เสิ่นว่านจือมองไปกู้ชิงหลานที่กำลังโกรธแค้น ไม่รู้ว่าทำไม แต่เนื่องจากนางลงจากภูเขาเพื่อติดตามซีซีไปออกรบ ต่อมาได้เจอเรื่องไม่เอาไหนที่เมืองหลวงมากมาย ตอนนี้นางมีความอดทนมากขึ้นกว่าเดิมแล้วถ้าเป็นในอดีต นางคงจะเดินจากไปเมื่อได้ยินกู้ชิงหลานพูดแบบนี้ นางเคยใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นที่ไหนกัน? นางเป็ยคนเด็ดขาดโดยตลอด แต่ตอนนี้นางอยากเป็นคนมีจิตใจดีตอนนี้ นางพอจะเข้าใจความโกรธและความกลัวของกู้ชิงหลานได้แล้ว นางถูกญาติๆ ของนางหลอกใช้ประโยชน์มาโดยตลอด และไม่ได้รับความไว้วางใจใดๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นางถือว่าฝู้หม่ากู้ แม่และพี่สาวของนางเป็นครอบครัวที่มีสมาชิกสี่คน เป็นหนึ่งเดียวกัน ฝู้หม่ากู้ทรยศนาง ตอนนี้ก็มาบอกนางว่าพี่สาวนางต้องการฆ่าแม่ตนเอง อีกอย่างเรื่องนี้ได้ฟังจากปากของคนนอกคนหนึ่ง แน่นอนว่านางจะไม่เชื่อเลยเสิ่นว่านจือผู้เป็นคนดีก็ไม่โกรธ "นั่นคือความจริง ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ หากคำปากคำของหมอประจำจวนเป็นเรื่องโกหก ก็หลอกคนของหอต้าหลี่ไม่ได้หรอก ส่วนเหตุใดที่พี่สาวเจ้าสามารถสั่งการเขาได้ นั่นเป็นเพราะพี่สาวเจ้าไปหลับนอนกับเขา"กู้ชิงหลานสั่นไปทั้งตัวพลางน้ำตาไหล "หุบปาก เจ
ไหล่ของกู้ชิงหลานสั่นไหว และน้ำตาหยดใหญ่ก็ร่วงหล่นเมื่อเสิ่นว่านจือเห็นนางร้องไห้ก็ไม่ปลอบใจใดๆ จากนั้นหันไปมองที่ปลายซอย ทำไมหงเชวี่ยยังไม่มา?กู้ชิงหลานร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งและพูดด้วยน้ำเสียงแหบ "วันที่ข้ารับแม่กลับมา นางบอกข้าในรถม้าว่าให้ข้าอย่าไปไปเชื่อคำพูดของพี่สาว ข้าเชื่อว่าแม่น่าจะรู้เรื่องนี้แล้ว แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงทำเช่นนี้"นางเชื่อแล้วหรือ?เสิ่นว่านจือหันไปมองนาง "แม่เจ้าบอกอย่างนี้กับเจ้าเหรอ งั้นนางก็รู้เรื่องแล้ว ส่วนเหตุผลที่นางทำแบบนี้ แม่ของเจ้าก็น่าจะรู้แล้ว เจ้ากลับไปถามนางได้เลย"หงเชวี่ยขี่ลาเข้าไปในซอย เสิ่นว่านจือรีบโบกมือให้ "หงเชวี่ย ที่นี่"หงเชวี่ยก็เห็นพวกนางเช่นกัน และรู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมไม่รอนางที่ประตูบ้านของตระกูลหลิน แต่นางยังขี่ลาเข้าไปหาพลางถามว่า "ทำไมอยู่นี่ล่ะ""พวกนางไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านตระกูลหลิน อยู่ทางนุ่นเลย" เสิ่นว่านจือมองไปที่กู้ชิงหลาน "อย่าทำอะไรใช้อารมณ์ แม่เจ้ากำลังป่วยหนัก ซีซีมีงานมากมายยังไม่ลืมกำชับว่าต้องหาหมอให้แม่ของเจ้า อย่าทำให้ความหวังดีของนางต้องเสียเปล่า แต่อย่าทำร้ายแม่เพราะอารมณ์ของเจ้า"หงเชวี่
