ข่าวที่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกำลังจะออกศึกที่เขตหนานเจียง ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านทั้งตื่นเต้นและเป็นกังวลนางรู้ว่าการไปออกศึกถือเป็นพรก็เป็นหายนะด้วย หากได้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ย่อมสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่โดยธรรมชาติ หากายแพ้ งั้นต้องเสียชีวิตในสนามรบอย่างไรก็ตาม หลังจากคิดซับซ้อนมาสักพักหนึ่ง นางก็ยังเชื่อในตัวลูกชายของนางและยี่ฝางด้วย เพราะถึงยังไงในสงครามชายแดนเฉิงหลิง ยี่ฝางเป็นคนได้สร้างผลงานที่ใหญ่ที่สุดนางมีความสามารถยิ่งไปกว่านั้น ทั้งคู่ยังเป็นแม่ทัพ ดังนั้นพวกเขาจึงแค่ออกคำสั่งเท่านั้น เรื่องต่อสู้นั้นเป็นหน้าที่ของพวกทหารพอคิดถึงเช่นนี้ ความสุขก็กลบความกังวลไปแล้ว เลยสั่งคนให้ช่วยจัดเตรียมเรื่องที่พวกเขาจะออกเดินทางเพียงไม่กี่วันหลังจากที่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางนำกองกำลังออกจากเมืองหลวง ในที่สุดสายลับที่ซ่อนตัวอยู่ในแคว้นซาก็รายงานข่าวกลับไปที่ราชสำนักข่าวลับที่พวกเขารายงานนั้นเหมือนกับข่าวที่ส่งกลับมาโดยเป่ยหมิงอ๋องในเขตหนานเจียงทุกประการและเหมือนกันกับข่าวที่ซ่งซีซีรายงานตอนที่นางเข้าวังเมื่อครึ่งเดือนที่แล้วด้วยจักรพรรดิหนุ่มที่มีรูปหล่อฉีกรายงานลับด้วยความโกรธ ห่า
จักรพรรดิ์ซูชิงกล่าวว่า "นางได้ทำโทษอะไร นางไปที่เขตหนานเจียงเพื่อรายงานข่าว เสด็จน้องอาจเตรียมการล่วงหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้โจมตีโดยไม่ตั้งตัว บางครั้งข่าวกรองทางทหารจะส่งให้เร็วกว่าหนึ่งวันหรือหนึ่งชั่วยาม มันก็มีผลต่างการ นางได้สร้างผลงานไว้ เป็นข้าที่ไม่เชื่อใจนาง"จักรพรรดิ์ซูชิงกล่าวพลางหันไปด้านข้างเล็กน้อย "ข้าได้ส่งองครักษ์หลวงไปจับตาดูนางไว้ นางยังสามารถหนีออกไปได้กลางดึก ดูเหมือนว่าวิชาตัวเบาของนางได้เก่งมาก"อู๋ต้าปั้นยิ้มและกล่าวว่า "ฝ่าบาท ถึงยังไงนางได้เรียนศิลปะการต่อสู้ในสถาบันว่านซงเหมินมาเจ็ดแปดปีแล้ว สถาบันว่านซงเหมินเป็นนิกายที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นซางของเรา ได้ยินมาว่า นาง เป็นศิษย์ที่มีศักยภาพมากที่สุดของนิกายเลย""จริงเหรอ?" ความรู้ที่จักรพรรดิ์ซูชิงมีต่อสถาบันว่านซงเหมินนั้นจำกัดแค่เสิ่นชิงเหอ เขาไม่รู้ว่าซ่งซีซีทรงพลังขนาดนี้ด้วย "ข้าแปลกใจเล็กน้อย ทำไมตอนนั้นซ่งฮูหยินถึงเลือกจ้านเป่ยว่างเป็นสามีของนางเล่า ด้วยด้วยภูมิหลังของตระกูลซ่ง จะเลือกผู้ชายชนชั้นสูงแบบไหนก็ได้นี่ ทำไมถึงเลือกจวนแม่ทัพที่ตกอับไป?"อู๋ต้าปั้นลังเลอยู่นานแล้วพูดเบาๆ "ได้ยินมาว่าคนที่ไปสู่ข
