เซี่ยหลูโม่นอนกอดนางอย่างเงียบๆ ในกลางคืน ลมหายใจของนางเป็นจังหวะสม่ำเสมอดูเหมือนหลับอยู่แต่เซี่ยหลูโม่รู้ว่านางไม่ได้หลับ นางนิ่งมากจนไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ แค่ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา และดูเหมือนว่าทุกลมหายใจได้ตั้งจังหวะมาก่อนนางไม่อยากให้เขากังวลชายแดนเฉิงหลิง ในจวนแม่ทัพเซียวพระราชโองการมาถึงแล้ว และผู้คนที่เดินทางไปเขตหนานเจียงเพื่อส่งมอบพระราชโองการไม่ใช่ใครอื่นใด นั่นก็คือฉีฟางและหลูหงที่มาจากกลุ่มนักสืบชีซื่อ แน่นอนว่ามีองครักษ์รักษาพระองค์และทหารรักษาพระราชวังติดตามเขาไปด้วยตอนนี้ ฉีฟางและหลูหงต่างเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ระดับชั้นสี่ ฝ่าบาทยังไม่ได้เริ่มใช้งานพวกเขา คราวนี้ที่ส่งพวกเขาไปประกาศคำสั่งที่ชายแดนเฉิงหลิงถือว่านี่เป็นงานแรกของพวกเขา หากทำงานได้ดี ฝ่าบาทอาจจะใช้งานพวกเขาแล้วสำหรับพวกเขาแล้วงานนี้ยากมาก แบบอย่างในใจของแม่ทัพและทหารเกือบทั้งหมดก็คือเซียวเฉิงและซ่งฮวยอัน ตอนนี้บอกว่ามาประกาศคำสั่ง แต่จริงๆ แล้วคือจับตัวเขากลับเมืองหลวง ทั้งฉีฟางและหลูหงต่างก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างมากเดิมทีชีกุ้ยจากองครักษ์รักษาพระองค์บอกว่าจะออกเดินทางทันที แต่ฉีฟางและหลูหงช่วยโน้มน้า
นางหนานทั้งโกรธเคืองและอึดอัดใจ เพื่อช่วยจ้านเป่ยว่าง สามีของตนเองต้องเสียแขนไปข้างหนึ่ง และทักษะศิลปะการต่อสู้ของเขาก็สูญเสียไปครึ่งหนึ่งเต็มๆ โชคดีที่ไม่มีสงคราม เขาสามารถฝึกฝนทักษะดาบมือข้างเดียวได้อย่างขยันขันแข็ง แต่ไม่สามารถใช้หอกยาวได้อีกต่อไปแล้วได้ออกมือไปช่วยก็ไม่ว่าอะไร แต่คนๆ นั้นกลับเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณ กล้าไปมีอะไรกับยี่ฝางต่อหน้าต่อตาพวกเขา พวกเขาตาบอดไปจริงๆ ทำไมถึงมองไม่ออกเลย?ก็ต้องโทษที่พวกเขาไม่ละเอียดมากพอ และไม่ได้สังเกตตั้งแต่แรก ไม่เช่นนั้น พวกเขาคงได้รับบทเรียนที่ชายแดนเฉิงหลิง แล้วจะปล่อยให้พวกเขากลับไปทำร้ายซีซีได้อย่างไรนางหนานเอ็นดูซีซีเป็นอย่างยิ่ง ตอนที่ซีซีเกิดนั้นนางยังอยู่ในเมืองหลวง นางไม่เคยเห็นทารกสีชมพูและน่ารักเช่นนี้มาก่อนเลย ราวกับหยกสดใส ใต้หล้านี้จะไม่มีทารกคนใดที่สวยกว่านางอีกแล้วก่อนที่ซีซีจะอายุได้สามขวบ นางได้ไปที่จวนโหวเจิ้นเป่ยเกือบทุกสองสามวัน ก็เพื่อไปอุ้มทารกที่น่ารักคนนั้นต่อมา นางติดตามสามีมาที่ชายแดนเฉิงหลิง ในตอนแรกๆ ก็กลับเมืองหลวงทุกๆ สองปี ต่อมาลูกๆ ค่อยๆ โตขึ้นและต้องการเรียนหนังสือและฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ บวกกับมีควา
