ฮองเฮาฉีกล่าวว่า "วิธีที่เจ้าสืบสวนนั้นสามารถบอกฝ่าบาทได้ งั้นก็บอกข้าได้ด้วย ข้าไม่เชื่อว่าท่านพ่อของข้าจะเป็นคนแบบนั้น"ซ่งซีซีมองตรงไปที่นาง "ฮองเฮา ไม่งั้นท่านกลับไปถามท่านพ่อของท่านดีกว่า มันเกี่ยวข้องกับคดีกบฏ หม่อมฉันสามารถบอกผลลัพธ์นี้กับท่านได้เพราะมันเกี่ยวข้องกับท่านพ่อของท่านจริงๆ แต่ถ้าหากบอกกระบวนการสืบสวนคดีกับท่าน เกรงว่าจะไม่ดีนัก เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของราชสำนัก"ฮองเฮาฉีตกตะลึง จริงด้วย นางไม่ควรถามเกี่ยวกับกระบวนการนี้ วังหลังห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่ตระกูลฉีอยู่ในจุดสูงสุด และนางเป็นฮองเฮาอีกด้วย หากเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ก็สามารถถูกคนอื่นเสร้างเรื่องได้ง่ายฉีหลิงซีขมวดคิ้ว ถามท่านพ่อ จะให้ถามอย่างไร? เขาจะถามได้ยังไง?ถ้าเขาไม่รู้ก่อนว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ แม้ว่าเขาจะกลับไปถามพ่อของเขา ต่อให้พ่อบอกว่ามันเป็นเรื่องเท็จ เขาก็ยังคงมีปมในใจ"ใต้เท้าซ่ง ถ้าเจ้าบอกฮองเฮาไม่ได้ งั้นก็บอกข้าได้ ข้าไม่ต้องการยุ่งกับการจัดการคดีของพวกเจ้า แต่มันเกี่ยวข้องกับจวนของเรา ข้าต้องการทราบแหล่งที่มาของข่าวนี้ เป็นที่เข้าใจได้"ซ่งซีซีค
ฉีหลิงซีถอนหายใจ "ในราชวงศ์ของเรา ขุนนางที่ระดับชั้นสองสามารถมีอนุภรรยาสี่คน ท่านพ่อมีอนุภรรยาสี่คนแล้ว หากมากกว่านั้นก็ผิดกฏ แม้ว่าขุนนางจำนวนมากในราชสำนักก็ผิดกฎ ทางราชสำนักก็ไม่ได้สอบสวน แต่ท่านพ่อเป็นตัวอย่างขุนนางฝ่ายบุ๋น แน่นอนว่าเขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองมีเรื่องไม่ดีถูกจับผิดได้""ช่างเลอะเลือนจริงๆ!" ใบหน้าของฮองเฮาฉีบูดบึ้ง แต่เสียงก็สั่นเทาเล็กน้อย "ถ้าถูกใจแล้ว แค่นำกลับจวนในนามสาวใช้ใหญ่ แล้วเขาคิดจะทำอะไรมันก็แล้วแต่เขาแล้วนี่ พอทำแบบนี้ งั้นความรักระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่จะเหมือนเรื่องตลกเอาซะ และชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของท่านพ่อก็เสียหายไป"นางใช้มือทั้งสองข้างจับที่วางแขน ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง "เป่ยหมิงอ๋องก็จริงๆ ด้วย ทำไมถึงพูดต่อหน้าทุกคนแบบนี้"ฉีหลิงซีรู้สึกวุ่นวายใจมาก ไม่รู้ว่าจะกลับไปเผชิญหน้าท่านพ่ออย่างไร แต่หลังจากได้ยินคำพูดของฮองเฮา เขายังคิดจะอธิบายสักหน่อย "เพราะเมื่อคืนก็ได้ส่งคนไปแจ้งท่านพ่อแล้ว ให้ท่านพ่อรอพวกเขา แต่ท่านพ่อไม่ได้รอก็ออกจากบ้านไปตรงๆ แล้ว หลังจากเป่ยหมิงอ๋องรอมาครึ่งชั่วยาม ก็หมดความอดทนถึงทิ้งคำพูดนี้ก่อนจากไป"เขายิ้มอย่างเศร้าห
