แชร์

บทที่ 900

ผู้เขียน: ปาเย่วเซิ่งเซี่ย
จ้านเป่ยว่างจมอยู่กับความทรงจำ "ข้าเป็นคนเสนอให้ไปเผายุ้งฉางในเมืองลู่เปินเอ่อร์ จริงๆ แล้วในเวลานั้น ทางเมืองซีจิงประสบความพ่ายแพ้ติดต่อมาหลายครั้ง และดูเหมือนว่าจะยอมแพ้ไป คุณชายหกเซียวกล่าวว่า ที่เราทำสงครามกับเมืองซีจิงมาหลายปีก็มักจะเป็นเช่นนี้ มีการต่อสู้เล็กน้อยไม่หยุดไม่หย่อน หากทำสงครามจริงๆ ต่างก็ออมมือให้กัน ดังนั้นพอเมืองซีจิงล่าถอยทางเราก็จะผ่อนคลายลง แต่ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ ทางเมืองซีจิงก็โจมตีอย่างรุนแรง และผู้บัญชาการเซียวก็บาดเจ็บในสงครามนั้น… "

"ไม่ใช่สิ" ซ่งซีซีขัดจังหวะเขาอีกครั้ง "เมื่อเจ้าเพิ่งไปถึงชายแดนเฉิงหลิง ท่านลุงสามของข้าก็เสียแขนไปข้างหนึ่งในสงคราม ซึ่งพิสูจน์ว่าสงครามนั้นก็ดุเดือดมากเช่นกัน และหากทั้งสองฝ่ายต่อสู้อย่างออมมือให้ งั้นก็ไม่ต้องการให้พวกเจ้าไปช่วยเหลือแล้วนี่"

จ้านเป่ยว่างอธิบายว่า "การต่อสู้ในแรกๆ มันต่างก็ออมมือให้อยู่ ส่วนสาเหตุที่ต่อสู้อย่างดุเดือดกะทันหันนั้นก็เป็นเพราะซูลันจีออกจากแนวหน้า เปลี่ยนเป็นซูลันซือมาออกคำสั่งแทน เขาคือน้องชายของซูลันจี เขาดุร้ายและกล้าหาญมาก และเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ของซูลันจีในก่อนหน้า โดยพยายามบังคับให้เราล่า
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อที่ GoodNovel
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 901

    ทันทีที่ซ่งซีซีจากไป หวังเจิงก็เดินตามไปเช่นกันหวังเจิงคนนี้เป็นคนเก็บความลับไม่อยู่เลย สิ่งที่ซ่งซีซีและจ้านเป่ยว่างพูดคุยในวันนี้คือยี่ฝางสังหารพลเรือนก็ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะแล้วแต่ในนี้มีผู้บัญชาการเซียวมาเกี่ยวข้องด้วย เขารู้ว่าผู้บัญชาการเซียวเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและเกือบเอาชีวิตไม่รอดในเวลานั้น ไม่น่าแปลกใจเลยที่ยี่ฝางจะเป็นผู้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพเขารู้สึกมันไม่ยุติธรรมต่อผู้บัญชาการเซียว ดังนั้นหลังจากกลับสำนักทหารรักษาพระราชวังเขาก็พูดถึงเรื่องนี้เลยผู้ใดในทหารรักษาพระราชวังมีบ้างหรือที่ไม่ชื่นชมแม่ทัพซ่งฮวยอันและผู้บัญชาการเซียว? ดังนั้นเมื่อหวังเจิงพูดเช่นนี้ ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มเรียกร้องความยุติธรรมให้ผู้บัญชาการเซียวโดยธรรมชาติแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ทหารรักษาพระราชวังจะไปเรียกร้องความยุติธรรมกับใครได้ ก็แค่เอาเรื่องนี้ไปพูดที่ข้างนอกก็เท่านั้นนี่เป็นขั้นแรกของซ่งซีซี ก่อตั้งรากฐานของความไว้วางใจและความชื่นชมในหมู่ประชาชนที่มีต่อท่านตาของนาง อีกทั้งต้องได้รับความสนับสนุนจากหมู่แม่ทัพและทหารด้วย เมื่อต้องจัดการกับเรื่องที่รับมือได้ยาก ก็ต้อง

