ซ่งซีซียังคงอยู่ที่นี่เลย แต่หวังชิงหลูโดนดูถูกเช่นนี้ นางย่อมเกิดบันดาลโทสะ "ช่วยพูดจาดีๆ หน่อย หวังเจิง อย่าคิดว่าการเป็นผู้นำทหารรักษาพระราชวังแล้วก็จะเก่งมากทีเดียว เจ้าเป็นถึงผู้นำก็ยังอยู่ใต้บังคับบัญชาผู้หณิงอยู่ดีนี่?"นางรู้ว่าหวังเจิงนั้นหยิ่งทะนงตน ยิ่งรู้ด้วยว่าก่อนหน้านี้เขาไม่พอใจกับซ่งซีซีมาก จึงจงใจสร้างความบาดหมางให้พวกเขาต่อหน้าซ่งซีซี และทำให้เขาอับอายด้วยแต่เห็นได้ชัดว่านางแค่ได้ยินเรื่องไปส่วนหนึ่งเองหลังจากที่หวังเจิงกลายเป็นลูกศิษย์ของเสิ่นว่านจือ เขาได้เห็นศิลปะการต่อสู้ของอาจารย์ ยังได้ยินอาจารย์เล่าบ่อยๆ ว่านางถูกใต้เท้าซ่งโจมตีจนต้องยอมจำนนอย่างไรตอนที่อยู่ในภูเขาเหม่ยชาน บวกกับเขาเองก็เคยต่อสู้กับซ่งซีซีมาก่อน ถึงรู้ว่าเมื่อก่อนที่ตนเองหยิ่งผยองไม่เห็นหัวผู้ใดนั้นมันน่าขำมากเพียงใดหวังเจิงหัวเราะเบาๆ และพูดประชดประชนว่า "ที่ข้าเป็นถึงผู้นำทหารรักษาพระราชวังก็ย่อมเก่งมากละสิ หากเจ้ามีความสามารถจริงเจ้าก็มาทำสิ อย่ามาบอกว่าผู้หญิงทำไม่ได้ เจ้าดูใต้เท้าซ่งก็เคยสั่งการสามีเจ้า บัดนี้เป็นถึงหัวหน้าของข้าด้วย ข้าไม่ได้มากความสามารถหรอก ข้ายอมรับ แต่เจ้ายอมร
จ้านเป่ยว่างจมอยู่กับความทรงจำ "ข้าเป็นคนเสนอให้ไปเผายุ้งฉางในเมืองลู่เปินเอ่อร์ จริงๆ แล้วในเวลานั้น ทางเมืองซีจิงประสบความพ่ายแพ้ติดต่อมาหลายครั้ง และดูเหมือนว่าจะยอมแพ้ไป คุณชายหกเซียวกล่าวว่า ที่เราทำสงครามกับเมืองซีจิงมาหลายปีก็มักจะเป็นเช่นนี้ มีการต่อสู้เล็กน้อยไม่หยุดไม่หย่อน หากทำสงครามจริงๆ ต่างก็ออมมือให้กัน ดังนั้นพอเมืองซีจิงล่าถอยทางเราก็จะผ่อนคลายลง แต่ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ ทางเมืองซีจิงก็โจมตีอย่างรุนแรง และผู้บัญชาการเซียวก็บาดเจ็บในสงครามนั้น… ""ไม่ใช่สิ" ซ่งซีซีขัดจังหวะเขาอีกครั้ง "เมื่อเจ้าเพิ่งไปถึงชายแดนเฉิงหลิง ท่านลุงสามของข้าก็เสียแขนไปข้างหนึ่งในสงคราม ซึ่งพิสูจน์ว่าสงครามนั้นก็ดุเดือดมากเช่นกัน และหากทั้งสองฝ่ายต่อสู้อย่างออมมือให้ งั้นก็ไม่ต้องการให้พวกเจ้าไปช่วยเหลือแล้วนี่"จ้านเป่ยว่างอธิบายว่า "การต่อสู้ในแรกๆ มันต่างก็ออมมือให้อยู่ ส่วนสาเหตุที่ต่อสู้อย่างดุเดือดกะทันหันนั้นก็เป็นเพราะซูลันจีออกจากแนวหน้า เปลี่ยนเป็นซูลันซือมาออกคำสั่งแทน เขาคือน้องชายของซูลันจี เขาดุร้ายและกล้าหาญมาก และเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ของซูลันจีในก่อนหน้า โดยพยายามบังคับให้เราล่า
