เสิ่นว่านจือดึงซ่งซีซีคอยดูการต่อสู้อยู่ข้างๆ นางรู้ว่าตอนนี้ซ่งซีซีต้องกังวลเกี่ยวกับท่านตาของนาง ดังนั้นจึงให้พวกลูกศิษย์มาแข่งขันกัน ศิลปะการต่อสู้เป็นสิ่งโปรดของซ่งซีซี การได้เห็นการแข่งขันศิลปะการต่อสู้น่าจะสามารถหันเหความสนใจของนางได้เซี่ยหลูโม่ก็นั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ จุดประสงค์ของเขาคืออยู่เป็นเพื่อนกับซีซี ส่วนพวกเขาจะต่อสู้อย่างไร เขาไม่สนใจ...จะไม่สนใจก็ไม่ได้ จางฉีเหวินต่อสู้กับทั้งสามคน เถือว่าพ่ายแพ้ในเวลาอันสั้น บอกได้ว่าแค่ยอมรับการทุบตีโดยเปล่าๆมันถูกต่อยจนตกอยู่ในสภาพที่ไม่น่ามองเลยดีที่พวกเขารู้จักอะไรควรอะไรไม่ควร และไม่ต่อยหัวหรือใบหน้าของเขา โดนต่อยที่ร่างกายหรือถูกเตะกี่ครั้งก็ไม่ได้เป็นอะไร คนนอกมองไม่ออกหรอกหากทุบตีแบบนี้ต่อไป อีกไม่กี่ท่าจางฉีเหวินก็ไม่ไหวแล้วเซี่ยหลูโม่กำลังจะเรียกให้หยุด แต่ซ่งซีซีได้พูดชิงไปก่อน ในฐานะผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ นาง ทนไม่ได้ที่จะเห็นการถูกทุบตีฝ่ายเดียวเช่นนี้ ข้อบกพร่องของจางฉีเหวินได้รับการเห็นแล้ว พื้นฐานค่อนข้างดี แต่ก็เป็นเพียงพื้นฐานเท่านั้น ไม่ว่าท่าต่อย วิชาหมัดหรือท่าเท้าล้วนย่ำแย่ไปหมด ไม่เป็นระบบใดๆ เลยเสิ่นว่า
เขาพยายามแบบนี้จนกระทั่งเขาอายุสิบสามปี แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เรียนศิลปะการต่อสู้อย่างจริงจังเลย ทุกครั้งที่เขาวางแผนจะไหว้ครูก็มักจะเกิดปัญหาต่างๆ หากไม่ใช่ตัวเขาเองป่วยหรือไม่ก็อาจารย์มีปัญหาในท้ายที่สุด พ่อจางก็ไม่ฝืนใจอีกต่อไป ให้เขาเรียนอย่างนั้น เรียนได้เท่าไรก็เท่านั้นเลยหลังจากได้ยินดังนั้น เสิ่นว่านจือรู้สึกซับซ้อนมาก คนๆ นี้คือดวงนำโชคที่กลับชาติมาเกิดหรือไง? จะโชคร้ายขนาดนั้น และฟังดูมีดวงกินอาจารย์ด้วยนางจะไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหมจากประสบการณ์ของเขา ปัญหาเกิดขึ้นก่อนที่จะไหว้ครูสำเร็จ ตอนนี้เขาก็ไหว้ครูเสร็จแล้ว งั้นคงมีแต่โชคดีแล้วแหละ ทุกอย่างจะดีขึ้นเองจางฉีเหวินได้ไหว้กับศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สามอย่างเป็นทางการ เมื่อเห็นแก่ทัศนคติที่จริงใจและให้ความเคารพของเขา ศิษย์พี่ทั้งสามจึงไม่ทำให้เขาลำบากใจแต่ซ่งซีซีถามเขาว่า "เจ้ามาจากองครักษ์ซวนเท่ ที่เจ้มาไหว้ครูโดยตรงเช่นนี้ไม่กลัวว่าจะไม่เป็นที่โดดเด่นในองครักษ์ซวนเท่เหรอ"จางฉีเหวินตอบด้วยความเคารพ "ตอนนี้ไม่โดดเด่นไม่เป็นไร ตราบใดที่มีความสามารถมากพอ สักวันก็มีโอกาสได้โดดเด่น แต่ถ้าไม่พัฒนาศิลปะการต่อสู้ขอ
