ซ่งซีซีรีบโบกมืออย่างรวดเร็ว "วันนี้หม่อมฉันตื่นเช้าไปหย่อย มันมีเวลาเหลือเฟือก่อนที่ข้าจะมาเข้าเฝ้า เลยเล่นการต่อสู้กับคนในจวน ไม่ระวังจึงโดนต่อยไป"จักรพรรดิ์ซูชิงหัวเราะ "ตื่นเช้าขนาดนั้น ตื่นเต้นเหรอ กลัวว่าทำงานผู้บัญชาการกองทัพซวนเจียไม่ได้หรือ?"ซ่งซีซีกล่าวตามความจริง "รู้สึกตื่นเต้นจริงๆ หลักๆ ก็เพราะไม่มีประสบการณ์และกลัวว่าจะไม่สามารถทำงานได้ดีและทำให้ทุกคนผิดหวัง"จักรพรรดิ์ซูชิงมองดวงตาฟกช้ำดำเขียวของนาง และยังคงอยากจะหัวเราะเล็กน้อย แต่เนื่องจากต้องการกำชับนางสักหน่อย เขาจึงทำหน้าจริงจัง "เป็นข้าราชการสตรีคนแรกในราชวงศ์นี้ เป็นเรื่องจริง สิ่งที่เจ้าต้องเผชิญหน้าไม่เพียงแต่งานของผู้บัญชาการกองทัพซวนเจียเท่านั้น ยังมีความคาดหวังของไทเฮาที่มีต่อเจ้าและสตรีทั่วใต้หล้าที่คอยนับถือเจ้า ดังนั้น เมื่อคนอื่นเป็นผู้บัญชาการ พวกเขาก็ต้องทำงานให้เต็มที่ จงรักภักดีต่อจักรพรรดิและรักชาติ ส่วนเจ้าต้องระมัดระวังคำพูดและการกระทำในขณะเดียวกันก็ต้องทำงานให้ดีที่สุดด้วย มันค่อนข้างยากกว่าคนอื่น แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้"ซ่งซีซีพยักหน้า "หม่อมฉันรับทราบเพค่ะ หม่อมฉันจะทำให้ดีที่สุด จะไม่ทำ
นางไม่ได้ปฏิเสธ เพราะเห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ไม่ได้ขอความคิดเห็นจากนางจริงๆ เขาเทียบเท่ากับการออกคำสั่งโดยตรงแล้วให้นางได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการที่มีอำนาจ แต่ขณะเดียวกันก็เลื่อนตำแหน่งให้คนที่ไม่กินเส้นกันกับจวนเป่ยหมิงอ๋อง เพื่อให้นางและเซี่ยหลูโม่ไม่สบอารมณ์บางที ฮ่องเต้อาจคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะทำให้เขารู้สึกปลอดภัยกระมังซ่งซีซีถอยออกไป อู๋ต้าปั้นมองดูนางอย่างกังวล เขาไม่รู้ว่าพระชายาและท่านอ๋องจะรอดจากการทดสอบความไว้วางใจครั้งแล้วครั้งเล่าได้หรือไม่ในความเป็นจริง ฮ่องเต้สามารถแต่งตั้งจ้านเป่ยว่างได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านผู้บัญชาการซ่งเลยหากต้องการให้ผู้บังคับการซ่งโอนย้ายโดยตรง ก็ไม่จำเป็นต้องผ่านกระทรวงขุนนาง แค่แจ้งให้เขาทราบก็พอแต่เขาพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมสิ่งต่างๆ ให้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ซึ่งทำให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องรู้สึกไม่สบอารมณ์ รวมถึงจ้านเป่ยว่างด้วยหลังจากที่ซ่งซีซีออกจากวังก็ไปที่สำนักกองกำลังเมืองหลวง เนื่องจากวันนี้นางเข้ารับตำแหน่งเป็นทางการ ปี้หมิงและลู่เจิน หัวหน้าค่ายลาดตระเวนได้นำลูกน้องมารอนางอยู่ดีที่ทุกคนไม่ได้ใส่ใจกับดวงตาฟกช้ำดำเขียวของนางมากเกิ