การไม่รู้อะไรเลยคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอู๋ต้าปั้นสะบัดแขนเสื้อ ส่ายหัวแล้วพูดว่า "ข้าน้อยไม่ทราบ แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้นพะยะค่ะ"คำว่าทำตามคำสั่งเท่านั้น ทำให้อ๋องฮวยไม่กล้าถามอะไรอีก จักรพรรดิทรงมีอานุภาพมากจนการลงโทษยังถือว่าเป็นรางวัลได้ด้วยหลังจากที่อู๋ต้าปั้นจากไป ทั้งคู่ก็มองหน้ากัน พวกเขาดูแลเสด็จแม่ในเมืองหลวง ฮ่องเต้เองยังทรงโปรดอนุญาตให้ไท่เฟยออกจากวังและอาศัยอยู่กับพวกเขาในจวนอ๋องฮวยด้วย โดยปกติแล้วพระองค์ค่อนข้างเป็นมิตร แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงมาลงมาโดยไม่มีเหตุผลล่ะ?พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย และไม่กล้าทำอะไรอีกด้วยมันแปลกจริงๆในช่วงกลางฤดูหนาว หิมะตกหนักขัดขวางทางที่จ้านเป่ยว่างจะเดินทางไปเดิมทียามที่ออกจากเมืองหลวงก็เร่งให้เดินเร็วอยู่แล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าหิมะตกหนักติดต่อกันสองวัน มีหิมะตกทุกที่ จะหนาวจัดก็ไม่ว่าอะไร แต่ความคืบหน้าก็ชะลอตัวลงอย่างมากพอก้าวเท้าออกไป ต้องใช้เวลาดึงเท้าออก มันยากอยู่แล้วที่เขตหนานเจียงก็มีหิมะตกด้วย แต่โชคดีที่ไม่หนักมากนัก การฝึกทหารใหม่ก็ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว ได้รับสมัครทหารใหม่เป็นสามหมื่นนาย นอกจากนี้ยังมีการผลิตอาวุธและชุดเกราะในเมือ
"เมื่อนับถึงสามสิบคนก็ไม่ได้นับต่อเลย"ซ่งซีซียกแขนขึ้นแล้วรู้สึกว่าหอกดอกท้อหนักมาก และการออกศึกเป็นเรื่องเหนื่อยมากจริงๆ"ข้านับแล้ว ข้าฆ่าไปห้าสิบคน" หมั่นโถวกระโดดขึ้นอย่างสง่างามราวกับปลา แต่กระโดดแล้ว สุดท้ายก็ล้มกับพื้น อาวุธที่เขาใช้คือดาบ แต่เนื่องจากมีคนมากเกินไป ดาบจึงถูกโจมตีจนหลุดไป ต่อมาเขาฆ่าคนด้วยหมัดและเท้า สุดท้ายได้หยิบดาบของตัวเองกลับมาเสิ่นว่านจือกล่าวว่า "ข้าฆ่าคนไปหกสิบสามคน"จางต้าจ้วง รองแม่ทัพของเป่ยหมิงอ๋องเดินเข้ามา เขามีเลือดเต็มตัวเช่นกันซ่งซีซีลุกขึ้นนั่งก่อน จากนั้นจึงใช้หอกดอกท้อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน "รองผู้บัญชาการจาง""ซ่งซีซี!" รองผู้บัญชาการจางมองนางด้วยความประหลาดใจและตื่นเต้น "เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าได้ฆ่าศัตรูไปกี่คน?""ไม่รู้สิ ข้าไม่ได้นับ"รองผู้บัญชาการจางแปะมือ และดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น "ผู้บัญชาการนับจำนวนคนที่เจ้าฆ่าให้เจ้าเอง เจ้าใช้หอกดอกท้อแทงคอของศัตรู นับแค่ส่วนนี้ ก็มีมากกว่าสามร้อยคน มันไม่ยังไม่รวมถึงคนที่ถูกปิดกั้นคอด้วย เจ้านี่สุดยอดจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าออกศึกจริงหรือ แม่ทัพทุกคนชื่นชมว่าเจ้าสมเป็นลูก