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 902

    เซี่ยหลูโม่ขยับเข้าไปเล็กน้อยและจับมือนางไว้ "อย่ากังวลมากเกินไป เราจะไม่มีวันปล่อยให้เรื่องถึงขั้นเลวร้ายที่สุดเด็ดขาด"ซ่งซีซีรู้ว่าที่เขาพูดว่าเด็ดขาดนั้นจริงๆ แล้วก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะใจคนมันคาดเดายาก โดยเฉพาะฮ่องเต้องค์ใหม่ของเมืองซีจิง หลังจากที่เขาขึ้นไปเป็นรัชทายาท เขาเริ่มเผยแพร่สิ่งต่างๆ เกี่ยวกับเมืองลู่เปินเอ่อร์ในเมืองซีจิง ได้กระตุ้นอารมณ์โกรธของประชาชน บัดนี้เขาขึ้นบัลลังก์แล้ว เขาสามารถทำได้ทุกอย่างตามต้องการอาจารย์หยูรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นและทำการสรุปว่า "จักรพรรดิจิ้งหยวนดูเหมือนจะไม่ให้ความสำคัญกับราชบัลลังก์อย่างจริงจัง เขาเพียงแต่ใช้อำนาจล้นฟ้านี้เพื่อแสวงหาความยุติธรรมให้กับพี่รัชทายาทของเขาและพลเรือนที่ถูกสังหารหมู่ บังคับให้เรายอมจำนน เขาถึงขั้นต้องการทำสงคราม แต่เนื่องตอนที่เมืองซีจิงช่วยเหลือแคว้นซานั้น พวกเขาได้สูญเสียกองกำลังของพวกเขาไปไม่น้อยด้วย บวกกับต่อสู้กับเรามานานหลายปี ที่ชายแดนเฉิงหลิงก็เคยทำสงครามมาแล้ว พวกเขาก็ก็ต้องพักฟื้น และบรรดาขุนนางราชสำนักก็มีคนจำนวนมากที่ต่อต้านทำสงคราม องค์หญิงเหลิ่งอวี่เป็นตัวแทนในหมู่พวกเขา คราวนี้ที่องค์หญิงเหลิ่งอ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 903

    เซี่ยหลูโม่นอนกอดนางอย่างเงียบๆ ในกลางคืน ลมหายใจของนางเป็นจังหวะสม่ำเสมอดูเหมือนหลับอยู่แต่เซี่ยหลูโม่รู้ว่านางไม่ได้หลับ นางนิ่งมากจนไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ แค่ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา และดูเหมือนว่าทุกลมหายใจได้ตั้งจังหวะมาก่อนนางไม่อยากให้เขากังวลชายแดนเฉิงหลิง ในจวนแม่ทัพเซียวพระราชโองการมาถึงแล้ว และผู้คนที่เดินทางไปเขตหนานเจียงเพื่อส่งมอบพระราชโองการไม่ใช่ใครอื่นใด นั่นก็คือฉีฟางและหลูหงที่มาจากกลุ่มนักสืบชีซื่อ แน่นอนว่ามีองครักษ์รักษาพระองค์และทหารรักษาพระราชวังติดตามเขาไปด้วยตอนนี้ ฉีฟางและหลูหงต่างเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ระดับชั้นสี่ ฝ่าบาทยังไม่ได้เริ่มใช้งานพวกเขา คราวนี้ที่ส่งพวกเขาไปประกาศคำสั่งที่ชายแดนเฉิงหลิงถือว่านี่เป็นงานแรกของพวกเขา หากทำงานได้ดี ฝ่าบาทอาจจะใช้งานพวกเขาแล้วสำหรับพวกเขาแล้วงานนี้ยากมาก แบบอย่างในใจของแม่ทัพและทหารเกือบทั้งหมดก็คือเซียวเฉิงและซ่งฮวยอัน ตอนนี้บอกว่ามาประกาศคำสั่ง แต่จริงๆ แล้วคือจับตัวเขากลับเมืองหลวง ทั้งฉีฟางและหลูหงต่างก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างมากเดิมทีชีกุ้ยจากองครักษ์รักษาพระองค์บอกว่าจะออกเดินทางทันที แต่ฉีฟางและหลูหงช่วยโน้มน้า

