ในตอนเย็นของวันที่สอง เซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาที่จวนตระกูลเซียวสามารถมองเห็นได้จากด้านนอกของจวนตระกูลเซียว หน่วยฉินหรงไม่กล้าที่จะละเลย แผ่นชื่อจวนถูกจัดใหม่ ทำความสะอาดประตู และตะปูทองแดงที่ประตูก็ถูกขัดทีละอันเพื่อให้เงางามในระหว่างวัน ประชาชนจะมามอบน้ำใจของตนเอง รวมทั้งผลไม้ ผัก ไก่ เป็ด และปลาต่างๆ ความรู้สึกของประชาชนเป็นสิ่งที่เรียบง่ายที่สุด เรื่องอื่นๆ พวกเขาทำไม่ได้ งั้นได้แต่ทำสิ่งที่สามารถทำได้จ้านเป่ยว่างเฝ้าอยู่หน้าประตู ตรงกันข้าม เขาไม่กล้ามาในตอนกลางวันและมาเข้าเวรในเวลากลางคืนเท่านั้น เขาวางแผนที่จะเข้าไปสารภาพผิดหลังจากรวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วแต่เขาไม่กล้าเปิดประตูแม้ว่าเขาพยายามเตรียมใจอยู่นานก็ตาม จนกระทั่งเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาถึง เขาก็ก้าวถอยหลังและซ่อนตัวโดยไม่รู้ตัวปฏิกิริยาจากจิตใต้สำนึกนี้เป็นเพราะตอนนี้ประชาชนด่าเขาอย่างรุนแรง เมื่อเขาเดินทางในถนนใหญ่ก็มีคนขว้างใบผักเน่าใส่เขาด้วยเขารู้ว่าผลงานที่เขาได้ในชายแดนเฉิงหลิงตอนนี้กำลังทวงหนี้เขาในรูปแบบความโกรธเคืองจากประชาชนแต่ตอนนี้ถูกด่า และเขาก็ยอมรับอย่างใจเย็นได้ เพราะตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องอธิบ
เขาช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้นก่อนเซี่ยหลูโม่ จากนั้นก็ลูบหัวของนาง เช่นเดียวกับตอนนางยังเด็ก เมื่อไหร่ก็ตามที่นางไม่สบอารมณ์ก็จะมาฟ้องกับตา สาวน้อยตัวน้อย ไม่สามารถทนความคับข้องใจใดๆ ได้แม้แต่น้อย ผู้ใดด่านางว่านาง นางจะเก็บไว้ในใจหมด เมื่อรอท่านตากลับเมืองหลวงค่อยฟ้องกับเขาหลังจากฟ้องเรื่องเสร็จ ยังคงซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา ดูเศร้าโศกและว่าง่าย แต่ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มได้ใจอย่างไรอย่างนั้นน้ำตาของซ่งซีซีเปรียบเสมือนลูกปัดที่ร้อยจากเชือกที่ขาด ร่วงหล่นลงมาอาบแก้มของนางเป็นหยดใหญ่ท่านตาปาดน้ำตาให้นางด้วยมืออันหยาบกระด้าง กลั้นเสียงเศร้าของเขาไว้ แต่ก็ยังได้ยินเสียงสั่นเทา "คราวนี้ ใครรังแกซีซีตัวน้อยของเราเล่า แต่ตอนนี้หลานไม่จำเป็นต้องให้ตาออกมือช่วยหลาน หลานก็จัดการด้วยตนเองได้เลยนะ"น้ำเสียงที่ทั้งเศร้าใจและน่าพึงพอใจทำให้ซ่งซีซีรู้สึกอึดอัดใจมากยิ่งขึ้นนางพยายามปาดน้ำตาของตนเองออก นางไม่ได้มาที่นี่เพื่อร้องไห้ ยิ่งไม่ต้องการให้ท่านตาเห็นความอ่อนแอของนาง นางมองออกไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า สายตาที่ท่านตามองหานางยังเต็มไปด้วยความเอ็นดู แต่ความแก่ชราของเขาก็มองเห็นได้ชัดเจนขึ้