ทันทีที่ซ่งซีซีจากไป หวังเจิงก็เดินตามไปเช่นกันหวังเจิงคนนี้เป็นคนเก็บความลับไม่อยู่เลย สิ่งที่ซ่งซีซีและจ้านเป่ยว่างพูดคุยในวันนี้คือยี่ฝางสังหารพลเรือนก็ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะแล้วแต่ในนี้มีผู้บัญชาการเซียวมาเกี่ยวข้องด้วย เขารู้ว่าผู้บัญชาการเซียวเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและเกือบเอาชีวิตไม่รอดในเวลานั้น ไม่น่าแปลกใจเลยที่ยี่ฝางจะเป็นผู้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพเขารู้สึกมันไม่ยุติธรรมต่อผู้บัญชาการเซียว ดังนั้นหลังจากกลับสำนักทหารรักษาพระราชวังเขาก็พูดถึงเรื่องนี้เลยผู้ใดในทหารรักษาพระราชวังมีบ้างหรือที่ไม่ชื่นชมแม่ทัพซ่งฮวยอันและผู้บัญชาการเซียว? ดังนั้นเมื่อหวังเจิงพูดเช่นนี้ ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มเรียกร้องความยุติธรรมให้ผู้บัญชาการเซียวโดยธรรมชาติแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ทหารรักษาพระราชวังจะไปเรียกร้องความยุติธรรมกับใครได้ ก็แค่เอาเรื่องนี้ไปพูดที่ข้างนอกก็เท่านั้นนี่เป็นขั้นแรกของซ่งซีซี ก่อตั้งรากฐานของความไว้วางใจและความชื่นชมในหมู่ประชาชนที่มีต่อท่านตาของนาง อีกทั้งต้องได้รับความสนับสนุนจากหมู่แม่ทัพและทหารด้วย เมื่อต้องจัดการกับเรื่องที่รับมือได้ยาก ก็ต้อง
เซี่ยหลูโม่ขยับเข้าไปเล็กน้อยและจับมือนางไว้ "อย่ากังวลมากเกินไป เราจะไม่มีวันปล่อยให้เรื่องถึงขั้นเลวร้ายที่สุดเด็ดขาด"ซ่งซีซีรู้ว่าที่เขาพูดว่าเด็ดขาดนั้นจริงๆ แล้วก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะใจคนมันคาดเดายาก โดยเฉพาะฮ่องเต้องค์ใหม่ของเมืองซีจิง หลังจากที่เขาขึ้นไปเป็นรัชทายาท เขาเริ่มเผยแพร่สิ่งต่างๆ เกี่ยวกับเมืองลู่เปินเอ่อร์ในเมืองซีจิง ได้กระตุ้นอารมณ์โกรธของประชาชน บัดนี้เขาขึ้นบัลลังก์แล้ว เขาสามารถทำได้ทุกอย่างตามต้องการอาจารย์หยูรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นและทำการสรุปว่า "จักรพรรดิจิ้งหยวนดูเหมือนจะไม่ให้ความสำคัญกับราชบัลลังก์อย่างจริงจัง เขาเพียงแต่ใช้อำนาจล้นฟ้านี้เพื่อแสวงหาความยุติธรรมให้กับพี่รัชทายาทของเขาและพลเรือนที่ถูกสังหารหมู่ บังคับให้เรายอมจำนน เขาถึงขั้นต้องการทำสงคราม แต่เนื่องตอนที่เมืองซีจิงช่วยเหลือแคว้นซานั้น พวกเขาได้สูญเสียกองกำลังของพวกเขาไปไม่น้อยด้วย บวกกับต่อสู้กับเรามานานหลายปี ที่ชายแดนเฉิงหลิงก็เคยทำสงครามมาแล้ว พวกเขาก็ก็ต้องพักฟื้น และบรรดาขุนนางราชสำนักก็มีคนจำนวนมากที่ต่อต้านทำสงคราม องค์หญิงเหลิ่งอวี่เป็นตัวแทนในหมู่พวกเขา คราวนี้ที่องค์หญิงเหลิ่งอ
เซี่ยหลูโม่นอนกอดนางอย่างเงียบๆ ในกลางคืน ลมหายใจของนางเป็นจังหวะสม่ำเสมอดูเหมือนหลับอยู่แต่เซี่ยหลูโม่รู้ว่านางไม่ได้หลับ นางนิ่งมากจนไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ แค่ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา และดูเหมือนว่าทุกลมหายใจได้ตั้งจังหวะมาก่อนนางไม่อยากให้เขากังวลชายแดนเฉิงหลิง ในจวนแม่ทัพเซียวพระราชโองการมาถึงแล้ว