ซ่งซีซีกล่าวว่า "พวกของหงเซียวอาจรู้ว่านางไปไหน แต่คงไม่ติดตามนางไป เพราะเกิดคดีใหญ่เช่นนี้ พวกนางจะต้องเตรียมพร้อมในเมืองหลวง""ที่ข้ากลับมาก็เพื่อให้พวกนางจับตาดูจวนอ๋องเยี่ยนและจวนอ๋องฮวยให้ด้วย แม้ว่าพวกเขาจะไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ ในช่วงนี้ แต่การผลิตและการขนส่งอาวุธชุดนี้จำเป็นต้องผ่านมือของผู้คนจำนวนมาก ยิ่งกว่านั้น คุกใต้ดินยังไม่เต็ม อาจยังคงทำต่ออยู่หลังจากจวนองค์หญิงใหญ่ล่มสลายแล้ว งั้นอ๋องเยี่ยนหรืออ๋องฮวยก็ต้องรับช่วงต่อ จับตาดูมันเอาไว้ก่อน""ได้ ฉันเข้าใจแล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะบอกว่านจือให้" ซ่งซีซีกล่าวเซี่ยหลูโม่สั่งคนใช้นำน้ำร้อนมาเพื่อที่เขาจะได้ล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใน เขายังสามารถนอนหลับได้ครึ่งชั่วยามอาจารย์หยูรู้ว่าเขากลับมาแล้วจึงอยากจะแวะมาถามถึงคดีนี้แต่ได้ยินว่าเขาได้พักผ่อนแล้ว อีกไม่นานก็จะกลับหอต้าหลี่ จึงรอไว้ก่อน รอกลับหอต้าหลี่กับเขาในฐานะหัวหน้าผู้ดูแลจวนของจวนอ๋อง เขามิใช่คนของหอต้าหลี่ แต่สามารถติดตามข้างกายของท่านอ๋องทุกเมื่อ เพื่อให้คำแนะนำแก่ท่านอ๋องได้แต่ตอนนี้พระชายาเข้ารับราชการแล้ว งั้นงานที่ดูแลจวนก็ตกเป็นของหัวหน้าลู่และแม่นมเหลียง โ
พอเสิ่นว่านจือเดินเข้ามา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ "แหมๆๆ ให้ข้าดูใต้เท้าคนนี้ให้ดีๆ หน่อย ใต้เท้า มิทราบว่าท่านกำลังไปไหน สามารถนำข้าไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?"ซ่งซีซีต่อยนางที่ไหล่ "เจ้ามาพอดีเลย มีเรื่องหนึ่งขาดเจ้าไม่ได้จริงๆ""ใต้เท้าสั่งได้เลย ข้าจะทำตามที่สั่งแน่นอน" เสิ่นว่านจือคารวะ และตอบอย่างอ่อนโยนซ่งซีซีกลอกตาใส่นาง "จะพูดดีๆ ไม่เป็นแล้วใช่ไหม ต้องให้สั่งสอนสักหน่อยใช่ไหม?"นางดึงผ้าเช็ดหน้าออกแล้วโบกไปทางหน้าของนาง เสียงยังคงแสร้งทำเป็นไพเราะ "อุ๊ย ใต้เท้าหยาบคายแล้วนะ"ซ่งซีซีจับไหล่ของนางแล้วโยนนางให้ล้มลง เสิ่นว่านจือฉวยโอกาสสองเท้าตกลงบนพื้นแล้วตีลังกา จากนั้นยิ้วซื่อๆ "ไม่เอาน่า ไม่เอาน่า"ทุกคนต่างก็หัวเราะ และป้าหยินพูดว่า "คุณหนูเสิ่นตลกจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไทเฟยชอบท่านมาก""นั่นนะสิ ที่ไทเฟยชอบข้ายังมากกว่าที่ชอบนางเลย" เสิ่นว่านจือ ทำท่าหยิ่งผยองนั้นเหมือนสนมฮุ่ยไทเฟยไม่มีผิดเลยซ่งซีซีกลอกตามองบนใส่นาง "เข้าประเด็นเลย ข้าจะออกไปข้างนอกแล้ว"เสิ่นว่านจือกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า "เอาล่ะ ป้าๆ และพี่ๆ ทั้งหลายเชิญออกไปก่อนเถอะ ข้าจะคุยธุระกับใต้เท
