพลเรือนและทรมารผู้ถูกจับในช่วงเวลาทำสงคราม เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้สายลับซีจิงสังหารทั้งตระกูลซ่งก็ทำผิดพลาดครั้งใหญ่เช่นกัน"หากเราต้องการเจรจาอย่างสันติ ทั้งสองฝ่ายจะต้องเห็นด้วยกับข้อเท็จจริงนี้ เราสามารถทำการเจรจาอย่างสันติระหว่างทั้งสองประเทศได้โดยอิงตามข้อเท็จจริงนี้"หลังจากล่ามแปลเสร็จแล้ว เซี่ยหลูโม่และเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบการเจรจาจากแคว้นซางต่างก็ตกลงกันอย่างเป็นเอกฉันท์จากนั้นการเจรจาก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการทางซีจิงเสนอเงื่อนไขห้าประการ ประการแรก แคว้นซางขอโทษกับประชาชนซีจิงที่โดนสังหารอย่างเป็นทางการประการที่สอง ค่าชดเชยคือทองคำหนึ่งหมื่นตำลึงประการที่สาม จำเป็นต้องชดเชยธัญพืชสามแสนสือ และทางแคว้นซางจัดส่งไปที่เมืองซีจิงประการที่สี่ สนธิสัญญาสันติภาพที่ตกลงกันในเมืองลู่เปินเอ่อร์นั้นไร้ผล ซึ่งหมายความว่ายังคงต้องกำหนดเส้นเขตแดนเหมือนก่อนสนธิสัญญาสันติภาพประการที่ห้า จ้านเป่ยว่าง ยี่ฝางและเซียวเฉิงจะต้องถูกส่งมอบให้กับซีจิงจัดการเอ