นายท่านรองมองดูเขาโดยพูดอะไรไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งเจ้ากรมฉีหลับตา เขาคิดอย่างรวดเร็ว และพูดอย่างใจเย็นว่า "หลังจากจัดที่พักให้นางแล้ว ข้าได้ตรวจสอบแล้ว แต่ไม่พบมีอะเลย จากนั้นก็เกือบลืมนางไป แค่สั่งคนจับตาดูนางเอาไว้ ข้าไม่เคยแตะต้องนางเลย คนรับใช้ที่นั่นสามารถเป็นพยานได้ มันเป็นความประมาทของข้า ข้ายุ่งมาก จนลืมเรื่องเกี่ยวกับนาง แต่ไม่คาดคิดว่านางจะเป็นบุตรีอนุของฝู้หม่ากู้"จู่ๆ สีหน้าของนายท่านรองก็แสดงความดีใจ แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักว่านี่เป็นเพียงคำแก้ตัวที่พี่ชายพูดกับโลกภายนอกฟัง และมันไม่ใช่ความจริงเขารู้จักพี่ชายเป็นอย่างดี หากมีผู้ต้องสงสัยเข้าใกล้ เขาจะให้คนในจวนไปสอบสวน ไม่ว่าผลการสอบสวนจะเป็นเช่นไรก็ไม่มีทางหาที่พักให้ เขาจะขับไล่คนๆ นั้นออกไปหรืออยู่ห่างจากอีกฝ่ายอย่างแน่นอน และจะไม่มีวันเข้าใกล้เลย"ท่านพี่" นายท่านรองเริ่มหนักใจขึ้นมา และเขายังไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่ชายใหญ่ของเขาจะทำเรื่องแบบนี้ "ทำไม?"เจ้ากรมฉีเม้มริมฝีปากแน่นและไม่ลืมตา แต่หน้าเขียวคล้ำถมึงทึงมันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะยอมรับว่าเขาจะทำเรื่องโง่ๆ เช่นนี้ ยิ่งทำให้เขายอมรับไม่ได้คือนางกลับเป็นบุ
ฉีหลิงซีสั่งให้ทุกคนออกมา และไม่นานนัก ทุกคนในห้องก็วิ่งออกมา ก่อนรายงานตัวตนของพวกเขาด้วยความตื่นตระหนกผู้หญิงคนนั้นคุกเข่าลง ข้าในกระโปรงสีแดงเข้มและข้างนอกสวมเสื้อคลุมสีม่วง ซึ่งทำให้ใบหน้าของนางดูสวยและมีเสน่ห์มาก เมื่อวันนี้ลูกสาวถูกพาตัวไป นางก็พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บางทีนางอาจจะคาดเดาชะตากรรมของตัวเองไว้ก่อนแล้วเพราะองค์หญิงใหญ่ได้ล้มแล้ว พวกนางก็จะถูกค้นพบเช่นกัน"ชื่ออะไร?" ฉีหลิงซีถามด้วยความโกรธในดวงตาของเขา"กู้ชิงเมี่ยว" เสียงของนางแหบแห้ง แต่ค่อนข้างเย้ายวนฉีหลิงซีจ้องมองนาง แล้วถามว่า "เจ้าเจอท่านพ่อข้าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่"กู้ชิงเมี่ยวกล่าวว่า "บ่ายวานนี้ เขาพักอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม"หัวใจของฉีหลิงซีเหมือนกับโดนอะไรโจมตี และมองนางด้วยความไม่อยากเชื่อ เมื่อวานนี้? พ่อมาที่นี่บ่ายวานนี้งั้นเหรอ? พ่อบริการกระทรวงขุนนาง และช่วงพักกลางวันส่วนใหญ่ของเขาอยู่ที่สำนักงานด้านหลังกระทรวงขุนนาง ที่แท้..."เขามักจะมาตอนเที่ยงเหรอ?""เจ้าค่ะ!"ฉีหลิงซีกัดฟันกรอดแล้วถามว่า "เขามาที่นี่บ่อยไหม?"สีหน้าของกู้ชิงเมี่ยวสงบมาก และก็ตอบตามความจริง "ทุกๆ สองวัน""เป็น
