เสิ่นว่านจือมองไปกู้ชิงหลานที่กำลังโกรธแค้น ไม่รู้ว่าทำไม แต่เนื่องจากนางลงจากภูเขาเพื่อติดตามซีซีไปออกรบ ต่อมาได้เจอเรื่องไม่เอาไหนที่เมืองหลวงมากมาย ตอนนี้นางมีความอดทนมากขึ้นกว่าเดิมแล้วถ้าเป็นในอดีต นางคงจะเดินจากไปเมื่อได้ยินกู้ชิงหลานพูดแบบนี้ นางเคยใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นที่ไหนกัน? นางเป็ยคนเด็ดขาดโดยตลอด แต่ตอนนี้นางอยากเป็นคนมีจิตใจดีตอนนี้ นางพอจะเข้าใจความโกรธและความกลัวของกู้ชิงหลานได้แล้ว นางถูกญาติๆ ของนางหลอกใช้ประโยชน์มาโดยตลอด และไม่ได้รับความไว้วางใจใดๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นางถือว่าฝู้หม่ากู้ แม่และพี่สาวของนางเป็นครอบครัวที่มีสมาชิกสี่คน เป็นหนึ่งเดียวกัน ฝู้หม่ากู้ทรยศนาง ตอนนี้ก็มาบอกนางว่าพี่สาวนางต้องการฆ่าแม่ตนเอง อีกอย่างเรื่องนี้ได้ฟังจากปากของคนนอกคนหนึ่ง แน่นอนว่านางจะไม่เชื่อเลยเสิ่นว่านจือผู้เป็นคนดีก็ไม่โกรธ "นั่นคือความจริง ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ หากคำปากคำของหมอประจำจวนเป็นเรื่องโกหก ก็หลอกคนของหอต้าหลี่ไม่ได้หรอก ส่วนเหตุใดที่พี่สาวเจ้าสามารถสั่งการเขาได้ นั่นเป็นเพราะพี่สาวเจ้าไปหลับนอนกับเขา"กู้ชิงหลานสั่นไปทั้งตัวพลางน้ำตาไหล "หุบปาก เจ
ไหล่ของกู้ชิงหลานสั่นไหว และน้ำตาหยดใหญ่ก็ร่วงหล่นเมื่อเสิ่นว่านจือเห็นนางร้องไห้ก็ไม่ปลอบใจใดๆ จากนั้นหันไปมองที่ปลายซอย ทำไมหงเชวี่ยยังไม่มา?กู้ชิงหลานร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งและพูดด้วยน้ำเสียงแหบ "วันที่ข้ารับแม่กลับมา นางบอกข้าในรถม้าว่าให้ข้าอย่าไปไปเชื่อคำพูดของพี่สาว ข้าเชื่อว่าแม่น่าจะรู้เรื่องนี้แล้ว แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงทำเช่นนี้"นางเชื่อแล้วหรือ?เสิ่นว่านจือหันไปมองนาง "แม่เจ้าบอกอย่างนี้กับเจ้าเหรอ งั้นนางก็รู้เรื่องแล้ว ส่วนเหตุผลที่นางทำแบบนี้ แม่ของเจ้าก็น่าจะรู้แล้ว เจ้ากลับไปถามนางได้เลย"หงเชวี่ยขี่ลาเข้าไปในซอย เสิ่นว่านจือรีบโบกมือให้ "หงเชวี่ย ที่นี่"หงเชวี่ยก็เห็นพวกนางเช่นกัน และรู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมไม่รอนางที่ประตูบ้านของตระกูลหลิน แต่นางยังขี่ลาเข้าไปหาพลางถามว่า "ทำไมอยู่นี่ล่ะ""พวกนางไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านตระกูลหลิน อยู่ทางนุ่นเลย" เสิ่นว่านจือมองไปที่กู้ชิงหลาน "อย่าทำอะไรใช้อารมณ์ แม่เจ้ากำลังป่วยหนัก ซีซีมีงานมากมายยังไม่ลืมกำชับว่าต้องหาหมอให้แม่ของเจ้า อย่าทำให้ความหวังดีของนางต้องเสียเปล่า แต่อย่าทำร้ายแม่เพราะอารมณ์ของเจ้า"หงเชวี่
