เซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีอยู่ในร้านอาหารที่ไม่ไกลจากประตูเมือง ห้องส่วนตัวบนชั้นสองของร้านอาหารแห่งนี้มีทำเลดีที่สุด เมื่อเปิดหน้าต่างก็สามารถมองเห็นทิวทัศน์แถวประตูเมืองได้อย่างชัดเจนเนื่องจากตารางงานของพวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมอยู่เสมอ ดังนั้นเซี่ยหลูโม่จึงจองห้องส่วนตัวนี้ล่วงหน้ามานาน และให้ซีซีได้เห็นแม่ทัพใหญ่เซียวที่นี่ซ่งซีซีไม่เคยละสายตาจากใบหน้าของแม่ทัพใหญ่เซียว เมื่อมองดูเขาอย่างตะกละตะกลาม นางแทบรอไม่ไหวอยากจะวิ่งลงไปและซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของท่านตาเพื่อร้องไห้ เช่นเดียวกับที่นางทำเมื่อตอนเด็ก บอกเขาถึงความคับข้องใจทั้งหมด แล้วท่านตาก็จะลูบหัวของนาง โดยบอกว่าผู้ใดกล้ารังแกซีซีตัวน้อยของตา ตาจะไปสั่งสอนให้เลยแต่ตอนนี้นางทำได้เพียงยืนอยู่บนชั้นสอง มองดูม้าของท่านถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน ฟังเสียงสนับสนุนที่ดังก้อง และน้ำตาก็ไหลออกมาท่านตาแก่ขึ้นไม่น้อยจริงๆ แก่แล้วจริงๆในอดีต ขมับของเขามีผมหงอกแต่เขายังทรงพลังและเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง เมื่อกลับมาเมืองหลวงเพื่อฝึกซ้อมชกมวยกับท่านพ่อสองสามชุด ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยแต่ปัจจุบันนี้ ศีรษะของเขาเต็มไปด้วยผมสีขาว และหาผมดำได้ย
ในที่สุด ปี้หมิงและลู่เจินก็เบียดเสียดเข้าไปโดยนำกองกำลังเมืองหลวงและค่ายลาดตระเวน และค่อยๆ เปิดทางเพื่อให้แม่ทัพใหญ่เซียวและองครักษ์รักษาพระองค์สามารถเดินทางต่อได้องครักษ์รักษาพระองค์นำแม่ทัพใหญ่เซียวเข้าวังไปเข้าเฝ้าก่อนหน้านี้ มีคนรายงานความโกลาหลที่เกิดจากประชาชนและเนื้อหาการตะโกนของพวกเขาไปยังจักรพรรดิ์ซูชิงจักรพรรดิ์ซูชิงขมวดคิ้ว และเสียงตะโกนว่า "ฝ่าบาททรงมีพระปัญญา" ก็รวมตัวกันเป็นเชือกและมัดเขาตายเดิมทีเขาวางแผนว่าให้เขาไปอยู่กรมราชทัณฑ์ก่อนหลังจากที่เซียวเฉิงกลับมาถึงเมองหลวง และเตรียมห้องขังที่มีสภาพแวดล้อมเงื่อนค่อนข้างดีเพื่อกักขังเขาไว้ อีกประเดี๋ยวก็ให้คำอธิบายให้กับนักการทูตจากเมืองซีจิงได้ง่าย แต่ตอนนี้เขายังสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่?ภายใต้การนำทางของชีกุ้ย แม่ทัพใหญ่เซียวเข้าสู่ห้องหนังสือหลวงก่อนคุกเข่าลงและกราบกราบไหว้ "กระหม่อมเซียวเฉิงคารวะฝ่าบาท ฝ่าบาททรงพระเจริญพะย่ะค่ะ!"ก่อนที่จักรพรรดิ์ซูชิงจะเจอกับเซียวเฉิง จิตใจของเขาเต็มไปด้วยขั้นตอนในการจัดการเรื่องนี้แต่เมื่อเห็นเขาคุกเข่าต่อหน้าตนเอง เขาก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพอันงดงามและแข้งแกร่งในอดี