และผู้คนที่เดินทางไปเขตหนานเจียงเพื่อส่งมอบพระราชโองการไม่ใช่ใครอื่นใด นั่นก็คือฉีฟางและหลูหงที่มาจากกลุ่มนักสืบชีซื่อ แน่นอนว่ามีองครักษ์รักษาพระองค์และทหารรักษาพระราชวังติดตามเขาไปด้วยตอนนี้ ฉีฟางและหลูหงต่างเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ระดับชั้นสี่ ฝ่าบาทยังไม่ได้เริ่มใช้งานพวกเขา คราวนี้ที่ส่งพวกเขาไปประกาศคำสั่งที่ชายแดนเฉิงหลิงถือว่านี่เป็นงานแรกของพวกเขา หากทำงานได้ดี ฝ่าบาทอาจจะใช้งานพวกเขาแล้วสำหรับพวกเขาแล้วงานนี้ยากมาก แบบอย่างในใจของแม่ทัพและทหารเกือบทั้งหมดก็คือเซียวเฉิงและซ่งฮวยอัน ตอนนี้บอกว่ามาประกาศคำสั่ง แต่จริงๆ แล้วคือจับตัวเขากลับเมืองหลวง ทั้งฉีฟางและหลูหงต่างก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างมากเดิมทีชีกุ้ยจากองครักษ์รักษาพระองค์บอกว่าจะออกเดินทางทันที แต่ฉีฟางและหลูหงช่วยโน้มน้า
นางหนานทั้งโกรธเคืองและอึดอัดใจ เพื่อช่วยจ้านเป่ยว่าง สามีของตนเองต้องเสียแขนไปข้างหนึ่ง และทักษะศิลปะการต่อสู้ของเขาก็สูญเสียไปครึ่งหนึ่งเต็มๆ โชคดีที่ไม่มีสงคราม เขาสามารถฝึกฝนทักษะดาบมือข้างเดียวได้อย่างขยันขันแข็ง แต่ไม่สามารถใช้หอกยาวได้อีกต่อไปแล้วได้ออกมือไปช่วยก็ไม่ว่าอะไร แต่คนๆ นั้นกลับเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณ กล้าไปมีอะไรกับยี่ฝางต่อหน้าต่อตาพวกเขา พวกเขาตาบอดไปจริงๆ ทำไมถึงมองไม่ออกเลย?ก็ต้องโทษที่พวกเขาไม่ละเอียดมากพอ และไม่ได้สังเกตตั้งแต่แรก ไม่เช่นนั้น พวกเขาคงได้รับบทเรียนที่ชายแดนเฉิงหลิง แล้วจะปล่อยให้พวกเขากลับไปทำร้ายซีซีได้อย่างไรนางหนานเอ็นดูซีซีเป็นอย่างยิ่ง ตอนที่ซีซีเกิดนั้นนางยังอยู่ในเมืองหลวง นางไม่เคยเห็นทารกสีชมพูและน่ารักเช่นนี้มาก่อนเลย ราวกับหยกสดใส ใต้หล้านี้จะไม่มีทารกคนใดที่สวยกว่านางอีกแล้วก่อนที่ซีซีจะอายุได้สามขวบ นางได้ไปที่จวนโหวเจิ้นเป่ยเกือบทุกสองสามวัน ก็เพื่อไปอุ้มทารกที่น่ารักคนนั้นต่อมา นางติดตามสามีมาที่ชายแดนเฉิงหลิง ในตอนแรกๆ ก็กลับเมืองหลวงทุกๆ สองปี ต่อมาลูกๆ ค่อยๆ โตขึ้นและต้องการเรียนหนังสือและฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ บวกกับมีควา
ลูกน้องของเซียวเฉิงไปตามหาฉีฟางและหลูหงที่โรงเตี้ยมที่พวกเขาพักอยู่และบอกว่าต้องการบรรยายสถานการณ์เมื่อเห็นแม่ทัพผิวคล้ำทุกคนได้พูดคุยกับพวกเขาเรื่องเหตุการณ์เมืองลู่เปินเอ่อร์ด้วยสายตาที่เป็นกังวล ทั้งสองคนก็รู้สึกไม่สบอารมณ์จริงๆ"เป็นเรื่องจริง แม่ทัพใหญ่เซียวไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นเขาถูกลูกธนูยิง และหมอทหารบอกว่าช่วยชีวิตไม่ได้แล้วแล้ว เป็นแม่ทัพใหญ่ที่ดวงแข็งจึงยืดอายุขัย นอนพักฟื้นอยู่บนเตียงนานกว่าสามเดือน ถึงลุกจากเตียงและเดินได้ ตอนนี้ร่างกายของเขาสู้แต่ก่อนไม่ได้แล้ว มันทนกับความทรมานใดๆ ไม่ได้อีกเลย""ใช่แล้ว ที่จ้านเป่ยว่างเดินทางไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ข้าเป็นคนอนุมัติให้เอง และไม่เกี่ยวข้องกับแม่ทัพใหญ่เซียว พวกเจ้านำข้ากลับไปที่เมืองหลวงเพื่อสอบสวนได้เลย จะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่ จะเอาชีวิตข้า ข้าจะมอบให้ตอนกลับเมืองหลวง""ท่านแม่ทัพฉี ท่านแม่ทัพหลู พวกเจ้าก็เคยติดตามผู้บังคับบัญชาซ่งในสนามรบเขตหนานเจียง เราเป็นพวกเดียวกันก็จะไม่พูดอ้อมแล้ว เรื่องนี้ยังมีช่องว่างให้หารือกันไหม ฝ่าบาทคิดกับเรื่องนี้ยังไงกัน เจ้าพูดตามตรงมา หากแค่ต้องการหาผู้ใดคนหนึ่งมารับผิดชอบเรื่องนี้
ในกลางคืน พวกเขามองหาโอกาสมากมายเพื่อพูดคุยกับจางฉีเหวินตามลำพัง แต่จางฉีเหวินและชีกุ้ยอยู่ในห้องเดียวกัน และทั้งสองคนก็ไปไหนมาไหนด้วยกัน มีตั้งหลายครั้งที่อยากจะหาวิธีให้ชีกุ้ยออกไปก็กว่าจะรอให้จางฉีเหวินไปห้องน้ำด้วยตนเอง หลูหงไปจับตาดูชีกุ้ยไว้ ส่วนฉีฟางยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องน้ำ รอให้จางฉีเหวินออกมาจางฉีเหวินไม่ชินกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น ดังนั้นเขาจึงเข้าห้องน้ำเป็นเวลานานกว่าจะออกมาได้ เมื่อเขาออกมา ฉีฟางก็หนาวมากจนตัวสั่นแสงไฟที่นี่สลัว เมื่อจางฉีเหวินออกมาก็เห็นเงาของร่างหนึ่ง และตกใจกลัวด้วย เมื่อเห็นชัดเจนแล้วจึงพูดว่า "แม่ทัพฉีนี่เองเหรอ ข้าตกใจหมดเลย"ฉีฟางเข้าไปใกล้และกำลังจะพูดอะไร จางฉีเหวินก็พูดด้วยรอยยิ้ม "ถ้าเจ้ายังกลั้นไว้ได้ก็ให้กลั้นไว้สักพักก่อน เพื่อให้กลิ่นกระจายไปสักหน่อย"ฉีฟางยิ้ม "องครักษ์จาง ข้าตั้งใจมารอเจ้าที่นี่นะ มีเรื่องอยากคุยกับเจ้า""มีอะไรก็อย่ามาพูดที่นี่สิ กลับไปคุยที่ห้องเลย เจ้าไม่หนาวเหรอ?" จางฉีเหวินขาสั่น และรู้สึกว่าเท้าของตนเองชาไปหมดราวกับได้คลานไปด้วยมดฉีฟางลดเสียงให้เบาลง "องครักษ์จ้าง พวกแม่ทัพที่มาตามหาข้าในคืนนี้ ล้วนเป็นลู
เรื่องที่ฝูเจาอี๋แท้งลูก ซ่งซีซีได้รับรู้จากปากของเซี่ยหลูโม่พระชายาฉินอ๋องมาเชิญนางให้เข้าเฝ้าในวังด้วยกัน ซ่งซีซีก็ตอบตกลงเดิมทีซ่งซีซีกับพระชายาฉินอ๋องไม่มีความเกี่ยวข้องกันมากนัก แต่ตั้งแต่ฉินอ๋องเดินทางไปซีจิงด้วยกัน พระชายาฉินอ๋องก็ดูสนิทสนมกับซ่งซีซีมากขึ้น กล่าวว่าภรรยาของพี่น้องควรไปมาหาสู่กันบ่อยๆพระชายาฉินอ๋องเป็นสตรีตระกูลฉี เป็นลูกพี่ลูกน้องของฮองเฮา แต่หลังจากฮองเฮาถูกกักบริเวณ พระชายาฉินอ๋องก็ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนฮองเฮาอีกดังนั้น คำว่าภรรยาของพี่น้องควรไปมาหาสู่กันบ่อยๆ สำหรับนางแล้ว แท้จริงหมายความว่าหากไม่มีเรื่องเดือดร้อน ก็สามารถไปมาหาสู่กันได้ แต่หากมีปัญหา ก็ควรอยู่ให้ห่างตัวอย่างเช่น ตอนที่ฮ่องเต้ทรงระแวงจวนเป่ยหมิงอ๋อง พระชายาฉินอ๋องก็ถอยห่างจากซ่งซีซีอย่างชัดเจน ราวกับกลัวจะถูกลูกหลงแท้จริงแล้ว ฉินอ๋องไม่ได้สร้างผลงานอะไรมากนัก เพียงแต่ได้รับคำชมจากฮ่องเต้หนึ่งประโยค ซึ่งก็เพียงพอให้ฉินอ๋องลำพองใจไปได้อีกสองปีขณะที่ทั้งสองเดินทางเข้าเฝ้า พระชายาฉินอ๋องก็ไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแต่สนทนาเรื่องทั่วไปซ่งซีซีคิดว่าพระชายาฉินอ๋องเป็นคนฉลาด บางครั้งจงใจแ