เสิ่นว่านจือตอบรับ "อืม ข้ากับหงเชวี่ยไปดูสักหน่อย เจ้าไม่ต้องกังวล"ซ่งซีซีดึงนางให้นั่งลงแล้วพูดว่า "มีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าต้องบอกเจ้าล่วงหน้าเพื่อที่เจ้าจะได้เตรียมใจไว้"เสิ่นว่านจือนั่งลง "จริงจังขนาดนี้เลยหรือ จะขู่ใครกัน เรื่องอะไร ว่ามาเร็ว!"ซ่งซีซีช่วยจับหมวกให้ตรง ยังไม่ค่อยชินกับมันเลย "ตอนนี้ทางจวนองค์หญิงใหญ่ถือว่าพังแล้ว พวกของอ๋องเยี่ยนต้องการสืบข่าวเกี่ยวกับองค์หญิงใหญ่อย่างแน่นอน อย่างเช่นว่านางได้สารภาพหรือไม่ ไม่ว่าเคยไปมาหาสู่กับขุนนางผู้ใดในราชสำนักก็ไม่กล้าไปหาในตอนนี้แล้ว ข้าว่าลูกพี่ลูกน้องคนนั้นของเจ้าจะมาหาเจ้านะ"เสิ่นว่านจือพูดอย่างเย็นชา "นางอย่าคิดจะได้ข้อมูลจากข้าแม้แต่คำเดียว เจ้าไม่ต้องกังวลว่าข้าจะพูดหลุดปาด ด้วยสมองของนางก็หลอกข้าไม่ได้หรอก"หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง นางก็หันศีรษะ "เจ้าอยากให้ข้าไปตีสนิทกับนางเพื่อสืบข่าวจากปากนางเหรอ?"ซ่งซีซีกล่าวว่า "ไม่ ก่อนหน้านี้เจ้าเคยปฏิบัติต่อนางอย่างไรตอนนี้ก็ทำอย่างนั้น ไม่ต้องเปลี่ยน นางจะมาหาเจ้าพร้อมกับชายารองจินแน่นอน ชายารองจินเป็นคนระมัดระวังและอ่อนไหว ตราบใดที่เจ้าแสดงความสงสัยกับจวนอ๋องเยี่ยนแม้แ
เรือนดอกบ๊วยเกิดโกลาหล เสิ่นว่านจือดุกุ้นเอ๋อร์จนเขาวิ่งหนีไป เป่าจูและป้าหยินรีบต้มไข่เพื่อช่วยลดอาการบวมที่แก้มและเบ้าตาของพวกนางได้ผลเลย เพราะใบหน้าได้ทาแบ้งไว้แล้ว ใบหน้าของเสิ่นว่านจือดูไม่ช้ำแล้ว แต่เบ้าตาของพระชายาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำเป่าจูบอกว่าอยากจะทาแป้งให้นาง แต่ซ่งซีซีก็สะบัดมือ "เป็นเรื่องตลก เคยเห็นราชการผู้ใดในราชสำนักได้แต่งหน้าทาแป้งด้วยล่ะ ออกไปเลย""แต่ดวงตาของท่านดูเหมือนจะดูเล็กไปนะ" เป่าจูพูดอย่างเป็นกังวล "ท่านยังต้องเข้าเฝ้านะ นี่ถือเป็นการเสียมารยาทหรือเปล่า?"ซ่งซีซีคิดว่ามันไม่เป็นอะไร เวลาไปเข้าเฝ้า นางก็มักจะก้มหน้าอยู่ จะไม่เงยหน้าสบตากับฮ่องเต้ ต่อให้เงยหน้าขึ้นมอง ด้วยระยะไกลเช่นนั้นมันมองเห็นได้ยากหรอกซ่งซีซีไปที่คอกม้าจูงสายฟ้าออกมาด้วยตนเอง และลูบหัวของสายฟ้า นางหรี่ตาข้างหนึ่งลง "สายฟ้าแสนดีของข้า จากนี้ไป เราจะไปยังสนามรบอีกแห่งหนึ่งแล้ว เราร่วมมือกันและสู้ไปด้วยกัน"สายฟ้าอยู่ในคอกม้ามานานเกินไปแล้ว ปกติแค่จูงมันออกไปเดินเล่นเฉยๆ บ้าง หากไม่มีเรื่องด่วน ซ่งซีซีจะออกไปโดยนั่งรถม้า และสายฟ้าจะไม่ใช้งานให้กับรถม้ามันส่งเสียงร้องและตีนดินด
