ฉีหลิงซีถอนหายใจ "ในราชวงศ์ของเรา ขุนนางที่ระดับชั้นสองสามารถมีอนุภรรยาสี่คน ท่านพ่อมีอนุภรรยาสี่คนแล้ว หากมากกว่านั้นก็ผิดกฏ แม้ว่าขุนนางจำนวนมากในราชสำนักก็ผิดกฎ ทางราชสำนักก็ไม่ได้สอบสวน แต่ท่านพ่อเป็นตัวอย่างขุนนางฝ่ายบุ๋น แน่นอนว่าเขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองมีเรื่องไม่ดีถูกจับผิดได้""ช่างเลอะเลือนจริงๆ!" ใบหน้าของฮองเฮาฉีบูดบึ้ง แต่เสียงก็สั่นเทาเล็กน้อย "ถ้าถูกใจแล้ว แค่นำกลับจวนในนามสาวใช้ใหญ่ แล้วเขาคิดจะทำอะไรมันก็แล้วแต่เขาแล้วนี่ พอทำแบบนี้ งั้นความรักระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่จะเหมือนเรื่องตลกเอาซะ และชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของท่านพ่อก็เสียหายไป"นางใช้มือทั้งสองข้างจับที่วางแขน ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง "เป่ยหมิงอ๋องก็จริงๆ ด้วย ทำไมถึงพูดต่อหน้าทุกคนแบบนี้"ฉีหลิงซีรู้สึกวุ่นวายใจมาก ไม่รู้ว่าจะกลับไปเผชิญหน้าท่านพ่ออย่างไร แต่หลังจากได้ยินคำพูดของฮองเฮา เขายังคิดจะอธิบายสักหน่อย "เพราะเมื่อคืนก็ได้ส่งคนไปแจ้งท่านพ่อแล้ว ให้ท่านพ่อรอพวกเขา แต่ท่านพ่อไม่ได้รอก็ออกจากบ้านไปตรงๆ แล้ว หลังจากเป่ยหมิงอ๋องรอมาครึ่งชั่วยาม ก็หมดความอดทนถึงทิ้งคำพูดนี้ก่อนจากไป"เขายิ้มอย่างเศร้าห
นายท่านรองมองดูเขาโดยพูดอะไรไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งเจ้ากรมฉีหลับตา เขาคิดอย่างรวดเร็ว และพูดอย่างใจเย็นว่า "หลังจากจัดที่พักให้นางแล้ว ข้าได้ตรวจสอบแล้ว แต่ไม่พบมีอะเลย จากนั้นก็เกือบลืมนางไป แค่สั่งคนจับตาดูนางเอาไว้ ข้าไม่เคยแตะต้องนางเลย คนรับใช้ที่นั่นสามารถเป็นพยานได้ มันเป็นความประมาทของข้า ข้ายุ่งมาก จนลืมเรื่องเกี่ยวกับนาง แต่ไม่คาดคิดว่านางจะเป็นบุตรีอนุของฝู้หม่ากู้"จู่ๆ สีหน้าของนายท่านรองก็แสดงความดีใจ แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักว่านี่เป็นเพียงคำแก้ตัวที่พี่ชายพูดกับโลกภายนอกฟัง และมันไม่ใช่ความจริงเขารู้จักพี่ชายเป็นอย่างดี หากมีผู้ต้องสงสัยเข้าใกล้ เขาจะให้คนในจวนไปสอบสวน ไม่ว่าผลการสอบสวนจะเป็นเช่นไรก็ไม่มีทางหาที่พักให้ เขาจะขับไล่คนๆ นั้นออกไปหรืออยู่ห่างจากอีกฝ่ายอย่างแน่นอน และจะไม่มีวันเข้าใกล้เลย"ท่านพี่" นายท่านรองเริ่มหนักใจขึ้นมา และเขายังไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่ชายใหญ่ของเขาจะทำเรื่องแบบนี้ "ทำไม?"เจ้ากรมฉีเม้มริมฝีปากแน่นและไม่ลืมตา แต่หน้าเขียวคล้ำถมึงทึงมันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะยอมรับว่าเขาจะทำเรื่องโง่ๆ เช่นนี้ ยิ่งทำให้เขายอมรับไม่ได้คือนางกลับเป็นบุ