ฮูหยินใหญ่เปลี่ยนอารมณ์ความเศร้าใจกลายเป็นกังวล "ใช่แล้ว ท่านพ่อลูกไม่ชอบผู้หญิงที่ถูกชื่นชมว่าเป็นข้าราชการหญิงอันดับแรกคนนี้โดยตลอด และบัดนี้ยังถูกนางสืบพบสิ่งที่ท่านพ่อของลูกสืบไม่เจอ ท่านพ่อของลูกคงจะเสียใจมาก"แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็รู้สึกว่ามันผิดปกติ "ไหนบอกว่ามีลูกสาวแล้วไม่ใช่เหรอ เจ้าได้ไหม""พูดไปมั่วซั่ว ไม่มีลูกสาว มีเพียงนางคนหนึ่งและผู้คนมากมายที่รับผิดชอบจับตาดูนางไว้""ค่อยยั่งชั่ว" ฮูหยินใหญ่รู้สึกโล่งใจฉีหลิงซีรู้สึกสบายใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าตนเองปลอบโยนแม่ให้เรียบร้อยแล้วแต่ทางฝั่งท่านปู่ คงหลอกยากสำหรับอาจารย์ฉี เจ้ากรมฉีเป็นผู้ให้คำอธิบายเองอาจารย์ฉียอมรับคำอธิบายของเขา แต่ตบเขาและพูดว่า "ออกไป"เจ้ากรมฉีเดินโซเซออกจากเรือนของพ่อของเขาด้วยความรู้สึกซับซ้อนมากเขารู้ว่าเรื่องนี้จะโทษเป่ยหมิงอ๋องไม่ได้ เขายึดมั่นในความเมตตากรุณาและความอ่อนน้อมถ่อมตนในราชสำนักมาโดยตลอด แต่เมื่อต่อหน้าซ่งซีซี ผู้ที่เป็นข้าราชการหญิงคนนี้เท่านั้นที่ทำให้เขาเกิดข้อผิดพลาดไป เขาดูถูกซ่งซีซีมากเกินไป และจงใจเพิกเฉยต่อนางไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาต้องไปที่หอต้าหลี่ เพื่อ
เจ้ากรมฉีนั่งไม่ติดที่ แต่สุดท้ายก็ถามออกมาว่า "ท่านอ๋อง ฝ่าบาทจะทำยังไงกับผู้หญิงเหล่านี้?"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "เรื่องนี้เจ้าไปถามผู้บัญชาการซ่ง นางเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้"เจ้ากรมฉีมองไปที่ซ่งซีซีอย่างอึดอัด ดวงตาของเขาหลบเลี่ยง "ขอถามผู้บัญชาการซ่ง... "ซ่งซีซีขัดจังหวะเขาและตอบโดยตรง "ใต้เท้าฉีมาหาข้า และข้าได้บอกใต้เท้าฉีแล้วด้วย ว่าสามารถดูแลด้วยตนเองหรือว่าส่งไปให่กองกำลังเมืองหลวงเพื่อดูแลแบบรวม แล้วแต่ความต้องการของเจ้ากรมฉี หากพวกเจ้าดูแลด้วยตนเอง ก็ห้ามไม่ให้พวกนางออกจากเมืองหลวงหรือไปติดต่อกับผู้ใดคนอื่นๆ เพราะตอนนี้ยังสืบสวนผู้บงการกบฏของคดีกบฏไม่พบ"หลังจากได้ยินดังนั้น เจ้ากรมฉีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบ่าๆ จากนั้นถามต่อว่า "หากส่งมอบให้กองกำลังเมืองหลวงมาดูแล แล้วจะส่งไปที่ไหน""เรากำลังติดต่อกับสำนักแม่ชีทั่วเมืองหลวงเพื่อดูว่าสำนักไหนใหญ่พอที่จะรองรับพวกนางเข้าไปได้ ค่าใช้จ่ายนี้จะออกจากเงินที่ยึดจากจวนโหวกู้และจวนองค์หญิง""สำนักแม่ชี?" เขาลูบเข่าด้วยมือทั้งสองข้าง "งั้นสภาพแวดล้อมจะไม่ค่อยดีนัก""รับประกันว่าจะไม่ทำให้อดอาหาร แต่หากต้องการมีชีวิตที่หรูหรา
ในระหว่างการสอบสวนฝู้หม่ากู้ ก็ถูกทรมานด้วย แต่ในเวลานี้ คนอ่อนแอคนนี้หัวแข็งเป็นพิเศษ โดยยืนกรานว่าเขาไม่รู้อะไรเลย และตัวเขาเองก็เป็นเพียงเครื่องมือที่ถูกหลอกใช้อยู่เมื่อเขาถูกทรมานพลางร้องไห้ว่า "ข้าก็เป็นเหยื่อที่ถูกทำร้าย คนที่เซี่ยอวี้นต้องขอโทษมากที่สุดคือข้า ผู้หญิงของข้า และลูกๆ ของข้าถูกนางฆ่าตายบ้าง ถูกส่งออกไปบ้าง นางเป็นคนบ้าจริงๆ ตอนนี้เป็นไงล่ะ นางถูกจับแล้ว แล้วข้าก็หลุดพ้นจากเงื้อมมือของนางได้"ขงหยางจากสำนักเขตจิงจ้าวก็มาสอบปากคำเขาด้วยตัวเอง วิธีการสอบสวนและวิธีทรมานของสำนักเขตจิงจ้าวจะรุนแรงกว่าวิธีของหอต้าหลี่ แต่ฝู้หม่ากู้ยังยืนยันว่าไม่รู้อะไรเลยมีการรายงานคดีในประชุมยามเช้า ขุนนางทั้งหมดรับฟังอยู่ เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ทุกคนต่างตกใจกลัว บัดนี้ทุกคนก็ได้สบายใจสักทีแม้แต่อ๋องเยี่ยนซึ่งไม่ได้เข้าประชุมยามเช้าของราชสำนัก แต่ก็รู้ว่าเซี่ยอวี้นและฝู้หม่ากู้ไม่ได้เปิดเผยผู้ใดทั้งนั้นเลย แต่มีคนรับใช้บางคนบอกว่า อ๋องเยี่ยนและอ๋องฮวยเคยไปจวนองค์หญิง แต่นอกเหนือจากพวกเขาแล้ว ฉินอ๋องและอ๋องหนิงก็เคยไปที่นั่นด้วย แม้แต่ท่านอ๋องฮุยก็เคยไปครั้งหนึ่งสิ่งนี้ไม่สาม
อ๋องเยี่ยนก็กำลังหารือเรื่องนี้กับคุณชายอู๋เซี่ยงอยู่คุณชายอู๋เซี่ยงไม่เห็นด้วยกับการส่งคนไป แต่อ๋องเยี่ยนรู้สึกว่าหากเซี่ยอวี้นยังมีชีวิตอยู่ มันก็เป็นตัวอันตรายร้ายแรงที่ถูกทิ้งไว้ ตอนนี้ไม่ได้เปิดโปงเขา แต่อนาคตล่ะ?"ฮ่องเต้ผู้โง่เขลาผู้นี้มีไหวพริบจริงๆ ได้ค้นพบอาวุธและชุดเกราะมากมายที่ แทนที่จะถูกประหารชีวิตถือเป็นตัวอย่างตักเตือน เขากลับสั่งให้จำคุกในสำนักกิจการราชวงศ์ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ปิดคดีนี้ หากคดีนี้ไม่ปิด งั้นเซี่ยหลูโม่ก็จะกัดเขาเหมือนหมาบ้า ที่เซี่ยอวี้นยังมีชีวิตอยู่ สำหรับข้าแล้วมันเป็นภัยคุกจริงๆ"อู๋เซี่ยงขมวดคิ้วและพูดว่า "แม้ว่ามันจะเป็นภัยคุกคาม แต่หากแผนการล้มเหลว จะมีผลกระทบร้ายแรง เซี่ยอวี้นอาจเปิดโปงท่านโดยตรง นางเป็นคนบ้า""ดังนั้นข้าจึงวางแผนที่จะอ้างว่าเป็นการช่วยชีวิตนาง ให้นางรู้ว่าเราไปช่วยนาง แล้วค่อยหาโอกาสที่จะฆ่านาง"อู๋เซี่ยงยังคงคัดค้าน "การทำเช่นนี้เสี่ยงเกินไป ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องรับความเสี่ยงเช่นนั้นจริงๆ ท่านเพียงแค่เข้าวังทุกวันเพื่อดูแลผู้ป่วยและไม่ต้องสนใจกับสิ่งอื่นใด การทำแบบนี้ถือว่าดีที่สุดเลย""ไม่ว่ายังไงมันก็มีความเสี่ยง ถ้านาง
ครรภ์ของฝูเจาอี๋ เดิมทีก็มั่นคงดี หมอหลวงเองก็กล่าวว่าไม่มีปัญหาใหญ่อันใด แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอเข้าสู่เดือนเหมันต์ ครรภ์นี้กลับเริ่มไม่มั่นคง อีกทั้งยังมีเลือดออกถึงสองครั้งหมอหลวงจินทุ่มเทสรรพวิธีเพื่อรักษาครรภ์ของนางไว้ ทำให้พอประคองสถานการณ์ได้ แต่นางก็ต้องนอนพักอยู่บนเตียง ยังไม่อาจลุกเดินไปไหนได้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด หมอหลวงย่อมให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ตรวจสอบทั้งอาหารการกินและข้าวของที่ใช้ในวังอย่างละเอียด ทว่ากลับไม่พบความผิดปกติใดๆ จึงคาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากการที่ฝ่าบาทเสวยโอสถมาเป็นเวลานาน จึงทำให้ครรภ์นี้ไม่มั่นคงจักรพรรดิ์ซูชิงทรงเป็นกังวลอย่างยิ่งกับครรภ์นี้ นับตั้งแต่นางต้องนอนพักรักษาครรภ์ ฝ่าบาทก็ทรงเสด็จมาเยี่ยมเกือบวันเว้นวัน บางคราก็ทรงประทับร่วมเสวยพระกระยาหารเมื่อเอาใจใส่สิ่งหนึ่ง ก็ย่อมละเลยอีกสิ่งหนึ่งไป ทำให้ช่วงนี้ฝ่าบาทแทบไม่ได้เสด็จไปยังตำหนักของซูเฟย อีกทั้งยังมิได้ทรงเรียกองค์ชายสามเข้าพบที่ห้องพระอักษรเลยส่วนเต๋อเฟยนั้น เนื่องจากต้องดูแลกิจการในวังหลัง เมื่อพอมีเวลาว่างก็มักจะพาองค์ชายรองมาเยี่ยมฝูเจาอี๋ด้วย ดังนั้นจึงได้มีโอกา