ในอดีต เมื่อซ่งซีซีเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพซวนเจีย จะมีขุนนางมากมายคัดค้านและรู้สึกว่าไม่เหมาะสมที่ให้ผู้หญิงมาดำรงตำแหน่งสำคัญเช่นนี้แต่ตอนนี้พอเห็นการกระทำต่างๆ ของฝ่าบาท และรู้ถึงเจนตาของฝ่าบาท พวกเขาก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ ดีไม่ดี กองทัพซวนเจียในที่สุดก็เหลือแค่ค่ายลาดตระเวนที่รวบรวมผู้คนที่ไม่เป็นโล้เป็นพายเอาซะเลยแต่กองทัพซวนเจีย ซึ่งเคยเป็นกำแพงสำหรับเมืองหลวง ได้ถูกแยกออกเป็นชิ้นๆ ทุกคนรู้สึกว่ามันไม่เหมาะ ราวกับว่าอำนาจอย่างใดอย่างหนึ่งถูกทำลายแน่นอนว่าเป็นเพราะหลังจากที่ซ่งซีซีเป็นผู้บัญชาการ กองทัพซวนเจียก็เริ่มมีอิธิพลมากขึ้น ทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น หลายคนที่ไม่พอใจกับซ่งซีซีในตอนแรกนั้น บัดนี้ต่างก็นับถือนางเข้าแล้วเป็นเพราะการที่พวกเขายอมรับซ่งซีซี ทำให้จักรพรรดิ์ซูชิงเร่งฝีเท้าและเปลี่ยนองครักษ์รักษาพระองค์กลายเป็นกองทัพซวนเท่ และการดำเนินการต่อไปอาจจะถูกเร่งให้เร็วขึ้นเช่นกันแม่ทัพใหญ่เซียวถูกหน่วยฉินหรงส่งตัวกลับไปจวนตระกูลเซียว จวนตระกูลเซียวอยู่ในสภาพรกร้าง หน่วยฉินหรงเข้าไปถอนวัชพืชและทำความสะอาดด้วยตนเอง อู๋ต้าปั้นได้คัดเลือกคนใช้หลายคนเข้าไปรับ
โหวเซวียนผิงมาด้วยคนเดียวโดยไม่มีผู้ติดตามด้วยซ้ำ เขาสวมเสื้อผ้าสีฟ้าและเสื้อคลุมสีดำหนา คนที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าเขาเป็นพ่อบ้านจากตระกูลแห่งหนึ่งเสียอีกเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซียืนขึ้นก่อนเพื่อต้อนรับเขา และคนอื่นๆ ก็ทำตาม ทุกคนรู้สึกซาบซึ้งใจที่โหวเซวียนผิงยอมออกมือช่วยโดยไม่ลังเลหลังจากถามสารทุกข์สุขดิบเสร็จแล้ว โหวเซวียนผิงก็พูตามตรงว่า "ข้าขอโทษไม่ได้ให้ไอ้หมอนั่นตอบตกลงโดยไม่มีเงื่อนไขได้ เขาตั้งเงื่อนไขไว้ ข้าเลยต้องมาถามพระชายาและคุณหนูเสิ่นก่อน"โหวเซวียนผิงใช้คำว่า "ขอโทษ" ในตอนต้นทำให้ทุกคนตกใจมากจริงๆ จากนั้นก็ใจเย็นลงหลังจากได้ยินคำพูดที่เหลือเสิ่นว่านจือถามแปลกๆ "ทำไมถึงต้องถามข้าด้วย เขาต้องการทำอะไรกัน"โหวเซวียนผิงรู้สึกแปลกๆ เมื่อเขาพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา "เขาบอกว่าเขาต้องการไหว้คุณหนูเสิ่นเป็นอาจารย์ของเขา และจะเป็นลูกศิษย์สายตรงเหมือนกับพวกลู่เจิน ปี้หมิงด้วย"“อ๊า? ข้าก็ได้สอนศิลปะการต่อสู้ให้เขาด้วยนี่" เสิ่นว่านจือไม่เข้าใจว่าจางฉีเหวินต้องการทำอะไร เขาเป็นสมาชิกขององครักษ์รักษาพระองค์ก็สามารถเข้าเรียนร่วมกับทุกคน ทำไมต้องไหว้ครูด้วย? นางบอกไปแล้วว่า แค่รับลูกศิ