ฉีหลิงซีสั่งให้ทุกคนออกมา และไม่นานนัก ทุกคนในห้องก็วิ่งออกมา ก่อนรายงานตัวตนของพวกเขาด้วยความตื่นตระหนกผู้หญิงคนนั้นคุกเข่าลง ข้าในกระโปรงสีแดงเข้มและข้างนอกสวมเสื้อคลุมสีม่วง ซึ่งทำให้ใบหน้าของนางดูสวยและมีเสน่ห์มาก เมื่อวันนี้ลูกสาวถูกพาตัวไป นางก็พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บางทีนางอาจจะคาดเดาชะตากรรมของตัวเองไว้ก่อนแล้วเพราะองค์หญิงใหญ่ได้ล้มแล้ว พวกนางก็จะถูกค้นพบเช่นกัน"ชื่ออะไร?" ฉีหลิงซีถามด้วยความโกรธในดวงตาของเขา"กู้ชิงเมี่ยว" เสียงของนางแหบแห้ง แต่ค่อนข้างเย้ายวนฉีหลิงซีจ้องมองนาง แล้วถามว่า "เจ้าเจอท่านพ่อข้าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่"กู้ชิงเมี่ยวกล่าวว่า "บ่ายวานนี้ เขาพักอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม"หัวใจของฉีหลิงซีเหมือนกับโดนอะไรโจมตี และมองนางด้วยความไม่อยากเชื่อ เมื่อวานนี้? พ่อมาที่นี่บ่ายวานนี้งั้นเหรอ? พ่อบริการกระทรวงขุนนาง และช่วงพักกลางวันส่วนใหญ่ของเขาอยู่ที่สำนักงานด้านหลังกระทรวงขุนนาง ที่แท้..."เขามักจะมาตอนเที่ยงเหรอ?""เจ้าค่ะ!"ฉีหลิงซีกัดฟันกรอดแล้วถามว่า "เขามาที่นี่บ่อยไหม?"สีหน้าของกู้ชิงเมี่ยวสงบมาก และก็ตอบตามความจริง "ทุกๆ สองวัน""เป็น
ฮูหยินใหญ่เปลี่ยนอารมณ์ความเศร้าใจกลายเป็นกังวล "ใช่แล้ว ท่านพ่อลูกไม่ชอบผู้หญิงที่ถูกชื่นชมว่าเป็นข้าราชการหญิงอันดับแรกคนนี้โดยตลอด และบัดนี้ยังถูกนางสืบพบสิ่งที่ท่านพ่อของลูกสืบไม่เจอ ท่านพ่อของลูกคงจะเสียใจมาก"แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็รู้สึกว่ามันผิดปกติ "ไหนบอกว่ามีลูกสาวแล้วไม่ใช่เหรอ เจ้าได้ไหม""พูดไปมั่วซั่ว ไม่มีลูกสาว มีเพียงนางคนหนึ่งและผู้คนมากมายที่รับผิดชอบจับตาดูนางไว้""ค่อยยั่งชั่ว" ฮูหยินใหญ่รู้สึกโล่งใจฉีหลิงซีรู้สึกสบายใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าตนเองปลอบโยนแม่ให้เรียบร้อยแล้วแต่ทางฝั่งท่านปู่ คงหลอกยากสำหรับอาจารย์ฉี เจ้ากรมฉีเป็นผู้ให้คำอธิบายเองอาจารย์ฉียอมรับคำอธิบายของเขา แต่ตบเขาและพูดว่า "ออกไป"เจ้ากรมฉีเดินโซเซออกจากเรือนของพ่อของเขาด้วยความรู้สึกซับซ้อนมากเขารู้ว่าเรื่องนี้จะโทษเป่ยหมิงอ๋องไม่ได้ เขายึดมั่นในความเมตตากรุณาและความอ่อนน้อมถ่อมตนในราชสำนักมาโดยตลอด แต่เมื่อต่อหน้าซ่งซีซี ผู้ที่เป็นข้าราชการหญิงคนนี้เท่านั้นที่ทำให้เขาเกิดข้อผิดพลาดไป เขาดูถูกซ่งซีซีมากเกินไป และจงใจเพิกเฉยต่อนางไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาต้องไปที่หอต้าหลี่ เพื่อ