ในวังหลัง เดิมทีมีผู้คาดเดาเกี่ยวกับพระอาการของฝ่าบาทไม่น้อย แม้ยามนี้ฝูเจาอี๋จะตั้งครรภ์ ทว่าหมอมหัศจรรย์กลับพำนักอยู่ในวัง เป็นหลักฐานว่าพระวรกายของฝ่าบาทหาใช่เพียงต้องบำรุงรักษาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นดังนั้น การที่ฝ่าบาทโปรดปรานเช่นนี้ ทำให้บางคนเริ่มอยู่นิ่งไม่ได้โดยเฉพาะฮองเฮา นางรับรู้เรื่องพระอาการของฝ่าบาทอยู่บ้าง ตอนนี้หมอมหัศจรรย์กลับเข้าวังเพื่อถวายการรักษา ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรนางไม่อาจคาดเดา เพียงแต่รู้สึกว่าฝ่าบาทอาจอยู่ในช่วงที่พละกำลังถดถอยเต็มที่แล้วครรภ์ของฝูเจาอี๋ นางไม่ได้ใส่ใจ ไม่ว่าบุตรในครรภ์จะเป็นชายหรือหญิงก็ยังไม่อาจทราบได้ ต่อให้เป็นองค์ชาย ก็ยังไม่ถึงคราวของเขาแต่การที่ฝ่าบาททรงเอ็นดูองค์ชายสามถึงเพียงนี้ กลับทำให้นางรู้สึกถึงภัยคุกคามเดิมทีฝ่าบาทให้ทางเลือกแก่นาง นางเลือกตำแหน่งฮองเฮา เลือกมีชีวิตรอด ทว่าหลังจากนิ่งเฉยมาพักหนึ่ง นางก็เข้าใจว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงละทิ้งองค์ชายใหญ่ได้รวดเร็วเพียงนั้น ยิ่งตอนนี้องค์ชายใหญ่ขยันขันแข็งศึกษาหาความรู้ แม้แต่ไท่ฝู่และเสด็จอายังเอ่ยปากชม นางยังสืบมาว่าฝ่าบาททรงพอพระทัยองค์ชายใหญ่อยู่ไม่น้อยองค์ชายรองและองค์ชายสามล
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงประชุมหารือกับขุนนางในห้องทรงอักษรยาวนานจนถึงดึกดื่น สุดท้ายเป็นหมอมหัศจรรย์ดันที่ต้องเข้าไปขัดจังหวะ แจ้งว่าดึกมากแล้ว พระองค์ถึงกับเหยียดพระกรพลางแย้มพระสรวล “ถึงกับดึกเพียงนี้แล้วรึ? เช่นนั้นก็เลิกประชุมเถิด ประตูวังใกล้จะปิดแล้ว”แม้จะเป็นช่วงเวลาดึกมากแล้ว แต่พระองค์กลับยังดูสดชื่น โดยเฉพาะบนพระพักตร์ที่มีเลือดฝาดขึ้น ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้ที่ประชวรเลยซ่งซีซีรอให้เซี่ยหลูโม่ประชุมเสร็จ ก่อนจะออกจากวังกลับจวนพร้อมกันนางอ่อนล้ามาก พิงไหล่ของเซี่ยหลูโม่แล้วเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัวเมื่อรถม้ามาถึงหน้าจวน เซี่ยหลูโม่อุ้มนางขึ้นมา ซ่งซีซีรับรู้ได้รางๆ แต่ก็ขี้เกียจจะตื่น เลยปล่อยให้เขาอุ้มเข้าไป อ้อมแขนอบอุ่นแข็งแกร่งช่างสบายเหลือเกินตลอดสามเดือนที่ผ่านมา นอกจากตอนอยู่ที่ด่านเฉิงหลิง นางแทบไม่มีคืนไหนที่สามารถนอนหลับได้อย่างสนิทใจ แต่เมื่อกลับถึงจวน ก็รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์ ดำดิ่งสู่ห้วงนิทราลึกทว่า…นอนหลับไปก็ยังรู้สึกว่ามีมือร้อนจัดคู่หนึ่งลูบไล้ไปทั่วร่างนางยังคงหลับตา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “ลืมที่ท่านลุงดันบอกไปแล้วหรือ?”เสียงร้อนผ่าวกระซิบข