จักรพรรดิ์ซูชิงเผยความผิดหวังออกมาเมื่อตรัสกลับถึงตำหนักของพระองค์การสอบสวนไม่พบอะไร ไม่ได้แปลว่าไม่มีปัญหาเล่ห์กลในวังหลังนั้น บางครั้งใช้ออกไปแล้วไม่เหลือร่องรอยให้ตามหาหมอมหัศจรรย์เคยกล่าวไว้ว่า ครรภ์ของฝูเจาอี๋อาจรักษาไว้ไม่ได้ แม้จะรักษาไว้ได้ เด็กที่เกิดมาอาจร่างกายอ่อนแอ หรือแม้กระทั่งเป็นคนปัญญาอ่อนพระองค์เองมิใช่ว่าไม่เคยคิดจะให้ฝูเจาอี๋ดื่มยาถ้วยหนึ่งแต่ท้ายที่สุดก็ยังลังเลไม่อาจตัดใจ นี่อาจเป็นพระโอรสองค์สุดท้ายของพระองค์แล้ว พระองค์จึงอยากลองเสี่ยงดูสักครั้งครานี้พระองค์มั่นใจว่ามีผู้ลงมือแน่นอน ช่วงที่ผ่านมา พระองค์เสด็จไปที่ตำหนักของฝูเจาอี๋บ่อยครั้ง เช่นนี้ย่อมทำให้บางคนรู้สึกไม่พอใจเต๋อเฟยมีใจอยากดูแลฝูเจาอี๋ แต่ฝูเจาอี๋กลับยโสโอหังเพราะความโปรดปราน จนถึงขั้นแสดงความไม่พอใจต่อนาง วันนั้นก็เอ่ยเตือนนางไปแล้ว น่าเสียดายที่นางกลับไม่เข้าใจความหมายเต๋อเฟยเป็นผู้ดูแลวังหลัง หญิงงามมากมายในตำหนักล้วนเป็นคนที่เต๋อเฟยและซูเฟยเป็นผู้เลือก หากคิดจะลงมือกับครรภ์ของฝูเจาอี๋ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อยทว่าเต๋อเฟยคงไม่ได้เป็นคนลงมือเอง ไม่เช่นนั้น คงไม่ช่วยปกป้อง
ในตำหนักฮุ่ยอี๋ องค์ชายสามนั่งอยู่บนเก้าอี้ องค์หญิงสามช่วยเช็ดเส้นผมที่เปียกชื้นของเขา นางกล่าวด้วยความขุ่นเคืองว่า “เพิ่งสระผมไปเมื่อวันก่อนแท้ๆ เจ้าต้องเล่นกับเจ้าแมวป่าตัวนั้นให้ได้ ทำให้เส้นผมและใบหน้าของเจ้ามีแต่ขนแมว ถ้ามีคราวหน้าอีก พี่จะตีเจ้าที่ก้น”เด็กชายตัวน้อยที่งดงามราวกับแกะสลักจากหยก ดวงตาดำขลับทอประกายราวดวงดาว ยิ้มแย้มขณะที่พิงตัวอยู่ในอ้อมกอดพี่สาว “ท่านพี่ เจ้าแมวป่าสนุกและน่ารักมาก มันใช้เท้าเล็กๆ เหยียบข้า รู้สึกสบายจริงๆ แถมเวลากอดมันก็อบอุ่นด้วย”องค์หญิงสามกล่าวว่า “เสด็จแม่บอกแล้วว่าเสด็จพ่อไม่ชอบเจ้าแมวป่า แต่เจ้ากลับเอาแต่นำเรื่องของมันไปพูดกับเสด็จพ่อ ไม่แปลกใจเลยที่ช่วงนี้เสด็จพ่อไม่มาหาเจ้าเลย”องค์ชายสามนั่งตัวตรง ปล่อยให้พี่สาวช่วยเช็ดผม แต่ปากยังไม่วายโต้กลับ “ข้ากับเสด็จพ่อเป็นคนละคน ย่อมมีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบแตกต่างกัน เสด็จพ่อไม่ชอบ แต่ข้าชอบ ข้ารักมัน ต่อให้เสด็จพ่อไม่พอใจ ก็ใช่ว่าจะบังคับให้ข้าทิ้งมันได้”องค์หญิงสามเอานิ้วแตะจมูกเขาเบาๆ “ปากคมเสียจริง”องค์ชายสามยิ้มกว้าง “ท่านพี่เถียงข้าไม่ชนะ เพราะพี่ไม่มีเหตุผล เสด็จอาบอกว่าหากพี่มีเหตุผล
