ซ่งซีซีไม่คิดว่าคำพูดเหล่านี้ไร้สาระน่าขำ แต่กลับรู้สึกน่าเศร้า ไม่ว่าตอนนี้แม่นมฝางจะคิดอย่างไร สามารถยืยยันได้ว่าก่อนหน้านี้นางก็เคยคิดเช่นนั้นจริงๆซ่งซีซีไม่ได้ไปโต้แย้งกับคำพูดของแม่นมฝาง เพราะจากการที่นางแอบปล่อยให้ครอบครัวของท่านอาโดยไม่ให้องค์หญิงใหญ่รู้ ก็รู้ว่าความคิดของนางแตกต่างออกไปจากเมื่อก่อนแล้ว ที่นางพูดเช่นนี้ในตอนนี้ไม่ได้คิดจะโน้มน้าวใคร แต่เพื่อโน้มน้าวตัวเธอก็เท่านั้น"ได้ ในเมื่อทั้งหมดเป็นฝีมือของแม่นมและตู้ฉิน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์หญิงใหญ่ งั้นแม่นมช่วยบอกทีว่ามีผู้หญิที่ถูกลักพาตัวไปที่จวนองค์หญิงใหญ่ด้วยมือของเจ้ามีกี่คนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีกี่คนที่เสียชีวิต และจำนวนเด็กผู้ชายที่เสียชีวิตมีกี่คน"แม่นมฝางเงียบ แต่สีหน้ากลับดูหม่นหมองเล็กน้อยซ่งซีซีกล่าวต่อว่า "พวกเขาตายแล้ว แม่นมก็ต้องคืนความยุติธรรมให้พวกเขาสิ และให้พ่อแม่และญาติของผู้หญิงที่ถูกลักพาตัวเหล่านั้นรู้ว่าพวกเขาไม่ต้องพยายามค้นหาอีกต่อไป นอกจากนี้ องค์หญิงใหญ่ก่ออาชญากรรมร้ายแรงในข้อหากบฏ ไม่สามารถรอดชีวิตได้หรอก หากเจ้ายอมบอกตัวตนของสตรีเหล่านั้นออกมาให้ก็ถือว่าช่วยทำบุญให้นางแล้ว"
หลังจากที่ซ่งซีซีได้ยินคำพูดเหล่านี้ เปลวไฟแห่งความโกรธเกรี้ยวก็แทบจะกลืนนางลงไป รายละเอียดนั้นน่าสะเทือนใจที่สุดแต่นางพยายามระงับความโกรธอย่างเต็มที่และไม่แสงดออก นางแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้าน ตั้งสติฟังนางพูดอย่างใจเย็น ยิ่งนางพูดมากเท่าไร ก็สามรถพบหลักฐานจากคำสารภาพของนางมากยิ่งขึ้นเท่านั้น จะสามารถใช้ประโยคตอนที่สอบปากคำองค์หญิงใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นความผิดฐานกบฏหรือความผิดฐานทำร้ายสตรี นางก็หนีไม่พ้นหรอก"ข้ารู้ว่าคราวนี้องค์หญิงจะไม่มีทางรอด แต่นางเคยเป็นเด็กสาวที่ร่าเริงและมีชีวิตชีวาเช่นนั้น ได้สูงศักดิ์อย่างยิ่ง ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ก็ต่อแถวให้นางเลือกตามอำเภอใจ ทว่านางกลับตกหลุมรักกับซ่งฮวยอันผู้เป็นนักรบตั้งแต่แรกพบ และซ่งฮวยอันกลับไม่ได้ชอบนางอีก ...ในตอนแรก ข้าแค่อยากทำให้องค์หญิงมีความสุข"แม่นมฝางที่จมอยู่กับความทรงจำของนาง โดยไม่สนใจอีกต่อไปว่าคนตรงหน้าคือใคร นางเก็บงำคำพูดเหล่านี้ไว้นานเกินไป นางก็อยยากจะระบายสักหน่อย อายุเยอะแล้วใจมันก็อ่อนลง เรื่องที่ก่อนหน้านี้ทำจนชินนั้นพอหวนคิดดูในตอนนี้กลับรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นด้วยคำพูดของนางไม่ได้เรียงตามลำดับ แค่นึกถึงอะไรก็พูดไ