วันที่ 15 เดือนสิบ คณะทูตจึงเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงในที่สุดกองทัพซวนเจียได้รับคำสั่งให้แยกย้ายไปพักก่อน ขณะที่หลี่เต๋อฮวยและขุนนางจากสำนักหงหลู่ต้องเข้าเฝ้าพระองค์เพื่อถวายรายงาน ส่วนฉินอ๋องที่ตลอดทางอ่อนแอราวกับช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ตอนนี้กลับกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที กล่าวว่าจะเข้าเฝ้าพร้อมกับพวกเขาด้วยส่วนซ่งซีซีนั้น ถูกเซี่ยหลูโม่ที่เฝ้ารออยู่ที่ประตูเมืองรับตัวกลับจวนไปก่อนแล้วช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาสั่งให้คนคอยเฝ้ารอที่ประตูเมืองทุกวัน บางครั้งตอนพักกลางวันก็ยังมารอด้วยตนเอง และวันนี้ก็บังเอิญได้พบกันจริงๆขณะที่หลี่เต๋อฮวยและคนอื่นๆเข้าเฝ้าในวัง ซ่งซีซีก็ได้เข้าไปคารวะฮุ่ยไท่เฟยก่อนแล้วเมื่อฮุ่ยไท่เฟยรู้ว่านางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ก็ให้รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซ่งซีซีและเซี่ยหลูโม่ถวายคำนับก่อนออกไป และกลับไปยังเรือนเหมยฮวาหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ริมฝีปากของนางกลับดูบวมขึ้นเล็กน้อย รุ่ยจูที่เห็นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเหลือบมองไปทางท่านอ๋อง พระชายาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ท่านอ๋องยืนกรานจะปรนนิบัติด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนจะปรนนิบัติได้ไม่ดีเท่าไรน
เมื่อได้พักฟื้นอยู่ห้าวันที่ด่านเฉิงหลิง ฉินอ๋องก็ฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อฉินอ๋องหายดี ก็ถึงเวลาต้องออกเดินทางกลับเมืองหลวงแม้จะอาลัยเพียงใด ซ่งซีซีก็ทำได้เพียงกลั้นน้ำตากล่าวคำอำลา นางคุกเข่าคารวะต่อหน้าแม่ทัพใหญ่เซียวอยู่หลายครั้ง จนแทบจะทำให้ท่านน้ำตาคลอหลี่เต๋อฮวยเป็นผู้ที่เคารพนับถือแม่ทัพใหญ่เซียวที่สุด เมื่อซ่งซีซีเพียงแค่น้ำตาคลอ แต่เขากลับปิดหน้าและร้องไห้ออกมาเต็มที่ เพราะเขารู้ว่า บางทีตลอดชีวิตนี้ อาจไม่มีโอกาสได้พบกับท่านแม่ทัพผู้เฝ้ารักษาด่านเฉิงหลิงมาเป็นสิบๆ ปีอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวเข้าสู่วัยชราโดยสมบูรณ์ เมื่อมองดูอีกครั้งก็ดูแก่ชรากว่าครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าฮ่องเต้จะพระราชทานอนุญาตให้ท่านกลับเมืองหลวงได้ แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยากลำบาก ทายาทตระกูลเซียวก็คงไม่ยอมให้ท่านเดินทางกลับอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวสนทนากับหลี่เต๋อฮวยอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าแทนที่จะบรรเทาความรู้สึกของเขา กลับทำให้เขาร้องไห้หนักกว่าเดิมเสียอีกด้านนางหนานผู้เป็นป้าใหญ่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยถามถึงเรื่องของ พระชายาอ๋องฮวยเลย จนกระทั่งถึงเวลาต้องอำลากัน นางจึงดึงซ่งซีซีไปค
