ในกลางคืน พวกเขามองหาโอกาสมากมายเพื่อพูดคุยกับจางฉีเหวินตามลำพัง แต่จางฉีเหวินและชีกุ้ยอยู่ในห้องเดียวกัน และทั้งสองคนก็ไปไหนมาไหนด้วยกัน มีตั้งหลายครั้งที่อยากจะหาวิธีให้ชีกุ้ยออกไปก็กว่าจะรอให้จางฉีเหวินไปห้องน้ำด้วยตนเอง หลูหงไปจับตาดูชีกุ้ยไว้ ส่วนฉีฟางยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องน้ำ รอให้จางฉีเหวินออกมาจางฉีเหวินไม่ชินกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น ดังนั้นเขาจึงเข้าห้องน้ำเป็นเวลานานกว่าจะออกมาได้ เมื่อเขาออกมา ฉีฟางก็หนาวมากจนตัวสั่นแสงไฟที่นี่สลัว เมื่อจางฉีเหวินออกมาก็เห็นเงาของร่างหนึ่ง และตกใจกลัวด้วย เมื่อเห็นชัดเจนแล้วจึงพูดว่า "แม่ทัพฉีนี่เองเหรอ ข้าตกใจหมดเลย"ฉีฟางเข้าไปใกล้และกำลังจะพูดอะไร จางฉีเหวินก็พูดด้วยรอยยิ้ม "ถ้าเจ้ายังกลั้นไว้ได้ก็ให้กลั้นไว้สักพักก่อน เพื่อให้กลิ่นกระจายไปสักหน่อย"ฉีฟางยิ้ม "องครักษ์จาง ข้าตั้งใจมารอเจ้าที่นี่นะ มีเรื่องอยากคุยกับเจ้า""มีอะไรก็อย่ามาพูดที่นี่สิ กลับไปคุยที่ห้องเลย เจ้าไม่หนาวเหรอ?" จางฉีเหวินขาสั่น และรู้สึกว่าเท้าของตนเองชาไปหมดราวกับได้คลานไปด้วยมดฉีฟางลดเสียงให้เบาลง "องครักษ์จ้าง พวกแม่ทัพที่มาตามหาข้าในคืนนี้ ล้วนเป็นลู
ท่านหกเซียวรั้งเขาไว้ "เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้อะไร ข้าจะไปโรงเตี้ยมสักหน่อย จะไปถามแม่ทัพฉีว่าคนๆ นั้นได้ยินเรื่องนี้เข้าหรือไม่""แน่ใจว่าต้องได้ยินเข้าแล้ว" เหล่าอวี่เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความกังวลเช่นกัน แม้แต่ต้องต่อหน้ากองทหารนับพันเขาก็ไม่เคยหวาดกลัว แต่ตอนนี้เขากลัวมาก เพราะนั่ยมันเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่ถนัด "เหล่าติงคำรามดังขนาดนั้น ตราบใดที่ไม่ใช่คนหูหนวก ต่างก็สามารถได้ยินมัน""ข้าจะไปตามหาพวกเขา และขอความช่วยเหลือจากพวกเขา คำพูดนี้จะไปถึงหูฮ่องเต้ไม่ได้เด็ดขาด" ท่านหกเซียวตะโกนดังๆ "คนใช้ เตรียมม้า"หลังจากนั้นเขาก็เดินออกไปท่านสามเซียวมองดูพวกเขา และรู้ว่าพวกเขาติดตามท่านพ่อมาครึ่งชีวิตแล้ว เพราะเป็นห่วงจึงไปหาฉีฟางเขาถอนหายใจ "ท่านพี่ทุกท่าน ปัญหามักจะเกิดจากปากเรา ต่อไปช่วยระวังคำพูดของตนเองให้ดีๆ คำที่ไม่ควรพูดก็ห้ามพูดเด็ดขาด"ทุกคนพยักหน้าอย่างเร่งรีบ แต่ตอนนี้สำนึกผิดแล้วมันยังกู้คืนสถานการณ์ได้หรือไม่?"แม้ว่าจะไม่มีองครักษ์รักษาพระองค์ ก็ไม่ควรพูดเช่นนั้นต่อฉีฟางและหลูหง เฮ้อ!" ท่านแปดเซียวปวดหัวมาก ท่านพ่อได้รับคำสั่งให้กลับ