ในเมืองอีลี่ ซูลันจี ผู้บังคับบัญชาแห่งเมืองซีจิงยืนอยู่บนหอชมเมือง มองดูทหารของแคว้นซางที่อยู่ไกลความเกลียดชังและความโกรธเผาไหม้ในดวงตาของเขา“พวกเขาไม่สามารถเฝ้าเขตหนานเจียงได้สำเร็จหรอก” ผู้บังคับบัญชาซูลันจีกล่าวอย่างเย็นชา ความเกลียดชังในดวงตาของเขาแทบจะลุกไหม้ชาวซางในระยะไกล“ทหารของเจ้าได้รับบาดเจ็บมากมาย พักฟื้นสักสองสามวันก่อนค่อยต่อสู้ใหม่” วิกเตอร์ ผู้บังคับบัญชาแห่งแคว้นซากล่าวซูลันจีส่ายหัวพร้อมกับสวมหมวกหนาๆ บนหัวสีเทา มีไอน้ำสีขาวออกมาจากปาก เขาเอามือวางไว้บนก้อนอิฐของหอชมเมือง “ไม่ เราไม่สามารถปล่อยให้พวกเขามีความสุขได้นานเกินไป เราจะเริ่มโจมตีใหม่ในวันมะรืนนี้ ภายในสามวัน ข้าต้องเอาเมืองทาเฉิงให้ได้”วิกเตอร์ไม่ได้สนใจมากนัก ถึงอย่างไร ทหารที่ไปแนวหน้าเพื่อต่อสู่นั้นส่วนใหญ่เป็นชาวซีจิง และพวกเขาก็นำอาหารมาด้วย“เรื่องที่เจ้าให้พวกเราสืบนั้น ได้ผลแล้ว แม่ทัพหญิงที่ชื่อยี่ฝางนั้นอยู่ในกำลังเสริมของแคว้นซาง ยามนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังสนามรบเขตหนานเจียง”ซูลันจีกำหมัดแน่น โดยมีเส้นเลือดบนหน้าผากนูนโป่งขึ้นว่า "คนนี้ ไม่ว่าต้องจ่ายราคาแพงเท่าไรก็ต้องจับนางทั้งเป็นให้
เมื่อกลับมาถึงค่าย ซ่งซีซีได้สงบอารมณ์ทั้งหมดของนางหลังจากได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นซ่งเชียนฮู่แล้ว นางยังได้แต่อยู่ร่วมค่ายเล็กๆ กับพวกเฉินเฉินด้วยกันเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มีผ้าห่มเพิ่มให้สองผืนซึ่งเป็นผ้าห่มใหม่ที่ส่งมาจากเมืองทาเฉิงเนื่องจากหมั่นโถวและกุ้นเอ๋อร์เป็นผู้ชาย จึงมีม่านกั้นระหว่างพวกเขา และพวกเขาก็ถอดเสื้อผ้าออกเพื่อทำแผลทุกคนได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อย แต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร เพียงแต่อากาศหนาว ความเจ็บปวดเลยรุนแรงกว่าปกติซ่งซีซีแจกจ่ายยาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ แต่ไม่มีใครใช้ของนาง ใครบ้างที่เข้าสู่สนามรบโดยไม่นำยามาบ้าง? แต่ละนิกายมียาศักดิ์สิทธิ์สำหรับรักษาบาดแผลของตัวเองซ่งซีซีเก็บมันกลับไป "แล้วไป""ซีซี ได้ยินมาว่าอดีตสามีของเจ้าและภรรยาใหม่ของเขากำลังจะมาสนับสนุนที่นี่ เจ้าจะรู้สึกอึดอัดใจไหมถ้าจะพบกัน?"เฉินเฉินสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย และทำความสะอาดผงยาบนพื้นก่อนถาม"อึดอัดไปทำไม" เสิ่นว่านจือตะคอก ใบหน้าของนางดูเย็นชา "เราแค่ปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนหมูเหมือนควายก็พอ สายตาของเราทนเห็นของสกปรกเหล่านี้ไม่ได้หรอก"หมั่นโถวเปิดม่านขึ้น "จะว่าไป ทำไมท่านแม่ของเจ้
