แชร์

บทที่ 903

ผู้เขียน: ปาเย่วเซิ่งเซี่ย
เซี่ยหลูโม่นอนกอดนางอย่างเงียบๆ ในกลางคืน ลมหายใจของนางเป็นจังหวะสม่ำเสมอดูเหมือนหลับอยู่

แต่เซี่ยหลูโม่รู้ว่านางไม่ได้หลับ นางนิ่งมากจนไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ แค่ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา และดูเหมือนว่าทุกลมหายใจได้ตั้งจังหวะมาก่อน

นางไม่อยากให้เขากังวล

ชายแดนเฉิงหลิง ในจวนแม่ทัพเซียว

พระราชโองการมาถึงแล้ว และผู้คนที่เดินทางไปเขตหนานเจียงเพื่อส่งมอบพระราชโองการไม่ใช่ใครอื่นใด นั่นก็คือฉีฟางและหลูหงที่มาจากกลุ่มนักสืบชีซื่อ แน่นอนว่ามีองครักษ์รักษาพระองค์และทหารรักษาพระราชวังติดตามเขาไปด้วย

ตอนนี้ ฉีฟางและหลูหงต่างเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ระดับชั้นสี่ ฝ่าบาทยังไม่ได้เริ่มใช้งานพวกเขา คราวนี้ที่ส่งพวกเขาไปประกาศคำสั่งที่ชายแดนเฉิงหลิงถือว่านี่เป็นงานแรกของพวกเขา หากทำงานได้ดี ฝ่าบาทอาจจะใช้งานพวกเขาแล้ว

สำหรับพวกเขาแล้วงานนี้ยากมาก แบบอย่างในใจของแม่ทัพและทหารเกือบทั้งหมดก็คือเซียวเฉิงและซ่งฮวยอัน ตอนนี้บอกว่ามาประกาศคำสั่ง แต่จริงๆ แล้วคือจับตัวเขากลับเมืองหลวง ทั้งฉีฟางและหลูหงต่างก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก

เดิมทีชีกุ้ยจากองครักษ์รักษาพระองค์บอกว่าจะออกเดินทางทันที แต่ฉีฟางและหลูหงช่วยโน้มน้า
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
บทที่ถูกล็อก

บทที่เกี่ยวข้อง

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 904

    นางหนานทั้งโกรธเคืองและอึดอัดใจ เพื่อช่วยจ้านเป่ยว่าง สามีของตนเองต้องเสียแขนไปข้างหนึ่ง และทักษะศิลปะการต่อสู้ของเขาก็สูญเสียไปครึ่งหนึ่งเต็มๆ โชคดีที่ไม่มีสงคราม เขาสามารถฝึกฝนทักษะดาบมือข้างเดียวได้อย่างขยันขันแข็ง แต่ไม่สามารถใช้หอกยาวได้อีกต่อไปแล้วได้ออกมือไปช่วยก็ไม่ว่าอะไร แต่คนๆ นั้นกลับเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณ กล้าไปมีอะไรกับยี่ฝางต่อหน้าต่อตาพวกเขา พวกเขาตาบอดไปจริงๆ ทำไมถึงมองไม่ออกเลย?ก็ต้องโทษที่พวกเขาไม่ละเอียดมากพอ และไม่ได้สังเกตตั้งแต่แรก ไม่เช่นนั้น พวกเขาคงได้รับบทเรียนที่ชายแดนเฉิงหลิง แล้วจะปล่อยให้พวกเขากลับไปทำร้ายซีซีได้อย่างไรนางหนานเอ็นดูซีซีเป็นอย่างยิ่ง ตอนที่ซีซีเกิดนั้นนางยังอยู่ในเมืองหลวง นางไม่เคยเห็นทารกสีชมพูและน่ารักเช่นนี้มาก่อนเลย ราวกับหยกสดใส ใต้หล้านี้จะไม่มีทารกคนใดที่สวยกว่านางอีกแล้วก่อนที่ซีซีจะอายุได้สามขวบ นางได้ไปที่จวนโหวเจิ้นเป่ยเกือบทุกสองสามวัน ก็เพื่อไปอุ้มทารกที่น่ารักคนนั้นต่อมา นางติดตามสามีมาที่ชายแดนเฉิงหลิง ในตอนแรกๆ ก็กลับเมืองหลวงทุกๆ สองปี ต่อมาลูกๆ ค่อยๆ โตขึ้นและต้องการเรียนหนังสือและฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ บวกกับมีควา

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 905

    ลูกน้องของเซียวเฉิงไปตามหาฉีฟางและหลูหงที่โรงเตี้ยมที่พวกเขาพักอยู่และบอกว่าต้องการบรรยายสถานการณ์เมื่อเห็นแม่ทัพผิวคล้ำทุกคนได้พูดคุยกับพวกเขาเรื่องเหตุการณ์เมืองลู่เปินเอ่อร์ด้วยสายตาที่เป็นกังวล ทั้งสองคนก็รู้สึกไม่สบอารมณ์จริงๆ"เป็นเรื่องจริง แม่ทัพใหญ่เซียวไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นเขาถูกลูกธนูยิง และหมอทหารบอกว่าช่วยชีวิตไม่ได้แล้วแล้ว เป็นแม่ทัพใหญ่ที่ดวงแข็งจึงยืดอายุขัย นอนพักฟื้นอยู่บนเตียงนานกว่าสามเดือน ถึงลุกจากเตียงและเดินได้ ตอนนี้ร่างกายของเขาสู้แต่ก่อนไม่ได้แล้ว มันทนกับความทรมานใดๆ ไม่ได้อีกเลย""ใช่แล้ว ที่จ้านเป่ยว่างเดินทางไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ข้าเป็นคนอนุมัติให้เอง และไม่เกี่ยวข้องกับแม่ทัพใหญ่เซียว พวกเจ้านำข้ากลับไปที่เมืองหลวงเพื่อสอบสวนได้เลย จะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่ จะเอาชีวิตข้า ข้าจะมอบให้ตอนกลับเมืองหลวง""ท่านแม่ทัพฉี ท่านแม่ทัพหลู พวกเจ้าก็เคยติดตามผู้บังคับบัญชาซ่งในสนามรบเขตหนานเจียง เราเป็นพวกเดียวกันก็จะไม่พูดอ้อมแล้ว เรื่องนี้ยังมีช่องว่างให้หารือกันไหม ฝ่าบาทคิดกับเรื่องนี้ยังไงกัน เจ้าพูดตามตรงมา หากแค่ต้องการหาผู้ใดคนหนึ่งมารับผิดชอบเรื่องนี้

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 906

    ในกลางคืน พวกเขามองหาโอกาสมากมายเพื่อพูดคุยกับจางฉีเหวินตามลำพัง แต่จางฉีเหวินและชีกุ้ยอยู่ในห้องเดียวกัน และทั้งสองคนก็ไปไหนมาไหนด้วยกัน มีตั้งหลายครั้งที่อยากจะหาวิธีให้ชีกุ้ยออกไปก็กว่าจะรอให้จางฉีเหวินไปห้องน้ำด้วยตนเอง หลูหงไปจับตาดูชีกุ้ยไว้ ส่วนฉีฟางยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องน้ำ รอให้จางฉีเหวินออกมาจางฉีเหวินไม่ชินกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น ดังนั้นเขาจึงเข้าห้องน้ำเป็นเวลานานกว่าจะออกมาได้ เมื่อเขาออกมา ฉีฟางก็หนาวมากจนตัวสั่นแสงไฟที่นี่สลัว เมื่อจางฉีเหวินออกมาก็เห็นเงาของร่างหนึ่ง และตกใจกลัวด้วย เมื่อเห็นชัดเจนแล้วจึงพูดว่า "แม่ทัพฉีนี่เองเหรอ ข้าตกใจหมดเลย"ฉีฟางเข้าไปใกล้และกำลังจะพูดอะไร จางฉีเหวินก็พูดด้วยรอยยิ้ม "ถ้าเจ้ายังกลั้นไว้ได้ก็ให้กลั้นไว้สักพักก่อน เพื่อให้กลิ่นกระจายไปสักหน่อย"ฉีฟางยิ้ม "องครักษ์จาง ข้าตั้งใจมารอเจ้าที่นี่นะ มีเรื่องอยากคุยกับเจ้า""มีอะไรก็อย่ามาพูดที่นี่สิ กลับไปคุยที่ห้องเลย เจ้าไม่หนาวเหรอ?" จางฉีเหวินขาสั่น และรู้สึกว่าเท้าของตนเองชาไปหมดราวกับได้คลานไปด้วยมดฉีฟางลดเสียงให้เบาลง "องครักษ์จ้าง พวกแม่ทัพที่มาตามหาข้าในคืนนี้ ล้วนเป็นลู