เซี่ยหลูโม่และเจ้าหน้าที่บันทึกข้อความออกมาจากด้านหลัง เขาไปกอดซ่งซีซีไว้ในอ้อมแขนก่อนแล้วจึงสั่งคนพาแม่นมฝางออกไปซ่งซีซีกล่าวอย่างใจเย็นว่า "ไปตามหากล่องใต้ต้นพุทรา นางได้จดที่ไปที่มาของผู้หญิงเหล่านั้นไว้""ขอรับ!" เจ้าหน้าที่บันทึกข้อความรับคำสั่งแล้วออกไปซ่งซีซีโน้มตัวไปในอ้อมแขนของเซี่ยหลูโม่ หัวใจและลำคอของนางดูเหมือนจะเต็มไปด้วยสำลีเหม็น เกิดความรู้สึกอึดอัดอย่างอธิบายไม่ได้"ซีซี ไม่ถามแล้ว" เซี่ยหลูโม่พูดอย่างกังวล "สิ่งที่นางพูดนั้นอย่าเก็บไว้ใส่ใจ ท่านพ่อตาไม่ได้ทำผิด แค่นางรักฝ่ายเดียวอย่างหัวปักหัวปำ คิดจะทำร้ายผู้อื่นสุดท้ายก็ต้องเจอกับผลที่ตามมาด้วย"ซ่งซีซีดึงสติกลับมา ใบหน้ายังซีดเล็กน้อย "ข้าไม่เป็นไร ข้าสามารถสอบปากคำต่อไปได้ รอนางกลับมา ข้าจะค่อยๆ ถาม อย่างน้อยตอนนี้เราก็รู้ที่มาของผู้หญิงเหล่านั้นแล้ว สามารถส่งคนไปแจ้งครอบครัวของพวกนางให้ทราบ ไม่ต้องตามหาอีกแล้ว หาไม่เจอแล้ว ไม่ต้องกังวลใจทุกวันอย่างกับครอบครัวอาจารย์หยู ตอนนี้รู้แล้วว่าพวกนางตายแล้ว..."เท้าของนางอ่อนแรงลง ตายแล้ว ไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่มีโอกาสได้เจอกันิีก นางรู้ถึงความเจ็บปวดจากการตายของคนใน
กู้ชิงหลานตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นเสิ่นว่านจือ จากนั้นก็คิดถึงเรื่องที่พวกนางหลอกลวงตนเอง และรู้สึกไม่สอบอารมณ์เล็กน้อยแม้ว่าพวกนางต้องการให้แผนดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่การหลอกลวงก็คือการหลอกลวง ดังนั้น กู้ชิงหลานจึงทำได้เพียงรักษามารยาทขั้นพื้นฐานที่สุดเท่านั้น "คุณหนูเสิ่น มีอะไรหรือเปล่า"เสิ่นว่านจือไม่ใช่คนประเภทที่มองสีหน้าคนอื่นไม่ออก นางรู้ว่าอีกฝ่ายต้องไม่พอใจแน่ๆ จึงถามด้วยเสียงแผ่วเบาว่า "ขอเข้าไปคุยข้างในได้ไหม"กู้ชิงหลานหลีกทางให้ "เชิญ"นางห็แค่อารมณ์วูบเท่านั้น เพราะนางรู้ดีว่าหากแผนการนี้ไม่ถูกซ่อนไว้จากนาง นางจะต้องบอกพ่ออย่างแน่นอน นางไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าพ่อจะทรยศนางบ้านพักหลังนี้เรียบง่าย มีหลังคากระเบื้อง และสามารถมองเห็นส่วนท้ายได้อย่างรวดเร็ว โดยมีห้องครัวขนาดเล็กด้านนอก ด้านใบบ้านพักมีห้องโถงเล็กๆ และห้องนอนห้องหนึ่งก็เท่านั้นเมื่อเข้าไปจะมองเห็นแสงแดดลอดผ่านเศษหินได้ เห็นๆ อยู่ว่าหลังคาบ้านพักมีรอยแตกลาย และไม่ได้รับการซ่อมแซม หากฝนตกหนัก บ้านพักนี้จะกลายเป็นสระน้ำอย่างแน่นอนแม้ว่าเสิ่นว่านจือจะพยายามอย่างเต็มที่ที่สุดเพื่อมองข้ามมัน แต่นางก็รู้สึกอึ
เสิ่นว่านจือไม่เข้าใจ "แต่ทำไมล่ะ แม่ของเจ้าเป็นลูกสาวของตระกูลหลิน และเจ้าเป็นหลานสาวของพวกเขาด้งบ ทำไมไม่ให้กลับบ้านล่ะ"กู้ชิงหลานทำท่าให้เงียบ "เบาๆ หน่อย แม่จะได้ยินเข้า"เสิ่นว่านจือพูดตรงๆ ว่า "เราออกไปคุยข้างนอกกันเถอะ พอดีข้าต้องรอหมอหงเชวี่ยมา หงเชวี่ยคิดว่าพวกเจ้าอยู่ที่บ้านตระกูลหลิน งั้นเราไปรอนางที่นั่นกันเลย"ทั้งสองเปิดประตูแล้วเดินออกไป ประตูนี้... เสิ่นว่านจือก้าวออกไปสามก้าวแล้วมองย้อนกลับไป "พวกเขาให้พวกเจ้าอาศัยอยู่บ้านหลังนี้เหรอ?"