ในเมืองหลวง หงเซียวได้รับจดหมายจากชายแดนเฉิงหลิง นางไม่ได้อ่านมัน และยื่นให้กับเสิ่นว่านจือโดยตรง ซึ่งฝากเสิ่นว่านจือมอบให้กับพระชายาข่าวจากชายแดนเฉิงหลิง เสิ่นว่านจือรู้ถึงความสำคัญของมัน ดังนั้นจึงเปิดอ่านทันที หลังจากอ่านแล้ว นางรีบขี่ม้าตรงไปที่สำนักกองกำลังเมืองหลวง เวลานี้ซีซีน่าจะอยู่ในสำนักกองกำลังเมืองหลวงเป็นเรื่องปกติที่เสิ่นว่านจือจะเข้าออกสำนักกองกำลังเมืองหลวง ตอนนี้นางเป็นอาจารย์ที่รับจ้างพิเศษ จักรพรรดิ์ซูชิงรู้ว่านางมีทักษะด้านศิลปะการต่อสู้เก่งมาก แต่ไม่ต้องการเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ดังนั้นปล่อยให้นางไปสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับกองทัพซวนเจียก็เหมาะสมที่สุดแม้ว่าองครักษ์รักษาพระองค์จะแยกออกมาเป็นอิสระแล้ว แต่ทางด้านศิลปะการต่อสู้ยังต้องฝึกฝนด้วย ดังนั้นยังคงต้องมาที่สำนักกองกำลังเมืองหลวงเพื่อตามหาเสิ่นว่านจือซ่งซีซีอ่านเนื้อหาของจดหมายแล้วถอนหายใจลึกๆ นี่เป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นที่สุดเลยประโยคนี้ หากพูดให้มันมีผลร้ายน้อยสุด อาจกล่าวได้ว่าแม่ทัพติงพูดเหลวไหลไปเรื่อยโดยไม่ใช้สมองคิดในชั่วขณะหนึ่ง ออกพระราชโองการที่ตักเตือนเขาหรือไม่ก็ลงโทษโดยใช้ไม้กระดานตีสักย
หลังจากที่หมอมหัศจรรย์ดันจากไป จางเลี่ยเหวินก็มองไปที่พ่อของเขา "ท่านพ่อ ต้องรั้งน้องชีเอาไว้ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม"โหวเซวียนผิงพยักหน้า "ไม่ต้องกังวล พ่อจะไม่ปล่อยให้แม่ทัพใหญ่เซียวตกอยู่ในหายนะที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้อีก"สำหรับบางคน ตนเองต้องการปกป้องเขาอย่างสุดใจแม้ว่าจะต้องสละเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองก็ตาม ในบรรดาบรรพบุรุษของโหวเซวียนผิงเองก็เป็นทหาร ที่เขามีตำแหน่งโหวก็เพราะใช้ชีวิตแลกกลับมาในสนามรบ หากถูกปลดตำแหน่งยศเพื่อแม่ทัพใหญ่เซียว โหวเซวียนผิงคิดว่าท่านปู่จะไม่ตำหนิเขาเขาไม่แน่ใจว่าจะโน้มน้าวใจจางฉีเหวินที่เป็นหลานชายของตนเองได้สำเร็จ เขามีคนมีความคิดของตนเองมาตั้งแต่ยังเด็กและรู้วิธีการวางแผนให้อนาคตของตนเองด้วย น่าเสียดายที่เขามักจะโชคไม่ดีตลอด ทุกครั้งที่มีงานสำคัญต้องทำ เขาไม่ได้ป่วยหรือไม่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด และไม่มีโอกาสได้สร้างผลงานและไม่สามารถพิสูจน์ความสามารถของเขาต่อฝ่าบาทได้ ทำงานในตำหนักบูรพามาเป็นเวลานานก็เป็นเพียงองครักษ์ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นหลังจากที่ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็ขึ้นอยู่กับกองทัพซวนเจีย และกลายเป็นองครักษ์รักษาพระองค์ แต่ไม่มีงา