แม่ทัพใหญ่เซียวเข้าใจว่าเซี่ยหลูโม่หมายถึงอะไร เพราะเมืองซีจิงมีการแก้แค้น ถือว่าได้ต่อโต้กัน หากพวกเขาไม่ได้แก้แค้นหลังจากการสังหารหมู่ในหมู่บ้าน และส่งนักการทูตโดยตรงเหมือนตอนนี้ งั้นแคว้นซางย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่ๆแต่พวกเขาได้แก้แค้นด้วยวิธีของพวกเขาเองไปแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวพูดเบาๆ "ใช่ หากแค่สังหารหมู่หมู่บ้าน งั้นการแก้แค้นของพวกเขาก็มากเพียงพอแล้ว แต่อย่าลืมว่ายังฆ่าผู้ถูกจับด้วย"การฆ่าผู้ถูกจับแค่พูดให้มันดูดีหน่อย ความจริงก็คือใช้วิธีน่าอับอายไปเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของรัชทายาทของประเทศแห่งหนึ่ง จนทำให้รัชทายาทคนนั้นตายอย่างน่าสลดใจเดิมทีฮ่องเต้เมืองซีจิงไม่ได้เรียกร้องความยุติธรรมให้กับประชาชนพวกนั้นอยู่แล้ว เขาแสวงหาความยุติธรรมให้กับพี่ชายของเขา ดังนั้นแม้ว่าการสังหารหมู่ในหมู่บ้านจะหายกันได้ แต่การสังหารมรัชทายาทของประเทศเขาล่ะ?เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "เรื่องการฆ่าผู้ถูกจับยังไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ที่ซูลันจีอ่อนข้อให้ในก่อนหน้านี้ก็เพื่อปกป้องชื่อเสียงของรัชทายาทเมืองซีจิง และศักดิ์ศรีของเมืองซีจิง คราวนี้นักการทูตที่มาคือองค์หญิงใหญ่เหลิ่งอวี่ ดังนั้นทุกอย่างยังมีค
แม่ทัพใหญ่เซียวมองไปที่ไหล่อันบางเฉียบของหลานสาว เขาจะทนให้นางทำเช่นนั้นได้อย่างไร?เขาจะทนให้นางต้องยุ่งวุ่นวายขนาดนั้นหลังจากที่นางอดทนกับสิ่งเลวร้ายมามากเช่นนี้ โดยใช้กายนะที่ตระกูลซ่งถูกสังหารหมู่เป็นเครื่องต่อรองเพื่อให้ตาคนนี้มีโอกาสรอดชีวิตได้อย่างไร?เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ท่าตา ซีซีพูดถูก สิ่งต่างๆ เหล่านี้แยกกันไม่ได้หรอก และไม่สามารถดึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกมาหารือตามลำพังได้ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงเพื่อท่านเท่านั้น แต่ยังพยายามเพื่อป้องการไม่ให้ทั้งสองประเทศทำสงครามด้วย"หากแยกออกมาตามลำพัง เมืองซีจิงก็จะยอมรับมันก็จริง และพวกเขาจะขอโทษถึงขนาดให้ค่าชดเชยด้วยซ้ำ แต่นี่ก็เท่ากับให้อำนาจการต่อรองอ่อนแอลงแม่ทัพใหญ่เซียวก็เข้าใจเรื่องนี้ดี แต่มันโหดร้ายเกินไปสำหรับซีซีเขาไม่อยากจะพูดต่อแต่สำหรับตากับหลาน หากเรื่องครอบครัวไม่กล้าพูด และเรื่องบ้านเมืองไม่อยากพูดเนื่องจากความปวดใจ งั้นก็คงไม่มีอะไรจะคุยแล้วนานๆ กว่าจะได้เจอครั้ง ก็อาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากไปทั้งอย่างนี้เซี่ยหลูโม่พบหัวข้อที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งก็คือภูเขาเหม่ยชาน เขายิ้มและพูดว่า "ซีซี เจ้าบอกเรื่องภูเขาเหม่ยชานให้