เขาอายุประมาณสามสิบปี อวบ ไม่สูง แต่แข็งแรง มีสีหน้าค่อนข้างดูถูกไม่แยแสเขานำผู้คนไปข้างหน้าแสดงความเคารพ แต่สายตานั้นกลับเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง "ข้าติดธุระเลยมาสาย ผู้บัญชาการซ่งโปรดยกโทษให้ด้วย"ซ่งซีซีพยักหน้าเล็กน้อยและมองไปที่นายทหารยามทั้งสิบสองคนที่ยืนอยู่สองแถวด้านหลังเขา แค่มองดูก็รู้แล้วว่ามิใช่คนที่รับมือง่าย แต่ละคนทำท่ากำเริบเสิบสาน ไม่เห็นผู้บัญชาการหญิงอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำมีแม่ทัพแบบไหน ก็จะมีลูกน้องแบบนั้นด้วย"วันนี้ไม่มีอะไร แยดย้ายไปทำธุระของตน…"ก่อนที่ซ่งซีซีจะพูดจบ หวังเจิงก็พูดว่า "ในเมื่อไม่มีอะไร แล้วได้เจอหน้ากันแล้ว งั้นข้าขอตัวกลับก่อนนะ ธุระที่วังมีไม่น้อยเลย"หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็พาผู้คนออกไปโดยไม่สนใจซ่งซีซีเลยปี้หมิงขมวดคิ้วและตะโกนออกมาว่า "หวังเจิง!"หวังเจิงเมินเฉยเขา และจากไปโดยตรงปี้หมิงอธิบายอย่างช่วยไม่ได้กับซ่งซีซีว่า "ใต้เท้า หัวหน้าหวังเป็นคนเย็นชาและหยิ่งผยองหน่อย ไม่มีอะไรเลย อย่าไปถือสาเขาเลย"ซ่งซีซีฟังออกวว่าปี้หมิงค่อนข้างเขา ดังนั้นจึงไม่ว่าอะไร จากนั้นพูดต่อว่า "เอาล่ะ ไปหอต้าหลี่กันก่อน"วันนี้ทางหอต้าหลี่ยุ่งมากจร
เซี่ยหลูโม่ดึงนางเข้าตัวใกล้ แล้วลูบตาที่ช้ำของนางเบาๆ "เจ็บไหม?""นิดหน่อย" ซ่งซีซีกลักมือของเขาออกแล้วมองย้อนกลับไป โดยกลัวว่าจะมีใครอยู่ที่นั่น"ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครเข้ามาหรอก มันเพราะอะไร" เขาถามอย่างเป็นเจ็บใจซ่งซีซีว่านอำนาจมานอน ในที่สุดก็ได้ผ่อนคลายลง นั่งบนเก้าอี้แล้วนวดขอบตา ดูเหมือนบวมกว่ายามเช้านี้เลย ไอ้กุ้นเอ๋อร์ "ก็เช้านี้ฝึกซ้อมทักษะการต่อสู้กับว่านจือ ต่อมากุ้นเอ๋อร์ก็เข้ามา แล้วข้ากับว่านจือโดนเขาทำให้บาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ""เดี๋ยวจะหักเงินเขา" เซี่ยหลูโม่รู้สึกทั้งปวดใจและตลก ที่จริงแล้ว กุ้นเอ๋อร์มักจะเป็นคนจริงจัง แต่เมื่อเขาเล่นกับว่านจือและซีซี ท่าทางของเด็กชายที่ภูเขาเหม่ยชานก็กลับมาอีกครั้งซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "หักเงินเขาก็เท่ากับเอาชีวิตเขานะ เรื่องเงินไม่เท่าไร แต่โดนศิษย์พี่ซือโซรู้เข้าแล้วไปรายงานอาจารย์ของเขา หากอาจารย์ของเขารู้ว่าโดนปรับเงิน ต้องออกคำสั่งมาสั่งสอนเขาแน่ๆ เลย""แค่ขู่เขาน่ะ ไม่ได้จะลงโทษจริงๆ" เซี่ยหลูโม่รู้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดี และความสัมพันธ์ตั้งแต่วัยเด็กนี้ก็หายาก ดังนั้นเขาจะไม่ทำลายมันจริงๆ"เอาล่ะ มาเข้าประเด็นเลย"