กู้ชิงหลานพูดอย่างเรียบๆ "เดิมทีบ้านหลังนี้ปล่อยให้เช่น แต่ต่อมาไม่มีใครเช่าอีกเพราะมันทรุดโทรมเกินไป พวกเขาไม่ยอมซ่อมแซม บอกว่าให้เราอยู่เป็นชั่วคราวไปก่อน และรอให้คดีจบลงค่อยให้เรากลับตระกูลหลิน""เจ้าเชื่อเหรอ?" เสิ่นว่านจือถาม"ไม่เชื่อ แต่เราไม่มีที่ไปในตอนนี้ อีกหน่อยข้าจะออกไปหาเงิน พอทำเงินได้ก็จะเปลี่ยนที่พัก""เจ้าจะออกไปหาเงินเหรอ? จะไปหางานอะไร?" เสิ่นว่านจือถามกู้ชิงหลานเดินช้าๆ พลางขมวดคิ้ว "เดิมทีข้ากะว่าจะไปทำงานเป็นคนใช้ข้างกายของพวกคุณหนูจากตระกูลใหญ่ ข้ามีวรยุทธ์... แต่ด้วยตัวตนของข้าคงไม่มีใครกล้ารับข้า เพรา
เสิ่นว่านจือมองไปกู้ชิงหลานที่กำลังโกรธแค้น ไม่รู้ว่าทำไม แต่เนื่องจากนางลงจากภูเขาเพื่อติดตามซีซีไปออกรบ ต่อมาได้เจอเรื่องไม่เอาไหนที่เมืองหลวงมากมาย ตอนนี้นางมีความอดทนมากขึ้นกว่าเดิมแล้วถ้าเป็นในอดีต นางคงจะเดินจากไปเมื่อได้ยินกู้ชิงหลานพูดแบบนี้ นางเคยใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นที่ไหนกัน? นางเป็ยคนเด็ดขาดโดยตลอด แต่ตอนนี้นางอยากเป็นคนมีจิตใจดีตอนนี้ นางพอจะเข้าใจความโกรธและความกลัวของกู้ชิงหลานได้แล้ว นางถูกญาติๆ ของนางหลอกใช้ประโยชน์มาโดยตลอด และไม่ได้รับความไว้วางใจใดๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นางถือว่าฝู้หม่ากู้ แม่และพี่สาวของนางเป็นครอบครัวที่มีสมาชิกสี่คน เป็นหนึ่งเดียวกัน ฝู้หม่ากู้ทรยศนาง ตอนนี้ก็มาบอกนางว่าพี่สาวนางต้องการฆ่าแม่ตนเอง อีกอย่างเรื่องนี้ได้ฟังจากปากของคนนอกคนหนึ่ง แน่นอนว่านางจะไม่เชื่อเลยเสิ่นว่านจือผู้เป็นคนดีก็ไม่โกรธ "นั่นคือความจริง ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ หากคำปากคำของหมอประจำจวนเป็นเรื่องโกหก ก็หลอกคนของหอต้าหลี่ไม่ได้หรอก ส่วนเหตุใดที่พี่สาวเจ้าสามารถสั่งการเขาได้ นั่นเป็นเพราะพี่สาวเจ้าไปหลับนอนกับเขา"กู้ชิงหลานสั่นไปทั้งตัวพลางน้ำตาไหล "หุบปาก เจ
ไหล่ของกู้ชิงหลานสั่นไหว และน้ำตาหยดใหญ่ก็ร่วงหล่นเมื่อเสิ่นว่านจือเห็นนางร้องไห้ก็ไม่ปลอบใจใดๆ จากนั้นหันไปมองที่ปลายซอย ทำไมหงเชวี่ยยังไม่มา?กู้ชิงหลานร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งและพูดด้วยน้ำเสียงแหบ "วันที่ข้ารับแม่กลับมา นางบอกข้าในรถม้าว่าให้ข้าอย่าไปไปเชื่อคำพูดของพี่สาว ข้าเชื่อว่าแม่น่าจะรู้เรื่องนี้แล้ว แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงทำเช่นนี้"นางเชื่อแล้วหรือ?