อันที่จริงเซี่ยหลูโม่มักจะรู้สึกว่าอาจารย์ที่ซีซีพูดถึงนั้นมันแตกต่างที่ตนเองเห็นเลยในสายตาของเขา อาจารย์ประพฤติตัวดี ไม่ได้เข้มงวดมากเกินไป หรือตามใจใครเป็นพิเศษ แต่หามีเรื่องดีๆ อะไรจะต้องคิดถึงลูกศิษย์ของตนเองและเข้าข้างคนของตนเองหน่อยศิษย์อาที่ซีซีพูดถึงนั้นก็คืออาจารย์ของเขา แต่เขาเป็นคนเจ้าอารมณ์ เอะอะก็ลงโทษตามอำเภอใจ อีกทั้งทุกคนเกมือนกลัวเขามากแม่ทัพใหญ่เซียวมองไปที่พวกเขา "น่าสนุก? น่าเบื่อ?"ซ่งซีซีบ่นว่า "เขาเป็นลูกศิษย์สายตรงของศิษย์อา ศิษย์อาย่อมต้องทำดีกับเขาสิ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าศิษย์อาน่าสนุกเป็นธรรมดา ศิษย์อาก็ดีต่อเขาเท่านั้น และลงโทษพวกเราอย่างรุนแรง แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าที่เป็นคนสงบจริงจังคนหนึ่ง แต่ในสายตาของเขาก็เป็นคนที่ไม่เป็นโล้เป็นพายเอาซะเลย"แม่ทัพใหญ่เซียวอุทานด้วยความประหลาดใจอย่างมาก "พูดเช่นนี้ ที่แท้พวกเจ้าเป็นศิษย์พี่น้องกันเหรอ?"ซ่งซีซีกล่าวว่า "เขาเป็นศิษย์น้องของข้า เขาเข้านิกายช้ากว่าข้า"แม่ทัพใหญ่เซียวถามติดตลกว่า "ศิษย์น้องคนนี้ปฏิบัติต่อศิษย์พี่ได้ดีหรือไม่"แก้มของซ่งซีซีแก้มแดงขึ้น "ดีมาก!"แม่ทัพใหญ่เซียวมองเซี่ยหลูโม่อย่างล
ซ่งซีซีใช้นิ้วบีบช้อนแน่น แตะขอบชามเบาๆ แล้วส่งเสียงที่คมชัด "บางครั้งการไม่ร้องไห้หรือโวยวาย มันยิ่งเจ็บมากกว่าการร้องไห้เสียอีก""ต่อมาข้าก็รู้แล้ว" เสิ่นว่านจือยืนขึ้นแล้วเดินไปกอดนาง "เพราะงั้นข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดทางจนกว่าเจ้าจะคืนซ่งซีซีที่หยิ่งผยองตอนในสระชิงซือกลับคืนมาให้ข้า"ซ่งซีซีผลักนางออกไปเล็กน้อย หลั่งน้ำตาร้อนๆ สองหยดแล้วรีบปาดออกอย่างรวดเร็ว นางถามด้วยรอยยิ้ม "ต้องเป็นซ่งซีซีตอนอยู่ในสระชิงซือเท่านั้นเหรอ ซ่งซีซีที่เอาชนะเจ้าภายใต้ต้นบ๊วยคนนั้นไม่ได้เหรอ ซ่งซีซีที่เอาชนะเจ้าในนอกประตูสถาบันชื่อเยียนคนนั้นไม่ได้เหรอ ซ่งซีซีที่เอาชนะเจ้าบนยอดเขา…"เสิ่นว่านจือกัดฟันกรอด "หุบปากซะ ดูเหมือนว่าแกงห้ารสของข้าเจ้ายังกินไม่พอสินะ ข้าจะใช้ถังมาตักให้เจ้าดูสิว่าจะให้เจ้ากินจนลิ้นของเจ้าชาได้หรือไม่"นางกำหมัดสองหมัดวางบนไหล่ของซ่งซีซี "น่ารำคาญจริงๆ"ซ่งซีซีดึงแขนเสื้อของนางเพื่อเอาไปปาดน้ำตา แต่กลับกอดนางไว้แน่น ไหล่สั่นเป็นเวลานานโดยไม่หยุดเสิ่นว่านจือมีน้ำตาอาบแก้ม และไม่พูดอะไรเลย เช่นเดียวกับตอนที่นางร้องไห้หลังการแข่งขันศิลปะการต่อสู้เสร็จตอนที่นางยังเด็ก และซ
ในตอนเย็นของวันรุ่งขึ้น นางหนาน ป้าสะใภ้สามก็ถึงเมืองหลวง นางไม่ได้ไปไหนเลย ตรงไปที่จวนอ๋องก่อนซีซีรู้ว่านางจะกลับมา แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ ท่านตาบอกว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสามวันก่อนที่ได้พบนาง ดังนั้นเมื่อเสิ่นว่านจือมาบอกนางอย่างร่าเริงนั้น เครื่องแบบราชการที่นางเพิ่งถอดไปครึ่งหนึ่งนั้นก็รีบสวมมันกลับ และวิ่งออกไปทันทีท้องฟ้ายังไม่มืด พระอาทิตย์ตกก็สวยมาก และแสงพระอาทิตย์ตกก็ซ้อนแสงสีแดงส้มสามชั้นสี่ชั้นไว้บนขอบฟ้า