จางฉีเหวินคุกเข่าลงกับพื้นและรีบกล่าวว่า "ท่านพ่อสบ่ยใจได้ นี่เป็นโอกาสทองที่หายากในชีวิตนี้ ลูกจะได้เรียนรู้กับอาจารย์อย่างดีแน่นอน และจะไม่มีวันเกียจคร้าน สำหรับสิ่งที่ลูกไม่ควรทำลูกจะไม่ทำเป็นอันขาด"เขาเคยเข้าเรียนกับเสิ่นว่านจือมาสองครั้ง แบบเรียนกับหลายๆ คน แต่เวลาอื่นๆ เนื่องจากต้องเข้าเวรจึงไม่ว่างมา พอเขามีเวลาว่าง เสิ่นว่านจือกลับไม่สอนเขาตามลำพัง ซึ่งทำให้เขาเสียใจมากหลังจากกลับบ้าน เขาเคยพูดคุยกับพ่อแม่หลายครั้งโดยบอกว่าหากสามารถได้รับการสอนจากอาจารย์เสิ่นแบบตามลำพังก็คงดีแต่ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้ที่เขาไปชายแดนเฉิงหลิง เขาเป็นผู้โชคร้ายมาโดยตลอดจะมีโชคเข้าข้างเขา เขารู้ว่าเขาดูน่ารังเกียจไปหน่อย แต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้ด้วยว่าถ้าเขาสูญเสียโอกาสนี้ไป เขาก็จะไม่มีโอกาสอีกเลยเนื่องจาก องครักษ์รักษาพระองค์ต้องการที่จะแยกออกมาเป็นอิสระและไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพซวนเจีย และที่อาจารย์เสิ่นสอนพวกเขาก็เห็นแก่ใต้เท้าซ่ง หลังจากที่องครักษ์รักษาพระองค์แยกออกไปแล้ว แม้ว่าฝ่าบาทจะให้นางสอนต่อและอนุญาตให้พวกเขาไปเรียนก็ตาม ผลที่ได้ก็จะเป็นเช่นเดิมนานๆ ทีถึงได้มีโอกาสได้เรียนที
เสิ่นว่านจือดึงซ่งซีซีคอยดูการต่อสู้อยู่ข้างๆ นางรู้ว่าตอนนี้ซ่งซีซีต้องกังวลเกี่ยวกับท่านตาของนาง ดังนั้นจึงให้พวกลูกศิษย์มาแข่งขันกัน ศิลปะการต่อสู้เป็นสิ่งโปรดของซ่งซีซี การได้เห็นการแข่งขันศิลปะการต่อสู้น่าจะสามารถหันเหความสนใจของนางได้เซี่ยหลูโม่ก็นั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ จุดประสงค์ของเขาคืออยู่เป็นเพื่อนกับซีซี ส่วนพวกเขาจะต่อสู้อย่างไร เขาไม่สนใจ...จะไม่สนใจก็ไม่ได้ จางฉีเหวินต่อสู้กับทั้งสามคน เถือว่าพ่ายแพ้ในเวลาอันสั้น บอกได้ว่าแค่ยอมรับการทุบตีโดยเปล่าๆมันถูกต่อยจนตกอยู่ในสภาพที่ไม่น่ามองเลยดีที่พวกเขารู้จักอะไรควรอะไรไม่ควร และไม่ต่อยหัวหรือใบหน้าของเขา โดนต่อยที่ร่างกายหรือถูกเตะกี่ครั้งก็ไม่ได้เป็นอะไร คนนอกมองไม่ออกหรอกหากทุบตีแบบนี้ต่อไป อีกไม่กี่ท่าจางฉีเหวินก็ไม่ไหวแล้วเซี่ยหลูโม่กำลังจะเรียกให้หยุด แต่ซ่งซีซีได้พูดชิงไปก่อน ในฐานะผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ นาง ทนไม่ได้ที่จะเห็นการถูกทุบตีฝ่ายเดียวเช่นนี้ ข้อบกพร่องของจางฉีเหวินได้รับการเห็นแล้ว พื้นฐานค่อนข้างดี แต่ก็เป็นเพียงพื้นฐานเท่านั้น ไม่ว่าท่าต่อย วิชาหมัดหรือท่าเท้าล้วนย่ำแย่ไปหมด ไม่เป็นระบบใดๆ เลยเสิ่นว่า