ฝูเจาอี๋มิได้สังเกตเห็นรอยเย้ยหยันที่มุมปากของชุนถังชุนถังเป็นนางกำนัลที่คอยรับใช้ข้างกายนาง ตั้งแต่นางได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเจี๋ยหยู นางเฉลียวฉลาดและสุขุม ยามที่ฝูเจาอี๋ต้องการคำแนะนำ นางก็มักเป็นผู้วางแผนให้อยู่เสมอ ครั้งนั้น ฮองเฮามีใจต้องการดึงนางเข้าสังกัด ทว่าชุนถังกลับเตือนว่าสถานะของฮองเฮาเริ่มสั่นคลอนแล้ว ถูกกักบริเวณอยู่บ่อยครั้ง ฝ่าบาททรงไม่โปรดอีกต่อไป อีกทั้งยังไม่มีอำนาจดูแลวังหลัง สู้ทำทีเป็นให้ความร่วมมือไปก่อน แล้วค่อยเบนเข้าหาเต๋อเฟยและซูเฟยจะดีกว่าและชุนถังก็คิดถูก เต๋อเฟยเมตตานางยิ่งนัก ทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และข้าวของล้วนจัดหาให้อย่างดี ไม่มีใครกล้าดูแคลนนางอีกทว่า ในอดีต เต๋อเฟยเคยดีกับนางก็จริง แต่ตอนนี้กลับใช้ประโยชน์จากครรภ์ของนางเพื่อเข้าหาฝ่าบาท สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก“เจาอี๋มิทรงยินดีให้พระนางเต๋อเฟยเสด็จมาหรือเพคะ?” ชุนถังช่วยประคองศีรษะและเอวของนางให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อย การต้องนอนติดเตียงเป็นเวลานานเช่นนี้ ทำให้นางมักบ่นว่าปวดหลังฝูเจาอี๋วางใจชุนถังมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่ลังเลที่จะเอ่ยความในใจ “ตอนที่ครรภ์ของข้ายังมั่นคงอยู่ พระน
ครรภ์ของฝูเจาอี๋ เดิมทีก็มั่นคงดี หมอหลวงเองก็กล่าวว่าไม่มีปัญหาใหญ่อันใด แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอเข้าสู่เดือนเหมันต์ ครรภ์นี้กลับเริ่มไม่มั่นคง อีกทั้งยังมีเลือดออกถึงสองครั้งหมอหลวงจินทุ่มเทสรรพวิธีเพื่อรักษาครรภ์ของนางไว้ ทำให้พอประคองสถานการณ์ได้ แต่นางก็ต้องนอนพักอยู่บนเตียง ยังไม่อาจลุกเดินไปไหนได้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด หมอหลวงย่อมให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ตรวจสอบทั้งอาหารการกินและข้าวของที่ใช้ในวังอย่างละเอียด ทว่ากลับไม่พบความผิดปกติใดๆ จึงคาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากการที่ฝ่าบาทเสวยโอสถมาเป็นเวลานาน จึงทำให้ครรภ์นี้ไม่มั่นคงจักรพรรดิ์ซูชิงทรงเป็นกังวลอย่างยิ่งกับครรภ์นี้ นับตั้งแต่นางต้องนอนพักรักษาครรภ์ ฝ่าบาทก็ทรงเสด็จมาเยี่ยมเกือบวันเว้นวัน บางคราก็ทรงประทับร่วมเสวยพระกระยาหารเมื่อเอาใจใส่สิ่งหนึ่ง ก็ย่อมละเลยอีกสิ่งหนึ่งไป ทำให้ช่วงนี้ฝ่าบาทแทบไม่ได้เสด็จไปยังตำหนักของซูเฟย อีกทั้งยังมิได้ทรงเรียกองค์ชายสามเข้าพบที่ห้องพระอักษรเลยส่วนเต๋อเฟยนั้น เนื่องจากต้องดูแลกิจการในวังหลัง เมื่อพอมีเวลาว่างก็มักจะพาองค์ชายรองมาเยี่ยมฝูเจาอี๋ด้วย ดังนั้นจึงได้มีโอกา