ในตอนเย็นของวันที่สอง เซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาที่จวนตระกูลเซียวสามารถมองเห็นได้จากด้านนอกของจวนตระกูลเซียว หน่วยฉินหรงไม่กล้าที่จะละเลย แผ่นชื่อจวนถูกจัดใหม่ ทำความสะอาดประตู และตะปูทองแดงที่ประตูก็ถูกขัดทีละอันเพื่อให้เงางามในระหว่างวัน ประชาชนจะมามอบน้ำใจของตนเอง รวมทั้งผลไม้ ผัก ไก่ เป็ด และปลาต่างๆ ความรู้สึกของประชาชนเป็นสิ่งที่เรียบง่ายที่สุด เรื่องอื่นๆ พวกเขาทำไม่ได้ งั้นได้แต่ทำสิ่งที่สามารถทำได้จ้านเป่ยว่างเฝ้าอยู่หน้าประตู ตรงกันข้าม เขาไม่กล้ามาในตอนกลางวันและมาเข้าเวรในเวลากลางคืนเท่านั้น เขาวางแผนที่จะเข้าไปสารภาพผิดหลังจากรวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วแต่เขาไม่กล้าเปิดประตูแม้ว่าเขาพยายามเตรียมใจอยู่นานก็ตาม จนกระทั่งเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาถึง เขาก็ก้าวถอยหลังและซ่อนตัวโดยไม่รู้ตัวปฏิกิริยาจากจิตใต้สำนึกนี้เป็นเพราะตอนนี้ประชาชนด่าเขาอย่างรุนแรง เมื่อเขาเดินทางในถนนใหญ่ก็มีคนขว้างใบผักเน่าใส่เขาด้วยเขารู้ว่าผลงานที่เขาได้ในชายแดนเฉิงหลิงตอนนี้กำลังทวงหนี้เขาในรูปแบบความโกรธเคืองจากประชาชนแต่ตอนนี้ถูกด่า และเขาก็ยอมรับอย่างใจเย็นได้ เพราะตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องอธิบ
เขาช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้นก่อนเซี่ยหลูโม่ จากนั้นก็ลูบหัวของนาง เช่นเดียวกับตอนนางยังเด็ก เมื่อไหร่ก็ตามที่นางไม่สบอารมณ์ก็จะมาฟ้องกับตา สาวน้อยตัวน้อย ไม่สามารถทนความคับข้องใจใดๆ ได้แม้แต่น้อย ผู้ใดด่านางว่านาง นางจะเก็บไว้ในใจหมด เมื่อรอท่านตากลับเมืองหลวงค่อยฟ้องกับเขาหลังจากฟ้องเรื่องเสร็จ ยังคงซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา ดูเศร้าโศกและว่าง่าย แต่ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มได้ใจอย่างไรอย่างนั้นน้ำตาของซ่งซีซีเปรียบเสมือนลูกปัดที่ร้อยจากเชือกที่ขาด ร่วงหล่นลงมาอาบแก้มของนางเป็นหยดใหญ่ท่านตาปาดน้ำตาให้นางด้วยมืออันหยาบกระด้าง กลั้นเสียงเศร้าของเขาไว้ แต่ก็ยังได้ยินเสียงสั่นเทา "คราวนี้ ใครรังแกซีซีตัวน้อยของเราเล่า แต่ตอนนี้หลานไม่จำเป็นต้องให้ตาออกมือช่วยหลาน หลานก็จัดการด้วยตนเองได้เลยนะ"น้ำเสียงที่ทั้งเศร้าใจและน่าพึงพอใจทำให้ซ่งซีซีรู้สึกอึดอัดใจมากยิ่งขึ้นนางพยายามปาดน้ำตาของตนเองออก นางไม่ได้มาที่นี่เพื่อร้องไห้ ยิ่งไม่ต้องการให้ท่านตาเห็นความอ่อนแอของนาง นางมองออกไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า สายตาที่ท่านตามองหานางยังเต็มไปด้วยความเอ็นดู แต่ความแก่ชราของเขาก็มองเห็นได้ชัดเจนขึ้