แม่นมฝางอายุมากแล้ว ถูกแยกจากหัวหน้าคนอื่นๆ และถูกขังอยู่ในห้องขังเล็กๆ ตามลำพัง ซึ่งค่อนข้างสะอาดเมื่อเทียบกับห้องขังอื่นๆตั้งแต่นางเข้ามาหอต้าหลี่ ก็ไม่กินอะไรทั้งนั้นและไม่พูดด้วยเฉินยีได้ไปถามนางด้วยตนเอง ชักชวนให้นางกินอะไรสักหน่อย แต่นางกลับนอนอยู่ในห้องขัง ดูเหมือนกำลังรอความตายอยู่ในความเป็นจริง เซี่ยหลูโม่ก็รู้ด้วยว่านางจะไม่พูดอะไรที่ไม่ดีต่อองค์หญิงใหญ่ นางเลี้ยงดูองค์หญิงใหญ่มาตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์นี้นี้มันไม่ใช่อค่เจ้านายกับคนใช้แล้ว ที่ผ่านมาคนข้างกายขององค์หญิงใหญ่เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่ยังเฝ้าอยู่เคียงข้างองค์หญิงใหญ่ด้วยเหตุนี้ นางจึงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับองค์หญิงใหญ่แม้กระทั่งมีสิ่งเลวร้ายมากมายก็ได้ผ่านมือของนางด้วยซ้ำเซี่ยหลูโม่บอกกับซ่งซีซีว่า "วันนี้เฉินยีสอบปากคำตู้ฉินแล้ว โดยบอกว่าเดิมทีองค์หญิงใหญ่ ได้ออกคำสั่งให้ใบหน้าของท่านอาเจ้าเสียโฉมแล้วค่อยสังหารครอบครัวของพวกเขา แต่เป็นเพราะแม่นมฝางรั้งเรื่องนี้ไว้ ไม่ให้ตู้ฉินไปปฏิบัติตามคำสั่งนี้ มิฉะนั้นครอบครัวพวกเขาคงไปกันหมดแล้ว"ซ่งซีซีพูดด้วยความโกรธ "นางมันบ้าจริงๆ ใช้ทุ
ดวงตาของนางเย็นชา ราวกับบ่อน้ำแห้งสองแห่ง ไม่มีแสงประกายแต่งอย่างใด แล้วจ้องมองที่ซ่งซีซีทั้งอย่างนั้นซ่งซีซีก็มองดูนางเช่นกัน นางเคยเห็นแม่นมฝางมาก่อนตอนที่ไปจวนองค์หญิงใหญ่ ในเวลานั้น นางสวมชุดผ้าแพรสีฟ้า และความแข็งแกร่งซ่อนอยู่ในทุกริ้วรอยบนใบหน้าของนาง ทำให้คนอื่นมากมายหวาดกลัวแต่ตอนนี้ เสื้อผ้าสีครามของนางมีรอยย่น ผมยุ่งเหยิง ปิ่นปักผมเอียงไม่เป็นท่า ถุงใต้ตาบวมหนักมาก จุดด่างดำบนใบหน้าก็ชัดเจนขึ้นมาก และนางผอมมากความกังวลบวกกับอดอาหารทำให้นางซูบผอม และผอมจนแทบจะมีรูปร่างไม่น่ามองเลยดูเหมือนว่านางจะไม่สนใจสิ่งใดอื่นเลย และกำลังรอความตาย แต่จริงๆ แล้วนางกระวนกระวายใจมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่ตกอยู่สภาพแก่เฒ่าจนไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้อย่างกะทันหันเฉินยีไปคุยกับนาง แต่นางไม่พูดอะไรสักคำหรือไม่แม้แต่มองเฉินยีด้วยซ้ำตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับซ่งซีซี นางกลับพูดก่อนว่า "อย่าหวังว่าจะได้ยินคำพูดที่ไม่ดีต่อองค์หญิงจากปากของข้าแม้แต่คำเดียว แนะนำเจ้าอย่าเสียเวลาเลย"ซ่งซีซีกล่าวว่า "ตู้ฉินบอกว่าเจ้าเป็นคนช่วยชีวิตครอบครัวของท่านอาข้า หากไม่ได้เจ้า ครอบครัวของท่านอาข้าก็ไม่อยู่แล้ว สำหรับเร
ซ่งซีซีไม่คิดว่าคำพูดเหล่านี้ไร้สาระน่าขำ แต่กลับรู้สึกน่าเศร้า ไม่ว่าตอนนี้แม่นมฝางจะคิดอย่างไร สามารถยืยยันได้ว่าก่อนหน้านี้นางก็เคยคิดเช่นนั้นจริงๆซ่งซีซีไม่ได้ไปโต้แย้งกับคำพูดของแม่นมฝาง เพราะจากการที่นางแอบปล่อยให้ครอบครัวของท่านอาโดยไม่ให้องค์หญิงใหญ่รู้ ก็รู้ว่าความคิดของนางแตกต่างออกไปจากเมื่อก่อนแล้ว ที่นางพูดเช่นนี้ในตอนนี้ไม่ได้คิดจะโน้มน้าวใคร แต่เพื่อโน้มน้าวตัวเธอก็เท่านั้น"ได้ ในเมื่อทั้งหมดเป็นฝีมือของแม่นมและตู้ฉิน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์หญิงใหญ่ งั้นแม่นมช่วยบอกทีว่ามีผู้หญิที่ถูกลักพาตัวไปที่จวนองค์หญิงใหญ่ด้วยมือของเจ้ามีกี่คนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีกี่คนที่เสียชีวิต และจำนวนเด็กผู้ชายที่เสียชีวิตมีกี่คน"แม่นมฝางเงียบ แต่สีหน้ากลับดูหม่นหมองเล็กน้อยซ่งซีซีกล่าวต่อว่า "พวกเขาตายแล้ว แม่นมก็ต้องคืนความยุติธรรมให้พวกเขาสิ และให้พ่อแม่และญาติของผู้หญิงที่ถูกลักพาตัวเหล่านั้นรู้ว่าพวกเขาไม่ต้องพยายามค้นหาอีกต่อไป นอกจากนี้ องค์หญิงใหญ่ก่ออาชญากรรมร้ายแรงในข้อหากบฏ ไม่สามารถรอดชีวิตได้หรอก หากเจ้ายอมบอกตัวตนของสตรีเหล่านั้นออกมาให้ก็ถือว่าช่วยทำบุญให้นางแล้ว"
หลังจากที่ซ่งซีซีได้ยินคำพูดเหล่านี้ เปลวไฟแห่งความโกรธเกรี้ยวก็แทบจะกลืนนางลงไป รายละเอียดนั้นน่าสะเทือนใจที่สุดแต่นางพยายามระงับความโกรธอย่างเต็มที่และไม่แสงดออก นางแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้าน ตั้งสติฟังนางพูดอย่างใจเย็น ยิ่งนางพูดมากเท่าไร ก็สามรถพบหลักฐานจากคำสารภาพของนางมากยิ่งขึ้นเท่านั้น จะสามารถใช้ประโยคตอนที่สอบปากคำองค์หญิงใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นความผิดฐานกบฏหรือความผิดฐานทำร้ายสตรี นางก็หนีไม่พ้นหรอก"ข้ารู้ว่าคราวนี้องค์หญิงจะไม่มีทางรอด แต่นางเคยเป็นเด็กสาวที่ร่าเริงและมีชีวิตชีวาเช่นนั้น ได้สูงศักดิ์อย่างยิ่ง ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ก็ต่อแถวให้นางเลือกตามอำเภอใจ ทว่านางกลับตกหลุมรักกับซ่งฮวยอันผู้เป็นนักรบตั้งแต่แรกพบ และซ่งฮวยอันกลับไม่ได้ชอบนางอีก ...ในตอนแรก ข้าแค่อยากทำให้องค์หญิงมีความสุข"แม่นมฝางที่จมอยู่กับความทรงจำของนาง โดยไม่สนใจอีกต่อไปว่าคนตรงหน้าคือใคร นางเก็บงำคำพูดเหล่านี้ไว้นานเกินไป นางก็อยยากจะระบายสักหน่อย อายุเยอะแล้วใจมันก็อ่อนลง เรื่องที่ก่อนหน้านี้ทำจนชินนั้นพอหวนคิดดูในตอนนี้กลับรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นด้วยคำพูดของนางไม่ได้เรียงตามลำดับ แค่นึกถึงอะไรก็พูดไ
ภายใน ตำหนักฉางชุน มังกรดินใต้พื้นถูกจุดให้ความอบอุ่นทั่วทั้งห้อง ซ่งซีซีถอดเสื้อคลุมออก แล้วนั่งรออยู่ครู่ใหญ่ เมื่อมาถึง นางกำนัลได้แจ้งว่าฮองเฮาเสด็จกลับไปเปลี่ยนเครื่องทรง ให้รอสักครู่ นางจึงนั่งรอโดยมิได้เร่งรีบ ขณะเดียวกัน ฉีฮองเฮากำลังกินรังนกอยู่ในตำหนักบรรทม นางไม่พอใจนักที่หลานเจี่ยนกูกูเร่งเร้าให้รีบออกไป นางกล่าวด้วยน้ำเสียงรำคาญ “ให้นางรอหน่อยแล้วอย่างไร?” หลานเจี่ยนกูกูเอ่ยเกลี้ยกล่อม “ฮองเฮา ท่านทรงกล่าวมาตลอดว่า ไม่ควรทำให้พระชายาอ๋องขุ่นเคือง บัดนี้เมื่อทรงเชิญนางมาแล้ว ก็ควรพูดจากันดีๆ อธิบายเรื่องเข้าใจผิดให้กระจ่าง เรื่องก็จะจบลง” ฮองเฮาหัวเราะเยาะตนเอง ก่อนจะกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่เจ้าเองก็ได้ยินว่าตอนที่ข้าขอตัวออกมา ฮ่องเต้ตรัสว่าอะไร พระองค์ตรัสว่า ต่อให้ซ่งซีซีจะตีหรือด่าข้า ข้าก็ต้องอดทนรับไว้ พระองค์มิได้เห็นข้าเป็นฮองเฮาเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่อยากให้คนที่อยู่ในดวงใจของพระองค์ได้ระบายความโกรธออกมา” ฮองเฮา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บช้ำ ดันถ้วยรังนกออกไป น้ำตาหยดแหมะลงบนโต๊ะ “เขาทรงป่วยจนเลอะเลือนไปแล้ว หรือแท้จริงทรงโปรดปรานซ่ง