เมื่อพวกเขาออกไปนอกประตู หงเชวี่ยก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรจากกู้ชิงหลาน และพูดว่า "เมื่อกี้มีแม่ของเจ้าอยู่ด้วยเลยไม่เหมาะที่จะพูด แต่ตอนนี้ข้าจะบอกความจริงกับเจ้าว่า โรคของนางหากสามารถรักษาให้เร็วกว่าสักเดือนหนึ่งก็ยังมาทางหายได้ ไม่ถึงขั้นร้ายแรงขนาดนี้ เจ้าอยู่ดูแลนางให้ดีๆ เถอะ เหลือเวลาไม่มากแล้ว"กู้ชิงหลานรู้สึกราวกับว่าถูกฟ้าผ่า หากบอกว่าเมื่อกี้นางยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคำพูดของเสิ่นว่านจือ งั้นตอนนี้ก็เชื่อมันอย่างเต็มที่แม่ได้ดื่มยาในคุกใต้ดินด้วย แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ยารักษาโรคของนางหมอประจำจวนในคจวนองค์หญิงใหญ่มีทักษะทางการแพทย์ที่ดีมาก หากพวกเขาอยากจะรักษาให้แม่อย่างจริงใจ งั้นแม่ก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอนแต่ทำไม? ทำไมนางถึงทำเช่นนี้?นางถือใบสั่งยาและตัวเงินหนึ่งร้อยตำลึงด้วยความงุนงง น้ำตาไหลออกมาอย่างบ้าคลั่งบนใบหน้าของนาง หงเชวี่ยชินกับการมองเห็นความสุขและความเศร้าโศกของโลกนี้ และทำได้เพียงปลอบใจว่า "ในโลกนี้มีเรื่องที่จนใจมาหมาย แต่เราก็ต้องเข้มแข็ง"หงเชวี่ยขี่ลาออกไป เดิมทีเสิ่นว่านจือก็กะว่าจะจากไปเช่นกัน แต่เมื่อเห็นกู้ชิงหลานเป็นแบบนี้นางก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงลากน
เสิ่นว่านจือจากไปแล้ว รู้สึกทั้งโกรธและอึดอัดใจแม่ลูกสองคนนี้เป็นตัวอย่างของผู้หญิงที่ได้รับการทรมานจากองค์หญิงใหญ่ พวกนางไม่ใช่คนที่น่าสงสารที่สุด พวกนางยังมีชีวิตอยู่และยังสามารถออกจากจวนองค์หญิงใหญ่ได้หลายคนเป็นกระดูกไปแล้วหากไม่สามารถหั่นผู้หญิงคนนี้เป็นชิ้นๆ ไม่งั้นมันระบายความโกรธในใจไม่ได้จริงๆซ่งซีซียังอยู่ในหอต้าหลี่ หลังจากที่แม่นมฝางตื่นขึ้นมาได้ดื่มน้ำสักหน่อยจากนั้นถูกส่งไปที่ห้องสอบสวนอีกครั้งเซี่ยหลูโม่กล่าวว่าไม่จำเป็นต้องสอบถามอีกเลย แต่ซ่งซีซีมีเรื่องจะพูดมันยังเป็นห้องสอบสวนเดิม แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่บันทึกข้อความ เซี่ยหลูโม่ยังนั่งอยู่ด้านหลังฉากกั้นห้องซ่งซีซีและแม่นมฝางนั่งตรงข้ามกัน โดยมีโต๊ะอยู่ระหว่างกั้นใบหน้าของนางมืดมน และไม่มีแสงประกายในดวงตาของนาง มีเพียงรอยขมขื่นและถอนหายใจ "ทำไมต้องถามอีกล่ะ เจ้าคิดว่าข้าจะพูดอะไรได้อีกล่ะ เจ้าต้องการให้ข้าเป็นพยานเพื่อชี้แจงว่าองค์หญิงใหญ่ในข้อหากบฏงั้นหรือ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องให้ชี้แจงหรอก พวกเจ้ามีหลักฐาน ด้วยสิ่งต่างๆ ที่พบในคุกใต้ดิน ไม่ต้องการคำปากคำใดๆ อีก และฮ่องเต้ก็จะไม่ปล่อยนางไป แล้วทำไมถึงต้องมุ