เสิ่นว่านจือหันไปมองนาง "แม่เจ้าบอกอย่างนี้กับเจ้าเหรอ งั้นนางก็รู้เรื่องแล้ว ส่วนเหตุผลที่นางทำแบบนี้ แม่ของเจ้าก็น่าจะรู้แล้ว เจ้ากลับไปถามนางได้เลย"หงเชวี่ยขี่ลาเข้าไปในซอย เสิ่นว่านจือรีบโบกมือให้ "หงเชวี่ย ที่นี่"หงเชวี่ยก็เห็นพวกนางเช่นกัน และรู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมไม่รอนางที่ประตูบ้านของตระกูลหลิน แต่นางยังขี่ลาเข้าไปหาพลางถามว่า "ทำไมอยู่นี่ล่ะ""พวกนางไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านตระกูลหลิน อยู่ทางนุ่นเลย" เสิ่นว่านจือมองไปที่กู้ชิงหลาน "อย่าทำอะไรใช้อารมณ์ แม่เจ้ากำลังป่วยหนัก ซีซีมีงานมากมายยังไม่ลืมกำชับว่าต้องหาหมอให้แม่ของเจ้า อย่าทำให้ความหวังดีของนางต้องเสียเปล่า แต่อย่าทำร้ายแม่เพราะอารมณ์ของเจ้า"หงเชวี่
เมื่อพวกเขาออกไปนอกประตู หงเชวี่ยก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรจากกู้ชิงหลาน และพูดว่า "เมื่อกี้มีแม่ของเจ้าอยู่ด้วยเลยไม่เหมาะที่จะพูด แต่ตอนนี้ข้าจะบอกความจริงกับเจ้าว่า โรคของนางหากสามารถรักษาให้เร็วกว่าสักเดือนหนึ่งก็ยังมาทางหายได้ ไม่ถึงขั้นร้ายแรงขนาดนี้ เจ้าอยู่ดูแลนางให้ดีๆ เถอะ เหลือเวลาไม่มากแล้ว"กู้ชิงหลานรู้สึกราวกับว่าถูกฟ้าผ่า หากบอกว่าเมื่อกี้นางยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคำพูดของเสิ่นว่านจือ งั้นตอนนี้ก็เชื่อมันอย่างเต็มที่แม่ได้ดื่มยาในคุกใต้ดินด้วย แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ยารักษาโรคของนางหมอประจำจวนในคจวนองค์หญิงใหญ่มีทักษะทางการแพทย์ที่ดีมาก หากพวกเขาอยากจะรักษาให้แม่อย่างจริงใจ งั้นแม่ก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอนแต่ทำไม? ทำไมนางถึงทำเช่นนี้?นางถือใบสั่งยาและตัวเงินหนึ่งร้อยตำลึงด้วยความงุนงง น้ำตาไหลออกมาอย่างบ้าคลั่งบนใบหน้าของนาง หงเชวี่ยชินกับการมองเห็นความสุขและความเศร้าโศกของโลกนี้ และทำได้เพียงปลอบใจว่า "ในโลกนี้มีเรื่องที่จนใจมาหมาย แต่เราก็ต้องเข้มแข็ง"หงเชวี่ยขี่ลาออกไป เดิมทีเสิ่นว่านจือก็กะว่าจะจากไปเช่นกัน แต่เมื่อเห็นกู้ชิงหลานเป็นแบบนี้นางก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงลากน
ภายใน ตำหนักฉางชุน มังกรดินใต้พื้นถูกจุดให้ความอบอุ่นทั่วทั้งห้อง ซ่งซีซีถอดเสื้อคลุมออก แล้วนั่งรออยู่ครู่ใหญ่ เมื่อมาถึง นางกำนัลได้แจ้งว่าฮองเฮาเสด็จกลับไปเปลี่ยนเครื่องทรง ให้รอสักครู่ นางจึงนั่งรอโดยมิได้เร่งรีบ ขณะเดียวกัน ฉีฮองเฮากำลังกินรังนกอยู่ในตำหนักบรรทม นางไม่พอใจนักที่หลานเจี่ยนกูกูเร่งเร้าให้รีบออกไป นางกล่าวด้วยน้ำเสียงรำคาญ “ให้นางรอหน่อยแล้วอย่างไร?” หลานเจี่ยนกูกูเอ่ยเกลี้ยกล่อม “ฮองเฮา ท่านทรงกล่าวมาตลอดว่า ไม่ควรทำให้พระชายาอ๋องขุ่นเคือง บัดนี้เมื่อทรงเชิญนางมาแล้ว ก็ควรพูดจากันดีๆ อธิบายเรื่องเข้าใจผิดให้กระจ่าง เรื่องก็จะจบลง” ฮองเฮาหัวเราะเยาะตนเอง ก่อนจะกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่เจ้าเองก็ได้ยินว่าตอนที่ข้าขอตัวออกมา ฮ่องเต้ตรัสว่าอะไร พระองค์ตรัสว่า ต่อให้ซ่งซีซีจะตีหรือด่าข้า ข้าก็ต้องอดทนรับไว้ พระองค์มิได้เห็นข้าเป็นฮองเฮาเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่อยากให้คนที่อยู่ในดวงใจของพระองค์ได้ระบายความโกรธออกมา” ฮองเฮา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บช้ำ ดันถ้วยรังนกออกไป น้ำตาหยดแหมะลงบนโต๊ะ “เขาทรงป่วยจนเลอะเลือนไปแล้ว หรือแท้จริงทรงโปรดปรานซ่ง