ซ่งซีซีรีบโบกมืออย่างรวดเร็ว "วันนี้หม่อมฉันตื่นเช้าไปหย่อย มันมีเวลาเหลือเฟือก่อนที่ข้าจะมาเข้าเฝ้า เลยเล่นการต่อสู้กับคนในจวน ไม่ระวังจึงโดนต่อยไป"จักรพรรดิ์ซูชิงหัวเราะ "ตื่นเช้าขนาดนั้น ตื่นเต้นเหรอ กลัวว่าทำงานผู้บัญชาการกองทัพซวนเจียไม่ได้หรือ?"ซ่งซีซีกล่าวตามความจริง "รู้สึกตื่นเต้นจริงๆ หลักๆ ก็เพราะไม่มีประสบการณ์และกลัวว่าจะไม่สามารถทำงานได้ดีและทำให้ทุกคนผิดหวัง"จักรพรรดิ์ซูชิงมองดวงตาฟกช้ำดำเขียวของนาง และยังคงอยากจะหัวเราะเล็กน้อย แต่เนื่องจากต้องการกำชับนางสักหน่อย เขาจึงทำหน้าจริงจัง "เป็นข้าราชการสตรีคนแรกในราชวงศ์นี้ เป็นเรื่องจริง สิ่งที่เจ้าต้องเผชิญหน้าไม่เพียงแต่งานของผู้บัญชาการกองทัพซวนเจียเท่านั้น ยังมีความคาดหวังของไทเฮาที่มีต่อเจ้าและสตรีทั่วใต้หล้าที่คอยนับถือเจ้า ดังนั้น เมื่อคนอื่นเป็นผู้บัญชาการ พวกเขาก็ต้องทำงานให้เต็มที่ จงรักภักดีต่อจักรพรรดิและรักชาติ ส่วนเจ้าต้องระมัดระวังคำพูดและการกระทำในขณะเดียวกันก็ต้องทำงานให้ดีที่สุดด้วย มันค่อนข้างยากกว่าคนอื่น แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้"ซ่งซีซีพยักหน้า "หม่อมฉันรับทราบเพค่ะ หม่อมฉันจะทำให้ดีที่สุด จะไม่ทำ
นางไม่ได้ปฏิเสธ เพราะเห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ไม่ได้ขอความคิดเห็นจากนางจริงๆ เขาเทียบเท่ากับการออกคำสั่งโดยตรงแล้วให้นางได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการที่มีอำนาจ แต่ขณะเดียวกันก็เลื่อนตำแหน่งให้คนที่ไม่กินเส้นกันกับจวนเป่ยหมิงอ๋อง เพื่อให้นางและเซี่ยหลูโม่ไม่สบอารมณ์บางที ฮ่องเต้อาจคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะทำให้เขารู้สึกปลอดภัยกระมังซ่งซีซีถอยออกไป อู๋ต้าปั้นมองดูนางอย่างกังวล เขาไม่รู้ว่าพระชายาและท่านอ๋องจะรอดจากการทดสอบความไว้วางใจครั้งแล้วครั้งเล่าได้หรือไม่ในความเป็นจริง ฮ่องเต้สามารถแต่งตั้งจ้านเป่ยว่างได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านผู้บัญชาการซ่งเลยหากต้องการให้ผู้บังคับการซ่งโอนย้ายโดยตรง ก็ไม่จำเป็นต้องผ่านกระทรวงขุนนาง แค่แจ้งให้เขาทราบก็พอแต่เขาพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมสิ่งต่างๆ ให้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ซึ่งทำให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องรู้สึกไม่สบอารมณ์ รวมถึงจ้านเป่ยว่างด้วยหลังจากที่ซ่งซีซีออกจากวังก็ไปที่สำนักกองกำลังเมืองหลวง เนื่องจากวันนี้นางเข้ารับตำแหน่งเป็นทางการ ปี้หมิงและลู่เจิน หัวหน้าค่ายลาดตระเวนได้นำลูกน้องมารอนางอยู่ดีที่ทุกคนไม่ได้ใส่ใจกับดวงตาฟกช้ำดำเขียวของนางมากเกิ
