หลี่ลี่ตะคอกขึ้นว่า "แม่ทัพใหญ่เซียวกลับมาสอบปากคำที่เมืองหลวง ก็เพราะถูกเจ้าทำให้เดือดร้อน เจ้ายังคิดจะให้เขารับโทษแทนความผิดของพวกเจ้าอีกหรือ? เจ้าพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง? ""มีคนพูดแก้ตัวให้กับเซียวเฉิง มีคนพูดแก้ตัวให้กับเซียวเฉิง "ยี่ฝางเหมือนสิงโตที่กำลังโกรธจัดอย่างนั้น ถ้าไม่เพราะนางถูกล่ามโซ่ไว้ ก็จะพุ่งออกมาข้างหน้าแล้ว "ไม่ยุติธรรม เขาเป็นผู้บัญชาการของชายแดนเฉิงหลิง เขาควรแบกรับความรับผิดชอบที่ใหญ่ที่สุด พวกเจ้าแต่ละคนคล้อยตามคนมีอำนาจ ประจบเซี่ยหลูโม่กับซ่งซีซี คิดจะฆ่าจ้านเป่ยว่าง เขาไม่มีรู้เรื่องที่ข้าสังหารทั้งหมู่บ้านด้วยซ้ำ เขาถูกใส่ร้าย ""ถ้าจ้านเป่ยว่างไม่รู้ แม่ทัพใหญ่เซียวก็ไม่มีทางรู้แน่นอน "หลี่ลี่ทำเสียงฮึดฮัดออกมา สั่งให้เจ้าหน้าที่บันทึกไว้ "บันทึกไว้ ยี่ฝางสารภาพว่าจ้านเป่ยว่างกับแม่ทัพใหญ่เซียวต่างไม่รู้เรื่องนี้ " "ไม่ ข้าไม่ได้พูด "ยี่ฝางตะโกนขึ้นหลี่ลี่ตะคอกขึ้นว่า "หูของหลายคนก็ได้ยินแล้ว เจ้าจะเถียงอะไรได้อีก? "ยี่ฝางอ้าปาก รู้สถานการณ์ของตัวเองแล้ว นางไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว นางก้มหน้าลงทันที เก็บซ่อนสายตาที่ไม่อยากยอมแพ้ไว้หลี่ลี่มองนนาง
เจ้าหน้าที่บันทึกคำพูดของยี่ฝาง และยืนยันคำพูดของพวกยี่เทียนหมิงอีกครั้งยี่ฝางเสนอให้กลับชายแดนเฉิงหลิงเพื่อกำหนดรายละเอียด แต่ซูลันจีกลับพูดว่าไม่ต้อง เนื่องจากรายละเอียดทั้งสองแคว้นได้ส่งออกมาก่อนแล้ว แต่สองฝ่ายต่างไม่ยอมรับเท่านั้นสำหรับรายละเอียดนี้ ยี่ฝางก็เคยเห็นแล้ว นี่เป็นข้อเรียกร้องของแคว้นซาง ยุติสงคราม ขยับถอยอาณาเขตไปยังสถานที่ที่แบ่งแยกกันตั้งแต่แรก อาศัยเชิงเขานอกเมืองลู่เปินเอ่อร์เป็นขอบเขต“ข้าก็่ขาดสติไปชั่วขณะ ขอเพียงข้าลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพนี้ ผลงานก็ต้องเป็นของข้า ดังนั้นข้าจึงให้ซูลันจีถอยทัพออกไปยี่สิบลี้ เหลือทิ้งไว้เพียงสิบสองคน หนึ่ง เพื่อให้แผนการเผายุ้งฉางของจ้านเป่ยว่างดำเนินการได้อย่างราบรื่น อีกอย่างหนึ่งคือ หลังจากข้าลงนามในสนธิสัญญาแล้ว เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของทหารของข้า"“เดิมทีเขาทิ้งไว้สิบสองคน ข้าก็กังวลว่าจะทิ้งยอดฝีมือไว้ พวกข้าก็จะยังมีอันตรายเช่นเดิม แต่เมื่อรู้ว่าในคนที่เขาทิ้งไว้ คนหนึ่งคือที่ปรึกษาสงคราม อีกสามคนคือหมอทหาร แบบนี้ข้าก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอีก การลงนามในสนธิสัญญาราบรื่นกว่าที่ข้าคิดไว้อีก หลังจากลงนามแล้ว เราจับตัวท