แสงอันนุ่มนวลเช่นนั้นห่อหุ้มนางหนานไว้ และนางก็กำลังสั่งคนขนสิ่งของต่างๆ เข้าไปเมื่อได้ยินเสียงที่เรียกว่าป้าสะใภ้สาม นางรีบหันกลับไป แต่ก่อนที่นางจะมองเห็นได้ชัดเจน ร่างนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปกอดนางเมื่อมีเด็กอยู่ในอ้อมแขน นางถึงสัมผัสได้ถึงความจริง น้ำตาไหลออกมาทันทีทันใด แต่ก็ถูกกลั้นไว้ในไม่ช้า เหลือเพียงความแสบที่ปลายจมูก และพูดด้วยรอยยิ้มว่า "อะไรกัน ปาสะใภ้เพิ่งกลับมา เจ้าก็คิดจะชนป้าให้บินออกไปหรือไง?"ซ่งซีซีกอดนางไว้ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยออกไป โดยแสดงใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสต่อหน้านาง "ดีใจที่ได้เจอป้าสะใภ้เลย"นางหนานจับแก้มนาง ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้ เข
หลังจากส่งคนไปตามหาเซี่ยหลูโม่แล้ว นางหนานก็พูดว่า "ข้าได้ยินมาว่าสนมฮุ่ยไทเฟยอาศัยอยู่ในจวนอ๋อง ช่วยพาป้าไปพบไทเฟยด้วย"ซ่งซีซีถึงนึกขึ้นมาได้ว่า "ได้ ไปเดี๋ยวนี้เลย"เมื่อนางหนานเข้าไปในจวน สนมฮุ่ยไทเฟยก็ได้ยินแม่นมเกาพูดถึงแล้ว แต่คิดว่านางกับซ่งซีซีคงมีอะไรจะพูดมากมายหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน นางจึงสั่งออกไปว่าคืนนี้จะไม่ออกไปทานอาหารเพื่อให้พวกนางได้คุยตามลำพังให้ดีๆหลังจากนั้นไม่นาน ซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือก็พานางหนานมาพบ สนมฮุ่ยไทเฟยพอใจมาก สมเป็นลูกสาวของตระกูลหนานจริงๆ และรู้จักกาลเทศะเป็นอย่างดีหลังจากที่นางหนานทำการไหว้เสร็จ สนมฮุ่ยไทเฟยก็ให้นางนั่งคุยกัน "เดินทางเหนื่อยมากสินะ?"นางหนานเหลือบมองซีซี ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเอ็นดูรักใคร่ "ทูลไทเฟยเจ้าค่ะ อยากกลับมามาก เลยไม่รู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใดเจ้าค่ะ"เมื่อเห็นนางเผยสีหน้าที่อ่อนโยน ไทเฟยก็รู้ว่านางห่วงใยซีซีมาก ดังนั้นจึงถอนหายใจ "เจ้ากลับมาก็ดี พระชายาอ๋องฮวยเป็นน้องสาวของสามีเจ้า เจ้าที่เป็นพี่สะใภ้คงต้องว่านางให้ดีๆ นางช่างไม่เอาไหนจริงๆ"เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของนางหนาน แม่นมเกาก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับสิ่งเลวร้
นางไม่ได้ไปหา หวังเยว่จาง ในอดีตนางอาจหน้าหนาพอที่จะคิดว่า เขาอย่างไรก็เป็นสายเลือดของจวนป๋อผิงซี เมื่อครอบครัวหรือญาติเกิดปัญหา การช่วยเหลือย่อมเป็นหน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้นางจะไม่ทำเช่นนั้นอีก นางเข้าใจความจริงบางประการว่า ในวันที่จวนป๋อผิงซีรุ่งเรือง เขาไม่เคยได้สัมผัสแม้เศษเสี้ยวของเกียรติยศนั้น แต่พอถึงวันที่ล่มจม กลับต้องการให้เขายื่นมือช่วยเหลือ นางทำเช่นนั้นไม่ได้ ส่วนเรื่องว่าจะไปหาพี่สะใภ้ใหญ่เพื่อพูดเรื่องนี้หรือไม่ นางลังเลใจยิ่งนัก เพราะอย่างไรเสีย