แม่นมฝางไม่ได้พูดมานาน นางรู้อยู่ในใจว่าองค์หญิงของนางไม่มีทางเป็นเหมือนเซียวเฟิ้งเอ๋อได้ในใจนาง ความคับข้องใจของนางสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใดหากนางแต่งงานกับซ่งฮวยอัน หากซ่งฮวยอันไม่เชื่อฟังนางแม้แต่ครั้งเดียว นางก็จะต้องก่อโกลาหลอย่างแน่นอนซ่งซีซีกล่าวต่อ "ส่วนที่เจ้าบอกว่าอนุภรรยาในจวนนั้นต่างต่ำต้อย องค์หญิงสูงศักดิ์ ไม่ว่าองค์หญิงจะทำอะไรกับพวกนางล้วนถือว่าเป็นพระบุญคุณ แล้วหากข้ามอบพระบุญคุณเช่นนี้ให้เจ้า แม่นมฝางจะกราบขอบคุณ แล้วยื่นนิ้วของเจ้าให้ข้าตัดออกทีละนิ้วไหม?"แม่นมฝางไม่เงยหน้าขึ้น ลดสายตาลง และไม่สามารถพูดอะไรที่จะตอบโต้ได้"อนุภรรยาที่ต่ำต้อยที่พวกเจ้าเอ่ยถึงนั้น ส่วนใหญ่เป็นแก้วตาดวงใจของครอบครัวตนเอง ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือสามัญชน พ่อแม่ของพวกนางก็ต้องเอ็นดูรักใคร่พวกนางเหมือนที่เจ้าเอ็นดูองค์หญิงใหญ่ แต่พวกนางถูกลักพาตัวและตายอย่างน่าสงสารในจวนองค์หญิง เจ้ายังคิดว่าพวกนางควรจะขอบคุณ โลกแบบนี้แม่นมฝางคิดดูให้ดีๆ ว่ามันน่ากลัวไหม ข้าไม่รู้ว่าโลกใบนี้มีผีตายตาไม่หลับหรือเปล่า หากมี พวกนางต้องลอยอยู่จวนองค์หญิงใหญ่ไม่ยอมไปไหน มิน่าล่ะทุกเทศกาลหันอี้ต้องทำพิธีทำบุญให
เฉินยีพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม "ข้าก็อ่านมาแล้วเช่นกัน ท่านอ๋อง โชคดีที่ได้ระบุบที่มาของผู้หญิงเหล่านั้น สามารถส่งคนไปบอกพวกเขาทีละครอบครัวได้""คนที่ไปตามหากระดูกนั้นกลับมาหรือยัง?" เซี่ยหลูโม่ถาม"ยังขอรับ บ่อน้ำลึกมากปิดมานานแล้วต้องรอให้กลิ่นเหม็นจางลงไปก่อนแล้วค่อยลงบ่อได้ คนที่ส่งไปเอากล่องนั้นแจ้งว่ามีคนลงไปบ่อน้ำแล้ว แต่มีศพเน่าเปื่อยอยู่ในบ่อ ยังนำกลับมาไม่ได้ อีกอย่างไม่เพียงแค่หนึ่งโครงกระดูก ศพที่เน่าเปื่อยและบวมเหล่านี้ก็เป็นอุปสรรคต่อการนำโครงกระดูกอื่นๆ กลับมาด้วย"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "มีเจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพอยู่ที่นั่นหรือเปล่า? ไปสำนักเขตจิงจ้าว ให้พวกเขาส่งเจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพไปช่วย""ไปแล้ว""อืม นับอาวุธเสร็จหรือยัง? ข้าจะเข้าวังเพื่อรายงงาน" เซี่ยหลูโม่ถามอีกครั้ง"นับแล้ว สมุดอยู่นี่" เฉินยีรีบดึงสมุดเล่มเล็กออกมาจากโต๊ะแล้วส่งให้เซี่ยหลูโม่ "ถูกเขียนตามหมวดหมู่ โปรดใต้เท้าตรวจดู"เซี่ยหลูโม่เปิดสมุด และพบคันธนูหนึ่งพันคัน เครื่องยิงห้าเครื่อง ลูกธนูสามร้อยแปดสิบมัด มัดหนึ่งร้อยแท่ง ชุดเกราะแปดร้อยชุด มีดยาวสามร้อยเล่ม หอกยาวสามร้อยเล่ม มีดสั้นสามร้อยเล่ม