คำสารภาพถูกส่งยังต่อหน้าพระพักตร์ฝ่ายบาท หลังจากจักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรแล้ว ก็ฟังรายละเอียดตอนที่ยี่ฝางรับสารภาพจากหลี่ลี่ เขาก็ขมวดคิ้วทันทีเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองลู่เปินเอ่อร์ทั้งหมด สังหารหมู่ทั้งหมู่บ้านและผู้ถูกจับ คำเหล่านี้ ทุกคำเต็มไปด้วยเลือดแต่รายละเอียดเขาไม่รู้ ในคำรับสารภาพก็ไม่ได้บันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับการสังหารหมู่ในหมู่บ้าน แต่มีคำอธิบายของหลี่ลี่ รายละเอียดนองเลือดเช่นนี้อยู่ในหู แม้จักรพรรดิ์ซูชิงจะยังจำได้ว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้ของแคว้นซาง ก็อดไม่ได้ที่จะตบโต๊ะดุด่ายี่ฝางด้วยความโกรธหลี่ลี่สามารถเข้าใจความโกรธของฝ่าบาท แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกเสียวสันหลัง โชคดีที่คนแบบนี้ขอพระราชทานอภิเษกสมรสด้วยผลงานด้านสงคราม ไม่อย่างนั้นเช่นเดียวกับพระชายาเป่ยหมิงอ๋อง ไม่ว่าจะเป็นขุนนางในราชสำนักหรือเป็นแม่ทัพในกองทัพ ก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง“เป่ยหมิงอ๋องดูคำสารภาพนี้หรือยัง? ” หลังจากจักรพรรดิ์ซูชิงทรงดุด่าแล้ว ก็ถามหลี่ลี่ขึ้นหลี่ลี่รู้ว่าเป่ยหมิงอ๋องได้ส่งคนไปเรียกตัวจ้านเป่ยว่างก่อน ฝ่าบาทถึงจะมีพระราชโองการ ดังนั้นตรงนี้เขาจึงตอบอย่างระมัดระวังมาก "ทันทีที่ยี่ฝางสารภ
ประมาณช่วงยามอู่ (๑๑.๐๐-๑๓.๐๐ น.) วันรุ่งขึ้น นักการทูตจากเมืองซีจิงมาถึงเมืองหลวง และได้รับการต้อนรับจากกรมพิธีการและสำนักหงลู่ จะเข้าพักที่หอฮุ่ยตงระบบขุนนางของเมืองซีจิงคล้ายคลึงกับระบบของแคว้นซาง เพียงแต่เมืองซีจิงไม่มีตำแหน่งเสนาบดี แต่มีคณะรัฐมนตรีและหกกรมเก้าขุนนางคราวนี้มาแคว้นซาง มีองค์หญิงใหญ่เหลิ่งอวี่และเจ้ากรมกลาโหมซูลันซือเป็นผู้นำและนำเกากงและเหลียงอัน ผู้เป็นมหาอำมาตย์เอกคณะรัฐมนตรี ซูฉินผู้เป็นเจ้าสำนักหงลู่หัว ล่ามอีกสองคน เจิ้งหยงโชวผู้บัญชาการกองทัพชิงจวิน หลินเหออวี่นายทหารจากจวนจวนองค์หญิงใหญ่เหลิ่งอวี่และขุนนางหญิงสามคน เนื่องจากขุนนางหญิงนั้นไม่ได้รายงานชื่อของพวกนาง จึงไม่ทราบชื่อของพวกนาง ส่วนที่เหลือคือองครักษ์และพวกผู้รับใช้เซี่ยหลูโม่ ซ่งซีซีและคนอื่นๆ เฝ้าดูนักการทูตเดินผ่านในร้านอาหารที่แถวประตูเมือง องค์หญิงใหญ่เหลิ่งอวี่สวมเครื่องแบบสีม่วงและขี่ม้าสีน้ำตาลแดง เดินเข้าเข้าเมืองพร้อมกับขบวนยิ่งใหญ่อายุที่แท้จริงขององค์หญิงใหญ่เหลิ่งอวี่คือสามสิบสองปี แต่บางทีอาจจะเหนื่อยจากการเดินทางอันแสนไกลและทำให้นางดูแก่กว่าอายุจริง"ชายที่ขี่ม้าสีดำด้านหลังอ
