ณ ห้องทรงพระอักษรจักรพรรดิ์ซูชิงถือถ้วยชา และใช้ฝาถ้วยชากวาดฟองชาเบาๆ หลังจากจิบคำหนึ่งแล้วจึงจะเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยหลูโม่ "ข้าก็ไม่รู้เลยว่าหอต้าหลี่ก็กำลังสืบสวนคดีนี้ร่วมกับกรมราชทัณฑ์ด้วย? ข้าราชโองการแบบนี้ด้วยหรือ? หรือว่าคดีกบฏของเซี่ยอวี้น ศาลต้าหลี่ของพวกเจ้าสืบจนไม่มีอะไรจะสืบแล้ว เลยใจดีไปช่วยกรมราชทัณฑ์ทำคดีหรือ? "ในคำพูดก็แฝงไปด้วยการตั้งคำถาม และความไม่พอพระทัยจาก "ความเข้าใจกัน" ระหว่างพี่น้องในอดีต ในเวลานี้เซี่ยหลูโม่ก็ควรสารภาพผิด จากนั้นถอยออกไป แสดงสันติภาพต่อไป รักษาความสามัคคีระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางสองพี่น้องไว้ดังนั้นหลังจากจักรพรรดิ์ซูชิงตรัสคำพูดเหล่านี้จบแล้ว ก็ดื่มชาต่ออย่างช้าๆ รอดูเขาคุกเข่าสารภาพผิด ที่จริงแล้วในใจของเขาก็รู้ดีว่าเซี่ยหลูโม่อดทนและหลีกทางให้มาโดยตลอด และเขาก็เคยชินแล้วแต่ครั้งนี้เซี่ยหลูโม่กลับไม่ได้คุกเข่าลงเพื่อสารภาพผิด แต่กลับพูดประโยคหนึ่งขึ้น "ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ จ้านเป่ยว่างคือแม่ทัพของเมืองลู่เปินเอ่อร์ เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองลู่เปินเอ่อร์เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้"จักรพรรดิ์ซูชิงตกพระทัยเล็กน้อย และถ้วยชาก็วางลงบนโต๊ะพิจาร
เซี่ยหลูโม่คุกเข่าลงข้างหนึ่ง แต่ท่าทีของเขายังคงแน่วแน่ "เพื่อแสดงความเป็นธรรม ของฝ่าบาทโปรดทรงอนุญาตให้กรมราชทัณฑ์สอบปากคำจ้านเป่ยว่าง ใช้คำสารภาพของเขาเปรียบเทียบกับคำสารภาพของคนอื่น เพื่อมอบความจริงให้กับชาวซีจิง ขอฝ่าบาทโปรดทรงเชื่อว่าที่หม่อมฉันทำไม่ได้มีเจตนาทำเพื่อตัวเองแม้แต่นิดเดียว ชาวซีจิงก็รู้เรื่องเกี่ยวกับการสังหารหมู่ในหมู่บ้านดีกว่าพวกเรา พวกเราวางแผนกำจัดผู้นำปฏิบัติการจ้านเป่ยว่างออกไป ก็จะยิ่งทำให้พวกเขาโกรธมากขึ้นและคิดว่าพวกเราไม่มีความจริงใจในการเจรจาพ่ะย่ะค่ะ"เขาเงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่จักรพรรดิ์ซูชิง และพูดขึ้นอย่างอาจเอื้อมว่า "มันจะยิ่งทำให้ทหารและราษฎรชายแดนเฉิงหลิงรู้สึกสิ้นหวัง คิดว่าฝ่าบาททรงมีเจตนาคนของพระองค์เอง และโยนความผิดทั้งหมดไปให้กับเหล่าทหารที่รักษาชายแดนมาตลอดชีวิต""เพล้ง! "แก้วกระแทกกับพื้น หน้าอกของจักรพรรดิ์ซูชิงกระเพื่อมขึ้นลง ในพระเนตรเต็มไปด้วยความมืดมน และทรงตะคอกออกมาอย่างกริ้วจัดว่า "บังอาจ! "อู๋ต้าปั้นตัวสั่น ร้องขอให้ฝ่าบาททรงพระทัยเย็นๆ ทันที และรีบพูดกับเซี่ยหลูโม่ว่า " ท่านอ๋อง โปรดหยุดตรัสเถอะพ่ะย่ะค่ะ อย่าทรงทำให้ฝ่าบาททร