นับตั้งแต่คืนเทศกาลหันอี้ เมื่อนางเสิ่นและชายารองจินกลับจวนตอนดึกได้พูดคุยเหตุการณ์ที่จวนองค์หญิงใหญ่แล้ว อ๋องเยี่ยน ก็วุ่นวายใจ ต่อมาก็ตกอยู่ภาวะที่ตื่นกลัวอย่างง่ายไม้ต้องให้คุณชายอู๋เซี่ยงโน้มน้าว เขาก็รู้ดีว่าเขาไม่สามารถออกจากเมืองหลวงและกลับไปที่เยี่ยนโจวได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ไม่เช่นนั้นก็เท่ากับยอมรับความจริงไปแล้วอู๋เซี่ยงให้เขาไม่ต้องไปสนใจเรื่องอะไรทั้งนั้น แต่ยังเข้าวังทุกวันเพื่อดูแลผู้ป่วย โดยแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นสำหรับคนที่เขาพาเข้ามาในเมืองหลวง ไม่มีใครสามารถทำอะไรบุ่มบ่ามได้อ๋องเยี่ยนแสร้งทำเป็นสงบภายนอก แต่จริงๆ แล้ว ในใจของเขาได้เกิดพยุงรุนแรงแล้ว เขาต้องการสอบถามเกี่ยวกับข่าวนี้ แต่หาแหล่งสืบสวนไม่ได้เขารู้ว่าผู้ที่ใกล้ชิดกับทางจวนองค์หญิงใหญ่กำลังตกอยู่ในอันตรายในขณะนี้ และตัวตนที่เขาในฐานะท่านอ๋องยิ่งอ่อนไหวมากขึ้นหลังจากการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว คนเดียวที่สามารถสืบสวนข้อมูลออกมาได้ก็คือนางเสิ่น เสิ่นว่านจือ ลูกพี่ลูกน้องของนางเสิ่นอาศัยอยู่ในจวนเป่ยหมิงอ๋อง และเป็นเพื่อนสนิทกับซ่งซีซี พระชายาเป่ยหมิงอ๋องดังนั้น ก่อนเข้าว
นางเสิ่นพูดอย่างเย็นชา "ข้ากับท่านอ๋องเป็นสามีภรรยากัน ระหว่างสามีและภรรยาจะตำหนิกันได้อย่างไร แต่ถ้าท่านอ๋องเร่งรีบกับเรื่องนี้ข้าก็ต้องให้ความสำคัญ เจ้าออกไปให้คนเตรียมรถม้า ข้าจะไปเดี๋ยวนี้"เมื่อชายารองจินเห็นว่านางยอมออกไปแล้ว โดยไม่สนใจสายตานางเต็มไปด้วยความดูถูกมากเพียงใด จากนั้นก็ออกไปให้คนใช้เตรียมรถม้าแต่แล้ว ทันทีที่นางเสิ่นออกจากบ้านก็เห็นซ่งซีซีกำลังมาพร้อมกับกองกำลังเมืองหลวงจำนวนมาก เมื่อมองแวบแรก นางยังมองไม่ออกว่าคือซ่งซีซี หลังจากมองดูอย่างละเอียดถึงจำนางออกซ่งซีซีนำปี้หมิงและกองกำลังเมืองหลวงอีกหลายสิบคน และมาที่นี่พร้อมกับกระบวนยิ่งใหญ่ขนาดนี้เพื่อสอบปากคำสตรีจากตระกูลขุนนางหรือฮูหยินมียศ นางจงใจจัดฉากใหญ่เพื่อให้ตระกูลขุนนางอื่นๆ เห็นว่าขนาดปฏิบัติต่อจวนอ๋องเยี่ยนก็เป็นเช่นนี้ หากไม่ได้ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างก่อเสียงดังแบบนี้ถือว่าไว้หน้ามากแล้วที่ทำแบบนี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้พวกเขาไม่พอใจ ในทางหลับกัน กลับให้คนอื่นๆ ซาบซึ้งใจด้วยเมื่อนางเสิ่นเห็นว่าพวกเขากำลังจะเข้าไปจวนอ๋องก็ตะโกนด้วยความโกรธทันทีว่า "พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ช่างบังอาจจัง ที่นี่คือจวนอ๋องเยี่
จีซูเซิ่นไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหรู ในวันรุ่งขึ้นขณะที่พวกนางออกไปตรวจที่ร้านขายยาเย่าหวัง นางแปลงตัวเป็นชาวนาและแอบตามไป เพียงแต่ตลอดทางจากไปจนกลับ ไม่มีใครเข้ามาใกล้รถลาของพวกนาง และระหว่างทางรถลานั้นก็ไม่ได้หยุดเลย หลังจากกลับมาถึงโรงงาน หวังชิงหรูก็เริ่มต้มยา ในโรงงานไม่มีใครคอยรับใช้ ทุกคนต้องผลัดกันทำอาหาร ตอนแรกหวังชิงหรูทำอะไรไม่เป็นเลย แม้แต่การก่อไฟยังต้องใช้เวลาฝึกถึงสามวัน อาหารมื้อแรกที่นางทำถึงกับกินไม่ได้เลย