เมื่อพวกเขาออกไปนอกประตู หงเชวี่ยก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรจากกู้ชิงหลาน และพูดว่า "เมื่อกี้มีแม่ของเจ้าอยู่ด้วยเลยไม่เหมาะที่จะพูด แต่ตอนนี้ข้าจะบอกความจริงกับเจ้าว่า โรคของนางหากสามารถรักษาให้เร็วกว่าสักเดือนหนึ่งก็ยังมาทางหายได้ ไม่ถึงขั้นร้ายแรงขนาดนี้ เจ้าอยู่ดูแลนางให้ดีๆ เถอะ เหลือเวลาไม่มากแล้ว"กู้ชิงหลานรู้สึกราวกับว่าถูกฟ้าผ่า หากบอกว่าเมื่อกี้นางยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคำพูดของเสิ่นว่านจือ งั้นตอนนี้ก็เชื่อมันอย่างเต็มที่แม่ได้ดื่มยาในคุกใต้ดินด้วย แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ยารักษาโรคของนางหมอประจำจวนในคจวนองค์หญิงใหญ่มีทักษะทางการแพทย์ที่ดีมาก หากพวกเขาอยากจะรักษาให้แม่อย่างจริงใจ งั้นแม่ก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอนแต่ทำไม? ทำไมนางถึงทำเช่นนี้?นางถือใบสั่งยาและตัวเงินหนึ่งร้อยตำลึงด้วยความงุนงง น้ำตาไหลออกมาอย่างบ้าคลั่งบนใบหน้าของนาง หงเชวี่ยชินกับการมองเห็นความสุขและความเศร้าโศกของโลกนี้ และทำได้เพียงปลอบใจว่า "ในโลกนี้มีเรื่องที่จนใจมาหมาย แต่เราก็ต้องเข้มแข็ง"หงเชวี่ยขี่ลาออกไป เดิมทีเสิ่นว่านจือก็กะว่าจะจากไปเช่นกัน แต่เมื่อเห็นกู้ชิงหลานเป็นแบบนี้นางก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงลากน
เสิ่นว่านจือจากไปแล้ว รู้สึกทั้งโกรธและอึดอัดใจแม่ลูกสองคนนี้เป็นตัวอย่างของผู้หญิงที่ได้รับการทรมานจากองค์หญิงใหญ่ พวกนางไม่ใช่คนที่น่าสงสารที่สุด พวกนางยังมีชีวิตอยู่และยังสามารถออกจากจวนองค์หญิงใหญ่ได้หลายคนเป็นกระดูกไปแล้วหากไม่สามารถหั่นผู้หญิงคนนี้เป็นชิ้นๆ ไม่งั้นมันระบายความโกรธในใจไม่ได้จริงๆซ่งซีซียังอยู่ในหอต้าหลี่ หลังจากที่แม่นมฝางตื่นขึ้นมาได้ดื่มน้ำสักหน่อยจากนั้นถูกส่งไปที่ห้องสอบสวนอีกครั้งเซี่ยหลูโม่กล่าวว่าไม่จำเป็นต้องสอบถามอีกเลย แต่ซ่งซีซีมีเรื่องจะพูดมันยังเป็นห้องสอบสวนเดิม แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่บันทึกข้อความ เซี่ยหลูโม่ยังนั่งอยู่ด้านหลังฉากกั้นห้องซ่งซีซีและแม่นมฝางนั่งตรงข้ามกัน โดยมีโต๊ะอยู่ระหว่างกั้นใบหน้าของนางมืดมน และไม่มีแสงประกายในดวงตาของนาง มีเพียงรอยขมขื่นและถอนหายใจ "ทำไมต้องถามอีกล่ะ เจ้าคิดว่าข้าจะพูดอะไรได้อีกล่ะ เจ้าต้องการให้ข้าเป็นพยานเพื่อชี้แจงว่าองค์หญิงใหญ่ในข้อหากบฏงั้นหรือ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องให้ชี้แจงหรอก พวกเจ้ามีหลักฐาน ด้วยสิ่งต่างๆ ที่พบในคุกใต้ดิน ไม่ต้องการคำปากคำใดๆ อีก และฮ่องเต้ก็จะไม่ปล่อยนางไป แล้วทำไมถึงต้องมุ