จักรพรรดิ์ซูชิงวางพระหัตถ์ลง และตรัสขึ้นอย่างเย็นชาว่า "ประโยคนั้นพูดถูก ข้าอยากสร้างแม่ทัพคนใหม่จริงๆ แต่ข้าก็ใช่คนโง่ แม้ข้าจะอยากสร้างคนใหม่ แต่ข้าก็ไม่มีทางทอดทิ้งแม่ทัพคนเก่าคนแก่ที่จงรักรักภักดีต่อประเทศมาตลอดชีวิตแน่นอน""เหตุผลอะไรที่ข้าถึงต้องสร้างแม่ทัพคนใหม่? หรือว่าเขายังไม่รู้ดีอีกหรือ? แม้อำนาจทหารของกองทัพเป่ยหมิงจะไม่ได้อยู่ในมือของเขา แต่บารมีของเขายังคงสามารถสั่งการได้ทุกอย่าง ความสำเร็จยิ่งใหญ่ในการกอบกู้ชายแดนหนานเจียง ก็เป็นเหมือนกับภูเขายิ่งใหญ่ที่ไม่สั่นคลอน ข้าไม่สามารถแตะต้องเขาได้เลย แต่กลับเป็นเขาที่กล้าข่มขู่ข้า"พู่กันในมือของเขาหัก เกิดเสียงแกร๊กดังขึ้น และวางลงบนโต๊ะพิจารณา เขาก้มหน้าลง "ข้าเดิมพันว่าเขาไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ แต่เขามีความทะเยอทะยานมากจริงๆ แล้วถ้าจะทำอะไรกับเขาได้? "อู๋ต้าปั้นแอบรู้สึกร้อนใจ และพูดว่า "ฝ่าบาท ข้าน้อยเชื่อว่าเป่ยหมิงอ๋องไม่มีเจตนาก่อกบฏ เขาเป็นพระอนุชาแท้ๆ ของฝ่าบาทนะพ่ะย่ะค่ะ"จักรพรรดิ์ซูชิงทรงตรัสขึ้นอย่างเย็นชา "ข้ารู้ว่าในระยะสั้นเขาไม่มีทางมีเจตนาก่อกบฏ แต่เมื่อนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงๆ นานเข้า ก็หลีกเลี่ยงไม่ไ
หลี่ลี่ตะคอกขึ้นว่า "แม่ทัพใหญ่เซียวกลับมาสอบปากคำที่เมืองหลวง ก็เพราะถูกเจ้าทำให้เดือดร้อน เจ้ายังคิดจะให้เขารับโทษแทนความผิดของพวกเจ้าอีกหรือ? เจ้าพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง? ""มีคนพูดแก้ตัวให้กับเซียวเฉิง มีคนพูดแก้ตัวให้กับเซียวเฉิง "ยี่ฝางเหมือนสิงโตที่กำลังโกรธจัดอย่างนั้น ถ้าไม่เพราะนางถูกล่ามโซ่ไว้ ก็จะพุ่งออกมาข้างหน้าแล้ว "ไม่ยุติธรรม เขาเป็นผู้บัญชาการของชายแดนเฉิงหลิง เขาควรแบกรับความรับผิดชอบที่ใหญ่ที่สุด พวกเจ้าแต่ละคนคล้อยตามคนมีอำนาจ ประจบเซี่ยหลูโม่กับซ่งซีซี คิดจะฆ่าจ้านเป่ยว่าง เขาไม่มีรู้เรื่องที่ข้าสังหารทั้งหมู่บ้านด้วยซ้ำ เขาถูกใส่ร้าย ""ถ้าจ้านเป่ยว่างไม่รู้ แม่ทัพใหญ่เซียวก็ไม่มีทางรู้แน่นอน "หลี่ลี่ทำเสียงฮึดฮัดออกมา สั่งให้เจ้าหน้าที่บันทึกไว้ "บันทึกไว้ ยี่ฝางสารภาพว่าจ้านเป่ยว่างกับแม่ทัพใหญ่เซียวต่างไม่รู้เรื่องนี้ " "ไม่ ข้าไม่ได้พูด "ยี่ฝางตะโกนขึ้นหลี่ลี่ตะคอกขึ้นว่า "หูของหลายคนก็ได้ยินแล้ว เจ้าจะเถียงอะไรได้อีก? "ยี่ฝางอ้าปาก รู้สถานการณ์ของตัวเองแล้ว นางไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว นางก้มหน้าลงทันที เก็บซ่อนสายตาที่ไม่อยากยอมแพ้ไว้หลี่ลี่มองนนาง