แต่ความคิดเห็นของสาธารณชนนั้นมันสร้างกระแสรุนแรงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นฝีมือผู้ใดบางคน จักรพรรดิ์ซูชิงสงสัยว่าจะเป็นจวนเป่ยหมิงอ๋อง แต่หลังจากการสอบสวนแล้วโดยไม่คาดคิดเมื่อตามเบาะแสที่มีก็พบว่าคือเสนาบดีมู่บทความและนักเล่าเรื่องเหล่านั้นในโรงน้ำชาและร้านอาหารถูกจัดโดยเสนาบดีมู่ยิ่งไปกว่านั้น พอสืบสอบเล็กๆ ก็สืบเรื่องได้ เห็นๆ อยู่ว่าเสนาบดีมู่ไม่มีเจตนาปิดบังเรื่องนี้จากเขาเขาเงียบเป็นเวลานานในห้องหนังสือหลวง และพูดกับอู๋เยว่ว่า "แค่แกล้งทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่ได้รับการสอบสวนมา และปิดปากให้มิด"ก่อนที่อดีตฮ่องเต้จะเสด็จสวรรคต เสนาบดีมู่ได้วางแผนที่จะเกษียณ ทว่าการสิ้นพระชนม์ของอดีตฮ่องเต้มันเกิดขึ้นอย่างกะทันมาก เขาเห็นแก่ฮ่องเต้องค์ใหม่เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์เลยกลัวว่าจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงยังคงอยู่ในตำแหน่งของเขาและให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่หากพูดถึงขุนนางต่างๆ ในราชสำนัก ผู้ใดที่เขาไว้วางใจมากที่สุด งั้นก็ต้องเป็นเสนาบดีมู่และหยานไท่ฟู่สองคนเท่านั้นเมื่อนึกถึงการหารือเรื่องชายแดนเฉิงหลิงกับเสนาบดีในช่วงนี้ เขามักจะทำท่าอยากจะพูดแต่ก็สุดท้ายก็เงียบไป จริงๆ
เซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีอยู่ในร้านอาหารที่ไม่ไกลจากประตูเมือง ห้องส่วนตัวบนชั้นสองของร้านอาหารแห่งนี้มีทำเลดีที่สุด เมื่อเปิดหน้าต่างก็สามารถมองเห็นทิวทัศน์แถวประตูเมืองได้อย่างชัดเจนเนื่องจากตารางงานของพวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมอยู่เสมอ ดังนั้นเซี่ยหลูโม่จึงจองห้องส่วนตัวนี้ล่วงหน้ามานาน และให้ซีซีได้เห็นแม่ทัพใหญ่เซียวที่นี่ซ่งซีซีไม่เคยละสายตาจากใบหน้าของแม่ทัพใหญ่เซียว เมื่อมองดูเขาอย่างตะกละตะกลาม นางแทบรอไม่ไหวอยากจะวิ่งลงไปและซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของท่านตาเพื่อร้องไห้ เช่นเดียวกับที่นางทำเมื่อตอนเด็ก บอกเขาถึงความคับข้องใจทั้งหมด แล้วท่านตาก็จะลูบหัวของนาง โดยบอกว่าผู้ใดกล้ารังแกซีซีตัวน้อยของตา ตาจะไปสั่งสอนให้เลยแต่ตอนนี้นางทำได้เพียงยืนอยู่บนชั้นสอง มองดูม้าของท่านถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน ฟังเสียงสนับสนุนที่ดังก้อง และน้ำตาก็ไหลออกมาท่านตาแก่ขึ้นไม่น้อยจริงๆ แก่แล้วจริงๆในอดีต ขมับของเขามีผมหงอกแต่เขายังทรงพลังและเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง เมื่อกลับมาเมืองหลวงเพื่อฝึกซ้อมชกมวยกับท่านพ่อสองสามชุด ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยแต่ปัจจุบันนี้ ศีรษะของเขาเต็มไปด้วยผมสีขาว และหาผมดำได้ย