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 904

    นางหนานทั้งโกรธเคืองและอึดอัดใจ เพื่อช่วยจ้านเป่ยว่าง สามีของตนเองต้องเสียแขนไปข้างหนึ่ง และทักษะศิลปะการต่อสู้ของเขาก็สูญเสียไปครึ่งหนึ่งเต็มๆ โชคดีที่ไม่มีสงคราม เขาสามารถฝึกฝนทักษะดาบมือข้างเดียวได้อย่างขยันขันแข็ง แต่ไม่สามารถใช้หอกยาวได้อีกต่อไปแล้วได้ออกมือไปช่วยก็ไม่ว่าอะไร แต่คนๆ นั้นกลับเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณ กล้าไปมีอะไรกับยี่ฝางต่อหน้าต่อตาพวกเขา พวกเขาตาบอดไปจริงๆ ทำไมถึงมองไม่ออกเลย?ก็ต้องโทษที่พวกเขาไม่ละเอียดมากพอ และไม่ได้สังเกตตั้งแต่แรก ไม่เช่นนั้น พวกเขาคงได้รับบทเรียนที่ชายแดนเฉิงหลิง แล้วจะปล่อยให้พวกเขากลับไปทำร้ายซีซีได้อย่างไรนางหนานเอ็นดูซีซีเป็นอย่างยิ่ง ตอนที่ซีซีเกิดนั้นนางยังอยู่ในเมืองหลวง นางไม่เคยเห็นทารกสีชมพูและน่ารักเช่นนี้มาก่อนเลย ราวกับหยกสดใส ใต้หล้านี้จะไม่มีทารกคนใดที่สวยกว่านางอีกแล้วก่อนที่ซีซีจะอายุได้สามขวบ นางได้ไปที่จวนโหวเจิ้นเป่ยเกือบทุกสองสามวัน ก็เพื่อไปอุ้มทารกที่น่ารักคนนั้นต่อมา นางติดตามสามีมาที่ชายแดนเฉิงหลิง ในตอนแรกๆ ก็กลับเมืองหลวงทุกๆ สองปี ต่อมาลูกๆ ค่อยๆ โตขึ้นและต้องการเรียนหนังสือและฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ บวกกับมีควา

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 905

    ลูกน้องของเซียวเฉิงไปตามหาฉีฟางและหลูหงที่โรงเตี้ยมที่พวกเขาพักอยู่และบอกว่าต้องการบรรยายสถานการณ์เมื่อเห็นแม่ทัพผิวคล้ำทุกคนได้พูดคุยกับพวกเขาเรื่องเหตุการณ์เมืองลู่เปินเอ่อร์ด้วยสายตาที่เป็นกังวล ทั้งสองคนก็รู้สึกไม่สบอารมณ์จริงๆ"เป็นเรื่องจริง แม่ทัพใหญ่เซียวไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นเขาถูกลูกธนูยิง และหมอทหารบอกว่าช่วยชีวิตไม่ได้แล้วแล้ว เป็นแม่ทัพใหญ่ที่ดวงแข็งจึงยืดอายุขัย นอนพักฟื้นอยู่บนเตียงนานกว่าสามเดือน ถึงลุกจากเตียงและเดินได้ ตอนนี้ร่างกายของเขาสู้แต่ก่อนไม่ได้แล้ว มันทนกับความทรมานใดๆ ไม่ได้อีกเลย""ใช่แล้ว ที่จ้านเป่ยว่างเดินทางไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ข้าเป็นคนอนุมัติให้เอง และไม่เกี่ยวข้องกับแม่ทัพใหญ่เซียว พวกเจ้านำข้ากลับไปที่เมืองหลวงเพื่อสอบสวนได้เลย จะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่ จะเอาชีวิตข้า ข้าจะมอบให้ตอนกลับเมืองหลวง""ท่านแม่ทัพฉี ท่านแม่ทัพหลู พวกเจ้าก็เคยติดตามผู้บังคับบัญชาซ่งในสนามรบเขตหนานเจียง เราเป็นพวกเดียวกันก็จะไม่พูดอ้อมแล้ว เรื่องนี้ยังมีช่องว่างให้หารือกันไหม ฝ่าบาทคิดกับเรื่องนี้ยังไงกัน เจ้าพูดตามตรงมา หากแค่ต้องการหาผู้ใดคนหนึ่งมารับผิดชอบเรื่องนี้

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 906

    ในกลางคืน พวกเขามองหาโอกาสมากมายเพื่อพูดคุยกับจางฉีเหวินตามลำพัง แต่จางฉีเหวินและชีกุ้ยอยู่ในห้องเดียวกัน และทั้งสองคนก็ไปไหนมาไหนด้วยกัน มีตั้งหลายครั้งที่อยากจะหาวิธีให้ชีกุ้ยออกไปก็กว่าจะรอให้จางฉีเหวินไปห้องน้ำด้วยตนเอง หลูหงไปจับตาดูชีกุ้ยไว้ ส่วนฉีฟางยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องน้ำ รอให้จางฉีเหวินออกมาจางฉีเหวินไม่ชินกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น ดังนั้นเขาจึงเข้าห้องน้ำเป็นเวลานานกว่าจะออกมาได้ เมื่อเขาออกมา ฉีฟางก็หนาวมากจนตัวสั่นแสงไฟที่นี่สลัว เมื่อจางฉีเหวินออกมาก็เห็นเงาของร่างหนึ่ง และตกใจกลัวด้วย เมื่อเห็นชัดเจนแล้วจึงพูดว่า "แม่ทัพฉีนี่เองเหรอ ข้าตกใจหมดเลย"ฉีฟางเข้าไปใกล้และกำลังจะพูดอะไร จางฉีเหวินก็พูดด้วยรอยยิ้ม "ถ้าเจ้ายังกลั้นไว้ได้ก็ให้กลั้นไว้สักพักก่อน เพื่อให้กลิ่นกระจายไปสักหน่อย"ฉีฟางยิ้ม "องครักษ์จาง ข้าตั้งใจมารอเจ้าที่นี่นะ มีเรื่องอยากคุยกับเจ้า""มีอะไรก็อย่ามาพูดที่นี่สิ กลับไปคุยที่ห้องเลย เจ้าไม่หนาวเหรอ?" จางฉีเหวินขาสั่น และรู้สึกว่าเท้าของตนเองชาไปหมดราวกับได้คลานไปด้วยมดฉีฟางลดเสียงให้เบาลง "องครักษ์จ้าง พวกแม่ทัพที่มาตามหาข้าในคืนนี้ ล้วนเป็นลู