ลูกน้องของเซียวเฉิงไปตามหาฉีฟางและหลูหงที่โรงเตี้ยมที่พวกเขาพักอยู่และบอกว่าต้องการบรรยายสถานการณ์เมื่อเห็นแม่ทัพผิวคล้ำทุกคนได้พูดคุยกับพวกเขาเรื่องเหตุการณ์เมืองลู่เปินเอ่อร์ด้วยสายตาที่เป็นกังวล ทั้งสองคนก็รู้สึกไม่สบอารมณ์จริงๆ"เป็นเรื่องจริง แม่ทัพใหญ่เซียวไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นเขาถูกลูกธนูยิง และหมอทหารบอกว่าช่วยชีวิตไม่ได้แล้วแล้ว เป็นแม่ทัพใหญ่ที่ดวงแข็งจึงยืดอายุขัย นอนพักฟื้นอยู่บนเตียงนานกว่าสามเดือน ถึงลุกจากเตียงและเดินได้ ตอนนี้ร่างกายของเขาสู้แต่ก่อนไม่ได้แล้ว มันทนกับความทรมานใดๆ ไม่ได้อีกเลย""ใช่แล้ว ที่จ้านเป่ยว่างเดินทางไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ข้าเป็นคนอนุมัติให้เอง และไม่เกี่ยวข้องกับแม่ทัพใหญ่เซียว พวกเจ้านำข้ากลับไปที่เมืองหลวงเพื่อสอบสวนได้เลย จะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่ จะเอาชีวิตข้า ข้าจะมอบให้ตอนกลับเมืองหลวง""ท่านแม่ทัพฉี ท่านแม่ทัพหลู พวกเจ้าก็เคยติดตามผู้บังคับบัญชาซ่งในสนามรบเขตหนานเจียง เราเป็นพวกเดียวกันก็จะไม่พูดอ้อมแล้ว เรื่องนี้ยังมีช่องว่างให้หารือกันไหม ฝ่าบาทคิดกับเรื่องนี้ยังไงกัน เจ้าพูดตามตรงมา หากแค่ต้องการหาผู้ใดคนหนึ่งมารับผิดชอบเรื่องนี้
ในกลางคืน พวกเขามองหาโอกาสมากมายเพื่อพูดคุยกับจางฉีเหวินตามลำพัง แต่จางฉีเหวินและชีกุ้ยอยู่ในห้องเดียวกัน และทั้งสองคนก็ไปไหนมาไหนด้วยกัน มีตั้งหลายครั้งที่อยากจะหาวิธีให้ชีกุ้ยออกไปก็กว่าจะรอให้จางฉีเหวินไปห้องน้ำด้วยตนเอง หลูหงไปจับตาดูชีกุ้ยไว้ ส่วนฉีฟางยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องน้ำ รอให้จางฉีเหวินออกมาจางฉีเหวินไม่ชินกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น ดังนั้นเขาจึงเข้าห้องน้ำเป็นเวลานานกว่าจะออกมาได้ เมื่อเขาออกมา ฉีฟางก็หนาวมากจนตัวสั่นแสงไฟที่นี่สลัว เมื่อจางฉีเหวินออกมาก็เห็นเงาของร่างหนึ่ง และตกใจกลัวด้วย เมื่อเห็นชัดเจนแล้วจึงพูดว่า "แม่ทัพฉีนี่เองเหรอ ข้าตกใจหมดเลย"ฉีฟางเข้าไปใกล้และกำลังจะพูดอะไร จางฉีเหวินก็พูดด้วยรอยยิ้ม "ถ้าเจ้ายังกลั้นไว้ได้ก็ให้กลั้นไว้สักพักก่อน เพื่อให้กลิ่นกระจายไปสักหน่อย"ฉีฟางยิ้ม "องครักษ์จาง ข้าตั้งใจมารอเจ้าที่นี่นะ มีเรื่องอยากคุยกับเจ้า""มีอะไรก็อย่ามาพูดที่นี่สิ กลับไปคุยที่ห้องเลย เจ้าไม่หนาวเหรอ?" จางฉีเหวินขาสั่น และรู้สึกว่าเท้าของตนเองชาไปหมดราวกับได้คลานไปด้วยมดฉีฟางลดเสียงให้เบาลง "องครักษ์จ้าง พวกแม่ทัพที่มาตามหาข้าในคืนนี้ ล้วนเป็นลู