เขาอายุประมาณสามสิบปี อวบ ไม่สูง แต่แข็งแรง มีสีหน้าค่อนข้างดูถูกไม่แยแสเขานำผู้คนไปข้างหน้าแสดงความเคารพ แต่สายตานั้นกลับเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง "ข้าติดธุระเลยมาสาย ผู้บัญชาการซ่งโปรดยกโทษให้ด้วย"ซ่งซีซีพยักหน้าเล็กน้อยและมองไปที่นายทหารยามทั้งสิบสองคนที่ยืนอยู่สองแถวด้านหลังเขา แค่มองดูก็รู้แล้วว่ามิใช่คนที่รับมือง่าย แต่ละคนทำท่ากำเริบเสิบสาน ไม่เห็นผู้บัญชาการหญิงอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำมีแม่ทัพแบบไหน ก็จะมีลูกน้องแบบนั้นด้วย"วันนี้ไม่มีอะไร แยดย้ายไปทำธุระของตน…"ก่อนที่ซ่งซีซีจะพูดจบ หวังเจิงก็พูดว่า "ในเมื่อไม่มีอะไร แล้วได้เจอหน้ากันแล้ว งั้นข้าขอตัวกลับก่อนนะ ธุระที่วังมีไม่น้อยเลย"หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็พาผู้คนออกไปโดยไม่สนใจซ่งซีซีเลยปี้หมิงขมวดคิ้วและตะโกนออกมาว่า "หวังเจิง!"หวังเจิงเมินเฉยเขา และจากไปโดยตรงปี้หมิงอธิบายอย่างช่วยไม่ได้กับซ่งซีซีว่า "ใต้เท้า หัวหน้าหวังเป็นคนเย็นชาและหยิ่งผยองหน่อย ไม่มีอะไรเลย อย่าไปถือสาเขาเลย"ซ่งซีซีฟังออกวว่าปี้หมิงค่อนข้างเขา ดังนั้นจึงไม่ว่าอะไร จากนั้นพูดต่อว่า "เอาล่ะ ไปหอต้าหลี่กันก่อน"วันนี้ทางหอต้าหลี่ยุ่งมากจร
เซี่ยหลูโม่ดึงนางเข้าตัวใกล้ แล้วลูบตาที่ช้ำของนางเบาๆ "เจ็บไหม?""นิดหน่อย" ซ่งซีซีกลักมือของเขาออกแล้วมองย้อนกลับไป โดยกลัวว่าจะมีใครอยู่ที่นั่น"ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครเข้ามาหรอก มันเพราะอะไร" เขาถามอย่างเป็นเจ็บใจซ่งซีซีว่านอำนาจมานอน ในที่สุดก็ได้ผ่อนคลายลง นั่งบนเก้าอี้แล้วนวดขอบตา ดูเหมือนบวมกว่ายามเช้านี้เลย ไอ้กุ้นเอ๋อร์ "ก็เช้านี้ฝึกซ้อมทักษะการต่อสู้กับว่านจือ ต่อมากุ้นเอ๋อร์ก็เข้ามา แล้วข้ากับว่านจือโดนเขาทำให้บาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ""เดี๋ยวจะหักเงินเขา" เซี่ยหลูโม่รู้สึกทั้งปวดใจและตลก ที่จริงแล้ว กุ้นเอ๋อร์มักจะเป็นคนจริงจัง แต่เมื่อเขาเล่นกับว่านจือและซีซี ท่าทางของเด็กชายที่ภูเขาเหม่ยชานก็กลับมาอีกครั้งซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "หักเงินเขาก็เท่ากับเอาชีวิตเขานะ เรื่องเงินไม่เท่าไร แต่โดนศิษย์พี่ซือโซรู้เข้าแล้วไปรายงานอาจารย์ของเขา หากอาจารย์ของเขารู้ว่าโดนปรับเงิน ต้องออกคำสั่งมาสั่งสอนเขาแน่ๆ เลย""แค่ขู่เขาน่ะ ไม่ได้จะลงโทษจริงๆ" เซี่ยหลูโม่รู้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดี และความสัมพันธ์ตั้งแต่วัยเด็กนี้ก็หายาก ดังนั้นเขาจะไม่ทำลายมันจริงๆ"เอาล่ะ มาเข้าประเด็นเลย"