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 907

    ท่านหกเซียวรั้งเขาไว้ "เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้อะไร ข้าจะไปโรงเตี้ยมสักหน่อย จะไปถามแม่ทัพฉีว่าคนๆ นั้นได้ยินเรื่องนี้เข้าหรือไม่""แน่ใจว่าต้องได้ยินเข้าแล้ว" เหล่าอวี่เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความกังวลเช่นกัน แม้แต่ต้องต่อหน้ากองทหารนับพันเขาก็ไม่เคยหวาดกลัว แต่ตอนนี้เขากลัวมาก เพราะนั่ยมันเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่ถนัด "เหล่าติงคำรามดังขนาดนั้น ตราบใดที่ไม่ใช่คนหูหนวก ต่างก็สามารถได้ยินมัน""ข้าจะไปตามหาพวกเขา และขอความช่วยเหลือจากพวกเขา คำพูดนี้จะไปถึงหูฮ่องเต้ไม่ได้เด็ดขาด" ท่านหกเซียวตะโกนดังๆ "คนใช้ เตรียมม้า"หลังจากนั้นเขาก็เดินออกไปท่านสามเซียวมองดูพวกเขา และรู้ว่าพวกเขาติดตามท่านพ่อมาครึ่งชีวิตแล้ว เพราะเป็นห่วงจึงไปหาฉีฟางเขาถอนหายใจ "ท่านพี่ทุกท่าน ปัญหามักจะเกิดจากปากเรา ต่อไปช่วยระวังคำพูดของตนเองให้ดีๆ คำที่ไม่ควรพูดก็ห้ามพูดเด็ดขาด"ทุกคนพยักหน้าอย่างเร่งรีบ แต่ตอนนี้สำนึกผิดแล้วมันยังกู้คืนสถานการณ์ได้หรือไม่?"แม้ว่าจะไม่มีองครักษ์รักษาพระองค์ ก็ไม่ควรพูดเช่นนั้นต่อฉีฟางและหลูหง เฮ้อ!" ท่านแปดเซียวปวดหัวมาก ท่านพ่อได้รับคำสั่งให้กลับ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 908

    ในเมืองหลวง หงเซียวได้รับจดหมายจากชายแดนเฉิงหลิง นางไม่ได้อ่านมัน และยื่นให้กับเสิ่นว่านจือโดยตรง ซึ่งฝากเสิ่นว่านจือมอบให้กับพระชายาข่าวจากชายแดนเฉิงหลิง เสิ่นว่านจือรู้ถึงความสำคัญของมัน ดังนั้นจึงเปิดอ่านทันที หลังจากอ่านแล้ว นางรีบขี่ม้าตรงไปที่สำนักกองกำลังเมืองหลวง เวลานี้ซีซีน่าจะอยู่ในสำนักกองกำลังเมืองหลวงเป็นเรื่องปกติที่เสิ่นว่านจือจะเข้าออกสำนักกองกำลังเมืองหลวง ตอนนี้นางเป็นอาจารย์ที่รับจ้างพิเศษ จักรพรรดิ์ซูชิงรู้ว่านางมีทักษะด้านศิลปะการต่อสู้เก่งมาก แต่ไม่ต้องการเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ดังนั้นปล่อยให้นางไปสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับกองทัพซวนเจียก็เหมาะสมที่สุดแม้ว่าองครักษ์รักษาพระองค์จะแยกออกมาเป็นอิสระแล้ว แต่ทางด้านศิลปะการต่อสู้ยังต้องฝึกฝนด้วย ดังนั้นยังคงต้องมาที่สำนักกองกำลังเมืองหลวงเพื่อตามหาเสิ่นว่านจือซ่งซีซีอ่านเนื้อหาของจดหมายแล้วถอนหายใจลึกๆ นี่เป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นที่สุดเลยประโยคนี้ หากพูดให้มันมีผลร้ายน้อยสุด อาจกล่าวได้ว่าแม่ทัพติงพูดเหลวไหลไปเรื่อยโดยไม่ใช้สมองคิดในชั่วขณะหนึ่ง ออกพระราชโองการที่ตักเตือนเขาหรือไม่ก็ลงโทษโดยใช้ไม้กระดานตีสักย

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 909

    หลังจากที่หมอมหัศจรรย์ดันจากไป จางเลี่ยเหวินก็มองไปที่พ่อของเขา "ท่านพ่อ ต้องรั้งน้องชีเอาไว้ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม"โหวเซวียนผิงพยักหน้า "ไม่ต้องกังวล พ่อจะไม่ปล่อยให้แม่ทัพใหญ่เซียวตกอยู่ในหายนะที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้อีก"สำหรับบางคน ตนเองต้องการปกป้องเขาอย่างสุดใจแม้ว่าจะต้องสละเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองก็ตาม ในบรรดาบรรพบุรุษของโหวเซวียนผิงเองก็เป็นทหาร ที่เขามีตำแหน่งโหวก็เพราะใช้ชีวิตแลกกลับมาในสนามรบ หากถูกปลดตำแหน่งยศเพื่อแม่ทัพใหญ่เซียว โหวเซวียนผิงคิดว่าท่านปู่จะไม่ตำหนิเขาเขาไม่แน่ใจว่าจะโน้มน้าวใจจางฉีเหวินที่เป็นหลานชายของตนเองได้สำเร็จ เขามีคนมีความคิดของตนเองมาตั้งแต่ยังเด็กและรู้วิธีการวางแผนให้อนาคตของตนเองด้วย น่าเสียดายที่เขามักจะโชคไม่ดีตลอด ทุกครั้งที่มีงานสำคัญต้องทำ เขาไม่ได้ป่วยหรือไม่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด และไม่มีโอกาสได้สร้างผลงานและไม่สามารถพิสูจน์ความสามารถของเขาต่อฝ่าบาทได้ ทำงานในตำหนักบูรพามาเป็นเวลานานก็เป็นเพียงองครักษ์ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นหลังจากที่ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็ขึ้นอยู่กับกองทัพซวนเจีย และกลายเป็นองครักษ์รักษาพระองค์ แต่ไม่มีงา