แม่นมฝางไม่ได้พูดมานาน นางรู้อยู่ในใจว่าองค์หญิงของนางไม่มีทางเป็นเหมือนเซียวเฟิ้งเอ๋อได้ในใจนาง ความคับข้องใจของนางสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใดหากนางแต่งงานกับซ่งฮวยอัน หากซ่งฮวยอันไม่เชื่อฟังนางแม้แต่ครั้งเดียว นางก็จะต้องก่อโกลาหลอย่างแน่นอนซ่งซีซีกล่าวต่อ "ส่วนที่เจ้าบอกว่าอนุภรรยาในจวนนั้นต่างต่ำต้อย องค์หญิงสูงศักดิ์ ไม่ว่าองค์หญิงจะทำอะไรกับพวกนางล้วนถือว่าเป็นพระบุญคุณ แล้วหากข้ามอบพระบุญคุณเช่นนี้ให้เจ้า แม่นมฝางจะกราบขอบคุณ แล้วยื่นนิ้วของเจ้าให้ข้าตัดออกทีละนิ้วไหม?"แม่นมฝางไม่เงยหน้าขึ้น ลดสายตาลง และไม่สามารถพูดอะไรที่จะตอบโต้ได้"อนุภรรยาที่ต่ำต้อยที่พวกเจ้าเอ่ยถึงนั้น ส่วนใหญ่เป็นแก้วตาดวงใจของครอบครัวตนเอง ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือสามัญชน พ่อแม่ของพวกนางก็ต้องเอ็นดูรักใคร่พวกนางเหมือนที่เจ้าเอ็นดูองค์หญิงใหญ่ แต่พวกนางถูกลักพาตัวและตายอย่างน่าสงสารในจวนองค์หญิง เจ้ายังคิดว่าพวกนางควรจะขอบคุณ โลกแบบนี้แม่นมฝางคิดดูให้ดีๆ ว่ามันน่ากลัวไหม ข้าไม่รู้ว่าโลกใบนี้มีผีตายตาไม่หลับหรือเปล่า หากมี พวกนางต้องลอยอยู่จวนองค์หญิงใหญ่ไม่ยอมไปไหน มิน่าล่ะทุกเทศกาลหันอี้ต้องทำพิธีทำบุญให
เฉินยีพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม "ข้าก็อ่านมาแล้วเช่นกัน ท่านอ๋อง โชคดีที่ได้ระบุบที่มาของผู้หญิงเหล่านั้น สามารถส่งคนไปบอกพวกเขาทีละครอบครัวได้""คนที่ไปตามหากระดูกนั้นกลับมาหรือยัง?" เซี่ยหลูโม่ถาม"ยังขอรับ บ่อน้ำลึกมากปิดมานานแล้วต้องรอให้กลิ่นเหม็นจางลงไปก่อนแล้วค่อยลงบ่อได้ คนที่ส่งไปเอากล่องนั้นแจ้งว่ามีคนลงไปบ่อน้ำแล้ว แต่มีศพเน่าเปื่อยอยู่ในบ่อ ยังนำกลับมาไม่ได้ อีกอย่างไม่เพียงแค่หนึ่งโครงกระดูก ศพที่เน่าเปื่อยและบวมเหล่านี้ก็เป็นอุปสรรคต่อการนำโครงกระดูกอื่นๆ กลับมาด้วย"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "มีเจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพอยู่ที่นั่นหรือเปล่า? ไปสำนักเขตจิงจ้าว ให้พวกเขาส่งเจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพไปช่วย""ไปแล้ว""อืม นับอาวุธเสร็จหรือยัง? ข้าจะเข้าวังเพื่อรายงงาน" เซี่ยหลูโม่ถามอีกครั้ง"นับแล้ว สมุดอยู่นี่" เฉินยีรีบดึงสมุดเล่มเล็กออกมาจากโต๊ะแล้วส่งให้เซี่ยหลูโม่ "ถูกเขียนตามหมวดหมู่ โปรดใต้เท้าตรวจดู"เซี่ยหลูโม่เปิดสมุด และพบคันธนูหนึ่งพันคัน เครื่องยิงห้าเครื่อง ลูกธนูสามร้อยแปดสิบมัด มัดหนึ่งร้อยแท่ง ชุดเกราะแปดร้อยชุด มีดยาวสามร้อยเล่ม หอกยาวสามร้อยเล่ม มีดสั้นสามร้อยเล่ม