นางก็ไม่อยากให้พี่ใหญ่ตาย นางนั่งอยู่ใต้ต้นไหว มองเหม่อลอยอยู่นาน พอดีศิษย์พี่ซือโซยกตะกร้าไหมเดินผ่านมา เมื่อเห็นนางก็รีบเลี้ยวหลบไปทางอื่น ท่าทางเหมือนไม่อยากเผชิญหน้ากับนาง หวังชิงหรูนึกถึงเรื่องเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ รีบเรียกนางไว้ “ศิษย์พี่ซือโซ ขอโทษเรื่องเมื่อครู่นี้ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” ศิษย์พี่ซือโซเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “อืม” พูดจบ นางก็เตรียมเดินจากไป หวังชิงหรูคิดถึงนิสัยของหญิงสาวในยุทธภพเหล่านี้ ที่มักซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ไม่คิดอะไรซับซ้อน จึงถามว่า “ศิษย์พี่ซือโซ ข้าขอพูดคุย
หวังชิงหรูรู้ว่าศิษย์พี่ซือโซเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ได้รีบอธิบาย เพราะในใจยังว้าวุ่น นางปิดประตู ยกยาเข้าไปแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ ดื่มยาก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยคิดหาวิธีแก้ทีหลัง” ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้า มองหน้านางพลางกล่าวว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าลองถามใจตัวเองดูว่าพี่ชายของเจ้าเคยปฏิบัติกับเจ้าอย่างไร?” หวังชิงหรูขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านแม่ พวกเราไม่มีความสามารถจะช่วยเขาได้ พวกเรายังอาศัยอยู่ในโรงงาน เงินที่ใช้ซื้อยาของท่านยังเป็นของแม่นางเสิ่นเลย” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “เจ้าคิดผิด เงินเหล่านี้ล้วนเป็นของเยว่จาง เขาแม้จะไม่ได้ยอมรับพวกเรา แต่ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้หยุดช่วยเหลือเราเลย” หวังชิงหรูกล่าวว่า “แม้ว่าเงินจะเป็นของเขา พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์จะขอให้เขาเอาเงินไปช่วยพี่ใหญ่ของเรา” “เงินเหล่านั้น” ฮูหยินผู้เฒ่ากัดฟัน กล่าวความจริงออกมาว่า “ไม่ใช่ของเขา ในตอนนั้นที่เขากลับมา พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าแนะนำให้ชดเชยเขา จึงโอนที่ดินและร้านค้าให้เขาบางส่วน” “ในเมื่อโอนให้เขาไปแล้ว และเขาก็ช่วยเหลือพวกเราอย่างลับๆ เสมอมา ยังจะให้เขาคืนกลับมาอีกหรือ? ท่านแม่ เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลย” ฮู
จีซูเซิ่นไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหรู ในวันรุ่งขึ้นขณะที่พวกนางออกไปตรวจที่ร้านขายยาเย่าหวัง นางแปลงตัวเป็นชาวนาและแอบตามไป เพียงแต่ตลอดทางจากไปจนกลับ ไม่มีใครเข้ามาใกล้รถลาของพวกนาง และระหว่างทางรถลานั้นก็ไม่ได้หยุดเลย หลังจากกลับมาถึงโรงงาน หวังชิงหรูก็เริ่มต้มยา ในโรงงานไม่มีใครคอยรับใช้ ทุกคนต้องผลัดกันทำอาหาร ตอนแรกหวังชิงหรูทำอะไรไม่เป็นเลย