มีมือใหญ่ข้างหนึ่งหยิบถุงสุราจากบนพื้น ชายคนนั้นเปิดออกแล้วดมกลิ่น ดวงตาที่สดใสของเขาเต็มไปด้วยความปีติยินดี แต่คำพูดที่เขาพูดออกมานั้นกลับโกรธจัด "ช่างบังอาจจัง กลับซ่อนสุราดีๆ ในกองทัพ ถูกยึดแล้ว!"หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็หันหลังกลับและจากไปซ่งซีซีนั่งยองๆ อยู่กับพื้นแล้วลูบจมูกทั้งน้ำตา นางได้แต่มองร่างสูงวิ่งกลับไปที่ค่ายผู้บัญชาการทั้งแย่างนั้น"มันถูกยึดโดยผู้บังคับบัญชา" หมั่นโถวพูดด้วยความงุนงง จากนั้นเขาก็ถอนหายใจอย่างเศร้าๆ ว่า "แม้ว่าให้ข้าจิบแค่คำเดียวก็ดีนะ จะแย่งชิงทำไม เป็นไง ถูกยึดไปแล้วสิ"เสิ่นว่านจือเองก็ไม่คาดคิดว่าผู้บังคับบัญชาจะมา จากนั้นแค่หัวเราะเบาๆ และพูดว่า "ข้ามีกระเป๋าใบใหญ่ขนาดนั้น จะมีแค่ขวดเดียวได้ยังไงเล่า?"หมั่นโถวและกุ้นเอ๋อร์รีบไล่ตามไป ต่างเรียกนางว่าพี่อย่างเอาใจใส่ สุดท้ายทั้งห้าคนก็ได้ดื่มสุราอีกถุงหนึ่งสุดยอดเลย!เสียงแตรของการออกศึกครั้งที่สองดังขึ้น เสียงฝีเท้าดังก้อง ฉากยิ่งใหญ่ราวกับต้องพิชิตข้าศึกศัตรูให้ได้เป่ยหมิงอ๋องทรงออกสั่งว่าจุดประสงค์หลักของการโจมตีครั้งนี้คือทำให้ศัตรูบาดเจ็บ ให้ฆ่าคนน้อยลงและทำให้บาดเจ็บมากขึ้นหมั่
ผมของนางยุ่งเหยิง เลือดที่ศัตรูสาดกระเซ็นติดอยู่บนผม ตอนนี้มีปอยผมปิดแก้ม มันเลอะเทอะจนไม่น่ามอง ทั้งฟูทั้งพันกัน ยุ่งเหยิงเป็นตังเมเกราะไม้ไผ่บนตัวของนางก็เสียหายไปหลายจุด และมีเลือดเปื้อนด้วย ใบหน้าของนางไม่มีพื้นผิวที่สะอาดแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เลือดก็เป็นโคลนไม่ได้อาบน้ำอาบท่ามาหลายวันแล้ว สรุปแล้วแม้แต่ขอทานยังดูสะอาดกว่านาง"เจ้ารู้สึกไม่สบายใจหรือไม่?" เป่ยหมิงอ๋องนึกถึงทุกปีที่เขาไปสถาบันว่านซงเหมิน ได้เห็นหญิงสาวที่มีชีวิตชีวาและเลือดร้อนคนนั้น ไร้ความกังวลทั้งอย่างนั้น แต่เวลานี้กลับเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง"หิว!" ซ่งซีซีเปิดริมฝีปากที่แตกออกแล้วพูดออกมาหนึ่งคำเคราบนใบหน้าของเป่ยหมิงอ๋องขยับเล็กน้อย "อืม หิวทั้งนั้น อดทนหน่อย""เหนื่อย!" ซ่งซีซีพูดอย่างอ่อนแรง "ขนาดยืนก็ยากมาก""ซ่งซีซี!" ดวงตาของเป่ยหมิงอ๋องดูจริงจัง "เจ้ารู้ไหมว่านับตั้งแต่แคว้นซางก่อตั้งมา ไม่เคยมีทหารคนใดที่สามารถทำลายล้างศัตรูมากมายตอนครั้งแรกที่เข้าสู่สนามรบได้ แม้แต่ท่านพ่อของเจ้าก็ตาม เจ้าน่าทึ่งมาก ดังนั้น เจ้าให้เดินออกไปโดยลำตัวตั้งตรง"ซ่งซีซีลำตัวตั้งตรง และเดินกะโผลกกะเผลกออกจากค่ายของผู
ซ่งซีซีนั่งกลับลงบนเก้าอี้ กล่าวว่า “เรื่องที่พวกเจ้าทุจริตนั้น ฝ่าบาททรงทราบดีแล้ว ตอนนี้ที่ทรงให้ข้าสอบสวนเป็นการส่วนตัว ก็เพื่อมอบโอกาสให้พวกเจ้า หากพูดความจริง หัวของเจ้าจะยังปลอดภัย หากให้ข้อมูลที่มีค่าเพิ่มเติม อย่างมากก็แค่ถูกเนรเทศไปทำงานนอกเมือง ยังสามารถโลดแล่นในวงราชการได้”เกาหมิงอวี้ที่มีประสบการณ์ในราชสำนักมานานย่อมรู้ดีว่าให้ข้อมูลที่มีค่ามากขึ้น หมายถึงการขายเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชาเขาไม่มีข้อสงสัยในคำพูดของซ่งซีซีด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือ ช่วงนี้อู๋เยว่และคนของเขาตรวจสอบทางน้ำอยู่เสมอ สองคือ ซ่งซีซีออกหน้ามาสอบสวนด้วยตัวเอง หากไม่มีพระราชโองการจากฝ่าบาท นางไม่จำเป็นต้องลงมือเอง จะส่งใครมาทรมานเขาก็ได้แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าซ่งซีซีวิเคราะห์เขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และคาดการณ์ความคิดของเขาไปก่อนแล้ว“พวกเจ้าทุจริตทั้งระบบ ท่าทีของจินชางหมิงเป็นอย่างไร?”