นับตั้งแต่คืนเทศกาลหันอี้ เมื่อนางเสิ่นและชายารองจินกลับจวนตอนดึกได้พูดคุยเหตุการณ์ที่จวนองค์หญิงใหญ่แล้ว อ๋องเยี่ยน ก็วุ่นวายใจ ต่อมาก็ตกอยู่ภาวะที่ตื่นกลัวอย่างง่ายไม้ต้องให้คุณชายอู๋เซี่ยงโน้มน้าว เขาก็รู้ดีว่าเขาไม่สามารถออกจากเมืองหลวงและกลับไปที่เยี่ยนโจวได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ไม่เช่นนั้นก็เท่ากับยอมรับความจริงไปแล้วอู๋เซี่ยงให้เขาไม่ต้องไปสนใจเรื่องอะไรทั้งนั้น แต่ยังเข้าวังทุกวันเพื่อดูแลผู้ป่วย โดยแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นสำหรับคนที่เขาพาเข้ามาในเมืองหลวง ไม่มีใครสามารถทำอะไรบุ่มบ่ามได้อ๋องเยี่ยนแสร้งทำเป็นสงบภายนอก แต่จริงๆ แล้ว ในใจของเขาได้เกิดพยุงรุนแรงแล้ว เขาต้องการสอบถามเกี่ยวกับข่าวนี้ แต่หาแหล่งสืบสวนไม่ได้เขารู้ว่าผู้ที่ใกล้ชิดกับทางจวนองค์หญิงใหญ่กำลังตกอยู่ในอันตรายในขณะนี้ และตัวตนที่เขาในฐานะท่านอ๋องยิ่งอ่อนไหวมากขึ้นหลังจากการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว คนเดียวที่สามารถสืบสวนข้อมูลออกมาได้ก็คือนางเสิ่น เสิ่นว่านจือ ลูกพี่ลูกน้องของนางเสิ่นอาศัยอยู่ในจวนเป่ยหมิงอ๋อง และเป็นเพื่อนสนิทกับซ่งซีซี พระชายาเป่ยหมิงอ๋องดังนั้น ก่อนเข้าว
นางเสิ่นพูดอย่างเย็นชา "ข้ากับท่านอ๋องเป็นสามีภรรยากัน ระหว่างสามีและภรรยาจะตำหนิกันได้อย่างไร แต่ถ้าท่านอ๋องเร่งรีบกับเรื่องนี้ข้าก็ต้องให้ความสำคัญ เจ้าออกไปให้คนเตรียมรถม้า ข้าจะไปเดี๋ยวนี้"เมื่อชายารองจินเห็นว่านางยอมออกไปแล้ว โดยไม่สนใจสายตานางเต็มไปด้วยความดูถูกมากเพียงใด จากนั้นก็ออกไปให้คนใช้เตรียมรถม้าแต่แล้ว ทันทีที่นางเสิ่นออกจากบ้านก็เห็นซ่งซีซีกำลังมาพร้อมกับกองกำลังเมืองหลวงจำนวนมาก เมื่อมองแวบแรก นางยังมองไม่ออกว่าคือซ่งซีซี หลังจากมองดูอย่างละเอียดถึงจำนางออกซ่งซีซีนำปี้หมิงและกองกำลังเมืองหลวงอีกหลายสิบคน และมาที่นี่พร้อมกับกระบวนยิ่งใหญ่ขนาดนี้เพื่อสอบปากคำสตรีจากตระกูลขุนนางหรือฮูหยินมียศ นางจงใจจัดฉากใหญ่เพื่อให้ตระกูลขุนนางอื่นๆ เห็นว่าขนาดปฏิบัติต่อจวนอ๋องเยี่ยนก็เป็นเช่นนี้ หากไม่ได้ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างก่อเสียงดังแบบนี้ถือว่าไว้หน้ามากแล้วที่ทำแบบนี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้พวกเขาไม่พอใจ ในทางหลับกัน กลับให้คนอื่นๆ ซาบซึ้งใจด้วยเมื่อนางเสิ่นเห็นว่าพวกเขากำลังจะเข้าไปจวนอ๋องก็ตะโกนด้วยความโกรธทันทีว่า "พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ช่างบังอาจจัง ที่นี่คือจวนอ๋องเยี่