วันรุ่งขึ้น ศิษย์พี่ผิงสืบเจอว่าหลังจากที่นักการทูตซีจิงเข้าพักหอฮุยตงเมื่อวานนี้ อ๋องฮวยก็แอบกลับจวนเลย และเมื่อเช้าวันนี้ เขาก็ปลอมตัวเดินทางออกไปอีกครั้ง ราวกับว่าเขากำลังระดมกำลังคนอยู่ศิษย์พี่ผิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและพอจะคาดเดาเจตนาของอ๋องฮวยอย่างคร่าวๆ "ระวังตัวด้วย ถ้าเขาสมรู้ร่วมคิดกับซูลันซือ เขามีแนวโน้มที่จะออกโรงกับเจ้ามาก""รับทราบ" ซ่งซีซีพยักหน้า อันที่จริงศิษย์น้องได้บอกเขาเมื่อคืนนี้ว่าเขาพบคนหนึ่งในขบวนองครักษ์ซีจิง และบุคคลนั้นดูเหมือนอ๋องฮวยมากดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงคาดเดาต่างๆ นานามาทั้งคืนในเมื่อคืนนี้ และตั้งสมมติฐานความเป็นไปได้มากมายงานเลี้ยงในพระราชวัง ไฟส่องสว่างเหมือนดวงดาว ส่องแสงห้องจัดเลี้ยงทำให้สว่างราวกับอยู่ในตอนกลางวันเมื่อคู่สามีภรรยาเซี่ยหลูโม่มาถึง นักการทูตซีจิงได้เข้าไปในพระราชวังแล้วและนั่งอยู่ทางด้านขวาของห้องโถงแล้ว ส่วนพวกองครักษ์และขันทีจากเมืองซีจิงได้รออยู่ข้างนอก เนื่องจากการเข้าวังไม่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธไปด้วย ดังนั้นองครักษ์จึงไม่มีดาบติดตัวไทเฮาและฮองเฮากำลังนั่งตัวตรง เนื่องจากงานเลี้ยงยังไม่เริ่ม ยามนี้พวกนางกำลังดูแลอง
ในทางกลับกัน เมื่อซูลันซือเห็นว่าจักรพรรดิ์ซูชิงเพิกเฉยต่อเขา และทางเป่ยหมิงอ๋องยังสร้างความกดดันอยู่ข้างๆ ทำเอาเขารู้สึกไม่สบอารมณ์มาก และอยากจะยกหยิบเรื่องชายแดนเฉิงหลิงมาหารือในตอนนี้เลยในขณะที่ดวงตาที่ลุกเป็นไฟนั้น เซี่ยหลูโม่ก็ถามขึ้นว่า "ได้ยินมาว่าแม่ทัพใหญ่ซูได้รับบาดเจ็บ ยามนี้ดีขึ้นแล้วหรือยัง?"ซูลันซือถอนสายตากลับมาและตอบว่า "ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงห่วงใย ท่านพี่ได้หายดีแล้วขอรับ""ข้านึกว่าแม่ทัพซูจะมาด้วยกันเสียอีก"ดวงตาของซูลันซือยังคงเย็นชา "แม้ว่าท่านพี่ชายจะหายดีแล้ว แต่ถึงยังไงก็เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่เหมาะกับการเดินทางไกล"เซี่ยหลูโม่แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าซูลันจีถูกกักขังเข้าคุกและพูดว่า "แม่ทัพใหญ่เซียวของราชวงศ์เราก็เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน เขาถูกลูกธนูยิงเข้าสองครั้งในปีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น เขาเพิ่งผ่านวันเกิดปีที่เจ็ดสิบ อายุปูนนี้แล้วเพื่อเรื่องระหว่างทั้งสองประเทศก็เพิ่งกลับเมืองหลวงจากชายแดนเฉิงหลิงด้วย"ซูลันซือขมวดคิ้ว นี่หมายความว่าอย่างไร? ไหนบอกว่าวันนี้จะไม่พูดถึงมันไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อต้องการพูดถึงมัน งั้นเขาก็มีอะไรมากมายที่จะพูดแต่ก่ยั