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 910

    แต่ความคิดเห็นของสาธารณชนนั้นมันสร้างกระแสรุนแรงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นฝีมือผู้ใดบางคน จักรพรรดิ์ซูชิงสงสัยว่าจะเป็นจวนเป่ยหมิงอ๋อง แต่หลังจากการสอบสวนแล้วโดยไม่คาดคิดเมื่อตามเบาะแสที่มีก็พบว่าคือเสนาบดีมู่บทความและนักเล่าเรื่องเหล่านั้นในโรงน้ำชาและร้านอาหารถูกจัดโดยเสนาบดีมู่ยิ่งไปกว่านั้น พอสืบสอบเล็กๆ ก็สืบเรื่องได้ เห็นๆ อยู่ว่าเสนาบดีมู่ไม่มีเจตนาปิดบังเรื่องนี้จากเขาเขาเงียบเป็นเวลานานในห้องหนังสือหลวง และพูดกับอู๋เยว่ว่า "แค่แกล้งทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่ได้รับการสอบสวนมา และปิดปากให้มิด"ก่อนที่อดีตฮ่องเต้จะเสด็จสวรรคต เสนาบดีมู่ได้วางแผนที่จะเกษียณ ทว่าการสิ้นพระชนม์ของอดีตฮ่องเต้มันเกิดขึ้นอย่างกะทันมาก เขาเห็นแก่ฮ่องเต้องค์ใหม่เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์เลยกลัวว่าจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงยังคงอยู่ในตำแหน่งของเขาและให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่หากพูดถึงขุนนางต่างๆ ในราชสำนัก ผู้ใดที่เขาไว้วางใจมากที่สุด งั้นก็ต้องเป็นเสนาบดีมู่และหยานไท่ฟู่สองคนเท่านั้นเมื่อนึกถึงการหารือเรื่องชายแดนเฉิงหลิงกับเสนาบดีในช่วงนี้ เขามักจะทำท่าอยากจะพูดแต่ก็สุดท้ายก็เงียบไป จริงๆ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 911

    เซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีอยู่ในร้านอาหารที่ไม่ไกลจากประตูเมือง ห้องส่วนตัวบนชั้นสองของร้านอาหารแห่งนี้มีทำเลดีที่สุด เมื่อเปิดหน้าต่างก็สามารถมองเห็นทิวทัศน์แถวประตูเมืองได้อย่างชัดเจนเนื่องจากตารางงานของพวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมอยู่เสมอ ดังนั้นเซี่ยหลูโม่จึงจองห้องส่วนตัวนี้ล่วงหน้ามานาน และให้ซีซีได้เห็นแม่ทัพใหญ่เซียวที่นี่ซ่งซีซีไม่เคยละสายตาจากใบหน้าของแม่ทัพใหญ่เซียว เมื่อมองดูเขาอย่างตะกละตะกลาม นางแทบรอไม่ไหวอยากจะวิ่งลงไปและซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของท่านตาเพื่อร้องไห้ เช่นเดียวกับที่นางทำเมื่อตอนเด็ก บอกเขาถึงความคับข้องใจทั้งหมด แล้วท่านตาก็จะลูบหัวของนาง โดยบอกว่าผู้ใดกล้ารังแกซีซีตัวน้อยของตา ตาจะไปสั่งสอนให้เลยแต่ตอนนี้นางทำได้เพียงยืนอยู่บนชั้นสอง มองดูม้าของท่านถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน ฟังเสียงสนับสนุนที่ดังก้อง และน้ำตาก็ไหลออกมาท่านตาแก่ขึ้นไม่น้อยจริงๆ แก่แล้วจริงๆในอดีต ขมับของเขามีผมหงอกแต่เขายังทรงพลังและเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง เมื่อกลับมาเมืองหลวงเพื่อฝึกซ้อมชกมวยกับท่านพ่อสองสามชุด ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยแต่ปัจจุบันนี้ ศีรษะของเขาเต็มไปด้วยผมสีขาว และหาผมดำได้ย

บทล่าสุด

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1606

    ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1605

    ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1604

    สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1603

    ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1602

    ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1601

    เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1600

    แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1599

    ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1598

    บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status