คนในโรงงานช่วยเหลือกัน แต่ก็ล้อกันด้วย พวกเขาหัวเราะเยาะว่านางมีร่างกายเหมือนฮูหยิน แต่โชคชะตาไม่ใช่ฮูหยินตอนแรกนางโกรธและรู้สึกน้อยใจ คิดว่าทำไมต้องมาเจอกับความลำบากเช่นนี้ นางถึงขั้นคิดว่าพวกเขาตั้งใจกลั่นแกล้ง จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเจียอี้มาที่โรงงานเพื่อเยี่ยม นางลงมือทำอาหารเอง มันอาจจะไม่เลิศรส แต่ก็รสชาติกลมกล่อมพอดี นางนิ่งเงียบไป หวังชิงหรูรู้ดีว่าเจียอี้เคยเป็นคนอย่างไร อดีตท่านหญิงที่หยิ่งยโส แต่หลังจากถูกหย่าแล้วได้รับการพากลับมา นางยังสามารถลดตัวเองลงและลงมือทำอาหารให้กลุ่มสตรีที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้ได้ ที่สำค
สถานการณ์ของหวังเบียวทำให้ซ่งซีซีแปลกใจไม่น้อย นางคิดว่าเขาจะพาคนสนิทหนีไปซ่อนได้อย่างน้อยสองสามปี ใครจะคาดคิดว่า ระหว่างทางเขาจะถูกปล้นทรัพย์สิน แม้แต่อนุที่รักก็ยังทอดทิ้งเขา ไม่รู้ว่าในเวลานั้น เขาเคยเสียใจต่อความโง่เขลาของตัวเองบ้างหรือไม่ คนวัยกลางคน กลับยังหลงเชื่อในความรักแท้ คิดจะทิ้งภรรยาที่อยู่เคียงข้างและดูแลเขามากว่าสิบปี สุดท้ายกลับถูกคนอื่นทิ้งเสียเอง นับว่าเป็นกรรมที่ตามสนอง แต่กรรมที่เขาได้รับยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ด้วยนิสัยของกู้ชิงหวู่ ตอนที่จากไปนางต้องเคยดูถูกเหยียดหยามเขาอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่นางเคยดูถูกเหลียงเส้า กู้ชิงหวู่ใช้ความงามของตัวเองเป็นเครื่องมือ แต่ในขณะเดียวกันก็เกลียดชังชายที่หลงใหลในความงามของนางอย่างยุติธรรม ในความเป็นจริง ซ่งซีซีคิดว่าหวังเบียวอาจไม่ได้อยู่ที่อำเภอหยง เพราะด้วยสถานะของเขาในฐานะผู้หลบหนี เขาไม่สามารถปรากฏตัวด้วยหน้าตาที่แท้จริง และไม่กล้าพำนักในที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ได้แต่หนีซุกซ่อน เขายังพาลูกไปด้วยอีก ซ่งซีซีคิดว่า หากเขาจนตรอก เขาอาจจะแอบกลับเมืองหลวงหรือไม่?แม้เขาจะโง่ แต่ก็ไม่ถึงกับโง่สิ้นดี เขารู
กู้ชิงหวู่กำหมัดแน่น ดวงตาเปล่งประกายแห่งความโกรธ "ดังนั้นข้าถึงบอกว่า สวรรค์ไม่ยุติธรรม ไยต้องเป็นเช่นนี้?" "เจ้าพูดเอง ด้วยชาติกำเนิดที่ดีของข้า รวมถึงสตรีหน้าเหลืองที่เจ้ากล่าวถึง นางก็เป็นสตรีผู้สูงศักดิ์" ซ่งซีซีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่เต็มไปด้วยท่าทีเหนือกว่า กู้ชิงหวู่เกลียดชังท่าทางเช่นนี้ที่สุด มันเหมือนกับอดีตองค์หญิงใหญ่ที่อยู่บนหอคอยสูง ในขณะที่ตนต้องก้มต่ำอยู่ในโคลนตม นางโกรธจัด หน้าอกสะท้อนขึ้นลง "ถึงจะเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์แล้วอย่างไร? ก็ยังถูกสามีรังเกียจอยู่ดีมิใช่หรือ?" "หวังเบียวหรือ? นางไม่เคยใส่ใจเขาเลย มีแต่เจ้าที่มองเขาเหมือนสมบัติ" ซ่งซีซีตอบอย่างไม่ใส่ใจ "สำหรับข้า เขาก็ไม่ใช่สมบัติอะไร แค่ขยะชิ้นหนึ่ง" กู้ชิงหวู่ตอบด้วยแววตาดุดัน ซ่งซีซีหัวเราะเยาะ "ข้ารู้ว่าไม่ใช่เช่นนั้น เจ้าถึงกับให้กำเนิดบุตรให้เขา ทั้งที่รู้ว่าการหนีจากสนามรบเป็นความผิดร้ายแรง เจ้ากลับไม่สนใจและหนีตามเขาไป ข้าเคยเจอคนปากไม่ตรงกับใจเช่นเจ้ามานักต่อนัก" "ไร้สาระ!" กู้ชิงหวู่ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว ใบหน้าแดงก่ำ แต่ไม่นานก็หัวเราะเยาะ "ฮะ คิดจะหลอกข้าหรือ? ใช่ ข้ารักเขาจนถ
สถานที่อันเป็นมงคลนี้ถูกเลือกโดยสำนักโหรหลวง เป็นสถานที่ที่งดงามด้วยภูเขาและสายน้ำ มีหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ สองแห่ง แม้จะเรียกว่าด้านข้างพระราชสุสาน แต่ความจริงแล้วห่างจากพระราชสุสานถึงสามสิบลี้ หลังจากงานศพ กู้ชิงหยิงมาพบซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเพื่อกล่าวลา บอกว่าจะไปสร้างกระท่อมเล็กๆ อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อเฝ้าสุสานของบิดาบุญธรรม เสิ่นว่านจือถามว่านางต้องการความช่วยเหลือเรื่องเงินหรือไม่ นางตอบว่าไม่จำเป็น เพราะนางจะขายเครื่องประดับที่เคยซื้อไว้ ก็เพียงพอจะกลายเป็นคนมีฐานะเล็กๆ ได้ วันที่นางจากไปพอดีกับวันที่เจ้าสิบเอ็ดฝางคุมตัวอ๋องเยี่ยนและคนอื่นๆ กลับเมืองหลวง นางยืนอยู่ที่ประตูเมือง มองเข้าไปในรถนักโทษที่มีอ๋องเยี่ยนและอ๋องฮวย ความเกลียดชังพลันผุดขึ้นในใจ แต่เมื่อเห็นชาวบ้านต่างด่าทอและโยนใบไม้เน่าใส่พวกเขา นางก็รู้สึกคลายความโกรธ เพราะคิดว่าคนชั่วได้กรรมของตนเองแล้ว สำหรับนาง นับจากนี้ก็เป็นอิสระแล้ว ไม่มีใครหรือสิ่งใดมาผูกมัดนางได้อีก ในการคุมตัวครั้งนี้ ยังมีข้าราชการของหนิงโจวและชิวเหมิงถูกนำตัวกลับมาด้วย สิ่งที่ทำให้ซ่งซีซีประหลาดใจคือ นางยังเห็นกู้ชิงหวู่ด
ใช้เวลาห้าวันกว่าจะกวาดล้างเศษซากกบฏได้หมดสิ้น เจ้าสิบเอ็ดฝางและมู่ฉงกุยส่งข่าวชัยชนะมาว่าได้จับชิวเหมิงกบฏตัวสำคัญเป็นเชลย พร้อมนำตัวอ๋องเยี่ยน อ๋องหวย และอู๋เซียงผู้ทรยศกลับมายังเมืองหลวง ซึ่งอีกไม่นานจะมาถึง ยกเว้นเพียงหวังเบียวที่ยังคงหลบหนี นอกนั้นกบฏส่วนใหญ่ล้วนถูกจับกุมได้หมดแล้ว วันที่ 25 เดือนเจ็ด สำนักราชวังจัดพิธีศพให้ท่านอ๋องฮุย เพราะเหตุการณ์กบฏของเซี่ยทิงเหยียน พิธีศพจึงจัดอย่างเรียบง่าย และจักรพรรดิ์ซูชิงทรงเรียกขุนนางมาหารือว่าท่านอ๋องฮุยควรได้ฝังในสุสานอ๋องหรือไม่ แม้ว่าท่านอ๋องฮุยจะบริสุทธิ์ แต่ความผิดของเซี่ยทิงเหยียนเป็นโทษที่เกี่ยวพันถึงทั้งตระกูล ซ่งซีซีไม่ได้รับการเรียกตัวให้เข้าร่วมพิธี นางจึงพาผู้คนจากจวนเป่ยหมิงอ๋องมาร่วมงานศพของอ๋องฮุย พิธีศพจัดอย่างเรียบง่าย ไม่มีขุนนางมาร่วมงาน นอกจากจักรพรรดิ์จะทรงอนุญาตให้อ๋องฮุยฝังในสุสานอ๋อง มิฉะนั้นจะไม่มีใครกล้าเข้าร่วม กู้ชิงหยิงสวมชุดไว้ทุกข์คุกเข่าเผากระดาษหน้าโลงศพ ศพของอ๋องฮุยถูกบรรจุในโลงแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดฝา เมื่อซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือมาถึง ยังสามารถไปดูหน้าศพครั้งสุดท้ายได้ มีโลงศพสา