แม่ทัพใหญ่เซียวเข้าใจว่าเซี่ยหลูโม่หมายถึงอะไร เพราะเมืองซีจิงมีการแก้แค้น ถือว่าได้ต่อโต้กัน หากพวกเขาไม่ได้แก้แค้นหลังจากการสังหารหมู่ในหมู่บ้าน และส่งนักการทูตโดยตรงเหมือนตอนนี้ งั้นแคว้นซางย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่ๆแต่พวกเขาได้แก้แค้นด้วยวิธีของพวกเขาเองไปแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวพูดเบาๆ "ใช่ หากแค่สังหารหมู่หมู่บ้าน งั้นการแก้แค้นของพวกเขาก็มากเพียงพอแล้ว แต่อย่าลืมว่ายังฆ่าผู้ถูกจับด้วย"การฆ่าผู้ถูกจับแค่พูดให้มันดูดีหน่อย ความจริงก็คือใช้วิธีน่าอับอายไปเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของรัชทายาทของประเทศแห่งหนึ่ง จนทำให้รัชทายาทคนนั้นตายอย่างน่าสลดใจเดิมทีฮ่องเต้เมืองซีจิงไม่ได้เรียกร้องความยุติธรรมให้กับประชาชนพวกนั้นอยู่แล้ว เขาแสวงหาความยุติธรรมให้กับพี่ชายของเขา ดังนั้นแม้ว่าการสังหารหมู่ในหมู่บ้านจะหายกันได้ แต่การสังหารมรัชทายาทของประเทศเขาล่ะ?เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "เรื่องการฆ่าผู้ถูกจับยังไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ที่ซูลันจีอ่อนข้อให้ในก่อนหน้านี้ก็เพื่อปกป้องชื่อเสียงของรัชทายาทเมืองซีจิง และศักดิ์ศรีของเมืองซีจิง คราวนี้นักการทูตที่มาคือองค์หญิงใหญ่เหลิ่งอวี่ ดังนั้นทุกอย่างยังมีค
แม่ทัพใหญ่เซียวมองไปที่ไหล่อันบางเฉียบของหลานสาว เขาจะทนให้นางทำเช่นนั้นได้อย่างไร?เขาจะทนให้นางต้องยุ่งวุ่นวายขนาดนั้นหลังจากที่นางอดทนกับสิ่งเลวร้ายมามากเช่นนี้ โดยใช้กายนะที่ตระกูลซ่งถูกสังหารหมู่เป็นเครื่องต่อรองเพื่อให้ตาคนนี้มีโอกาสรอดชีวิตได้อย่างไร?เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ท่าตา ซีซีพูดถูก สิ่งต่างๆ เหล่านี้แยกกันไม่ได้หรอก และไม่สามารถดึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกมาหารือตามลำพังได้ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงเพื่อท่านเท่านั้น แต่ยังพยายามเพื่อป้องการไม่ให้ทั้งสองประเทศทำสงครามด้วย"หากแยกออกมาตามลำพัง เมืองซีจิงก็จะยอมรับมันก็จริง และพวกเขาจะขอโทษถึงขนาดให้ค่าชดเชยด้วยซ้ำ แต่นี่ก็เท่ากับให้อำนาจการต่อรองอ่อนแอลงแม่ทัพใหญ่เซียวก็เข้าใจเรื่องนี้ดี แต่มันโหดร้ายเกินไปสำหรับซีซีเขาไม่อยากจะพูดต่อแต่สำหรับตากับหลาน หากเรื่องครอบครัวไม่กล้าพูด และเรื่องบ้านเมืองไม่อยากพูดเนื่องจากความปวดใจ งั้นก็คงไม่มีอะไรจะคุยแล้วนานๆ กว่าจะได้เจอครั้ง ก็อาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากไปทั้งอย่างนี้เซี่ยหลูโม่พบหัวข้อที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งก็คือภูเขาเหม่ยชาน เขายิ้มและพูดว่า "ซีซี เจ้าบอกเรื่องภูเขาเหม่ยชานให้