ปีนี้ งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าในวัง เงียบเหงากว่าปีที่แล้วมาก ฮองเฮา แม้จะได้รับอนุญาตให้พ้นโทษกักบริเวณเป็นเวลา หนึ่งวัน แต่นางกลับแทบไม่ได้พูดอะไรเลย ดูท่าทางเหมือนมีเรื่องในใจมากมาย แม้แต่เหล่าพระโอรสพระธิดาที่เข้ามาทักทาย นางก็เพียงรับคำอย่างเรียบเฉย จักรพรรดิ์ซูชิงก็ทรงอ่อนล้ายิ่งนัก ตั้งแต่เช้าตรู่ทรงต้องเสด็จออกประกอบพิธีบวงสรวงสวรรค์ วุ่นวายไปทั้งวันจนหมดเรี่ยวแรง ไทเฮาเองก็ทรงได้รับลมเย็นจนประชวร จึงทรงลุกจากที่นั่งแต่เนิ่นๆ โดยมี สนมฮุ่ยไทเฟย ประคองกลับไปยังตำหนักฉืออัน ตอนที่ไทเฮาเสด็จออกจากงานฮองเฮารีบสั่งการทันที “พาองค์ชายใหญ่ ไปยังตำหนักฉืออันให้ไปอยู่ข้างพระวรกายของไทเฮา” จักรพรรดิ์ซูชิงขมวดพระขนง “เสด็จแม่ประชวร เจ้าให้เขาไปอยู่ด้วยทำไม?” ฮองเฮาสีพระพักตร์เคร่งขรึม เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เสด็จแม่ทรงรักและเอ็นดูเขานัก บัดนี้พระองค์ทรงประชวร เขาก็ต้องไปอยู่ข้างกาย คอยปรนนิบัติ” กล่าวจบ นางก็ทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “เดิมควรเป็นหม่อมฉันที่ต้องคอยดูแลปรนนิบัติพระอาการของไทเฮาแต่หม่อมฉันกลับไร้ความสามารถ เช่นนั้นก็ให้เขาทำหน้าที่กตัญญูแทนหม่อมฉันเถิด” จักร
พระอาการของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นเพียงเล็กน้อย พระองค์ก็ทรงเรียกดูฎีกาทันที พระองค์ทรงไว้วางพระทัยเสนาบดีมู่ แต่ก็มิได้ไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่พระองค์ทรงหวาดระแวงที่สุดก็คือ หากกองทัพไม่ได้อยู่ที่หนานเจียง และไม่ได้อยู่ที่ซีม่อน เพื่อติดตามโจมตีกองทัพแคว้นซา แต่กลับเป็นว่าเป่ยหมิงอ๋องกำลังนำทัพบุกกลับมายังเมืองหลวง และข่าวทั้งหมดถูกปิดกั้น มิอาจมาถึงพระองค์ หากเป็นเช่นนั้น ด้วยความเร็วของเซี่ยหลูโม่ ภายในสามเดือน กองทัพของเขาย่อมสามารถกวาดล้างและยึดครองทุกหัวเมืองที่ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น พระองค์จึงทรงต้องการตรวจสอบฎีกาจากแต่ละแคว้นด้วยพระองค์เอง บัดนี้ซ่งซีซีกลับไปประจำการที่จวนกองกำลังเมืองหลวงแล้วพระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้เรียกตัวนางเข้าเฝ้าในห้องพระอักษร ครานี้มิใช่การสนทนาสัพเพเหระ หากแต่เป็นการไต่ถามว่านางมีข่าวเกี่ยวกับเซี่ยหลูโม่หรือไม่ ซ่งซีซีกราบทูลตามตรงว่านางเองก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรนาง ก็ไม่ทรงพบพิรุธใดๆ แต่ไม่ว่าความเป็นไปได้จะเป็นเช่นไร ก็ล้วนเป็นเรื่องเลวร้ายทั้งสิ้น หากกองทัพของพวกเขาถูกซุ่มโจมตี นั่นหมายความว่ากองทัพ