การเดินทางกลับเริ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนเก้าอากาศไม่ร้อนจัดอีกต่อไป เริ่มมีความเย็นสบายแผ่วเบาซูลันจีนำทัพออกมาส่งด้วยตัวเอง พาพวกเขาไปจนถึงเมืองลู่เปินเอ่อร์ตลอดเส้นทางขากลับ ไม่มีการลอบสังหารเกิดขึ้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อข้ามภูเขาสลับซับซ้อนมาได้ ก็เข้าสู่เขตแดนของแคว้นซางเดิมทีพวกเขาไม่ได้แจ้งแม่ทัพใหญ่เซียวล่วงหน้า คิดว่าคงไม่มีใครมารับ แต่ทันทีที่เข้าสู่ชายแดนแคว้นซาง ก็พบว่าจ้านเป่ยว่างนำทัพเซียวเจียจวินรออยู่ที่นั่นเมื่อเห็นว่าพวกเขากลับมาโดยปลอดภัย จ้านเป่ยว่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด เขากระตุ้นม้าเข้ามาใกล้ ก่อนลงจากหลังม้าแล้วทำความเคารพฉินอ๋อง หลี่เต๋อฮวยและขุนนางท่านอื่นๆ “ท่านอ๋อง เสนาบดีหลี่ ท่านขุนนางทั้งหลาย แม่ทัพใหญ่เซียวสั่งให้ข้านำทัพมาคอยเฝ้ารอที่นี่ทุกวัน เพื่อคุ้มกันพวกท่านกลับไปยังเฉิงหลิงกวน”หลี่เต๋อฮวยเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แม่ทัพใหญ่รู้ได้อย่างไรว่าพวกเราจะกลับมาวันนี้?”จ้านเป่ยว่างตอบว่า “แม่ทัพใหญ่ไม่ทราบ เพียงแต่สั่งให้ข้าและกองทัพมาเฝ้าอยู่ที่นี่ทุกวัน”“ที่แท้เป็นเช่นนี้” หลี่เต๋อฮวยรู้สึกว่าแม่ทัพใหญ่เซียวเป็นคนรอบคอบย
อันเฟิงชินอ๋องกล่าวว่า “การเดินทางครั้งนี้ มิใช่เพียงเพื่อซีจิงและแคว้นซาง แต่ก็เพื่อเป่ยถังของเราด้วย มิจำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ ระหว่างแคว้นต่อแคว้น สิ่งที่มาก่อนคือผลประโยชน์ มีเพียงความสัมพันธ์ส่วนตัวเท่านั้น ที่จะสามารถปฏิบัติต่อกันด้วยใจจริง”ซ่งซีซีรับคำสอน แต่ก็นึกสงสัย จึงเอ่ยถามว่า “ท่านเคยรู้จักอาจารย์เหรินหยางอวิ๋นของข้าหรือไม่?”อันเฟิงชินอ๋องหัวเราะเบาๆ “รู้จัก เขาเคยมาเยือนเป่ยถัง และเคยพำนักอยู่ที่ไจ้ซิงโหลวอยู่ช่วงหนึ่ง แม่ทัพองครักษ์เงาของข้า ‘เฮยอิ่ง’ สนิทสนมกับอาจารย์ของเจ้ามาก พวกเขามักดื่มสุราด้วยกันเป็นประจำ”“เช่นนี้เองหรือ” ซ่งซีซีนึกถึงบรรดาผู้สวมชุดดำพวกนั้น ไม่รู้ว่าคนไหนคือเฮยอิ่ง หากไม่ได้พบหน้าสักครั้ง คงเป็นเรื่องน่าเสียดายอันเฟิงชินอ๋องคล้ายจะมองออกถึงความคิดของนาง ยิ้มพลางกล่าวว่า “อีกสามปี หรืออาจห้าปี พวกเราจะไปเยือนแคว้นซาง ถึงตอนนั้น ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับเฮยอิ่ง”ซ่งซีซีกำลังจะกล่าวขอบคุณ ทว่าเสิ่นว่านจือก็ถามขึ้นก่อน “เหตุใดต้องเป็นสามปีหรือห้าปี? ไปเร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ? พวกเราตั้งตารอให้ท่านกับพระชายามาเยือน”อันเฟิงชินอ๋องเพียงยิ้ม แต่