เกาหมิงอวี้ครุ่นคิดก่อนตอบว่า “จะว่าไปจริงๆ แล้ว เขาเป็นคนเริ่มเปิดทางให้เราทุจริต โดยอ้างว่าเป็นค่าเหนื่อยของเรา เมื่อเริ่มต้นแล้ว เราลองเบิกเงินเกินมาเล็กน้อย เขาก็ไม่ว่าอะไร จากนั้นเรากล้าขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเขาเตือนเ
หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่สองวัน ซ่งซีซีตัดสินใจลงมือกับเกาหมิงอวี้ รองหัวหน้ากรมจัดการแม่น้ำเกาหมิงอวี้อายุสามสิบห้าปี รับราชการในกรมโยธามาแล้วห้าปี เขามีพื้นเพมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนา เมื่อยังเยาว์วัยพ่อแม่เสียชีวิต เพื่อให้เขาได้เรียนในสำนักที่ดีที่สุด เขาดูดทรัพย์สมบัติของพี่น้องจนหมดสิ้นหลังสอบจอหงวนได้ เขาเข้ารับราชการ และกลายเป็นคนโลภเงินอย่างที่สุด ขี้เหนียวอย่างยิ่งยวด ทอดทิ้งพี่น้องที่เคยเลี้ยงดูเขาไปเหมือนของไร้ค่า และไม่ติดต่อพวกเขาอีกเลยยังไม่หมดแค่นั้น เขาอ้างความหึงหวงเป็นเหตุผลในการหย่ากับภรรยาคนแรก แล้วแต่งงานกับบุตรสาวของอาจารย์ผู้มีพระคุณอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาคืออธิการสำนักไป๋หยุน ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ลูกสาวคนเดียวของอาจารย์แต่งงานกับเขา แต่ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเขาคือคนไร้ค่าและทรยศทว่าคนไร้ค่าเช่นนี้กลับใช้งานได้ดี เพราะความโลภ โกรธ หลง และความเห็นแก่ตัวของเขา มีจุดอ่อนที่สามารถกดดันจนยอมพูดทุกอย่างคืนนั้น ซ่งซีซีสั่งให้กุ้นเอ๋อร์จับตัวเขามายังเรือนทางตะวันตกของเมือง ขังเขาไว้หนึ่งคืน ให้เขาหวาดกลัวและหิวโหย จากนั้นค่อยสอบสวนในวันถัดไปเกาห
จักรพรรดิซูชิงมีราชโองการให้อู๋เยว่พาคนไปควบคุมงานโดยตรง ทว่า จินชางหมิงรับมือได้อย่างคล่องแคล่ว พาอู๋เยว่ไปตรวจสอบผลสำเร็จด้วยตนเองหลังจากเริ่มงานมาเป็นเวลานาน อ่างเก็บน้ำก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์คุณภาพของอ่างเก็บน้ำนั้นยอดเยี่ยม เขื่อนที่สร้างขึ้นมั่นคงดั่งกำแพงทองหลังจากตรวจสอบอ่างเก็บน้ำแล้ว ก็ไปตรวจสอบทางน้ำ ทุกพื้นที่ได้ขุดลอกเสร็จเรียบร้อย ส่วนเขื่อนที่เสียหายก่อนหน้านี้ก็ได้รับการซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงแล้วอู๋เยว่ยังส่งคนไปพูดคุยกับคนงานก่อสร้างทางน้ำ ชายฉกรรจ์แต่ละคนที่ผิวคล้ำแดด ดูซื่อๆ ขัดเขินเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าขุนนางส่วนใหญ่ถามอะไรก็ตอบสิ่งนั้น หากให้พวกเขาบอกความไม่พอใจอะไร พวกเขามักลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะถามว่าอาหารสามารถปรับปรุงได้ไหม โดยเฉพาะเพิ่มหมูติดมันให้หน่อยอู๋เยว่คิดว่าคนเหล่านี้เป็นคนเรียบง่าย ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีความเคียดแค้นในแววตาเขายังพาคนไปดูที่พักชั่วคราวของคนงานก่อสร้างเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกระท่อมไม้และกระท่อมหญ้าแฝก ภายในมีเพียงที่นอนใหญ่ที่รองรับคนได้เจ็ดแปดคน ดูรกเล็กน้อยในกระท่อมไม่มีอาวุธ เครื่องมือที่ต้องใช้ทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในค
ซ่งซีซีแทบจะหัวเสียจนอกแตกตาย นางรู้สึกว่าเส้นผมสีขาวกำลังจะงอกออกมาบนหน้าผาก ไม่แปลกใจเลยที่ขุนนางในราชสำนักแต่ละคนดูแก่ก่อนวัย หรือแม้แต่เสนาบดีมู่ที่อายุเพียงหกสิบกว่า ผมก็หงอกไปกว่าครึ่งนางไปหาเสนาบดีมู่ด้วยความขุ่นเคือง หวังว่าเขาจะช่วยอะไรได้บ้างและกล่าวบางคำสนับสนุนนางต่อหน้าฮ่องเต้เสนาบดีมู่ยิ้มพลางมองนาง "แค่นี้ก็ถึงกับโกรธเลยหรือ?"ซ่งซีซีตอบ "มิกล้าโกรธเจ้าค่ะ แต่เรื่องนี้ชะลอความคืบหน้า และข้ากลัวว่าจะทำให้ผู้ต้องสงสัยตื่นตัว จนถูกชิงโอกาสไป ฝ่าบาทไม่ไว้ใจข้าเลย"เสนาบดีมู่ย้อนถาม "เขาไม่เชื่อเจ้าอย่างสมบูรณ์ก็เป็นเรื่องปกติ ต่อให้เป็นเจ้า หากคนใต้บัญชาไม่ได้ยกหลักฐานมาสนับสนุนคำพูด เจ้าจะเชื่อพวกเขาโดยไม่ตรวจสอบหรือ?"ซ่งซีซีกล่าว "แต่เขาไม่มีหลักฐานว่าท่านอ๋องมีความทะเยอทะยานใดๆ แต่เขาก็ยังระแวงทุกทางมิใช่หรือ?""ก็เพราะไม่มีหลักฐาน เขาจึงระแวง หากมีหลักฐาน เขาคงลงมือไปนานแล้ว" เสนาบดีมู่ถอนหายใจเบาๆ "ความจริงแล้ว หลายเรื่องไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด โดยเฉพาะการตัดสินใจสำคัญในราชสำนัก ต้องผ่านการหารือและอภิปรายหลายครั้ง บางเรื่องใช้เวลาเป็นปีจึงจะเดินหน้าได้ อีก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โครงการก่อสร้างแม่น้ำได้เกณฑ์แรงงานจากในและรอบๆ เมืองหลวง โดยเป็นกลุ่มคนงานและแรงงานหนักกลุ่มเดียวกันหน่วยงานด้านแม่น้ำทั้งหมดอยู่ภายใต้การนำของจินชางหมิง เขาใช้ข้ออ้างเรื่องการซ่อมแซมแม่น้ำและโครงการระบายน้ำเข้ายึดครองภูเขาและที่ดินจำนวนไม่น้อยบ้านเรือนถูกสร้างขึ้นอย่างกระจัดกระจายในพื้นที่เหล่านี้ โดยไม่ได้จัดเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ คนงานแม่น้ำและแรงงานบางส่วนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้เส้นทางแม่น้ำที่พวกเขาครอบครองกระจัดกระจายไปในทุกทิศ เมื่ออาจารย์หยูทำเครื่องหมายและเชื่อมจุดบนแผนที่ พบว่าพื้นที่เหล่านี้โอบล้อมพระราชวังหลวงไว้เหมือนตาข่ายที่กางปิดหากพวกเขาเป็นทหารลับของนกต่อ การเฝ้าประตูเมืองจะไร้ประโยชน์ เพราะพวกเขาอยู่ในเมืองหลวงมาตลอด และเมื่อไม่มีงานทำ พวกเขาก็สำรวจภูมิประเทศจนคุ้นเคย แม้แต่ค่ายลาดตระเวนหรือทหารรักษาการณ์อาจยังไม่รู้จักเส้นทางในเมืองหลวงดีเท่าพวกเขาซ่งซีซีมองดูแผนที่ด้วยความตระหนก แต่ก็ยังตั้งคำถามว่า "พวกเขาได้รับที่ดินเหล่านี้ ต้องได้รับการอนุมัติจากกรมโยธาธิการและฝ่าบาทใช่หรือไม่?""ถูกต้อง แต่ถ้าใช้เพื่อการซ่อมแซมแม่น้ำและระบายน้ำ ก