ในวังหลัง เดิมทีมีผู้คาดเดาเกี่ยวกับพระอาการของฝ่าบาทไม่น้อย แม้ยามนี้ฝูเจาอี๋จะตั้งครรภ์ ทว่าหมอมหัศจรรย์กลับพำนักอยู่ในวัง เป็นหลักฐานว่าพระวรกายของฝ่าบาทหาใช่เพียงต้องบำรุงรักษาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นดังนั้น การที่ฝ่าบาทโปรดปรานเช่นนี้ ทำให้บางคนเริ่มอยู่นิ่งไม่ได้โดยเฉพาะฮองเฮา นางรับรู้เรื่องพระอาการของฝ่าบาทอยู่บ้าง ตอนนี้หมอมหัศจรรย์กลับเข้าวังเพื่อถวายการรักษา ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรนางไม่อาจคาดเดา เพียงแต่รู้สึกว่าฝ่าบาทอาจอยู่ในช่วงที่พละกำลังถดถอยเต็มที่แล้วครรภ์ของฝูเจาอี๋ นางไม่ได้ใส่ใจ ไม่ว่าบุตรในครรภ์จะเป็นชายหรือหญิงก็ยังไม่อาจทราบได้ ต่อให้เป็นองค์ชาย ก็ยังไม่ถึงคราวของเขาแต่การที่ฝ่าบาททรงเอ็นดูองค์ชายสามถึงเพียงนี้ กลับทำให้นางรู้สึกถึงภัยคุกคามเดิมทีฝ่าบาทให้ทางเลือกแก่นาง นางเลือกตำแหน่งฮองเฮา เลือกมีชีวิตรอด ทว่าหลังจากนิ่งเฉยมาพักหนึ่ง นางก็เข้าใจว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงละทิ้งองค์ชายใหญ่ได้รวดเร็วเพียงนั้น ยิ่งตอนนี้องค์ชายใหญ่ขยันขันแข็งศึกษาหาความรู้ แม้แต่ไท่ฝู่และเสด็จอายังเอ่ยปากชม นางยังสืบมาว่าฝ่าบาททรงพอพระทัยองค์ชายใหญ่อยู่ไม่น้อยองค์ชายรองและองค์ชายสามล
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงประชุมหารือกับขุนนางในห้องทรงอักษรยาวนานจนถึงดึกดื่น สุดท้ายเป็นหมอมหัศจรรย์ดันที่ต้องเข้าไปขัดจังหวะ แจ้งว่าดึกมากแล้ว พระองค์ถึงกับเหยียดพระกรพลางแย้มพระสรวล “ถึงกับดึกเพียงนี้แล้วรึ? เช่นนั้นก็เลิกประชุมเถิด ประตูวังใกล้จะปิดแล้ว”แม้จะเป็นช่วงเวลาดึกมากแล้ว แต่พระองค์กลับยังดูสดชื่น โดยเฉพาะบนพระพักตร์ที่มีเลือดฝาดขึ้น ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้ที่ประชวรเลยซ่งซีซีรอให้เซี่ยหลูโม่ประชุมเสร็จ ก่อนจะออกจากวังกลับจวนพร้อมกันนางอ่อนล้ามาก พิงไหล่ของเซี่ยหลูโม่แล้วเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัวเมื่อรถม้ามาถึงหน้าจวน เซี่ยหลูโม่อุ้มนางขึ้นมา ซ่งซีซีรับรู้ได้รางๆ แต่ก็ขี้เกียจจะตื่น เลยปล่อยให้เขาอุ้มเข้าไป อ้อมแขนอบอุ่นแข็งแกร่งช่างสบายเหลือเกินตลอดสามเดือนที่ผ่านมา นอกจากตอนอยู่ที่ด่านเฉิงหลิง นางแทบไม่มีคืนไหนที่สามารถนอนหลับได้อย่างสนิทใจ แต่เมื่อกลับถึงจวน ก็รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์ ดำดิ่งสู่ห้วงนิทราลึกทว่า…นอนหลับไปก็ยังรู้สึกว่ามีมือร้อนจัดคู่หนึ่งลูบไล้ไปทั่วร่างนางยังคงหลับตา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “ลืมที่ท่านลุงดันบอกไปแล้วหรือ?”เสียงร้อนผ่าวกระซิบข