ปีนี้ งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าในวัง เงียบเหงากว่าปีที่แล้วมาก ฮองเฮา แม้จะได้รับอนุญาตให้พ้นโทษกักบริเวณเป็นเวลา หนึ่งวัน แต่นางกลับแทบไม่ได้พูดอะไรเลย ดูท่าทางเหมือนมีเรื่องในใจมากมาย แม้แต่เหล่าพระโอรสพระธิดาที่เข้ามาทักทาย นางก็เพียงรับคำอย่างเรียบเฉย จักรพรรดิ์ซูชิงก็ทรงอ่อนล้ายิ่งนัก ตั้งแต่เช้าตรู่ทรงต้องเสด็จออกประกอบพิธีบวงสรวงสวรรค์ วุ่นวายไปทั้งวันจนหมดเรี่ยวแรง ไทเฮาเองก็ทรงได้รับลมเย็นจนประชวร จึงทรงลุกจากที่นั่งแต่เนิ่นๆ โดยมี สนมฮุ่ยไทเฟย ประคองกลับไปยังตำหนักฉืออัน ตอนที่ไทเฮาเสด็จออกจากงานฮองเฮารีบสั่งการทันที “พาองค์ชายใหญ่ ไปยังตำหนักฉืออันให้ไปอยู่ข้างพระวรกายของไทเฮา” จักรพรรดิ์ซูชิงขมวดพระขนง “เสด็จแม่ประชวร เจ้าให้เขาไปอยู่ด้วยทำไม?” ฮองเฮาสีพระพักตร์เคร่งขรึม เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เสด็จแม่ทรงรักและเอ็นดูเขานัก บัดนี้พระองค์ทรงประชวร เขาก็ต้องไปอยู่ข้างกาย คอยปรนนิบัติ” กล่าวจบ นางก็ทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “เดิมควรเป็นหม่อมฉันที่ต้องคอยดูแลปรนนิบัติพระอาการของไทเฮาแต่หม่อมฉันกลับไร้ความสามารถ เช่นนั้นก็ให้เขาทำหน้าที่กตัญญูแทนหม่อมฉันเถิด” จักร
พระอาการของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นเพียงเล็กน้อย พระองค์ก็ทรงเรียกดูฎีกาทันที พระองค์ทรงไว้วางพระทัยเสนาบดีมู่ แต่ก็มิได้ไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่พระองค์ทรงหวาดระแวงที่สุดก็คือ หากกองทัพไม่ได้อยู่ที่หนานเจียง และไม่ได้อยู่ที่ซีม่อน เพื่อติดตามโจมตีกองทัพแคว้นซา แต่กลับเป็นว่าเป่ยหมิงอ๋องกำลังนำทัพบุกกลับมายังเมืองหลวง และข่าวทั้งหมดถูกปิดกั้น มิอาจมาถึงพระองค์ หากเป็นเช่นนั้น ด้วยความเร็วของเซี่ยหลูโม่ ภายในสามเดือน กองทัพของเขาย่อมสามารถกวาดล้างและยึดครองทุกหัวเมืองที่ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น พระองค์จึงทรงต้องการตรวจสอบฎีกาจากแต่ละแคว้นด้วยพระองค์เอง บัดนี้ซ่งซีซีกลับไปประจำการที่จวนกองกำลังเมืองหลวงแล้วพระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้เรียกตัวนางเข้าเฝ้าในห้องพระอักษร ครานี้มิใช่การสนทนาสัพเพเหระ หากแต่เป็นการไต่ถามว่านางมีข่าวเกี่ยวกับเซี่ยหลูโม่หรือไม่ ซ่งซีซีกราบทูลตามตรงว่านางเองก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรนาง ก็ไม่ทรงพบพิรุธใดๆ แต่ไม่ว่าความเป็นไปได้จะเป็นเช่นไร ก็ล้วนเป็นเรื่องเลวร้ายทั้งสิ้น หากกองทัพของพวกเขาถูกซุ่มโจมตี นั่นหมายความว่ากองทัพ