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 907

    ท่านหกเซียวรั้งเขาไว้ "เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้อะไร ข้าจะไปโรงเตี้ยมสักหน่อย จะไปถามแม่ทัพฉีว่าคนๆ นั้นได้ยินเรื่องนี้เข้าหรือไม่""แน่ใจว่าต้องได้ยินเข้าแล้ว" เหล่าอวี่เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความกังวลเช่นกัน แม้แต่ต้องต่อหน้ากองทหารนับพันเขาก็ไม่เคยหวาดกลัว แต่ตอนนี้เขากลัวมาก เพราะนั่ยมันเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่ถนัด "เหล่าติงคำรามดังขนาดนั้น ตราบใดที่ไม่ใช่คนหูหนวก ต่างก็สามารถได้ยินมัน""ข้าจะไปตามหาพวกเขา และขอความช่วยเหลือจากพวกเขา คำพูดนี้จะไปถึงหูฮ่องเต้ไม่ได้เด็ดขาด" ท่านหกเซียวตะโกนดังๆ "คนใช้ เตรียมม้า"หลังจากนั้นเขาก็เดินออกไปท่านสามเซียวมองดูพวกเขา และรู้ว่าพวกเขาติดตามท่านพ่อมาครึ่งชีวิตแล้ว เพราะเป็นห่วงจึงไปหาฉีฟางเขาถอนหายใจ "ท่านพี่ทุกท่าน ปัญหามักจะเกิดจากปากเรา ต่อไปช่วยระวังคำพูดของตนเองให้ดีๆ คำที่ไม่ควรพูดก็ห้ามพูดเด็ดขาด"ทุกคนพยักหน้าอย่างเร่งรีบ แต่ตอนนี้สำนึกผิดแล้วมันยังกู้คืนสถานการณ์ได้หรือไม่?"แม้ว่าจะไม่มีองครักษ์รักษาพระองค์ ก็ไม่ควรพูดเช่นนั้นต่อฉีฟางและหลูหง เฮ้อ!" ท่านแปดเซียวปวดหัวมาก ท่านพ่อได้รับคำสั่งให้กลับ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 908

    ในเมืองหลวง หงเซียวได้รับจดหมายจากชายแดนเฉิงหลิง นางไม่ได้อ่านมัน และยื่นให้กับเสิ่นว่านจือโดยตรง ซึ่งฝากเสิ่นว่านจือมอบให้กับพระชายาข่าวจากชายแดนเฉิงหลิง เสิ่นว่านจือรู้ถึงความสำคัญของมัน ดังนั้นจึงเปิดอ่านทันที หลังจากอ่านแล้ว นางรีบขี่ม้าตรงไปที่สำนักกองกำลังเมืองหลวง เวลานี้ซีซีน่าจะอยู่ในสำนักกองกำลังเมืองหลวงเป็นเรื่องปกติที่เสิ่นว่านจือจะเข้าออกสำนักกองกำลังเมืองหลวง ตอนนี้นางเป็นอาจารย์ที่รับจ้างพิเศษ จักรพรรดิ์ซูชิงรู้ว่านางมีทักษะด้านศิลปะการต่อสู้เก่งมาก แต่ไม่ต้องการเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ดังนั้นปล่อยให้นางไปสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับกองทัพซวนเจียก็เหมาะสมที่สุดแม้ว่าองครักษ์รักษาพระองค์จะแยกออกมาเป็นอิสระแล้ว แต่ทางด้านศิลปะการต่อสู้ยังต้องฝึกฝนด้วย ดังนั้นยังคงต้องมาที่สำนักกองกำลังเมืองหลวงเพื่อตามหาเสิ่นว่านจือซ่งซีซีอ่านเนื้อหาของจดหมายแล้วถอนหายใจลึกๆ นี่เป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นที่สุดเลยประโยคนี้ หากพูดให้มันมีผลร้ายน้อยสุด อาจกล่าวได้ว่าแม่ทัพติงพูดเหลวไหลไปเรื่อยโดยไม่ใช้สมองคิดในชั่วขณะหนึ่ง ออกพระราชโองการที่ตักเตือนเขาหรือไม่ก็ลงโทษโดยใช้ไม้กระดานตีสักย