ซ่งซีซีกลับได้ยินทุกคำพูดของพวกเขาก็จริง พวกเขากำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลีกเลี่ยงทำสงคราม แต่ไม่สามารถให้ซีจิงมั่นใจได้ว่าพวกเขาไม่ต้องการทำสงครามโดยเฉพาะต้องการให้ซูลันซือรู้ว่าคนที่ไม่ต้องการทำสงครามนั้นมีแต่ตระกูลซ่งและตระกูลเซียวเท่านั้น สำหรับเขา เป่ยหมิงอ๋องกลับต้องการสงครามเช่นนี้เพื่อยึดอำนาจทางทหารของเขากลับคืนมาซ่งซีซีละสายตามองไปทางอื่นและฟังองค์หญิงใหญ่พูดภาษาซางได้คล่องแคล่ว "ข้าอยากพบพระชายาสักครั้งมาโดยตลอด ดังนั้นข้าจึงพยายามอยากได้โอกาสมาแคว้นซางในครั้งนี้ หนึ่งในจุดประสงค์ของการเดินทางของข้าคือเพื่อพระชายา"นางเคยพูดเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่งสีหน้าของนางดูจริงใจมาก ราวกับว่ากำลังพูดจากใจจริงๆ ไม่ใช่คำประจบอย่างเมื่อตะกี้ซ่งซีซียิ้มเล็กน้อย "เป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับข้าที่ได้พบกับองค์หญิงเจ้าค่ะ"เมื่อมองอย่างใกล้ชิด องค์หญิงใหญ่เหลิ่งอวี่ไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าเหมือนเมื่อเห็นนางที่ประตูเมืองเมื่อวานนี้ เห็นได้ชัดว่าคงได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ในเมื่อคืนนี้ และรอยคล้ำใต้ดวงตาของนางถูกปกปิดด้วยแป้งหนา มันมองไม่ออกอีกเลยอย่างไรก็ตาม รูปร่างหน้าตาของนางมันดูแก่
เจิ้งหยงโซวรู้สึกว่าวิธีนี้ไม่เหมาะสม ไม่ว่าเป่ยหมิงอ๋องจะสนใจพระชายาหรือไม่นั้น ด้วยวิธีนี้ก็หยั่งเชิงอะไรไม่ได้หรอกไม่เพียงไร้ประโยชน์เท่านั้น แต่ยังมีความเสี่ยงสูงอีกด้วย"ใต้เท้าซู ข้าน้อยยังคิดว่ามันไม่เหมาะสม พวกเขาจะคิดว่าเป็นฝีมือพวกเรา" เจิ้งหยงโซวส่ายหัว"มีอะไรที่ไม่เหมาะเล่า?" ใบหน้าของซูลันซือแฝงไปด้วยความโกรธ "ก็เพื่อให้เขาเดาว่าเป็นฝีมือของเรา หากเขาต้องการทำสงครามจริงๆ นี่จะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขา เขาจะทำลายการเจรจาและทำสงครามตรงๆ หากเขาก็แค่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วแอบส่งคนไปช่วยเหลือเป็นการส่วนตัว แบบนี้ก็รู้ความคิดของเขาแล้วนี่?"ประเด็นที่ไม่เหมาะก็คือทำสงคราม องค์หญิงกล่าวไว้ว่าเราควรพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลีกเลี่ยงทำสงครามระหว่างทั้งสองประเทศอีกครั้ง""ความเห็นที่ไม่เอาถ่นของผู้หญิง ใจอ่อนอย่างกับซูลันจี" ซูลันซือสบถขึ้นมาเบาและหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอ้อมแขนของเขาแล้วยื่นให้ "เจ้าดูสิ นี่ต่างหากคือความต้องการที่แท้จริงของฝ่าบาท"ท่ามกลางแสงสว่างในห้องลงพระบังคน เจิ้งหยงโซวเปิดจดหมายมาอ่านพร้อมกับขมวดคิ้วช้าๆจดหมายฉบับนี้เขียนโดยฝ่าบาทจริงๆ เขารับใช