คืนนั้นหมอมหัศจรรย์ดันแบกหีบยาไปพร้อมกับหงเชวี่ย ออกจากร้านยา ก่อนออกเดินทาง เขาบอกกับหมอเวรกลางคืนของร้านยาเย่าหวังว่าจะไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของพระชายาอ๋อง รถม้าหยุดที่จวนอ๋อง หมอมหัศจรรย์ตั้นเดินพรวดพราดเข้าไปด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว เมื่อทุกคนทยอยออกมารับหน้า เขามองซ่งซีซีแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบายโทสะใส่นาง กลับหันไปเล่นงานอาจารย์หยูแทน "ใช้ข้าเป็นข้ออ้างอย่างน้อยก็ควรบอกข้าล่วงหน้าสักหน่อย! เกือบทำให้ข้าถูกผู้ตรวจการสวี่จับผิดได้แล้ว!" พอได้ยินท่านผู้เฒ่าโวยวายขึ้นมา ทุกคนถึงนึกขึ้นได้ว่าหมายถึงเรื่องอะไรอาจารย์หยูรีบขออภัยแล้วถามว่า “ผู้ตรวจการสวี่ถามท่านไปแล้วหรือ?” “เขาป่วย! องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงเชิญข้าไปตรวจอาการให้เขา พอเจอข้าเขาก็ร้องไห้เหมือนเด็ก แล้วคอยถามอยู่นั่นว่าฮ่องเต้ยังมีหนทางรักษาหรือไม่ แรกๆ เขายังไม่บอกด้วยซ้ำว่าเป็นโรคอะไร ข้าฟังแล้วงงเป็นไก่ตาแตก!” หมอมหัศจรรย์ดันพูดจบก็ฮึดฮัด “ท่านไม่ได้หลุดพิรุธใช่หรือไม่?” ซ่งซีซีรีบถาม เพราะเรื่องที่ผู้ตรวจการสวี่ตั้งใจจะถวายฎีกาตักเตือนด้วยชีวิตทำให้พวกนางตกใจไม่น้อย เขาเป็นคนที่ยอมให้มีข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเสิ่นว่านจือเอ่ยชวนผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไปเดินเล่นในลานกว้างของตึกว่างจิง ไม่ไกลจากตึกว่างจิงมีโรงแสดงศิลปะพื้นบ้าน ซึ่งเต็มไปด้วยนักเล่านิทาน นักแสดงงิ้ว พ่อค้า และร้านขายอาหาร ครึกครื้นครบครันทุกอย่าง ตั้งแต่มาเมืองหลวง เสิ่นว่านจือก็ยุ่งตลอด ไม่เคยมีเวลาว่างไปเดินเที่ยวเล่นเลย ครั้งนี้จึงถือโอกาสแยก ผิงหนานป๋อ ออกไป ให้ซ่งซีซีได้พูดคุยกับจูจิ่นเป็นการส่วนตัว อีกทั้งตนเองก็จะได้ไปเที่ยวเล่นกับเฉินเฉินด้วย เมื่อคนอื่นออกไปแล้วซ่งซีซีกับจูจิ่นก็ลดเสียงให้เบาลง ก่อนหน้านี้ พวกนางไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญเลย บัดนี้ ย่อมต้องกล่าวถึงบ้างแล้ว แขกที่เฝ้าดูจากภายนอก เมื่อเห็นผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไป ต่างพากันเข้าใจว่าพระชายาเป่ยหมิงอ๋องจะลงโทษคุณหนูเจ็ดเป็นการส่วนตัว จึงตั้งใจเงี่ยหูฟัง รอชมเรื่องสนุก ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม สองคนนี้คุยกันด้วยเสียงเบาๆ แถมยังมีเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ บรรยากาศกลับดูกลมเกลียวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก! เมื่อมีบ่าวไพร่เข้าออกตลอดเวลา ก็มีคนช่างสังเกตจงใจเลิกม่านขึ้นด้านหนึ่ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายนอกสามารถมองเ
ซ่งซีซีพร้อมด้วยเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินรออยู่ในเรือนหลันซี เมื่อเด็กในร้านนำผิงหนานป๋อและครอบครัว รวมถึงบ่าวไพร่เดินผ่านสวนเข้ามาถึงด้านหน้าเรือนหลันซีก็ร้องบอก ซ่งซีซีได้รับการพยุงจากเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ผิงหนานป๋อและภรรยา รวมถึง คุณหนูเจ็ดจูจิ่นรีบคำนับทำความเคารพ ซ่งซีซีแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องมากพิธี เชิญด้านในนั่งเถอะ” ระหว่างที่ซ่งซีซีกล่าวคำเชื้อเชิญ นางก็ลอบพินิจทั้งสามคน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางพบเจอผู้คนมามากมาย การสังเกตสีหน้า แววตา และท่าทางก็พอจะทำให้นางมองเห็นอะไรบางอย่างได้ ผิงหนานป๋อสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ ด้านในเป็นอาภรณ์ปักลายดอกไม้และวิหคขลิบทองบริเวณคอเสื้อ บริเวณอกมีสร้อยประคำขนาดใหญ่ห้อยอยู่ ดูเหมือนเป็นผู้มีฐานะดี แต่ก็แฝงกลิ่นอายของความละวางทางโลก ทว่าขณะยืนอยู่ ร่างของเขากลับโน้มเอียงไปทางบุตรสาวโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มบนใบหน้าเผยให้เห็นท่าทางประจบประแจงเล็กน้อย ชัดเจนว่าเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องการเข้าสังคม ส่วนฮูหยินผิงหนานป๋อสวมเสื้อนอกสีแดงเข้มทับด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาว ทำให้ดูสดใสเปล่งประกาย นางเป็นสตรีร่างท้วม ผิวพรรณเปล่
ซ่งซีซีรู้สึกว่าคุณหนูเจ็ดไม่ควรต้องรับคำด่าทอโดยไร้เหตุผล อีกทั้งนางเองก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับจวนป๋อผิงหนานในเมื่อเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องให้คำอธิบายที่เหมาะสม ดังนั้น นางจึงสั่งให้หัวหน้าลู่ส่งเทียบเชิญไปยังจวนป๋อผิงหนาน ขอเชิญทั้งครอบครัวไปตึกว่างจิงเพื่อร่วมรับประทานอาหาร ขณะเดียวกัน เมื่อส่งเทียบเชิญ นางก็ปล่อยข่าวนี้ออกไปด้วย ส่วนเหตุผลที่ไม่เชิญไปที่จวนของตนเอง นั่นเพราะเรื่องนี้ต้องการให้มีการชี้แจงความเข้าใจผิดต่อสาธารณะ การนัดพบกันภายในจวนจึงไม่เหมาะสม ตึกว่างจิงเป็นสถานที่หรูหรา เพื่อแสดงความเคารพต่อจวนป๋อผิงหนานและคุณหนูเจ็ดการปล่อยข่าวล่วงหน้า ทำให้บรรดาพ่อค้าและขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ชอบสู่รู้เรื่องชาวบ้านย่อมไม่พลาดโอกาสเฝ้าดูเรื่องนี้ เมื่อมีคนจับตาอยู่มาก ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคลี่คลายปัญหา ภายในเรื่องนี้ยังมีเจตนาชดเชยให้กับคุณหนูเจ็ดตลอดหลายปีที่นางทำการค้า ผู้คนมักดูถูกนางเพียงเพราะเป็นสตรี ถูกเอาเปรียบและถูกกดขี่อยู่เสมอ จวนป๋อผิงหนาน ก็ไม่มีบุรุษคนใดที่สามารถเป็นเสาหลักได้ เดิมทีตระกูลนี้เคยเป็นตระกูลสูงศักดิ์ แต่บัดนี้กลับตกต่ำจนแท