บทล่าสุด

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1453

    กลับมาที่จวนอ๋องจึงค่อยมีบรรยากาศของปีใหม่จริงๆ พวกเขากำลังเล่นปะทัด โยนห่วง และยิงธนู ทุกการเล่นล้วนมีของรางวัลและรางวัลใหญ่ การเล่นปะทัดนั้น ต้องถือปะทัดไว้ในมือ แล้วโยนออกไปก่อนที่มันจะระเบิด แต่ต้องให้มันระเบิดกลางอากาศ ถ้าหากตกลงพื้นแล้วค่อยระเบิด ถือว่าแพ้ แต่แน่นอนว่า ถ้าระเบิดคามือก็ถือว่าได้รางวัลอยู่ดี เพราะขนาดมือระเบิดเจ็บแทบแย่แล้ว ถ้ายังไม่ได้รางวัลอีก กุ้นเอ๋อร์คงไม่ยอมแน่ ตอนที่ซ่งซีซีกลับมา พวกเขาเล่นกันไปกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว พื้นเต็มไปด้วยเศษกระดาษสีแดงหนาทับกันเป็นชั้นๆ เดินไปก็รู้สึกนุ่มเท้า พอลงจากพื้นที่แล้ว ฝ่าเท้าก็เปื้อนสีแดงเป็นมงคลไปหมด ซ่งซีซีชอบบรรยากาศเช่นนี้ นางจึงเข้าร่วมเล่นด้วย นางไม่เคยทำปะทัดระเบิดคามือเลย สามารถโยนออกไปได้อย่างแม่นยำก่อนที่มันจะระเบิดเสมอ เสียงระเบิดกลางอากาศดังกังวานใสชัดเจน แม้ว่ามือกุ้นเอ๋อร์จะเล่นจนแดงไปหมด แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับไม่มีทีท่าว่าจะลดลง รางวัลของเขาวางอยู่เต็มโต๊ะ จนแทบไม่มีที่เหลือ อาจารย์หยูก็ร่วมเล่นกับพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะไปนั่งชมเสิ่นชิงเหอวาดภาพ ในภาพของเสิ่นชิงเหอ เต็มไปด้วยใบหน้าข

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1452

    เดิมที หลานเจี่ยนกูกูคิดว่าเมื่อโยนประเด็นขึ้นมาแล้วซ่งซีซีจะต้องเล่นงานพวกนาง แต่ใครจะคิดว่าซ่งซีซีกลับรับคำว่าเป็นความเข้าใจผิดแล้วปล่อยผ่านไปง่ายๆ จนทำให้พวกนางรู้สึกทำอะไรไม่ถูก หลานเจี่ยนกูกูอับอายเล็กน้อย นางกล่าวขอบคุณก่อนถอยกลับไปยืนข้างๆ แต่ยังแอบปรายตามองซ่งซีซีว่ามีนางจะกล่าวอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ ทว่าซ่งซีซีเพียงแค่นั่งนิ่งๆ ดื่มชา ไม่พูดอะไรอีกเลย แค่นี้จบแล้วหรือ? นี่ถือว่าสะสางกันแล้วใช่หรือไม่? หรือว่าถือว่าเป็นการปรับความเข้าใจกันแล้ว? ฉีฮองเฮาและหลานเจี่ยนกูกูต่างก็รู้สึกว่า มันยังไม่ได้สะสางกันจริงๆ แต่พอประเด็นจบไปแล้ว ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ หากเอ่ยขึ้นมาอีก มันจะยิ่งเป็นการเผยไต๋ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ฉีฮองเฮาทำหน้าบึ้ง เอ่ยเสียงเย็น “น้ำชาเย็นหมดแล้ว รินถ้วยใหม่ให้พระชายาอ๋องเถิด” ในใจของนาง เต็มไปด้วยความขัดเคือง ซ่งซีซีกำลังตั้งกำแพงขึ้นมาขวางนาง ทำให้นางที่ตั้งใจจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซ่งซีซีถูกกั้นไว้ภายนอก แต่ที่แย่กว่านั้นคือ นางไม่สามารถทำอะไรได้เลย! ซ่งซีซียังคงจิบชาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย นั่งอยู่กับฮองเฮา โดยไม่ได้ชวนคุยก่อน หากอีกฝ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1451