แม้แต่การก่อไฟยังต้องใช้เวลาฝึกถึงสามวัน อาหารมื้อแรกที่นางทำถึงกับกินไม่ได้เลย คนในโรงงานช่วยเหลือกัน แต่ก็ล้อกันด้วย พวกเขาหัวเราะเยาะว่านางมีร่างกายเหมือนฮูหยิน แต่โชคชะตาไม่ใช่ฮูหยินตอนแรกนางโกรธและรู้สึกน้อยใจ คิดว่าทำไมต้องมาเจอกับความลำบากเช่นนี้ นางถึงขั้นคิดว่าพวกเขาตั้งใจกลั่นแกล้ง จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเจียอี้มาที่โรงงานเพื่อเยี่ยม นางลงมือทำอาหารเอง มันอาจจะไม่เลิศรส แต่ก็รสชาติกลมกล่อมพอดี นางนิ่งเงียบไป หวังชิงหรูรู้ดีว่าเจียอี้เคยเป็นคนอย่างไร อดีตท่านหญิงที่หยิ่งยโส แต่หลังจากถูกหย่าแล้วได้รับการพากลับมา นางยังสามารถลดตัวเองลงและลงมือทำอาหารให้กลุ่มสตรีที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้ได้ ที่สำค
สถานการณ์ของหวังเบียวทำให้ซ่งซีซีแปลกใจไม่น้อย นางคิดว่าเขาจะพาคนสนิทหนีไปซ่อนได้อย่างน้อยสองสามปี ใครจะคาดคิดว่า ระหว่างทางเขาจะถูกปล้นทรัพย์สิน แม้แต่อนุที่รักก็ยังทอดทิ้งเขา ไม่รู้ว่าในเวลานั้น เขาเคยเสียใจต่อความโง่เขลาของตัวเองบ้างหรือไม่ คนวัยกลางคน กลับยังหลงเชื่อในความรักแท้ คิดจะทิ้งภรรยาที่อยู่เคียงข้างและดูแลเขามากว่าสิบปี สุดท้ายกลับถูกคนอื่นทิ้งเสียเอง นับว่าเป็นกรรมที่ตามสนอง แต่กรรมที่เขาได้รับยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ด้วยนิสัยของกู้ชิงหวู่ ตอนที่จากไปนางต้องเคยดูถูกเหยียดหยามเขาอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่นางเคยดูถูกเหลียงเส้า กู้ชิงหวู่ใช้ความงามของตัวเองเป็นเครื่องมือ แต่ในขณะเดียวกันก็เกลียดชังชายที่หลงใหลในความงามของนางอย่างยุติธรรม ในความเป็นจริง ซ่งซีซีคิดว่าหวังเบียวอาจไม่ได้อยู่ที่อำเภอหยง เพราะด้วยสถานะของเขาในฐานะผู้หลบหนี เขาไม่สามารถปรากฏตัวด้วยหน้าตาที่แท้จริง และไม่กล้าพำนักในที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ได้แต่หนีซุกซ่อน เขายังพาลูกไปด้วยอีก ซ่งซีซีคิดว่า หากเขาจนตรอก เขาอาจจะแอบกลับเมืองหลวงหรือไม่?แม้เขาจะโง่ แต่ก็ไม่ถึงกับโง่สิ้นดี เขารู
กู้ชิงหวู่กำหมัดแน่น ดวงตาเปล่งประกายแห่งความโกรธ "ดังนั้นข้าถึงบอกว่า สวรรค์ไม่ยุติธรรม ไยต้องเป็นเช่นนี้?" "เจ้าพูดเอง ด้วยชาติกำเนิดที่ดีของข้า รวมถึงสตรีหน้าเหลืองที่เจ้ากล่าวถึง นางก็เป็นสตรีผู้สูงศักดิ์" ซ่งซีซีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่เต็มไปด้วยท่าทีเหนือกว่า กู้ชิงหวู่เกลียดชังท่าทางเช่นนี้ที่สุด มันเหมือนกับอดีตองค์หญิงใหญ่ที่อยู่บนหอคอยสูง ในขณะที่ตนต้องก้มต่ำอยู่ในโคลนตม นางโกรธจัด หน้าอกสะท้อนขึ้นลง "ถึงจะเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์แล้วอย่างไร? ก็ยังถูกสามีรังเกียจอยู่ดีมิใช่หรือ?" "หวังเบียวหรือ? นางไม่เคยใส่ใจเขาเลย มีแต่เจ้าที่มองเขาเหมือนสมบัติ" ซ่งซีซีตอบอย่างไม่ใส่ใจ "สำหรับข้า เขาก็ไม่ใช่สมบัติอะไร แค่ขยะชิ้นหนึ่ง" กู้ชิงหวู่ตอบด้วยแววตาดุดัน ซ่งซีซีหัวเราะเยาะ "ข้ารู้ว่าไม่ใช่เช่นนั้น เจ้าถึงกับให้กำเนิดบุตรให้เขา ทั้งที่รู้ว่าการหนีจากสนามรบเป็นความผิดร้ายแรง เจ้ากลับไม่สนใจและหนีตามเขาไป ข้าเคยเจอคนปากไม่ตรงกับใจเช่นเจ้ามานักต่อนัก" "ไร้สาระ!" กู้ชิงหวู่ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว ใบหน้าแดงก่ำ แต่ไม่นานก็หัวเราะเยาะ "ฮะ คิดจะหลอกข้าหรือ? ใช่ ข้ารักเขาจนถ
สถานที่อันเป็นมงคลนี้ถูกเลือกโดยสำนักโหรหลวง เป็นสถานที่ที่งดงามด้วยภูเขาและสายน้ำ มีหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ สองแห่ง แม้จะเรียกว่าด้านข้างพระราชสุสาน แต่ความจริงแล้วห่างจากพระราชสุสานถึงสามสิบลี้ หลังจากงานศพ กู้ชิงหยิงมาพบซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเพื่อกล่าวลา บอกว่าจะไปสร้างกระท่อมเล็กๆ อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อเฝ้าสุสานของบิดาบุญธรรม เสิ่นว่านจือถามว่านางต้องการความช่วยเหลือเรื่องเงินหรือไม่ นางตอบว่าไม่จำเป็น เพราะนางจะขายเครื่องประดับที่เคยซื้อไว้ ก็เพียงพอจะกลายเป็นคนมีฐานะเล็กๆ ได้ วันที่นางจากไปพอดีกับวันที่เจ้าสิบเอ็ดฝางคุมตัวอ๋องเยี่ยนและคนอื่นๆ กลับเมืองหลวง นางยืนอยู่ที่ประตูเมือง มองเข้าไปในรถนักโทษที่มีอ๋องเยี่ยนและอ๋องฮวย ความเกลียดชังพลันผุดขึ้นในใจ แต่เมื่อเห็นชาวบ้านต่างด่าทอและโยนใบไม้เน่าใส่พวกเขา นางก็รู้สึกคลายความโกรธ เพราะคิดว่าคนชั่วได้กรรมของตนเองแล้ว สำหรับนาง นับจากนี้ก็เป็นอิสระแล้ว ไม่มีใครหรือสิ่งใดมาผูกมัดนางได้อีก ในการคุมตัวครั้งนี้ ยังมีข้าราชการของหนิงโจวและชิวเหมิงถูกนำตัวกลับมาด้วย สิ่งที่ทำให้ซ่งซีซีประหลาดใจคือ นางยังเห็นกู้ชิงหวู่ด
ใช้เวลาห้าวันกว่าจะกวาดล้างเศษซากกบฏได้หมดสิ้น เจ้าสิบเอ็ดฝางและมู่ฉงกุยส่งข่าวชัยชนะมาว่าได้จับชิวเหมิงกบฏตัวสำคัญเป็นเชลย พร้อมนำตัวอ๋องเยี่ยน อ๋องหวย และอู๋เซียงผู้ทรยศกลับมายังเมืองหลวง ซึ่งอีกไม่นานจะมาถึง ยกเว้นเพียงหวังเบียวที่ยังคงหลบหนี นอกนั้นกบฏส่วนใหญ่ล้วนถูกจับกุมได้หมดแล้ว วันที่ 25 เดือนเจ็ด สำนักราชวังจัดพิธีศพให้ท่านอ๋องฮุย เพราะเหตุการณ์กบฏของเซี่ยทิงเหยียน พิธีศพจึงจัดอย่างเรียบง่าย และจักรพรรดิ์ซูชิงทรงเรียกขุนนางมาหารือว่าท่านอ๋องฮุยควรได้ฝังในสุสานอ๋องหรือไม่ แม้ว่าท่านอ๋องฮุยจะบริสุทธิ์ แต่ความผิดของเซี่ยทิงเหยียนเป็นโทษที่เกี่ยวพันถึงทั้งตระกูล ซ่งซีซีไม่ได้รับการเรียกตัวให้เข้าร่วมพิธี นางจึงพาผู้คนจากจวนเป่ยหมิงอ๋องมาร่วมงานศพของอ๋องฮุย พิธีศพจัดอย่างเรียบง่าย ไม่มีขุนนางมาร่วมงาน นอกจากจักรพรรดิ์จะทรงอนุญาตให้อ๋องฮุยฝังในสุสานอ๋อง มิฉะนั้นจะไม่มีใครกล้าเข้าร่วม กู้ชิงหยิงสวมชุดไว้ทุกข์คุกเข่าเผากระดาษหน้าโลงศพ ศพของอ๋องฮุยถูกบรรจุในโลงแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดฝา เมื่อซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือมาถึง ยังสามารถไปดูหน้าศพครั้งสุดท้ายได้ มีโลงศพสา