ฮองเฮาถูกลงโทษให้กักบริเวณอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นไทเฮาที่มีรับสั่งให้กักบริเวณ อีกทั้งยังสั่งถอนข้ารับใช้ในตำหนักของนางไปกว่าครึ่ง คงเหลือเพียงคนสนิทไว้รับใช้ จากนั้นยังทรงเลือกคนที่ไว้ใจได้ให้ไปเฝ้าสังเกตการณ์ที่ ตำหนักฉางชุน ขณะที่ฮองเฮาเฝ้าดูแลจักรพรรดิ์ซูชิงนางได้ยินอู๋ย่วนเจิ้งเอ่ยว่าฮ่องเต้ทรงประชวรเป็นโรคปอดเรื้อรัง แรกเริ่มนางยังไม่รู้ว่าโรคนี้คืออะไร แต่หลังจากถูกกักบริเวณ นางจึงถามหลานเจี่ยนกูกู เมื่อหลานเจี่ยนกูกูบอกว่านี่เป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต นางก็ทรุดตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้น ประการแรก นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงประชวร ประการที่สอง นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงล้มป่วยด้วยโรคนี้ ก็สมควรต้องกำหนดองค์รัชทายาทแล้ว ทว่ากลับถูกไทเฮากักบริเวณ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังโง่เขลาไปล่วงเกินซ่งซีซีเพราะความสัมพันธ์ของ รองแม่ทัพซ่ง ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับซ่งรุ่ยเป็นพิเศษ หากนางไม่เคยล่วงเกินซ่งซีซีและให้ซ่งซีซีส่งซ่งรุ่ยเข้ามาวัง เพื่ออยู่เป็นเพื่อน องค์ชายใหญ่ แล้วล่ะก็ฮ่องเต้คงจะทรงสนพระทัยในตัวเขามากขึ้น “หลานเจี่ยน ข้าควรทำสิ่งใด? ข้าทำอะไรได้บ้าง?” นางร่ำไห้ครู่หนึ่งแล้วก็คิดก
ฮองเฮา ยังมีหยาดน้ำตาเกาะบนใบหน้า ดวงตาทั้งสองข้างบวมแดงจากการร่ำไห้เมื่อได้ยินประโยคแรกที่ฮ่องเต้ตรัสหลังฟื้นคืนสติ กลับเป็นคำสั่งให้นางถอยออกไป นางถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่พอฟื้นคืนสติ นางก็สะอื้นพลางเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่ไปเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนฮ่องเต้เพคะ”ไทเฮา เอ่ยด้วยสุรเสียงแหบพร่า ทว่ามีอำนาจล้นเหลือ “ประคองฮองเฮาออกไป”ฮองเฮาอยู่เฝ้าที่นี่นานเท่าใดไทเฮาก็อยู่เฝ้าที่นี่นานเท่านั้น ไม่เห็นว่าฮ่องเต้จะฟื้นคืนสติเสียที รอคอยมาจนใจแทบขาด ทว่ากลับต้องฝืนรักษาความสงบเพื่อมิให้เหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่นอกตำหนักต้องขาดหลักยึดเดิมทีขุนนางทั้งหมดคุกเข่าอยู่ภายนอกตำหนัก ทว่าความหนาวเหน็บเกินทน พอไทเฮามาถึงก็ทรงให้พวกเขาเข้าไปคอยด้านในตำหนัก แต่พวกเขากลับยังยืนกรานจะคุกเข่าต่อไปฮ่องเต้สิ้นสติไปนานเท่าใด พวกเขาก็คุกเข่าอยู่อย่างนั้นตลอดมาไทเฮาคอยให้หมอหลวงตรวจชีพจรเสร็จก่อนจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ แล้วตรัสห้ามไม่ให้หมอหลวงเอ่ยสิ่งใดก่อนจะกล่าวด้วยสุรเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”นางกำมือของบุตรชายแน่น พระหัตถ์เย็นเฉียบจนจับข่มไว้สุดแรงก็ยังสั่นระริกอย่างห้ามมิได้จัก