เจ้าหน้าที่บันทึกคำพูดของยี่ฝาง และยืนยันคำพูดของพวกยี่เทียนหมิงอีกครั้งยี่ฝางเสนอให้กลับชายแดนเฉิงหลิงเพื่อกำหนดรายละเอียด แต่ซูลันจีกลับพูดว่าไม่ต้อง เนื่องจากรายละเอียดทั้งสองแคว้นได้ส่งออกมาก่อนแล้ว แต่สองฝ่ายต่างไม่ยอมรับเท่านั้นสำหรับรายละเอียดนี้ ยี่ฝางก็เคยเห็นแล้ว นี่เป็นข้อเรียกร้องของแคว้นซาง ยุติสงคราม ขยับถอยอาณาเขตไปยังสถานที่ที่แบ่งแยกกันตั้งแต่แรก อาศัยเชิงเขานอกเมืองลู่เปินเอ่อร์เป็นขอบเขต“ข้าก็่ขาดสติไปชั่วขณะ ขอเพียงข้าลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพนี้ ผลงานก็ต้องเป็นของข้า ดังนั้นข้าจึงให้ซูลันจีถอยทัพออกไปยี่สิบลี้ เหลือทิ้งไว้เพียงสิบสองคน หนึ่ง เพื่อให้แผนการเผายุ้งฉางของจ้านเป่ยว่างดำเนินการได้อย่างราบรื่น อีกอย่างหนึ่งคือ หลังจากข้าลงนามในสนธิสัญญาแล้ว เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของทหารของข้า"“เดิมทีเขาทิ้งไว้สิบสองคน ข้าก็กังวลว่าจะทิ้งยอดฝีมือไว้ พวกข้าก็จะยังมีอันตรายเช่นเดิม แต่เมื่อรู้ว่าในคนที่เขาทิ้งไว้ คนหนึ่งคือที่ปรึกษาสงคราม อีกสามคนคือหมอทหาร แบบนี้ข้าก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอีก การลงนามในสนธิสัญญาราบรื่นกว่าที่ข้าคิดไว้อีก หลังจากลงนามแล้ว เราจับตัวท
คำสารภาพถูกส่งยังต่อหน้าพระพักตร์ฝ่ายบาท หลังจากจักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรแล้ว ก็ฟังรายละเอียดตอนที่ยี่ฝางรับสารภาพจากหลี่ลี่ เขาก็ขมวดคิ้วทันทีเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองลู่เปินเอ่อร์ทั้งหมด สังหารหมู่ทั้งหมู่บ้านและผู้ถูกจับ คำเหล่านี้ ทุกคำเต็มไปด้วยเลือดแต่รายละเอียดเขาไม่รู้ ในคำรับสารภาพก็ไม่ได้บันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับการสังหารหมู่ในหมู่บ้าน แต่มีคำอธิบายของหลี่ลี่ รายละเอียดนองเลือดเช่นนี้อยู่ในหู แม้จักรพรรดิ์ซูชิงจะยังจำได้ว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้ของแคว้นซาง ก็อดไม่ได้ที่จะตบโต๊ะดุด่ายี่ฝางด้วยความโกรธหลี่ลี่สามารถเข้าใจความโกรธของฝ่าบาท แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกเสียวสันหลัง โชคดีที่คนแบบนี้ขอพระราชทานอภิเษกสมรสด้วยผลงานด้านสงคราม ไม่อย่างนั้นเช่นเดียวกับพระชายาเป่ยหมิงอ๋อง ไม่ว่าจะเป็นขุนนางในราชสำนักหรือเป็นแม่ทัพในกองทัพ ก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง“เป่ยหมิงอ๋องดูคำสารภาพนี้หรือยัง? ” หลังจากจักรพรรดิ์ซูชิงทรงดุด่าแล้ว ก็ถามหลี่ลี่ขึ้นหลี่ลี่รู้ว่าเป่ยหมิงอ๋องได้ส่งคนไปเรียกตัวจ้านเป่ยว่างก่อน ฝ่าบาทถึงจะมีพระราชโองการ ดังนั้นตรงนี้เขาจึงตอบอย่างระมัดระวังมาก "ทันทีที่ยี่ฝางสารภ