อันที่จริงเซี่ยหลูโม่มักจะรู้สึกว่าอาจารย์ที่ซีซีพูดถึงนั้นมันแตกต่างที่ตนเองเห็นเลยในสายตาของเขา อาจารย์ประพฤติตัวดี ไม่ได้เข้มงวดมากเกินไป หรือตามใจใครเป็นพิเศษ แต่หามีเรื่องดีๆ อะไรจะต้องคิดถึงลูกศิษย์ของตนเองและเข้าข้างคนของตนเองหน่อยศิษย์อาที่ซีซีพูดถึงนั้นก็คืออาจารย์ของเขา แต่เขาเป็นคนเจ้าอารมณ์ เอะอะก็ลงโทษตามอำเภอใจ อีกทั้งทุกคนเกมือนกลัวเขามากแม่ทัพใหญ่เซียวมองไปที่พวกเขา "น่าสนุก? น่าเบื่อ?"ซ่งซีซีบ่นว่า "เขาเป็นลูกศิษย์สายตรงของศิษย์อา ศิษย์อาย่อมต้องทำดีกับเขาสิ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าศิษย์อาน่าสนุกเป็นธรรมดา ศิษย์อาก็ดีต่อเขาเท่านั้น และลงโทษพวกเราอย่างรุนแรง แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าที่เป็นคนสงบจริงจังคนหนึ่ง แต่ในสายตาของเขาก็เป็นคนที่ไม่เป็นโล้เป็นพายเอาซะเลย"แม่ทัพใหญ่เซียวอุทานด้วยความประหลาดใจอย่างมาก "พูดเช่นนี้ ที่แท้พวกเจ้าเป็นศิษย์พี่น้องกันเหรอ?"ซ่งซีซีกล่าวว่า "เขาเป็นศิษย์น้องของข้า เขาเข้านิกายช้ากว่าข้า"แม่ทัพใหญ่เซียวถามติดตลกว่า "ศิษย์น้องคนนี้ปฏิบัติต่อศิษย์พี่ได้ดีหรือไม่"แก้มของซ่งซีซีแก้มแดงขึ้น "ดีมาก!"แม่ทัพใหญ่เซียวมองเซี่ยหลูโม่อย่างล
ซ่งซีซีใช้นิ้วบีบช้อนแน่น แตะขอบชามเบาๆ แล้วส่งเสียงที่คมชัด "บางครั้งการไม่ร้องไห้หรือโวยวาย มันยิ่งเจ็บมากกว่าการร้องไห้เสียอีก""ต่อมาข้าก็รู้แล้ว" เสิ่นว่านจือยืนขึ้นแล้วเดินไปกอดนาง "เพราะงั้นข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดทางจนกว่าเจ้าจะคืนซ่งซีซีที่หยิ่งผยองตอนในสระชิงซือกลับคืนมาให้ข้า"ซ่งซีซีผลักนางออกไปเล็กน้อย หลั่งน้ำตาร้อนๆ สองหยดแล้วรีบปาดออกอย่างรวดเร็ว นางถามด้วยรอยยิ้ม "ต้องเป็นซ่งซีซีตอนอยู่ในสระชิงซือเท่านั้นเหรอ ซ่งซีซีที่เอาชนะเจ้าภายใต้ต้นบ๊วยคนนั้นไม่ได้เหรอ ซ่งซีซีที่เอาชนะเจ้าในนอกประตูสถาบันชื่อเยียนคนนั้นไม่ได้เหรอ ซ่งซีซีที่เอาชนะเจ้าบนยอดเขา…"เสิ่นว่านจือกัดฟันกรอด "หุบปากซะ ดูเหมือนว่าแกงห้ารสของข้าเจ้ายังกินไม่พอสินะ ข้าจะใช้ถังมาตักให้เจ้าดูสิว่าจะให้เจ้ากินจนลิ้นของเจ้าชาได้หรือไม่"นางกำหมัดสองหมัดวางบนไหล่ของซ่งซีซี "น่ารำคาญจริงๆ"ซ่งซีซีดึงแขนเสื้อของนางเพื่อเอาไปปาดน้ำตา แต่กลับกอดนางไว้แน่น ไหล่สั่นเป็นเวลานานโดยไม่หยุดเสิ่นว่านจือมีน้ำตาอาบแก้ม และไม่พูดอะไรเลย เช่นเดียวกับตอนที่นางร้องไห้หลังการแข่งขันศิลปะการต่อสู้เสร็จตอนที่นางยังเด็ก และซ