เจ้ากรมฉีนั่งไม่ติดที่ แต่สุดท้ายก็ถามออกมาว่า "ท่านอ๋อง ฝ่าบาทจะทำยังไงกับผู้หญิงเหล่านี้?"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "เรื่องนี้เจ้าไปถามผู้บัญชาการซ่ง นางเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้"เจ้ากรมฉีมองไปที่ซ่งซีซีอย่างอึดอัด ดวงตาของเขาหลบเลี่ยง "ขอถามผู้บัญชาการซ่ง... "ซ่งซีซีขัดจังหวะเขาและตอบโดยตรง "ใต้เท้าฉีมาหาข้า และข้าได้บอกใต้เท้าฉีแล้วด้วย ว่าสามารถดูแลด้วยตนเองหรือว่าส่งไปให่กองกำลังเมืองหลวงเพื่อดูแลแบบรวม แล้วแต่ความต้องการของเจ้ากรมฉี หากพวกเจ้าดูแลด้วยตนเอง ก็ห้ามไม่ให้พวกนางออกจากเมืองหลวงหรือไปติดต่อกับผู้ใดคนอื่นๆ เพราะตอนนี้ยังสืบสวนผู้บงการกบฏของคดีกบฏไม่พบ"หลังจากได้ยินดังนั้น เจ้ากรมฉีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบ่าๆ จากนั้นถามต่อว่า "หากส่งมอบให้กองกำลังเมืองหลวงมาดูแล แล้วจะส่งไปที่ไหน""เรากำลังติดต่อกับสำนักแม่ชีทั่วเมืองหลวงเพื่อดูว่าสำนักไหนใหญ่พอที่จะรองรับพวกนางเข้าไปได้ ค่าใช้จ่ายนี้จะออกจากเงินที่ยึดจากจวนโหวกู้และจวนองค์หญิง""สำนักแม่ชี?" เขาลูบเข่าด้วยมือทั้งสองข้าง "งั้นสภาพแวดล้อมจะไม่ค่อยดีนัก""รับประกันว่าจะไม่ทำให้อดอาหาร แต่หากต้องการมีชีวิตที่หรูหรา
ในระหว่างการสอบสวนฝู้หม่ากู้ ก็ถูกทรมานด้วย แต่ในเวลานี้ คนอ่อนแอคนนี้หัวแข็งเป็นพิเศษ โดยยืนกรานว่าเขาไม่รู้อะไรเลย และตัวเขาเองก็เป็นเพียงเครื่องมือที่ถูกหลอกใช้อยู่เมื่อเขาถูกทรมานพลางร้องไห้ว่า "ข้าก็เป็นเหยื่อที่ถูกทำร้าย คนที่เซี่ยอวี้นต้องขอโทษมากที่สุดคือข้า ผู้หญิงของข้า และลูกๆ ของข้าถูกนางฆ่าตายบ้าง ถูกส่งออกไปบ้าง นางเป็นคนบ้าจริงๆ ตอนนี้เป็นไงล่ะ นางถูกจับแล้ว แล้วข้าก็หลุดพ้นจากเงื้อมมือของนางได้"ขงหยางจากสำนักเขตจิงจ้าวก็มาสอบปากคำเขาด้วยตัวเอง วิธีการสอบสวนและวิธีทรมานของสำนักเขตจิงจ้าวจะรุนแรงกว่าวิธีของหอต้าหลี่ แต่ฝู้หม่ากู้ยังยืนยันว่าไม่รู้อะไรเลยมีการรายงานคดีในประชุมยามเช้า ขุนนางทั้งหมดรับฟังอยู่ เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ทุกคนต่างตกใจกลัว บัดนี้ทุกคนก็ได้สบายใจสักทีแม้แต่อ๋องเยี่ยนซึ่งไม่ได้เข้าประชุมยามเช้าของราชสำนัก แต่ก็รู้ว่าเซี่ยอวี้นและฝู้หม่ากู้ไม่ได้เปิดเผยผู้ใดทั้งนั้นเลย แต่มีคนรับใช้บางคนบอกว่า อ๋องเยี่ยนและอ๋องฮวยเคยไปจวนองค์หญิง แต่นอกเหนือจากพวกเขาแล้ว ฉินอ๋องและอ๋องหนิงก็เคยไปที่นั่นด้วย แม้แต่ท่านอ๋องฮุยก็เคยไปครั้งหนึ่งสิ่งนี้ไม่สาม
อ๋องเยี่ยนก็กำลังหารือเรื่องนี้กับคุณชายอู๋เซี่ยงอยู่คุณชายอู๋เซี่ยงไม่เห็นด้วยกับการส่งคนไป แต่อ๋องเยี่ยนรู้สึกว่าหากเซี่ยอวี้นยังมีชีวิตอยู่ มันก็เป็นตัวอันตรายร้ายแรงที่ถูกทิ้งไว้ ตอนนี้ไม่ได้เปิดโปงเขา แต่อนาคตล่ะ?"ฮ่องเต้ผู้โง่เขลาผู้นี้มีไหวพริบจริงๆ ได้ค้นพบอาวุธและชุดเกราะมากมายที่ แทนที่จะถูกประหารชีวิตถือเป็นตัวอย่างตักเตือน เขากลับสั่งให้จำคุกในสำนักกิจการราชวงศ์ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ปิดคดีนี้ หากคดีนี้ไม่ปิด งั้นเซี่ยหลูโม่ก็จะกัดเขาเหมือนหมาบ้า ที่เซี่ยอวี้นยังมีชีวิตอยู่ สำหรับข้าแล้วมันเป็นภัยคุกจริงๆ"อู๋เซี่ยงขมวดคิ้วและพูดว่า "แม้ว่ามันจะเป็นภัยคุกคาม แต่หากแผนการล้มเหลว จะมีผลกระทบร้ายแรง เซี่ยอวี้นอาจเปิดโปงท่านโดยตรง นางเป็นคนบ้า""ดังนั้นข้าจึงวางแผนที่จะอ้างว่าเป็นการช่วยชีวิตนาง ให้นางรู้ว่าเราไปช่วยนาง แล้วค่อยหาโอกาสที่จะฆ่านาง"อู๋เซี่ยงยังคงคัดค้าน "การทำเช่นนี้เสี่ยงเกินไป ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องรับความเสี่ยงเช่นนั้นจริงๆ ท่านเพียงแค่เข้าวังทุกวันเพื่อดูแลผู้ป่วยและไม่ต้องสนใจกับสิ่งอื่นใด การทำแบบนี้ถือว่าดีที่สุดเลย""ไม่ว่ายังไงมันก็มีความเสี่ยง ถ้านาง
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ทันทีที่อกจากถนนซือเยี่ยน ซ่งซีซีก็รู้สึกถึงกระแสลมแห่งการฆาตกรรมที่อยู่รอบตัวนางกระแสลมแห่งการฆาตกรรมแบบนี้รุนแรงมาก และมาพร้อมกับกลิ่นเลือดที่คนธรรมดาไม่สามารถได้กลิ่น ซ่งซีซีค่อนข้างคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้ นักรบสิ้นหวังเหล่านั้นที่อยู่ในจวนแม่ทัพคืนนั้นอาจารย์เคยบอกนางเรื่องกระบวนการฝึกนักรบสิ้นหวังในก่อนหน้านี้ มันโหดร้ายมาก ผู้ที่รอดชีวิตมาได้นั้นถือว่าได้เหยียบย่ำออกจากซากศพของสัตว์ร้ายหรือผู้คน ถือว่าเดินออกจากภูเขาซากศพและทะเลแห่งเลือดก็ไม่เกินจริงดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะมีทักษะศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก และท่าสู้ที่ร้ายกาจ แต่พวกเขาก็มีกลิ่นแรงของเจตนาฆ่าและคาวเลือดอยู่เสมอ"ทุกคนเตรียมพร้อม!" เสียงของนางลอดผ่านสายลมและกระทบหูของทุกคนสายตาของทุกคนตื่นตัว มีอาวุธอยู่ในมือ รู้สึกถึงทุกการเคลื่อนไหวรอบตัวหลังจากข้ามทางแยกอีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงสั่นเล็กน้อยในอากาศ มันคือเสียงดาบที่ถูกลมพัดขณะที่มันถูกแกะออกจากฝัก"หยุด!" ปี้หมิงยกมือขึ้นและหยุดขบวน จากนั้นตะโกนเสียงดังและแยกย้ายประชาชนที่อยู่ใกล้เคียง "มีมือสังหาร อันตราย!"มีประชาชนไม่มาก ล้วนเป็
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า