เมื่อได้ยินว่าอ๋องฮุยปลิดชีพตนเอง เซี่ยทิงเหยียนถึงกับอึ้งไป ก่อนจะร้องไห้เสียงดังว่า “เสด็จพ่อ ทำไมต้องกลัวโทษจนถึงกับฆ่าตัวตาย? ลูกสัญญาไว้ว่าจะรับโทษแทนท่านแล้ว” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ กู้ชิงหยิงที่ไม่ได้หวังจะมีชีวิตรอดอยู่แล้วก็พุ่งเข้าไปชกหัวเขาอย่างแรง หมัดของกู้ชิงหยิงใหญ่โตนัก ฟาดเข้าที่กระหม่อมของเซี่ยทิงเหยียนจนเขารู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่า หูอื้ออยู่นานก่อนจะเงยหน้ามองนางด้วยสายตาเย็นเยียบดุจอสรพิษ กู้ชิงหยิงถ่มน้ำลายใส่เขาแล้วกล่าวว่า “เจ้าสัตว์เดรัจฉาน เจ้าใช้อำนาจข่มขู่ชีวิตชาวเมืองหนิงโจวและคนเก่าของวังให้ท่านอ๋องต้องรับผิดแทนเจ้า ท่านอ๋องไม่เคยมีจิตคิดกบฏ แม้แต่ตอนที่ถูกเจ้าจับตาอย่างใกล้ชิด ท่านยังพยายามส่งข่าวให้ใต้เท้าซ่ง เจ้าจงหยุดทำลายชื่อเสียงของท่านอ๋องหลังจากตายเถิด” นางพูดจบก็รีบคุกเข่าลง น้ำตาไหลอาบหน้า “ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงโปรดพิจารณา ท่านอ๋องไม่ได้ก่อกบฏ แต่เป็นเซี่ยทิงเหยียนที่พูดเองว่า หากเขาสำเร็จ ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี แต่หากล้มเหลว ลูกน้องของเขาจะสังหารชาวเมืองหนิงโจว เขาข่มขู่ท่านอ๋องเช่นนี้มาตลอด คนเก่าของวังที่อยู่ข้างกายท่านอ๋องถูกเขาฆ่าจนแทบไม่
จักรพรรดิ์ซูชิงมองลงมาจากที่สูง ดวงตาเต็มไปด้วยความชิงชัง “อย่างนั้นหรือ? แม้เจ้าจะยอมรับโทษแทนบิดา แต่ข้าไม่อาจกล่าวโทษผู้บริสุทธิ์โดยไร้เหตุผลได้ ใครกันที่เป็นกบฏวางแผนชิงบัลลังก์ ข้าจะสืบสวนให้กระจ่างเอง” “ฝ่าบาท” เซี่ยทิงเหยียนน้ำตาคลอ ดวงหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจอย่างยิ่ง “ไม่ต้องสืบสวนแล้ว ขอพระองค์ทรงตัดสินโทษกระหม่อมเถิด เสด็จพ่อเพียงหลงผิดชั่วขณะ” จักรพรรดิ์ซูชิงหัวเราะเยาะ “เจ้าทำให้ข้าผิดหวังนัก เหตุใดถึงไร้เกียรติเช่นนี้? ไหนล่ะความตระหนักของผู้แพ้ในสงคราม เจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะเป็นยอดคนผู้ห้าวหาญ ผู้เช่นเจ้ากล้าหมายปองบัลลังก์ คิดจะเป็นประมุขของแผ่นดินหรือ? เซี่ยทิงเหยียน อย่าให้ผู้ติดตามเจ้าเขาต้องผิดหวังนัก” “กระหม่อมยินดีรับโทษแทนเสด็จพ่อ! ขอพระองค์โปรดเมตตาไว้ชีวิตเสด็จพ่อด้วย” เซี่ยทิงเหยียนไม่สนว่าจักรพรรดิ์ซูชิงจะตรัสสิ่งใด เขาก็ยังคงกล่าวแต่คำนี้ด้วยความปวดร้าวและความกตัญญู ขุนนางที่อยู่ในที่นั้นย่อมไม่เชื่อ ต่างตำหนิเขาด้วยถ้อยคำรุนแรงถึงความทะเยอทะยานราวหมาป่า แต่หากคนใดหน้าหนาเพียงพอ ย่อมไม่สะทกสะท้านต่อคำด่าว่า เขายังคงแสดงสีหน้าเจ็บปวดและกล่าวว่า