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงประชุมหารือกับขุนนางในห้องทรงอักษรยาวนานจนถึงดึกดื่น สุดท้ายเป็นหมอมหัศจรรย์ดันที่ต้องเข้าไปขัดจังหวะ แจ้งว่าดึกมากแล้ว พระองค์ถึงกับเหยียดพระกรพลางแย้มพระสรวล “ถึงกับดึกเพียงนี้แล้วรึ? เช่นนั้นก็เลิกประชุมเถิด ประตูวังใกล้จะปิดแล้ว”แม้จะเป็นช่วงเวลาดึกมากแล้ว แต่พระองค์กลับยังดูสดชื่น โดยเฉพาะบนพระพักตร์ที่มีเลือดฝาดขึ้น ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้ที่ประชวรเลยซ่งซีซีรอให้เซี่ยหลูโม่ประชุมเสร็จ ก่อนจะออกจากวังกลับจวนพร้อมกันนางอ่อนล้ามาก พิงไหล่ของเซี่ยหลูโม่แล้วเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัวเมื่อรถม้ามาถึงหน้าจวน เซี่ยหลูโม่อุ้มนางขึ้นมา ซ่งซีซีรับรู้ได้รางๆ แต่ก็ขี้เกียจจะตื่น เลยปล่อยให้เขาอุ้มเข้าไป อ้อมแขนอบอุ่นแข็งแกร่งช่างสบายเหลือเกินตลอดสามเดือนที่ผ่านมา นอกจากตอนอยู่ที่ด่านเฉิงหลิง นางแทบไม่มีคืนไหนที่สามารถนอนหลับได้อย่างสนิทใจ แต่เมื่อกลับถึงจวน ก็รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์ ดำดิ่งสู่ห้วงนิทราลึกทว่า…นอนหลับไปก็ยังรู้สึกว่ามีมือร้อนจัดคู่หนึ่งลูบไล้ไปทั่วร่างนางยังคงหลับตา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “ลืมที่ท่านลุงดันบอกไปแล้วหรือ?”เสียงร้อนผ่าวกระซิบข
วันที่ 15 เดือนสิบ คณะทูตจึงเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงในที่สุดกองทัพซวนเจียได้รับคำสั่งให้แยกย้ายไปพักก่อน ขณะที่หลี่เต๋อฮวยและขุนนางจากสำนักหงหลู่ต้องเข้าเฝ้าพระองค์เพื่อถวายรายงาน ส่วนฉินอ๋องที่ตลอดทางอ่อนแอราวกับช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ตอนนี้กลับกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที กล่าวว่าจะเข้าเฝ้าพร้อมกับพวกเขาด้วยส่วนซ่งซีซีนั้น ถูกเซี่ยหลูโม่ที่เฝ้ารออยู่ที่ประตูเมืองรับตัวกลับจวนไปก่อนแล้วช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาสั่งให้คนคอยเฝ้ารอที่ประตูเมืองทุกวัน บางครั้งตอนพักกลางวันก็ยังมารอด้วยตนเอง และวันนี้ก็บังเอิญได้พบกันจริงๆขณะที่หลี่เต๋อฮวยและคนอื่นๆเข้าเฝ้าในวัง ซ่งซีซีก็ได้เข้าไปคารวะฮุ่ยไท่เฟยก่อนแล้วเมื่อฮุ่ยไท่เฟยรู้ว่านางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ก็ให้รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซ่งซีซีและเซี่ยหลูโม่ถวายคำนับก่อนออกไป และกลับไปยังเรือนเหมยฮวาหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ริมฝีปากของนางกลับดูบวมขึ้นเล็กน้อย รุ่ยจูที่เห็นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเหลือบมองไปทางท่านอ๋อง พระชายาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ท่านอ๋องยืนกรานจะปรนนิบัติด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนจะปรนนิบัติได้ไม่ดีเท่าไรน