ท่านหกเซียวรั้งเขาไว้ "เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้อะไร ข้าจะไปโรงเตี้ยมสักหน่อย จะไปถามแม่ทัพฉีว่าคนๆ นั้นได้ยินเรื่องนี้เข้าหรือไม่""แน่ใจว่าต้องได้ยินเข้าแล้ว" เหล่าอวี่เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความกังวลเช่นกัน แม้แต่ต้องต่อหน้ากองทหารนับพันเขาก็ไม่เคยหวาดกลัว แต่ตอนนี้เขากลัวมาก เพราะนั่ยมันเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่ถนัด "เหล่าติงคำรามดังขนาดนั้น ตราบใดที่ไม่ใช่คนหูหนวก ต่างก็สามารถได้ยินมัน""ข้าจะไปตามหาพวกเขา และขอความช่วยเหลือจากพวกเขา คำพูดนี้จะไปถึงหูฮ่องเต้ไม่ได้เด็ดขาด" ท่านหกเซียวตะโกนดังๆ "คนใช้ เตรียมม้า"หลังจากนั้นเขาก็เดินออกไปท่านสามเซียวมองดูพวกเขา และรู้ว่าพวกเขาติดตามท่านพ่อมาครึ่งชีวิตแล้ว เพราะเป็นห่วงจึงไปหาฉีฟางเขาถอนหายใจ "ท่านพี่ทุกท่าน ปัญหามักจะเกิดจากปากเรา ต่อไปช่วยระวังคำพูดของตนเองให้ดีๆ คำที่ไม่ควรพูดก็ห้ามพูดเด็ดขาด"ทุกคนพยักหน้าอย่างเร่งรีบ แต่ตอนนี้สำนึกผิดแล้วมันยังกู้คืนสถานการณ์ได้หรือไม่?"แม้ว่าจะไม่มีองครักษ์รักษาพระองค์ ก็ไม่ควรพูดเช่นนั้นต่อฉีฟางและหลูหง เฮ้อ!" ท่านแปดเซียวปวดหัวมาก ท่านพ่อได้รับคำสั่งให้กลับ
ในเมืองหลวง หงเซียวได้รับจดหมายจากชายแดนเฉิงหลิง นางไม่ได้อ่านมัน และยื่นให้กับเสิ่นว่านจือโดยตรง ซึ่งฝากเสิ่นว่านจือมอบให้กับพระชายาข่าวจากชายแดนเฉิงหลิง เสิ่นว่านจือรู้ถึงความสำคัญของมัน ดังนั้นจึงเปิดอ่านทันที หลังจากอ่านแล้ว นางรีบขี่ม้าตรงไปที่สำนักกองกำลังเมืองหลวง เวลานี้ซีซีน่าจะอยู่ในสำนักกองกำลังเมืองหลวงเป็นเรื่องปกติที่เสิ่นว่านจือจะเข้าออกสำนักกองกำลังเมืองหลวง ตอนนี้นางเป็นอาจารย์ที่รับจ้างพิเศษ จักรพรรดิ์ซูชิงรู้ว่านางมีทักษะด้านศิลปะการต่อสู้เก่งมาก แต่ไม่ต้องการเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ดังนั้นปล่อยให้นางไปสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับกองทัพซวนเจียก็เหมาะสมที่สุดแม้ว่าองครักษ์รักษาพระองค์จะแยกออกมาเป็นอิสระแล้ว แต่ทางด้านศิลปะการต่อสู้ยังต้องฝึกฝนด้วย ดังนั้นยังคงต้องมาที่สำนักกองกำลังเมืองหลวงเพื่อตามหาเสิ่นว่านจือซ่งซีซีอ่านเนื้อหาของจดหมายแล้วถอนหายใจลึกๆ นี่เป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นที่สุดเลยประโยคนี้ หากพูดให้มันมีผลร้ายน้อยสุด อาจกล่าวได้ว่าแม่ทัพติงพูดเหลวไหลไปเรื่อยโดยไม่ใช้สมองคิดในชั่วขณะหนึ่ง ออกพระราชโองการที่ตักเตือนเขาหรือไม่ก็ลงโทษโดยใช้ไม้กระดานตีสักย