กล่องผ้าไหมสีแดงเข้มชิ้นนั้นเต็มไปด้วยฝุ่น ว่านกงกงเป่าฝุ่นออกก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ด แล้วเปิดกลไกอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหยิบหยกชิ้นหนึ่งออกมาเขาส่งสัญญาณให้มอบหยกชิ้นนั้นแก่เสนาบดีมู่เสนาบดีมู่รับมาด้วยความสงสัย เมื่อมองดู เห็นว่าหยกทรงวงแหวนชิ้นนี้แกะสลักลวดลายมังกร ชัดเจนว่าเป็นของจักรพรรดิ์องค์ก่อน"ท่านเสนาบดีลองดูด้านหลัง" ว่านกงกงกล่าวเมื่อเสนาบดีมู่พลิกดูด้านหลัง เขาถึงกับตะลึงจนเหมือนร่างแข็งทื่อด้านหลังยังคงมีลวดลายมังกร แต่ลวดลายนี้ห่อหุ้มใบเมเปิลหนึ่งใบ และข้างใบเมเปิลนั้นยังมีอักษร "สือ" เล็กๆ แกะสลักไว้ใบเมเปิลและตัวอักษรแบ่งพื้นที่คนละด้าน ใบหนึ่งใหญ่ ใบหนึ่งเล็กซ่งซีซีก็เห็นเช่นกัน แต่ไม่เข้าใจความหมายเสนาบดีมู่ถอนหายใจและอธิบายเบาๆ "สือจิ้ง เป็นนามอักษรของจักรพรรดิ์องค์ก่อน ส่วนชิวเหมิงเคยเดินทางในยุทธภพช่วงหนึ่ง และได้รับสมญานามว่า 'คุณชายเหล็กแห่งใบเมเปิล'""หยกชิ้นนี้จักรพรรดิ์องค์ก่อนประทานให้แม่ทัพชิว ด้านหลังเดิมมีเพียงลวดลายมังกร แต่ใบเมเปิลและอักษร 'สือ' นั้น แม่ทัพชิวแกะสลักเพิ่มเอง หยกนี้เขาพกติดตัวตลอด ใส่ไว้ในถุงผ้าไหม แต่ไม่รู้อย่างไรถูกจักรพรรดิ
อย่างไรเสีย หัวข้อสนทนานี้เป็นเรื่องที่พูดยาก เสนาบดีมู่จึงดื่มชาสองสามอึกก่อนจะกล่าวว่า "ความจริงเรื่องนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ในตอนนั้นมีการประกาศว่าชิวเหมิงกระทำการหมิ่นพระเกียรติ จักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงกริ้วและปลดเขาออกจากตำแหน่ง ก่อนจะพระราชทานยศเจวี๋ยให้แทน มีข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ หลุดออกมาจากในวังว่าเขาและอาจารย์ฉีมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือบางอย่าง เมื่อจักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงทราบ ก็ไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ ด้วยความโกรธจึงตรัสคำดูหมิ่นเขาอย่างรุนแรง รวมถึงการลดตำแหน่ง ทำให้ชิวเหมิงรู้สึกหมดกำลังใจจนตัดสินใจออกจากเมืองหลวงไป"สำหรับเหตุผลนี้ ซ่งซีซีเคยคาดเดาไว้บ้าง แต่คิดว่าในฐานะคนที่ทำงานใกล้ชิดราชวงศ์ ไม่น่าจะกล้าแสดงความคิดหรือความรู้สึกเช่นนั้นออกมา อีกทั้งนางก็รู้จักอุปนิสัยของจักรพรรดิ์องค์ก่อนดี จึงยิ่งไม่น่าจะไม่ระมัดระวังตัวและหากการลดตำแหน่งเกิดจากเรื่องนี้ ก็ดูเหมือนจะเป็นการทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่แต่จากที่ได้ฟัง บางทีชิวเหมิงอาจมองจักรพรรดิ์องค์ก่อนเป็นเพื่อนจริงๆ จึงไม่ได้ปิดบังตัวเองมากนัก หรืออาจเพราะเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้จักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงไม
อาจารย์ฉีมอบหมายให้ซ่งซีซีตามหาบุคคลหนึ่งชื่อชิวเหมิงบรรพบุรุษของตระกูลชิวเคยร่วมรบสร้างแคว้นกับจักรพรรดิ์ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางตลอดกาลในฐานติ้งปังโหว แต่ต่อมาชิวเหมิงกลับล่วงเกินจักรพรรดิ์องค์ก่อน และถูกลดตำแหน่งลงเป็นผิงอันป๋อเขาจึงย้ายออกจากเมืองหลวงไปปลีกวิเวกที่แถบเจียงหนาน และดูเหมือนว่าคนในเมืองหลวงที่จำเขาได้คงเหลือน้อยเต็มที"เขาไม่เคยแต่งงานเลยตลอดชีวิต และห้างชิวเจียก็เป็นของเขา"ซ่งซีซีประหลาดใจ "เขาคือเจ้าของเบื้องหลังของห้างชิวเจียอย่างนั้นหรือ?"ห้างชิวเจียในแถบเจียงหนานถือเป็นกิจการใหญ่โต แม้ทรัพย์สินจะไม่เทียบเท่าตระกูลเสิ่น แต่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมและมีเครือข่ายความสัมพันธ์กว้างขวางในแคว้นซางมีคนแซ่ชิวอยู่ไม่น้อย ประกอบกับชิวเหมิงที่ซ่อนตัวและไม่พบปะใครเลย ทำให้ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะเป็นเจ้าของห้างชิวเจียแต่ห้างชิวเจียมีอายุเกินร้อยปี เป็นป้ายเก่าแก่ ก่อนที่ชิวเหมิงจะออกจากเมืองหลวง ก็ไม่เคยมีข่าวว่าครอบครัวเขาทำธุรกิจหงเซียวรีบอธิบาย "เดิมทีห้างชิวเจียไม่ได้เป็นของชิวเหมิง แต่ภายหลังเมื่อเขาไปถึงเจียงหนาน ห้างชิวเจียประส
ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับจินชางหมิงถูกส่งมาถึงมืออาจารย์หยูจินชางหมิง เป็นชาวเยี่ยนโจว อายุ 47 ปี สอบได้ตำแหน่งซิ่วไฉตอนอายุ 13 ปี และจวี่เหรินตอนอายุ 18 ปี ในตอนนั้นเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะในเยี่ยนโจวแต่หลังสอบจวี่เหรินได้ เขาถูกชะลอไม่ให้เดินทางไปสอบในเมืองหลวงเพราะมารดาป่วย เขาจึงหางานทำในสำนักอำเภอที่เยี่ยนโจว และได้ตำแหน่งเลขานุการเส้นทางการเลื่อนตำแหน่งของเขาไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งเยี่ยนโจวและกรมโยธาธิการต่างให้คะแนนว่าเขาเป็นคนมีวิสัยทัศน์และลงมือทำจริงในการประเมินผลสามปีครั้งของกรมการปกครอง เขาได้คะแนนดีเยี่ยมว่ากันว่าการเป็นหัวหน้ากรมแม่น้ำเพียงอย่างเดียวเป็นการฝังพรสวรรค์ของเขา บ้างก็ว่าเขาไม่มีสายสัมพันธ์ที่ดี มิฉะนั้นเขาคงได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปเป็นรองเสนาบดีกรมโยธาธิการแล้วแคว้นต้าซางมีข้าราชการแบบเขาอยู่มากมาย ตำแหน่งไม่สูงนัก แต่ทำงานทุกอย่างราบรื่น ไม่มีความทะเยอทะยานมาก และทำงานเงียบๆ อย่างมีประสิทธิภาพเขาไม่ได้โดดเด่น ไม่มีเรื่องให้พูดถึง มีภรรยาหลวงหนึ่งคน ภรรยาน้อยหนึ่งคน ลูกชายหนึ่งคน ลูกสาวหนึ่งคน และคนรับใช้สามคน บ้านที่เขาอยู่เดิมเป็นบ้านเช่า เพิ