เมื่อได้พักฟื้นอยู่ห้าวันที่ด่านเฉิงหลิง ฉินอ๋องก็ฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อฉินอ๋องหายดี ก็ถึงเวลาต้องออกเดินทางกลับเมืองหลวงแม้จะอาลัยเพียงใด ซ่งซีซีก็ทำได้เพียงกลั้นน้ำตากล่าวคำอำลา นางคุกเข่าคารวะต่อหน้าแม่ทัพใหญ่เซียวอยู่หลายครั้ง จนแทบจะทำให้ท่านน้ำตาคลอหลี่เต๋อฮวยเป็นผู้ที่เคารพนับถือแม่ทัพใหญ่เซียวที่สุด เมื่อซ่งซีซีเพียงแค่น้ำตาคลอ แต่เขากลับปิดหน้าและร้องไห้ออกมาเต็มที่ เพราะเขารู้ว่า บางทีตลอดชีวิตนี้ อาจไม่มีโอกาสได้พบกับท่านแม่ทัพผู้เฝ้ารักษาด่านเฉิงหลิงมาเป็นสิบๆ ปีอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวเข้าสู่วัยชราโดยสมบูรณ์ เมื่อมองดูอีกครั้งก็ดูแก่ชรากว่าครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าฮ่องเต้จะพระราชทานอนุญาตให้ท่านกลับเมืองหลวงได้ แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยากลำบาก ทายาทตระกูลเซียวก็คงไม่ยอมให้ท่านเดินทางกลับอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวสนทนากับหลี่เต๋อฮวยอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าแทนที่จะบรรเทาความรู้สึกของเขา กลับทำให้เขาร้องไห้หนักกว่าเดิมเสียอีกด้านนางหนานผู้เป็นป้าใหญ่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยถามถึงเรื่องของ พระชายาอ๋องฮวยเลย จนกระทั่งถึงเวลาต้องอำลากัน นางจึงดึงซ่งซีซีไปค
การเดินทางกลับเริ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนเก้าอากาศไม่ร้อนจัดอีกต่อไป เริ่มมีความเย็นสบายแผ่วเบาซูลันจีนำทัพออกมาส่งด้วยตัวเอง พาพวกเขาไปจนถึงเมืองลู่เปินเอ่อร์ตลอดเส้นทางขากลับ ไม่มีการลอบสังหารเกิดขึ้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อข้ามภูเขาสลับซับซ้อนมาได้ ก็เข้าสู่เขตแดนของแคว้นซางเดิมทีพวกเขาไม่ได้แจ้งแม่ทัพใหญ่เซียวล่วงหน้า คิดว่าคงไม่มีใครมารับ แต่ทันทีที่เข้าสู่ชายแดนแคว้นซาง ก็พบว่าจ้านเป่ยว่างนำทัพเซียวเจียจวินรออยู่ที่นั่นเมื่อเห็นว่าพวกเขากลับมาโดยปลอดภัย จ้านเป่ยว่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด เขากระตุ้นม้าเข้ามาใกล้ ก่อนลงจากหลังม้าแล้วทำความเคารพฉินอ๋อง หลี่เต๋อฮวยและขุนนางท่านอื่นๆ “ท่านอ๋อง เสนาบดีหลี่ ท่านขุนนางทั้งหลาย แม่ทัพใหญ่เซียวสั่งให้ข้านำทัพมาคอยเฝ้ารอที่นี่ทุกวัน เพื่อคุ้มกันพวกท่านกลับไปยังเฉิงหลิงกวน”หลี่เต๋อฮวยเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แม่ทัพใหญ่รู้ได้อย่างไรว่าพวกเราจะกลับมาวันนี้?”จ้านเป่ยว่างตอบว่า “แม่ทัพใหญ่ไม่ทราบ เพียงแต่สั่งให้ข้าและกองทัพมาเฝ้าอยู่ที่นี่ทุกวัน”“ที่แท้เป็นเช่นนี้” หลี่เต๋อฮวยรู้สึกว่าแม่ทัพใหญ่เซียวเป็นคนรอบคอบย