เมื่อได้ยินว่าอ๋องฮุยปลิดชีพตนเอง เซี่ยทิงเหยียนถึงกับอึ้งไป ก่อนจะร้องไห้เสียงดังว่า “เสด็จพ่อ ทำไมต้องกลัวโทษจนถึงกับฆ่าตัวตาย? ลูกสัญญาไว้ว่าจะรับโทษแทนท่านแล้ว” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ กู้ชิงหยิงที่ไม่ได้หวังจะมีชีวิตรอดอยู่แล้วก็พุ่งเข้าไปชกหัวเขาอย่างแรง หมัดของกู้ชิงหยิงใหญ่โตนัก ฟาดเข้าที่กระหม่อมของเซี่ยทิงเหยียนจนเขารู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่า หูอื้ออยู่นานก่อนจะเงยหน้ามองนางด้วยสายตาเย็นเยียบดุจอสรพิษ กู้ชิงหยิงถ่มน้ำลายใส่เขาแล้วกล่าวว่า “เจ้าสัตว์เดรัจฉาน เจ้าใช้อำนาจข่มขู่ชีวิตชาวเมืองหนิงโจวและคนเก่าของวังให้ท่านอ๋องต้องรับผิดแทนเจ้า ท่านอ๋องไม่เคยมีจิตคิดกบฏ แม้แต่ตอนที่ถูกเจ้าจับตาอย่างใกล้ชิด ท่านยังพยายามส่งข่าวให้ใต้เท้าซ่ง เจ้าจงหยุดทำลายชื่อเสียงของท่านอ๋องหลังจากตายเถิด” นางพูดจบก็รีบคุกเข่าลง น้ำตาไหลอาบหน้า “ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงโปรดพิจารณา ท่านอ๋องไม่ได้ก่อกบฏ แต่เป็นเซี่ยทิงเหยียนที่พูดเองว่า หากเขาสำเร็จ ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี แต่หากล้มเหลว ลูกน้องของเขาจะสังหารชาวเมืองหนิงโจว เขาข่มขู่ท่านอ๋องเช่นนี้มาตลอด คนเก่าของวังที่อยู่ข้างกายท่านอ๋องถูกเขาฆ่าจนแทบไม่
จักรพรรดิ์ซูชิงมองลงมาจากที่สูง ดวงตาเต็มไปด้วยความชิงชัง “อย่างนั้นหรือ? แม้เจ้าจะยอมรับโทษแทนบิดา แต่ข้าไม่อาจกล่าวโทษผู้บริสุทธิ์โดยไร้เหตุผลได้ ใครกันที่เป็นกบฏวางแผนชิงบัลลังก์ ข้าจะสืบสวนให้กระจ่างเอง” “ฝ่าบาท” เซี่ยทิงเหยียนน้ำตาคลอ ดวงหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจอย่างยิ่ง “ไม่ต้องสืบสวนแล้ว ขอพระองค์ทรงตัดสินโทษกระหม่อมเถิด เสด็จพ่อเพียงหลงผิดชั่วขณะ” จักรพรรดิ์ซูชิงหัวเราะเยาะ “เจ้าทำให้ข้าผิดหวังนัก เหตุใดถึงไร้เกียรติเช่นนี้? ไหนล่ะความตระหนักของผู้แพ้ในสงคราม เจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะเป็นยอดคนผู้ห้าวหาญ ผู้เช่นเจ้ากล้าหมายปองบัลลังก์ คิดจะเป็นประมุขของแผ่นดินหรือ? เซี่ยทิงเหยียน อย่าให้ผู้ติดตามเจ้าเขาต้องผิดหวังนัก” “กระหม่อมยินดีรับโทษแทนเสด็จพ่อ! ขอพระองค์โปรดเมตตาไว้ชีวิตเสด็จพ่อด้วย” เซี่ยทิงเหยียนไม่สนว่าจักรพรรดิ์ซูชิงจะตรัสสิ่งใด เขาก็ยังคงกล่าวแต่คำนี้ด้วยความปวดร้าวและความกตัญญู ขุนนางที่อยู่ในที่นั้นย่อมไม่เชื่อ ต่างตำหนิเขาด้วยถ้อยคำรุนแรงถึงความทะเยอทะยานราวหมาป่า แต่หากคนใดหน้าหนาเพียงพอ ย่อมไม่สะทกสะท้านต่อคำด่าว่า เขายังคงแสดงสีหน้าเจ็บปวดและกล่าวว่า