หลังจากเดินสำรวจอยู่สองวัน ซูลันจีก็กล่าวกับซ่งซีซีว่า “แคว้นของท่านมีหมอเทวดาผู้หนึ่ง นามว่าหมอมหัศจรรย์ดัน เขาได้คิดค้นยาชนิดหนึ่งชื่อว่ายาดันเสวี่ย ซึ่งมีสมุนไพรสำคัญชนิดหนึ่งเป็นส่วนประกอบ นั่นคือเสวี่ยเหอฮวา ทว่าแคว้นของท่านผลิตได้น้อยมาก หนานเจียงเองก็มี แต่เติบโตอยู่บนยอดเขาหิมะ เก็บเกี่ยวได้ยากยิ่ง และมีปริมาณน้อย แต่ในซีจิงของเรา เสวี่ยเหอฮวามิใช่ของหายาก บนภูเขาสูงสามารถพบเห็นได้ทั่วไป หมอมหัศจรรย์ดันที่ใช้สมุนไพรชนิดนี้ ต้องลักลอบซื้อจากพ่อค้ายาในซีจิง ราคาจึงแพงมาก ด้วยต้นทุนขนาดนี้ ขายยาดันเสวี่ยไปหนึ่งเม็ด เขาก็ขาดทุนหนึ่งเม็ด”ซ่งซีซีทราบดีว่ายาดันเสวี่ยเป็นยาที่หายาก เนื่องจากมีสมุนไพรบางชนิดที่หาไม่ครบ แต่ท่านลุงดันก็ไม่เคยบอกอย่างชัดเจนว่าสมุนไพรตัวใดที่ขาดอย่างไรก็ตาม หากเขาต้องซื้อยาจากพ่อค้าชาวซีจิง ก็สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงต้องปิดเป็นความลับ เพราะก่อนหน้านี้ ซีจิงและแคว้นซางมิได้มีการค้าขายกันโดยตรง โดยเฉพาะสมุนไพร ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษซูลันจีและจักรพรรดินีหยวนซินต่างคิดไปในทิศทางเดียวกัน พวกเขาสืบเรื่องนี้อย่างละเอียดขนาดนี้ นั่นหมายความว่าพวกเขาต
ตำแหน่งที่เขานั่ง แสดงถึงจุดยืนของเป่ยถังในการเจรจาครั้งนี้!เป็นกลาง!ซ่งซีซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอีกครั้งว่า การที่แคว้นเข้มแข็งนั้นดีเพียงใดการเจรจาในช่วงแรกเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ คำพูดซ้ำไปซ้ำมา ถูกเน้นย้ำไม่รู้จบ ล่ามของทั้งสองฝ่ายทำหน้าที่แปล โดยส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงปัญหาทางประวัติศาสตร์นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเริ่มต้นด้วยการยอมถอยแต่แรก ก็จะต้องถอยไปเรื่อยๆดังนั้น การเจรจาครั้งแรกจึงไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เป็นเพียงการลองเชิงขีดจำกัดของกันและกันในวันรุ่งขึ้น การเจรจาครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น ตอนแรกก็ยังคงเน้นย้ำเรื่องเดิมสองรอบ จนกระทั่งอันเฟิงชินอ๋องเอ่ยขึ้นว่า “ถ่วงเวลาเช่นนี้ไม่มีความหมาย สองแคว้นของพวกเจ้าโต้เถียงกันเรื่องพรมแดนมาหลายสิบปีแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะสามารถแก้ไขได้ในวันเดียว เราพักเรื่องพรมแดนไว้ก่อน ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้ามีความตั้งใจจะทำสัญญาสันติระหว่างสองแคว้นหรือไม่ และจะไม่ละเมิดต่อกัน?”ทุกคนล้วนให้คำตอบที่แน่ชัด ต่างกล่าวว่าตนมาโดยมีความหวังที่ดี อยากให้สองแคว้นยุติความขัดแย้งอันเฟิงชินอ๋องหยิบแผ่นรายการออกมาแผ่นหนึ่ง บนกระดาษระบุรายการสินค้าของ