เขาพยายามแบบนี้จนกระทั่งเขาอายุสิบสามปี แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เรียนศิลปะการต่อสู้อย่างจริงจังเลย ทุกครั้งที่เขาวางแผนจะไหว้ครูก็มักจะเกิดปัญหาต่างๆ หากไม่ใช่ตัวเขาเองป่วยหรือไม่ก็อาจารย์มีปัญหาในท้ายที่สุด พ่อจางก็ไม่ฝืนใจอีกต่อไป ให้เขาเรียนอย่างนั้น เรียนได้เท่าไรก็เท่านั้นเลยหลังจากได้ยินดังนั้น เสิ่นว่านจือรู้สึกซับซ้อนมาก คนๆ นี้คือดวงนำโชคที่กลับชาติมาเกิดหรือไง? จะโชคร้ายขนาดนั้น และฟังดูมีดวงกินอาจารย์ด้วยนางจะไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหมจากประสบการณ์ของเขา ปัญหาเกิดขึ้นก่อนที่จะไหว้ครูสำเร็จ ตอนนี้เขาก็ไหว้ครูเสร็จแล้ว งั้นคงมีแต่โชคดีแล้วแหละ ทุกอย่างจะดีขึ้นเองจางฉีเหวินได้ไหว้กับศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สามอย่างเป็นทางการ เมื่อเห็นแก่ทัศนคติที่จริงใจและให้ความเคารพของเขา ศิษย์พี่ทั้งสามจึงไม่ทำให้เขาลำบากใจแต่ซ่งซีซีถามเขาว่า "เจ้ามาจากองครักษ์ซวนเท่ ที่เจ้มาไหว้ครูโดยตรงเช่นนี้ไม่กลัวว่าจะไม่เป็นที่โดดเด่นในองครักษ์ซวนเท่เหรอ"จางฉีเหวินตอบด้วยความเคารพ "ตอนนี้ไม่โดดเด่นไม่เป็นไร ตราบใดที่มีความสามารถมากพอ สักวันก็มีโอกาสได้โดดเด่น แต่ถ้าไม่พัฒนาศิลปะการต่อสู้ขอ
ในตอนเย็นของวันที่สอง เซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาที่จวนตระกูลเซียวสามารถมองเห็นได้จากด้านนอกของจวนตระกูลเซียว หน่วยฉินหรงไม่กล้าที่จะละเลย แผ่นชื่อจวนถูกจัดใหม่ ทำความสะอาดประตู และตะปูทองแดงที่ประตูก็ถูกขัดทีละอันเพื่อให้เงางามในระหว่างวัน ประชาชนจะมามอบน้ำใจของตนเอง รวมทั้งผลไม้ ผัก ไก่ เป็ด และปลาต่างๆ ความรู้สึกของประชาชนเป็นสิ่งที่เรียบง่ายที่สุด เรื่องอื่นๆ พวกเขาทำไม่ได้ งั้นได้แต่ทำสิ่งที่สามารถทำได้จ้านเป่ยว่างเฝ้าอยู่หน้าประตู ตรงกันข้าม เขาไม่กล้ามาในตอนกลางวันและมาเข้าเวรในเวลากลางคืนเท่านั้น เขาวางแผนที่จะเข้าไปสารภาพผิดหลังจากรวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วแต่เขาไม่กล้าเปิดประตูแม้ว่าเขาพยายามเตรียมใจอยู่นานก็ตาม จนกระทั่งเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาถึง เขาก็ก้าวถอยหลังและซ่อนตัวโดยไม่รู้ตัวปฏิกิริยาจากจิตใต้สำนึกนี้เป็นเพราะตอนนี้ประชาชนด่าเขาอย่างรุนแรง เมื่อเขาเดินทางในถนนใหญ่ก็มีคนขว้างใบผักเน่าใส่เขาด้วยเขารู้ว่าผลงานที่เขาได้ในชายแดนเฉิงหลิงตอนนี้กำลังทวงหนี้เขาในรูปแบบความโกรธเคืองจากประชาชนแต่ตอนนี้ถูกด่า และเขาก็ยอมรับอย่างใจเย็นได้ เพราะตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องอธิบ