ภายใต้การบัญชาของสือหงเซิน กองกำลังทหารส่วนตัวเหล่านี้ไม่เพียงไม่ล่าถอย แต่กลับต่อสู้อย่างดุดันยิ่งขึ้น พวกเขาไม่ใช่ทหารส่วนตัวของอ๋องเยี่ยน จำนวนกว่า 10,000 คน ล้วนเป็นผู้ที่เซี่ยทิงเหยียนคัดเลือกอย่างพิถีพิถันตลอดหลายปี และผ่านการฝึกฝนมานับครั้งไม่ถ้วน ในหมู่พวกเขา หลายคนมีชีวิตที่ขมขื่น และความเกลียดชังต่อโลกนี้ พวกเขาหวังว่าจะพลิกชะตาชีวิตของตนเองด้วยสงครามครั้งนี้ ดังนั้นตราบใดที่ยังมีผู้บัญชาการอยู่ข้างหน้า พวกเขาก็ไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ กองทัพซวนเจียสามารถเอาชนะพวกเขาได้ แต่ชัยชนะนี้จะไม่ได้มาอย่างง่ายๆ และรวดเร็ว ซ่งซีซีรู้ว่าหากพวกเขาไม่ยอมจำนน จำนวนผู้เสียชีวิตจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น นางจึงเลือกกำลังพลที่ดีที่สุดกลุ่มหนึ่ง รวมถึงกลุ่มย่อยเหม่ยซานของพวกเขา วางแผนจะตัดศีรษะของสือหงเซินท่ามกลางกองทัพกบฏ เมื่อทัพไร้แม่ทัพ การสงครามย่อมสงบได้เร็วขึ้น ซ่งซีซีวางแผนให้หมั่นโถวและกุ้นเอ๋อร์เข้าไปทำลายรูปขบวนของพวกเขาก่อน จากนั้นนางและเสิ่นว่านจือจะบุกเข้าไปตัดศีรษะแล้วรีบถอยออกมา นี่คือการตัดหัวแม่ทัพศัตรูท่ามกลางกองทัพนับพันอย่างแท้จริง เป็นเรื่องที่ยากลำบาก เพราะเหล่าก
เซี่ยทิงเหยียนควบม้าออกไป และเห็นชิวเหมิงอยู่ไกลๆ เขาจึงวางใจจริงๆ เขารู้ดีว่าชิวเหมิงพร้อมจะแลกทุกสิ่ง ชายคนหนึ่ง หากทุ่มเทอย่างเต็มที่และไม่กลัวตาย ย่อมสามารถสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ได้ นี่คือสงครามที่เขาเฝ้าฝันถึง การต่อสู้เพื่ออุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ของตนเอง ความเยือกเย็นและสงบนิ่งที่เคยมีถูกแทนที่ด้วยเลือดร้อนที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่าง ความปรารถนาที่จะครอบครองแผ่นดินมอบพลังและความเชื่อมั่นแก่เขา เขาเชื่อมั่นว่าความทะเยอทะยานคือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้ แต่เขาไม่รู้เลยว่า ความทะเยอทะยานไม่เคยเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความรักและความเกลียดชัง รวมถึงความยุติธรรมและความสามัคคี มันคือความรักชาติของซ่งซีซี ผู้บัญชาการแห่งกองทัพซวนเจีย! มันคือความเกลียดชังจากการล้างโคตรตระกูลของซ่งซีซี! และยิ่งไปกว่านั้นคือการรวมพลังกันของทหารและชาวยุทธภพ เพื่อขับไล่กบฏและปกป้องความยุติธรรมของประชาชน เซี่ยทิงเหยียนสังเกตเห็นความผิดปกติในทันที ทหารที่ชิวเหมิงนำมา ต่างถอดเครื่องแบบออกพร้อมกัน เผยให้เห็นเสื้อผ้าธรรมดาที่สวมอยู่ด้านใน ซึ่งปักอักษร