อันเฟิงชินอ๋องกล่าวว่า “การเดินทางครั้งนี้ มิใช่เพียงเพื่อซีจิงและแคว้นซาง แต่ก็เพื่อเป่ยถังของเราด้วย มิจำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ ระหว่างแคว้นต่อแคว้น สิ่งที่มาก่อนคือผลประโยชน์ มีเพียงความสัมพันธ์ส่วนตัวเท่านั้น ที่จะสามารถปฏิบัติต่อกันด้วยใจจริง”ซ่งซีซีรับคำสอน แต่ก็นึกสงสัย จึงเอ่ยถามว่า “ท่านเคยรู้จักอาจารย์เหรินหยางอวิ๋นของข้าหรือไม่?”อันเฟิงชินอ๋องหัวเราะเบาๆ “รู้จัก เขาเคยมาเยือนเป่ยถัง และเคยพำนักอยู่ที่ไจ้ซิงโหลวอยู่ช่วงหนึ่ง แม่ทัพองครักษ์เงาของข้า ‘เฮยอิ่ง’ สนิทสนมกับอาจารย์ของเจ้ามาก พวกเขามักดื่มสุราด้วยกันเป็นประจำ”“เช่นนี้เองหรือ” ซ่งซีซีนึกถึงบรรดาผู้สวมชุดดำพวกนั้น ไม่รู้ว่าคนไหนคือเฮยอิ่ง หากไม่ได้พบหน้าสักครั้ง คงเป็นเรื่องน่าเสียดายอันเฟิงชินอ๋องคล้ายจะมองออกถึงความคิดของนาง ยิ้มพลางกล่าวว่า “อีกสามปี หรืออาจห้าปี พวกเราจะไปเยือนแคว้นซาง ถึงตอนนั้น ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับเฮยอิ่ง”ซ่งซีซีกำลังจะกล่าวขอบคุณ ทว่าเสิ่นว่านจือก็ถามขึ้นก่อน “เหตุใดต้องเป็นสามปีหรือห้าปี? ไปเร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ? พวกเราตั้งตารอให้ท่านกับพระชายามาเยือน”อันเฟิงชินอ๋องเพียงยิ้ม แต่
หลังจากเดินสำรวจอยู่สองวัน ซูลันจีก็กล่าวกับซ่งซีซีว่า “แคว้นของท่านมีหมอเทวดาผู้หนึ่ง นามว่าหมอมหัศจรรย์ดัน เขาได้คิดค้นยาชนิดหนึ่งชื่อว่ายาดันเสวี่ย ซึ่งมีสมุนไพรสำคัญชนิดหนึ่งเป็นส่วนประกอบ นั่นคือเสวี่ยเหอฮวา ทว่าแคว้นของท่านผลิตได้น้อยมาก หนานเจียงเองก็มี แต่เติบโตอยู่บนยอดเขาหิมะ เก็บเกี่ยวได้ยากยิ่ง และมีปริมาณน้อย แต่ในซีจิงของเรา เสวี่ยเหอฮวามิใช่ของหายาก บนภูเขาสูงสามารถพบเห็นได้ทั่วไป หมอมหัศจรรย์ดันที่ใช้สมุนไพรชนิดนี้ ต้องลักลอบซื้อจากพ่อค้ายาในซีจิง ราคาจึงแพงมาก ด้วยต้นทุนขนาดนี้ ขายยาดันเสวี่ยไปหนึ่งเม็ด เขาก็ขาดทุนหนึ่งเม็ด”ซ่งซีซีทราบดีว่ายาดันเสวี่ยเป็นยาที่หายาก เนื่องจากมีสมุนไพรบางชนิดที่หาไม่ครบ แต่ท่านลุงดันก็ไม่เคยบอกอย่างชัดเจนว่าสมุนไพรตัวใดที่ขาดอย่างไรก็ตาม หากเขาต้องซื้อยาจากพ่อค้าชาวซีจิง ก็สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงต้องปิดเป็นความลับ เพราะก่อนหน้านี้ ซีจิงและแคว้นซางมิได้มีการค้าขายกันโดยตรง โดยเฉพาะสมุนไพร ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษซูลันจีและจักรพรรดินีหยวนซินต่างคิดไปในทิศทางเดียวกัน พวกเขาสืบเรื่องนี้อย่างละเอียดขนาดนี้ นั่นหมายความว่าพวกเขาต