วันที่ 15 เดือนสิบ คณะทูตจึงเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงในที่สุดกองทัพซวนเจียได้รับคำสั่งให้แยกย้ายไปพักก่อน ขณะที่หลี่เต๋อฮวยและขุนนางจากสำนักหงหลู่ต้องเข้าเฝ้าพระองค์เพื่อถวายรายงาน ส่วนฉินอ๋องที่ตลอดทางอ่อนแอราวกับช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ตอนนี้กลับกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที กล่าวว่าจะเข้าเฝ้าพร้อมกับพวกเขาด้วยส่วนซ่งซีซีนั้น ถูกเซี่ยหลูโม่ที่เฝ้ารออยู่ที่ประตูเมืองรับตัวกลับจวนไปก่อนแล้วช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาสั่งให้คนคอยเฝ้ารอที่ประตูเมืองทุกวัน บางครั้งตอนพักกลางวันก็ยังมารอด้วยตนเอง และวันนี้ก็บังเอิญได้พบกันจริงๆขณะที่หลี่เต๋อฮวยและคนอื่นๆเข้าเฝ้าในวัง ซ่งซีซีก็ได้เข้าไปคารวะฮุ่ยไท่เฟยก่อนแล้วเมื่อฮุ่ยไท่เฟยรู้ว่านางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ก็ให้รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซ่งซีซีและเซี่ยหลูโม่ถวายคำนับก่อนออกไป และกลับไปยังเรือนเหมยฮวาหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ริมฝีปากของนางกลับดูบวมขึ้นเล็กน้อย รุ่ยจูที่เห็นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเหลือบมองไปทางท่านอ๋อง พระชายาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ท่านอ๋องยืนกรานจะปรนนิบัติด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนจะปรนนิบัติได้ไม่ดีเท่าไรน
เมื่อได้พักฟื้นอยู่ห้าวันที่ด่านเฉิงหลิง ฉินอ๋องก็ฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อฉินอ๋องหายดี ก็ถึงเวลาต้องออกเดินทางกลับเมืองหลวงแม้จะอาลัยเพียงใด ซ่งซีซีก็ทำได้เพียงกลั้นน้ำตากล่าวคำอำลา นางคุกเข่าคารวะต่อหน้าแม่ทัพใหญ่เซียวอยู่หลายครั้ง จนแทบจะทำให้ท่านน้ำตาคลอหลี่เต๋อฮวยเป็นผู้ที่เคารพนับถือแม่ทัพใหญ่เซียวที่สุด เมื่อซ่งซีซีเพียงแค่น้ำตาคลอ แต่เขากลับปิดหน้าและร้องไห้ออกมาเต็มที่ เพราะเขารู้ว่า บางทีตลอดชีวิตนี้ อาจไม่มีโอกาสได้พบกับท่านแม่ทัพผู้เฝ้ารักษาด่านเฉิงหลิงมาเป็นสิบๆ ปีอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวเข้าสู่วัยชราโดยสมบูรณ์ เมื่อมองดูอีกครั้งก็ดูแก่ชรากว่าครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าฮ่องเต้จะพระราชทานอนุญาตให้ท่านกลับเมืองหลวงได้ แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยากลำบาก ทายาทตระกูลเซียวก็คงไม่ยอมให้ท่านเดินทางกลับอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวสนทนากับหลี่เต๋อฮวยอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าแทนที่จะบรรเทาความรู้สึกของเขา กลับทำให้เขาร้องไห้หนักกว่าเดิมเสียอีกด้านนางหนานผู้เป็นป้าใหญ่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยถามถึงเรื่องของ พระชายาอ๋องฮวยเลย จนกระทั่งถึงเวลาต้องอำลากัน นางจึงดึงซ่งซีซีไปค