    ภายใน ตำหนักฉางชุน มังกรดินใต้พื้นถูกจุดให้ความอบอุ่นทั่วทั้งห้อง ซ่งซีซีถอดเสื้อคลุมออก แล้วนั่งรออยู่ครู่ใหญ่ เมื่อมาถึง นางกำนัลได้แจ้งว่าฮองเฮาเสด็จกลับไปเปลี่ยนเครื่องทรง ให้รอสักครู่ นางจึงนั่งรอโดยมิได้เร่งรีบ ขณะเดียวกัน ฉีฮองเฮากำลังกินรังนกอยู่ในตำหนักบรรทม นางไม่พอใจนักที่หลานเจี่ยนกูกูเร่งเร้าให้รีบออกไป นางกล่าวด้วยน้ำเสียงรำคาญ “ให้นางรอหน่อยแล้วอย่างไร?” หลานเจี่ยนกูกูเอ่ยเกลี้ยกล่อม “ฮองเฮา ท่านทรงกล่าวมาตลอดว่า ไม่ควรทำให้พระชายาอ๋องขุ่นเคือง บัดนี้เมื่อทรงเชิญนางมาแล้ว ก็ควรพูดจากันดีๆ อธิบายเรื่องเข้าใจผิดให้กระจ่าง เรื่องก็จะจบลง” ฮองเฮาหัวเราะเยาะตนเอง ก่อนจะกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่เจ้าเองก็ได้ยินว่าตอนที่ข้าขอตัวออกมา ฮ่องเต้ตรัสว่าอะไร พระองค์ตรัสว่า ต่อให้ซ่งซีซีจะตีหรือด่าข้า ข้าก็ต้องอดทนรับไว้ พระองค์มิได้เห็นข้าเป็นฮองเฮาเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่อยากให้คนที่อยู่ในดวงใจของพระองค์ได้ระบายความโกรธออกมา” ฮองเฮา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บช้ำ ดันถ้วยรังนกออกไป น้ำตาหยดแหมะลงบนโต๊ะ “เขาทรงป่วยจนเลอะเลือนไปแล้ว หรือแท้จริงทรงโปรดปรานซ่ง

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1450

    ปีนี้ งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าในวัง เงียบเหงากว่าปีที่แล้วมาก ฮองเฮา แม้จะได้รับอนุญาตให้พ้นโทษกักบริเวณเป็นเวลา หนึ่งวัน แต่นางกลับแทบไม่ได้พูดอะไรเลย ดูท่าทางเหมือนมีเรื่องในใจมากมาย แม้แต่เหล่าพระโอรสพระธิดาที่เข้ามาทักทาย นางก็เพียงรับคำอย่างเรียบเฉย จักรพรรดิ์ซูชิงก็ทรงอ่อนล้ายิ่งนัก ตั้งแต่เช้าตรู่ทรงต้องเสด็จออกประกอบพิธีบวงสรวงสวรรค์ วุ่นวายไปทั้งวันจนหมดเรี่ยวแรง ไทเฮาเองก็ทรงได้รับลมเย็นจนประชวร จึงทรงลุกจากที่นั่งแต่เนิ่นๆ โดยมี สนมฮุ่ยไทเฟย ประคองกลับไปยังตำหนักฉืออัน ตอนที่ไทเฮาเสด็จออกจากงานฮองเฮารีบสั่งการทันที “พาองค์ชายใหญ่ ไปยังตำหนักฉืออันให้ไปอยู่ข้างพระวรกายของไทเฮา” จักรพรรดิ์ซูชิงขมวดพระขนง “เสด็จแม่ประชวร เจ้าให้เขาไปอยู่ด้วยทำไม?” ฮองเฮาสีพระพักตร์เคร่งขรึม เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เสด็จแม่ทรงรักและเอ็นดูเขานัก บัดนี้พระองค์ทรงประชวร เขาก็ต้องไปอยู่ข้างกาย คอยปรนนิบัติ” กล่าวจบ นางก็ทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “เดิมควรเป็นหม่อมฉันที่ต้องคอยดูแลปรนนิบัติพระอาการของไทเฮาแต่หม่อมฉันกลับไร้ความสามารถ เช่นนั้นก็ให้เขาทำหน้าที่กตัญญูแทนหม่อมฉันเถิด” จักร