ในที่สุด ปี้หมิงและลู่เจินก็เบียดเสียดเข้าไปโดยนำกองกำลังเมืองหลวงและค่ายลาดตระเวน และค่อยๆ เปิดทางเพื่อให้แม่ทัพใหญ่เซียวและองครักษ์รักษาพระองค์สามารถเดินทางต่อได้องครักษ์รักษาพระองค์นำแม่ทัพใหญ่เซียวเข้าวังไปเข้าเฝ้าก่อนหน้านี้ มีคนรายงานความโกลาหลที่เกิดจากประชาชนและเนื้อหาการตะโกนของพวกเขาไปยังจักรพรรดิ์ซูชิงจักรพรรดิ์ซูชิงขมวดคิ้ว และเสียงตะโกนว่า "ฝ่าบาททรงมีพระปัญญา" ก็รวมตัวกันเป็นเชือกและมัดเขาตายเดิมทีเขาวางแผนว่าให้เขาไปอยู่กรมราชทัณฑ์ก่อนหลังจากที่เซียวเฉิงกลับมาถึงเมองหลวง และเตรียมห้องขังที่มีสภาพแวดล้อมเงื่อนค่อนข้างดีเพื่อกักขังเขาไว้ อีกประเดี๋ยวก็ให้คำอธิบายให้กับนักการทูตจากเมืองซีจิงได้ง่าย แต่ตอนนี้เขายังสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่?ภายใต้การนำทางของชีกุ้ย แม่ทัพใหญ่เซียวเข้าสู่ห้องหนังสือหลวงก่อนคุกเข่าลงและกราบกราบไหว้ "กระหม่อมเซียวเฉิงคารวะฝ่าบาท ฝ่าบาททรงพระเจริญพะย่ะค่ะ!"ก่อนที่จักรพรรดิ์ซูชิงจะเจอกับเซียวเฉิง จิตใจของเขาเต็มไปด้วยขั้นตอนในการจัดการเรื่องนี้แต่เมื่อเห็นเขาคุกเข่าต่อหน้าตนเอง เขาก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพอันงดงามและแข้งแกร่งในอดี
ในอดีต เมื่อซ่งซีซีเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพซวนเจีย จะมีขุนนางมากมายคัดค้านและรู้สึกว่าไม่เหมาะสมที่ให้ผู้หญิงมาดำรงตำแหน่งสำคัญเช่นนี้แต่ตอนนี้พอเห็นการกระทำต่างๆ ของฝ่าบาท และรู้ถึงเจนตาของฝ่าบาท พวกเขาก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ ดีไม่ดี กองทัพซวนเจียในที่สุดก็เหลือแค่ค่ายลาดตระเวนที่รวบรวมผู้คนที่ไม่เป็นโล้เป็นพายเอาซะเลยแต่กองทัพซวนเจีย ซึ่งเคยเป็นกำแพงสำหรับเมืองหลวง ได้ถูกแยกออกเป็นชิ้นๆ ทุกคนรู้สึกว่ามันไม่เหมาะ ราวกับว่าอำนาจอย่างใดอย่างหนึ่งถูกทำลายแน่นอนว่าเป็นเพราะหลังจากที่ซ่งซีซีเป็นผู้บัญชาการ กองทัพซวนเจียก็เริ่มมีอิธิพลมากขึ้น ทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น หลายคนที่ไม่พอใจกับซ่งซีซีในตอนแรกนั้น บัดนี้ต่างก็นับถือนางเข้าแล้วเป็นเพราะการที่พวกเขายอมรับซ่งซีซี ทำให้จักรพรรดิ์ซูชิงเร่งฝีเท้าและเปลี่ยนองครักษ์รักษาพระองค์กลายเป็นกองทัพซวนเท่ และการดำเนินการต่อไปอาจจะถูกเร่งให้เร็วขึ้นเช่นกันแม่ทัพใหญ่เซียวถูกหน่วยฉินหรงส่งตัวกลับไปจวนตระกูลเซียว จวนตระกูลเซียวอยู่ในสภาพรกร้าง หน่วยฉินหรงเข้าไปถอนวัชพืชและทำความสะอาดด้วยตนเอง อู๋ต้าปั้นได้คัดเลือกคนใช้หลายคนเข้าไปรับ