คืนนั้นหมอมหัศจรรย์ดันแบกหีบยาไปพร้อมกับหงเชวี่ย ออกจากร้านยา ก่อนออกเดินทาง เขาบอกกับหมอเวรกลางคืนของร้านยาเย่าหวังว่าจะไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของพระชายาอ๋อง รถม้าหยุดที่จวนอ๋อง หมอมหัศจรรย์ตั้นเดินพรวดพราดเข้าไปด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว เมื่อทุกคนทยอยออกมารับหน้า เขามองซ่งซีซีแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบายโทสะใส่นาง กลับหันไปเล่นงานอาจารย์หยูแทน "ใช้ข้าเป็นข้ออ้างอย่างน้อยก็ควรบอกข้าล่วงหน้าสักหน่อย! เกือบทำให้ข้าถูกผู้ตรวจการสวี่จับผิดได้แล้ว!" พอได้ยินท่านผู้เฒ่าโวยวายขึ้นมา ทุกคนถึงนึกขึ้นได้ว่าหมายถึงเรื่องอะไรอาจารย์หยูรีบขออภัยแล้วถามว่า “ผู้ตรวจการสวี่ถามท่านไปแล้วหรือ?” “เขาป่วย! องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงเชิญข้าไปตรวจอาการให้เขา พอเจอข้าเขาก็ร้องไห้เหมือนเด็ก แล้วคอยถามอยู่นั่นว่าฮ่องเต้ยังมีหนทางรักษาหรือไม่ แรกๆ เขายังไม่บอกด้วยซ้ำว่าเป็นโรคอะไร ข้าฟังแล้วงงเป็นไก่ตาแตก!” หมอมหัศจรรย์ดันพูดจบก็ฮึดฮัด “ท่านไม่ได้หลุดพิรุธใช่หรือไม่?” ซ่งซีซีรีบถาม เพราะเรื่องที่ผู้ตรวจการสวี่ตั้งใจจะถวายฎีกาตักเตือนด้วยชีวิตทำให้พวกนางตกใจไม่น้อย เขาเป็นคนที่ยอมให้มีข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเสิ่นว่านจือเอ่ยชวนผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไปเดินเล่นในลานกว้างของตึกว่างจิง ไม่ไกลจากตึกว่างจิงมีโรงแสดงศิลปะพื้นบ้าน ซึ่งเต็มไปด้วยนักเล่านิทาน นักแสดงงิ้ว พ่อค้า และร้านขายอาหาร ครึกครื้นครบครันทุกอย่าง ตั้งแต่มาเมืองหลวง เสิ่นว่านจือก็ยุ่งตลอด ไม่เคยมีเวลาว่างไปเดินเที่ยวเล่นเลย ครั้งนี้จึงถือโอกาสแยก ผิงหนานป๋อ ออกไป ให้ซ่งซีซีได้พูดคุยกับจูจิ่นเป็นการส่วนตัว อีกทั้งตนเองก็จะได้ไปเที่ยวเล่นกับเฉินเฉินด้วย เมื่อคนอื่นออกไปแล้วซ่งซีซีกับจูจิ่นก็ลดเสียงให้เบาลง ก่อนหน้านี้ พวกนางไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญเลย บัดนี้ ย่อมต้องกล่าวถึงบ้างแล้ว แขกที่เฝ้าดูจากภายนอก เมื่อเห็นผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไป ต่างพากันเข้าใจว่าพระชายาเป่ยหมิงอ๋องจะลงโทษคุณหนูเจ็ดเป็นการส่วนตัว จึงตั้งใจเงี่ยหูฟัง รอชมเรื่องสนุก ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม สองคนนี้คุยกันด้วยเสียงเบาๆ แถมยังมีเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ บรรยากาศกลับดูกลมเกลียวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก! เมื่อมีบ่าวไพร่เข้าออกตลอดเวลา ก็มีคนช่างสังเกตจงใจเลิกม่านขึ้นด้านหนึ่ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายนอกสามารถมองเ
ซ่งซีซีพร้อมด้วยเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินรออยู่ในเรือนหลันซี เมื่อเด็กในร้านนำผิงหนานป๋อและครอบครัว รวมถึงบ่าวไพร่เดินผ่านสวนเข้ามาถึงด้านหน้าเรือนหลันซีก็ร้องบอก ซ่งซีซีได้รับการพยุงจากเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ผิงหนานป๋อและภรรยา รวมถึง คุณหนูเจ็ดจูจิ่นรีบคำนับทำความเคารพ ซ่งซีซีแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องมากพิธี เชิญด้านในนั่งเถอะ” ระหว่างที่ซ่งซีซีกล่าวคำเชื้อเชิญ นางก็ลอบพินิจทั้งสามคน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางพบเจอผู้คนมามากมาย การสังเกตสีหน้า แววตา และท่าทางก็พอจะทำให้นางมองเห็นอะไรบางอย่างได้ ผิงหนานป๋อสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ ด้านในเป็นอาภรณ์ปักลายดอกไม้และวิหคขลิบทองบริเวณคอเสื้อ บริเวณอกมีสร้อยประคำขนาดใหญ่ห้อยอยู่ ดูเหมือนเป็นผู้มีฐานะดี แต่ก็แฝงกลิ่นอายของความละวางทางโลก ทว่าขณะยืนอยู่ ร่างของเขากลับโน้มเอียงไปทางบุตรสาวโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มบนใบหน้าเผยให้เห็นท่าทางประจบประแจงเล็กน้อย ชัดเจนว่าเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องการเข้าสังคม ส่วนฮูหยินผิงหนานป๋อสวมเสื้อนอกสีแดงเข้มทับด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาว ทำให้ดูสดใสเปล่งประกาย นางเป็นสตรีร่างท้วม ผิวพรรณเปล่
ซ่งซีซีรู้สึกว่าคุณหนูเจ็ดไม่ควรต้องรับคำด่าทอโดยไร้เหตุผล อีกทั้งนางเองก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับจวนป๋อผิงหนานในเมื่อเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องให้คำอธิบายที่เหมาะสม ดังนั้น นางจึงสั่งให้หัวหน้าลู่ส่งเทียบเชิญไปยังจวนป๋อผิงหนาน ขอเชิญทั้งครอบครัวไปตึกว่างจิงเพื่อร่วมรับประทานอาหาร ขณะเดียวกัน เมื่อส่งเทียบเชิญ นางก็ปล่อยข่าวนี้ออกไปด้วย ส่วนเหตุผลที่ไม่เชิญไปที่จวนของตนเอง นั่นเพราะเรื่องนี้ต้องการให้มีการชี้แจงความเข้าใจผิดต่อสาธารณะ การนัดพบกันภายในจวนจึงไม่เหมาะสม ตึกว่างจิงเป็นสถานที่หรูหรา เพื่อแสดงความเคารพต่อจวนป๋อผิงหนานและคุณหนูเจ็ดการปล่อยข่าวล่วงหน้า ทำให้บรรดาพ่อค้าและขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ชอบสู่รู้เรื่องชาวบ้านย่อมไม่พลาดโอกาสเฝ้าดูเรื่องนี้ เมื่อมีคนจับตาอยู่มาก ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคลี่คลายปัญหา ภายในเรื่องนี้ยังมีเจตนาชดเชยให้กับคุณหนูเจ็ดตลอดหลายปีที่นางทำการค้า ผู้คนมักดูถูกนางเพียงเพราะเป็นสตรี ถูกเอาเปรียบและถูกกดขี่อยู่เสมอ จวนป๋อผิงหนาน ก็ไม่มีบุรุษคนใดที่สามารถเป็นเสาหลักได้ เดิมทีตระกูลนี้เคยเป็นตระกูลสูงศักดิ์ แต่บัดนี้กลับตกต่ำจนแท