ตำแหน่งที่เขานั่ง แสดงถึงจุดยืนของเป่ยถังในการเจรจาครั้งนี้!เป็นกลาง!ซ่งซีซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอีกครั้งว่า การที่แคว้นเข้มแข็งนั้นดีเพียงใดการเจรจาในช่วงแรกเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ คำพูดซ้ำไปซ้ำมา ถูกเน้นย้ำไม่รู้จบ ล่ามของทั้งสองฝ่ายทำหน้าที่แปล โดยส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงปัญหาทางประวัติศาสตร์นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเริ่มต้นด้วยการยอมถอยแต่แรก ก็จะต้องถอยไปเรื่อยๆดังนั้น การเจรจาครั้งแรกจึงไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เป็นเพียงการลองเชิงขีดจำกัดของกันและกันในวันรุ่งขึ้น การเจรจาครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น ตอนแรกก็ยังคงเน้นย้ำเรื่องเดิมสองรอบ จนกระทั่งอันเฟิงชินอ๋องเอ่ยขึ้นว่า “ถ่วงเวลาเช่นนี้ไม่มีความหมาย สองแคว้นของพวกเจ้าโต้เถียงกันเรื่องพรมแดนมาหลายสิบปีแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะสามารถแก้ไขได้ในวันเดียว เราพักเรื่องพรมแดนไว้ก่อน ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้ามีความตั้งใจจะทำสัญญาสันติระหว่างสองแคว้นหรือไม่ และจะไม่ละเมิดต่อกัน?”ทุกคนล้วนให้คำตอบที่แน่ชัด ต่างกล่าวว่าตนมาโดยมีความหวังที่ดี อยากให้สองแคว้นยุติความขัดแย้งอันเฟิงชินอ๋องหยิบแผ่นรายการออกมาแผ่นหนึ่ง บนกระดาษระบุรายการสินค้าของ
ทว่า ซ่งซีซีสังเกตเห็นว่าบรรดาญาติวงศ์ตระกูลและขุนนางของซีจิงดูเหมือนไม่รู้เรื่องที่เป่ยถังจะเข้ามาแทรกแซงการเจรจา พวกเขาล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงหลังจากตกตะลึง พวกเขากลับแสดงความยินดีและมั่นใจออกมา คิดดูแล้วพวกเขาก็คงเห็นว่าการที่เป่ยถังเข้าร่วมเป็นการช่วยหนุนหลังซีจิงเห็นเช่นนี้ซ่งซีซีกลับรู้สึกวางใจขึ้นเล็กน้อยเพราะหากเป็นเช่นนั้นจักรพรรดินีหยวนซินย่อมสามารถแจ้งพวกเขาล่วงหน้าได้ อย่างน้อยก็ควรให้ขุนนางที่ร่วมเจรจารับรู้แต่นางเหตุใดจึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้เล่าดูเหมือนว่ามีเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียว นางเองก็หวังให้ต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนปรนกัน อีกทั้งบรรดาขุนนางในราชสำนักที่สนับสนุนนางนั้นมีไม่มาก ดังนั้นนางจึงเชิญเป่ยถังอันเฟิงชินอ๋องมา เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับได้เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าคืนก่อนที่จักรพรรดินีหยวนซินเรียกนางและเสิ่นว่านจือเข้าเฝ้าในวัง เหตุใดนางจึงกล่าวถ้อยคำว่าความปรารถนามิอาจเป็นจริง การสอบเข้ารับราชการของสตรีเป็นเพียงตัวอย่างที่ยกขึ้นมา นางต้องการสื่อว่าหลายๆ นโยบายล้วนผลักดันได้ยากหลังจากวิเคราะห์เหตุการณ์โดยละเอียดซ่งซีซีพลันรู้สึกมองโลกในแง่ดีขึ้นหลังจากง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็