หลังจากที่หมอมหัศจรรย์ดันจากไป จางเลี่ยเหวินก็มองไปที่พ่อของเขา "ท่านพ่อ ต้องรั้งน้องชีเอาไว้ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม"โหวเซวียนผิงพยักหน้า "ไม่ต้องกังวล พ่อจะไม่ปล่อยให้แม่ทัพใหญ่เซียวตกอยู่ในหายนะที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้อีก"สำหรับบางคน ตนเองต้องการปกป้องเขาอย่างสุดใจแม้ว่าจะต้องสละเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองก็ตาม ในบรรดาบรรพบุรุษของโหวเซวียนผิงเองก็เป็นทหาร ที่เขามีตำแหน่งโหวก็เพราะใช้ชีวิตแลกกลับมาในสนามรบ หากถูกปลดตำแหน่งยศเพื่อแม่ทัพใหญ่เซียว โหวเซวียนผิงคิดว่าท่านปู่จะไม่ตำหนิเขาเขาไม่แน่ใจว่าจะโน้มน้าวใจจางฉีเหวินที่เป็นหลานชายของตนเองได้สำเร็จ เขามีคนมีความคิดของตนเองมาตั้งแต่ยังเด็กและรู้วิธีการวางแผนให้อนาคตของตนเองด้วย น่าเสียดายที่เขามักจะโชคไม่ดีตลอด ทุกครั้งที่มีงานสำคัญต้องทำ เขาไม่ได้ป่วยหรือไม่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด และไม่มีโอกาสได้สร้างผลงานและไม่สามารถพิสูจน์ความสามารถของเขาต่อฝ่าบาทได้ ทำงานในตำหนักบูรพามาเป็นเวลานานก็เป็นเพียงองครักษ์ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นหลังจากที่ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็ขึ้นอยู่กับกองทัพซวนเจีย และกลายเป็นองครักษ์รักษาพระองค์ แต่ไม่มีงา
แต่ความคิดเห็นของสาธารณชนนั้นมันสร้างกระแสรุนแรงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นฝีมือผู้ใดบางคน จักรพรรดิ์ซูชิงสงสัยว่าจะเป็นจวนเป่ยหมิงอ๋อง แต่หลังจากการสอบสวนแล้วโดยไม่คาดคิดเมื่อตามเบาะแสที่มีก็พบว่าคือเสนาบดีมู่บทความและนักเล่าเรื่องเหล่านั้นในโรงน้ำชาและร้านอาหารถูกจัดโดยเสนาบดีมู่ยิ่งไปกว่านั้น พอสืบสอบเล็กๆ ก็สืบเรื่องได้ เห็นๆ อยู่ว่าเสนาบดีมู่ไม่มีเจตนาปิดบังเรื่องนี้จากเขาเขาเงียบเป็นเวลานานในห้องหนังสือหลวง และพูดกับอู๋เยว่ว่า "แค่แกล้งทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่ได้รับการสอบสวนมา และปิดปากให้มิด"ก่อนที่อดีตฮ่องเต้จะเสด็จสวรรคต เสนาบดีมู่ได้วางแผนที่จะเกษียณ ทว่าการสิ้นพระชนม์ของอดีตฮ่องเต้มันเกิดขึ้นอย่างกะทันมาก เขาเห็นแก่ฮ่องเต้องค์ใหม่เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์เลยกลัวว่าจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงยังคงอยู่ในตำแหน่งของเขาและให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่หากพูดถึงขุนนางต่างๆ ในราชสำนัก ผู้ใดที่เขาไว้วางใจมากที่สุด งั้นก็ต้องเป็นเสนาบดีมู่และหยานไท่ฟู่สองคนเท่านั้นเมื่อนึกถึงการหารือเรื่องชายแดนเฉิงหลิงกับเสนาบดีในช่วงนี้ เขามักจะทำท่าอยากจะพูดแต่ก็สุดท้ายก็เงียบไป จริงๆ