ฮองเฮาถูกลงโทษให้กักบริเวณอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นไทเฮาที่มีรับสั่งให้กักบริเวณ อีกทั้งยังสั่งถอนข้ารับใช้ในตำหนักของนางไปกว่าครึ่ง คงเหลือเพียงคนสนิทไว้รับใช้ จากนั้นยังทรงเลือกคนที่ไว้ใจได้ให้ไปเฝ้าสังเกตการณ์ที่ ตำหนักฉางชุน ขณะที่ฮองเฮาเฝ้าดูแลจักรพรรดิ์ซูชิงนางได้ยินอู๋ย่วนเจิ้งเอ่ยว่าฮ่องเต้ทรงประชวรเป็นโรคปอดเรื้อรัง แรกเริ่มนางยังไม่รู้ว่าโรคนี้คืออะไร แต่หลังจากถูกกักบริเวณ นางจึงถามหลานเจี่ยนกูกู เมื่อหลานเจี่ยนกูกูบอกว่านี่เป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต นางก็ทรุดตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้น ประการแรก นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงประชวร ประการที่สอง นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงล้มป่วยด้วยโรคนี้ ก็สมควรต้องกำหนดองค์รัชทายาทแล้ว ทว่ากลับถูกไทเฮากักบริเวณ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังโง่เขลาไปล่วงเกินซ่งซีซีเพราะความสัมพันธ์ของ รองแม่ทัพซ่ง ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับซ่งรุ่ยเป็นพิเศษ หากนางไม่เคยล่วงเกินซ่งซีซีและให้ซ่งซีซีส่งซ่งรุ่ยเข้ามาวัง เพื่ออยู่เป็นเพื่อน องค์ชายใหญ่ แล้วล่ะก็ฮ่องเต้คงจะทรงสนพระทัยในตัวเขามากขึ้น “หลานเจี่ยน ข้าควรทำสิ่งใด? ข้าทำอะไรได้บ้าง?” นางร่ำไห้ครู่หนึ่งแล้วก็คิดก
ฮองเฮา ยังมีหยาดน้ำตาเกาะบนใบหน้า ดวงตาทั้งสองข้างบวมแดงจากการร่ำไห้เมื่อได้ยินประโยคแรกที่ฮ่องเต้ตรัสหลังฟื้นคืนสติ กลับเป็นคำสั่งให้นางถอยออกไป นางถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่พอฟื้นคืนสติ นางก็สะอื้นพลางเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่ไปเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนฮ่องเต้เพคะ”ไทเฮา เอ่ยด้วยสุรเสียงแหบพร่า ทว่ามีอำนาจล้นเหลือ “ประคองฮองเฮาออกไป”ฮองเฮาอยู่เฝ้าที่นี่นานเท่าใดไทเฮาก็อยู่เฝ้าที่นี่นานเท่านั้น ไม่เห็นว่าฮ่องเต้จะฟื้นคืนสติเสียที รอคอยมาจนใจแทบขาด ทว่ากลับต้องฝืนรักษาความสงบเพื่อมิให้เหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่นอกตำหนักต้องขาดหลักยึดเดิมทีขุนนางทั้งหมดคุกเข่าอยู่ภายนอกตำหนัก ทว่าความหนาวเหน็บเกินทน พอไทเฮามาถึงก็ทรงให้พวกเขาเข้าไปคอยด้านในตำหนัก แต่พวกเขากลับยังยืนกรานจะคุกเข่าต่อไปฮ่องเต้สิ้นสติไปนานเท่าใด พวกเขาก็คุกเข่าอยู่อย่างนั้นตลอดมาไทเฮาคอยให้หมอหลวงตรวจชีพจรเสร็จก่อนจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ แล้วตรัสห้ามไม่ให้หมอหลวงเอ่ยสิ่งใดก่อนจะกล่าวด้วยสุรเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”นางกำมือของบุตรชายแน่น พระหัตถ์เย็นเฉียบจนจับข่มไว้สุดแรงก็ยังสั่นระริกอย่างห้ามมิได้จัก