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1449

    พระอาการของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นเพียงเล็กน้อย พระองค์ก็ทรงเรียกดูฎีกาทันที พระองค์ทรงไว้วางพระทัยเสนาบดีมู่ แต่ก็มิได้ไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่พระองค์ทรงหวาดระแวงที่สุดก็คือ หากกองทัพไม่ได้อยู่ที่หนานเจียง และไม่ได้อยู่ที่ซีม่อน เพื่อติดตามโจมตีกองทัพแคว้นซา แต่กลับเป็นว่าเป่ยหมิงอ๋องกำลังนำทัพบุกกลับมายังเมืองหลวง และข่าวทั้งหมดถูกปิดกั้น มิอาจมาถึงพระองค์ หากเป็นเช่นนั้น ด้วยความเร็วของเซี่ยหลูโม่ ภายในสามเดือน กองทัพของเขาย่อมสามารถกวาดล้างและยึดครองทุกหัวเมืองที่ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น พระองค์จึงทรงต้องการตรวจสอบฎีกาจากแต่ละแคว้นด้วยพระองค์เอง บัดนี้ซ่งซีซีกลับไปประจำการที่จวนกองกำลังเมืองหลวงแล้วพระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้เรียกตัวนางเข้าเฝ้าในห้องพระอักษร ครานี้มิใช่การสนทนาสัพเพเหระ หากแต่เป็นการไต่ถามว่านางมีข่าวเกี่ยวกับเซี่ยหลูโม่หรือไม่ ซ่งซีซีกราบทูลตามตรงว่านางเองก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรนาง ก็ไม่ทรงพบพิรุธใดๆ แต่ไม่ว่าความเป็นไปได้จะเป็นเช่นไร ก็ล้วนเป็นเรื่องเลวร้ายทั้งสิ้น หากกองทัพของพวกเขาถูกซุ่มโจมตี นั่นหมายความว่ากองทัพ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1448

    คืนนั้นหมอมหัศจรรย์ดันแบกหีบยาไปพร้อมกับหงเชวี่ย ออกจากร้านยา ก่อนออกเดินทาง เขาบอกกับหมอเวรกลางคืนของร้านยาเย่าหวังว่าจะไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของพระชายาอ๋อง รถม้าหยุดที่จวนอ๋อง หมอมหัศจรรย์ตั้นเดินพรวดพราดเข้าไปด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว เมื่อทุกคนทยอยออกมารับหน้า เขามองซ่งซีซีแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบายโทสะใส่นาง กลับหันไปเล่นงานอาจารย์หยูแทน "ใช้ข้าเป็นข้ออ้างอย่างน้อยก็ควรบอกข้าล่วงหน้าสักหน่อย! เกือบทำให้ข้าถูกผู้ตรวจการสวี่จับผิดได้แล้ว!" พอได้ยินท่านผู้เฒ่าโวยวายขึ้นมา ทุกคนถึงนึกขึ้นได้ว่าหมายถึงเรื่องอะไรอาจารย์หยูรีบขออภัยแล้วถามว่า “ผู้ตรวจการสวี่ถามท่านไปแล้วหรือ?” “เขาป่วย! องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงเชิญข้าไปตรวจอาการให้เขา พอเจอข้าเขาก็ร้องไห้เหมือนเด็ก แล้วคอยถามอยู่นั่นว่าฮ่องเต้ยังมีหนทางรักษาหรือไม่ แรกๆ เขายังไม่บอกด้วยซ้ำว่าเป็นโรคอะไร ข้าฟังแล้วงงเป็นไก่ตาแตก!” หมอมหัศจรรย์ดันพูดจบก็ฮึดฮัด “ท่านไม่ได้หลุดพิรุธใช่หรือไม่?” ซ่งซีซีรีบถาม เพราะเรื่องที่ผู้ตรวจการสวี่ตั้งใจจะถวายฎีกาตักเตือนด้วยชีวิตทำให้พวกนางตกใจไม่น้อย เขาเป็นคนที่ยอมให้มีข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1447

    หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเสิ่นว่านจือเอ่ยชวนผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไปเดินเล่นในลานกว้างของตึกว่างจิง ไม่ไกลจากตึกว่างจิงมีโรงแสดงศิลปะพื้นบ้าน ซึ่งเต็มไปด้วยนักเล่านิทาน นักแสดงงิ้ว พ่อค้า และร้านขายอาหาร ครึกครื้นครบครันทุกอย่าง ตั้งแต่มาเมืองหลวง เสิ่นว่านจือก็ยุ่งตลอด ไม่เคยมีเวลาว่างไปเดินเที่ยวเล่นเลย ครั้งนี้จึงถือโอกาสแยก ผิงหนานป๋อ ออกไป ให้ซ่งซีซีได้พูดคุยกับจูจิ่นเป็นการส่วนตัว อีกทั้งตนเองก็จะได้ไปเที่ยวเล่นกับเฉินเฉินด้วย เมื่อคนอื่นออกไปแล้วซ่งซีซีกับจูจิ่นก็ลดเสียงให้เบาลง ก่อนหน้านี้ พวกนางไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญเลย บัดนี้ ย่อมต้องกล่าวถึงบ้างแล้ว แขกที่เฝ้าดูจากภายนอก เมื่อเห็นผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไป ต่างพากันเข้าใจว่าพระชายาเป่ยหมิงอ๋องจะลงโทษคุณหนูเจ็ดเป็นการส่วนตัว จึงตั้งใจเงี่ยหูฟัง รอชมเรื่องสนุก ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม สองคนนี้คุยกันด้วยเสียงเบาๆ แถมยังมีเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ บรรยากาศกลับดูกลมเกลียวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก! เมื่อมีบ่าวไพร่เข้าออกตลอดเวลา ก็มีคนช่างสังเกตจงใจเลิกม่านขึ้นด้านหนึ่ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายนอกสามารถมองเ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1446