ประมาณช่วงยามอู่ (๑๑.๐๐-๑๓.๐๐ น.) วันรุ่งขึ้น นักการทูตจากเมืองซีจิงมาถึงเมืองหลวง และได้รับการต้อนรับจากกรมพิธีการและสำนักหงลู่ จะเข้าพักที่หอฮุ่ยตงระบบขุนนางของเมืองซีจิงคล้ายคลึงกับระบบของแคว้นซาง เพียงแต่เมืองซีจิงไม่มีตำแหน่งเสนาบดี แต่มีคณะรัฐมนตรีและหกกรมเก้าขุนนางคราวนี้มาแคว้นซาง มีองค์หญิงใหญ่เหลิ่งอวี่และเจ้ากรมกลาโหมซูลันซือเป็นผู้นำและนำเกากงและเหลียงอัน ผู้เป็นมหาอำมาตย์เอกคณะรัฐมนตรี ซูฉินผู้เป็นเจ้าสำนักหงลู่หัว ล่ามอีกสองคน เจิ้งหยงโชวผู้บัญชาการกองทัพชิงจวิน หลินเหออวี่นายทหารจากจวนจวนองค์หญิงใหญ่เหลิ่งอวี่และขุนนางหญิงสามคน เนื่องจากขุนนางหญิงนั้นไม่ได้รายงานชื่อของพวกนาง จึงไม่ทราบชื่อของพวกนาง ส่วนที่เหลือคือองครักษ์และพวกผู้รับใช้เซี่ยหลูโม่ ซ่งซีซีและคนอื่นๆ เฝ้าดูนักการทูตเดินผ่านในร้านอาหารที่แถวประตูเมือง องค์หญิงใหญ่เหลิ่งอวี่สวมเครื่องแบบสีม่วงและขี่ม้าสีน้ำตาลแดง เดินเข้าเข้าเมืองพร้อมกับขบวนยิ่งใหญ่อายุที่แท้จริงขององค์หญิงใหญ่เหลิ่งอวี่คือสามสิบสองปี แต่บางทีอาจจะเหนื่อยจากการเดินทางอันแสนไกลและทำให้นางดูแก่กว่าอายุจริง"ชายที่ขี่ม้าสีดำด้านหลังอ
วันรุ่งขึ้น ศิษย์พี่ผิงสืบเจอว่าหลังจากที่นักการทูตซีจิงเข้าพักหอฮุยตงเมื่อวานนี้ อ๋องฮวยก็แอบกลับจวนเลย และเมื่อเช้าวันนี้ เขาก็ปลอมตัวเดินทางออกไปอีกครั้ง ราวกับว่าเขากำลังระดมกำลังคนอยู่ศิษย์พี่ผิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและพอจะคาดเดาเจตนาของอ๋องฮวยอย่างคร่าวๆ "ระวังตัวด้วย ถ้าเขาสมรู้ร่วมคิดกับซูลันซือ เขามีแนวโน้มที่จะออกโรงกับเจ้ามาก""รับทราบ" ซ่งซีซีพยักหน้า อันที่จริงศิษย์น้องได้บอกเขาเมื่อคืนนี้ว่าเขาพบคนหนึ่งในขบวนองครักษ์ซีจิง และบุคคลนั้นดูเหมือนอ๋องฮวยมากดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงคาดเดาต่างๆ นานามาทั้งคืนในเมื่อคืนนี้ และตั้งสมมติฐานความเป็นไปได้มากมายงานเลี้ยงในพระราชวัง ไฟส่องสว่างเหมือนดวงดาว ส่องแสงห้องจัดเลี้ยงทำให้สว่างราวกับอยู่ในตอนกลางวันเมื่อคู่สามีภรรยาเซี่ยหลูโม่มาถึง นักการทูตซีจิงได้เข้าไปในพระราชวังแล้วและนั่งอยู่ทางด้านขวาของห้องโถงแล้ว ส่วนพวกองครักษ์และขันทีจากเมืองซีจิงได้รออยู่ข้างนอก เนื่องจากการเข้าวังไม่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธไปด้วย ดังนั้นองครักษ์จึงไม่มีดาบติดตัวไทเฮาและฮองเฮากำลังนั่งตัวตรง เนื่องจากงานเลี้ยงยังไม่เริ่ม ยามนี้พวกนางกำลังดูแลอง