    ซ่งซีซีพร้อมด้วยเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินรออยู่ในเรือนหลันซี เมื่อเด็กในร้านนำผิงหนานป๋อและครอบครัว รวมถึงบ่าวไพร่เดินผ่านสวนเข้ามาถึงด้านหน้าเรือนหลันซีก็ร้องบอก ซ่งซีซีได้รับการพยุงจากเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ผิงหนานป๋อและภรรยา รวมถึง คุณหนูเจ็ดจูจิ่นรีบคำนับทำความเคารพ ซ่งซีซีแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องมากพิธี เชิญด้านในนั่งเถอะ” ระหว่างที่ซ่งซีซีกล่าวคำเชื้อเชิญ นางก็ลอบพินิจทั้งสามคน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางพบเจอผู้คนมามากมาย การสังเกตสีหน้า แววตา และท่าทางก็พอจะทำให้นางมองเห็นอะไรบางอย่างได้ ผิงหนานป๋อสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ ด้านในเป็นอาภรณ์ปักลายดอกไม้และวิหคขลิบทองบริเวณคอเสื้อ บริเวณอกมีสร้อยประคำขนาดใหญ่ห้อยอยู่ ดูเหมือนเป็นผู้มีฐานะดี แต่ก็แฝงกลิ่นอายของความละวางทางโลก ทว่าขณะยืนอยู่ ร่างของเขากลับโน้มเอียงไปทางบุตรสาวโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มบนใบหน้าเผยให้เห็นท่าทางประจบประแจงเล็กน้อย ชัดเจนว่าเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องการเข้าสังคม ส่วนฮูหยินผิงหนานป๋อสวมเสื้อนอกสีแดงเข้มทับด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาว ทำให้ดูสดใสเปล่งประกาย นางเป็นสตรีร่างท้วม ผิวพรรณเปล่

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1445

    ซ่งซีซีรู้สึกว่าคุณหนูเจ็ดไม่ควรต้องรับคำด่าทอโดยไร้เหตุผล อีกทั้งนางเองก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับจวนป๋อผิงหนานในเมื่อเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องให้คำอธิบายที่เหมาะสม ดังนั้น นางจึงสั่งให้หัวหน้าลู่ส่งเทียบเชิญไปยังจวนป๋อผิงหนาน ขอเชิญทั้งครอบครัวไปตึกว่างจิงเพื่อร่วมรับประทานอาหาร ขณะเดียวกัน เมื่อส่งเทียบเชิญ นางก็ปล่อยข่าวนี้ออกไปด้วย ส่วนเหตุผลที่ไม่เชิญไปที่จวนของตนเอง นั่นเพราะเรื่องนี้ต้องการให้มีการชี้แจงความเข้าใจผิดต่อสาธารณะ การนัดพบกันภายในจวนจึงไม่เหมาะสม ตึกว่างจิงเป็นสถานที่หรูหรา เพื่อแสดงความเคารพต่อจวนป๋อผิงหนานและคุณหนูเจ็ดการปล่อยข่าวล่วงหน้า ทำให้บรรดาพ่อค้าและขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ชอบสู่รู้เรื่องชาวบ้านย่อมไม่พลาดโอกาสเฝ้าดูเรื่องนี้ เมื่อมีคนจับตาอยู่มาก ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคลี่คลายปัญหา ภายในเรื่องนี้ยังมีเจตนาชดเชยให้กับคุณหนูเจ็ดตลอดหลายปีที่นางทำการค้า ผู้คนมักดูถูกนางเพียงเพราะเป็นสตรี ถูกเอาเปรียบและถูกกดขี่อยู่เสมอ จวนป๋อผิงหนาน ก็ไม่มีบุรุษคนใดที่สามารถเป็นเสาหลักได้ เดิมทีตระกูลนี้เคยเป็นตระกูลสูงศักดิ์ แต่บัดนี้กลับตกต่ำจนแท

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status