ในห้องหนังสือของจวนเป่ยหมิงอ๋องอาจารย์หยูรายงานสถานการณ์เสร็จแล้วก็นั่งลงก่อนจะจิบชา"หลังจากที่เฉิงเอินป๋อออกมาจากจวนอ๋องฮวย เขาก็ตรงไปที่จวนอ๋องเยี่ยนแล้วเหรอ?" เซี่ยหลูโม่เลิกคิ้ว "ฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าการคาดเดาของเราจะไม่ผิด พวกเขาพี่น้องกำลังสมรู้ร่วมคิดกับองค์หญิงใหญ่""เพียงแต่ว่าอ๋องฮวยคนนี้เก็บลึกจริงๆ ก่อนหน้านี้เราไม่เคยสนใจเขาเลย" อาจารย์หยูกล่าว"หลายปีมานี้ข้าอยู่ในสนามรบเขตหนานเจียงมาโดยตลอด เรื่องมากมายในเมืองหลวงล้วนไม่รู้เรื่อง" เซี่ยหลูโม่วิเคราะห์ว่า "ตอนนี้พวกเขาน่าจะยังไม่พร้อม ไม่เช่นนั้นเมื่อฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์นั้น พวกเขาจะต้องลงมือแล้ว ตอนนั้นชายแดนเฉิงหลิงเกิดโกลาหล เขตหนานเจียงเกิดสงคราม และจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์หลังจากเสด็จพ่อสิ้นพระชนม์ น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของพวกเขา"อาจารย์หยูคิดอยู่ครู่หนึ่งส่ายหัวแล้วพูดว่า "ตอนนั้นมันเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา แต่ไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดที่จะยึดแำนาจเป็นฮ่องเต้ มีปัญหาทั้งภายในและภายนอก มารับช่วงต่อที่ยุ่งยากเช่นนี้ต้องไปต่อยาก""ยุ่งยาก แต่ก็มีความเป็นไปได้มากที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จ""ท่า
เซี่ยหลูโม่รู้ว่านี่คือเรื่องที่เขาทุกข์ใจที่สุด และเขายังสาบานด้วยว่าหากไม่พบน้องสาว เขาจะไม่มีวันแต่งงาน"ก็ได้ เรื่องนี้ข้าจะไปคุยกับพระชายาเอง" เซี่ยหลูโม่กล่าว "แต่ไม่รับประกันว่าศิษย์พี่เสิ่นจะเห็นด้วย ฟังดูเหลือเชื่อนิดหน่อย"สีหน้าของอาจารย์หยูสงบ "รบกวนท่านอ๋องช่วยถามให้ หากไม่ได้การ ข้าก็ไม่รู้สึกผิดหวัง""อืม!" เซี่ยหลูโม่พยักหน้า พูดคุยเรื่องอื่นๆ กับเขาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็กลับเรือนซ่งซีซีเพิ่งกลับมาจากทางฝั่งหลานเอ่อร์ เมื่อเซี่ยหลูโม่พูดต่อคำขอของอาจารย์หยู นางก็ประหลาดใจมาก "ที่แท้อาจารย์หยูมีน้องสาวที่หายไปในก่อนหน้านนี้เหรอ?""แต่ในเมื่อเขาให้หงเซียวส่งจดหมายถึงศิษย์พี่ผิงของข้าแล้ว ทำไมไม่ส่งจดหมายไปถามศิษย์พี่ชายใหญ่ของข้าล่ะ?""อาจารย์หยูแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวอย่างชัดเจน เขาให้หงเซียวเขียนจดหมายถึงศิษย์พี่ผิงเพื่อเรื่องของจวนอ๋อง แต่ตามหาศิษย์พี่ชายใหญ่มันเป็นเรื่องส่วนตัว เขาต้องหาคนกลางมาช่วยพูดคุยให้"ซ่งซีซีเข้าใจ "ได้ ข้าจะเขียนจดหมายไปถามให้ แต่ข้าไม่รู้ว่าศิษย์พี่ชายใหญ่จะอยู่ที่ภูเขาเหม่ยชานหรือไม่ เขาชอบออกไปข้างนอกเสมอ"เซี่ยหลูโม่กล่าว
ซ่งซีซีอึ้งไปครู่หนึ่ง นางได้ทำอย่างนั้นหรือ?นางไม่ขัดขืนที่จะใกล้ชิดกับเขา พวกเขาจะสนิททุกคืน และนอนกอดด้วยกัน ตลอดทั้งคืนหัวของนางไม่เคยหลุดจากแขนหรืออกของเขาเลยเมื่อเห็นท่าทางสับสนของนาง เป่าจูก็โกรธขึ้นมาอย่างผิดหวังและถามตรงๆ "คุณหนู ท่านอยากจะปฏิบัติต่อท่านอ๋องด้วยความเคารพและเป็นคู่รักที่สุภาพกันและกัน หรืออยากเป็นคู่รักที่มีความรักอย่างแท้จริง?""เป่าจู เจ้ากำลังทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ไปหรือเปล่า?" ซ่งซีซีเอื้อมมือไปแตะหน้าผากนาง "เป็นอะไรไป เป็นไข้หรือเปล่า?"เป่าจูโกรธจัดและจ้องมองนาง "คุณหนูตอบสิ!"ซ่งซีซีเอียงศีรษะเล็กน้อย และมีผมสั้นไม่กี่เส้นอยู่บนขมับของนางซึ่งไม่สามารถกดทับเอาไว้ได้ และดูน่ารักเล็กน้อยภายใต้แสงพระอาทิตย์ "การเคารพซึ่งกันและกัน และการเป็นคู่รักที่รักใคร่กันต่างก็เอานี่ หรือว่าหากรักใคร่กันแล้วเขาก็จะไม่เคารพข้าหรือข้าจะไม่เคารพเขางั้นหรือ ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นหรือ ไม่สามารถเอาทั้งสองหรือ?""เออ?" เป่าจูก็อึ้งไป เอาทั้งสองงั้นหรือ หาใช่ว่าไม่ได้ หลังจะชะงักไปชั่วคราวแล้วพูดว่า "แต่บางครั้งข้าน้อยรู้สึกว่าคุณหนูไม่ค่อยสนใจความรู้
คดีของเหลียงเส้าเริ่มให้ตัดสินโทษแล้ว สิ่งแรกตัดสินท่านหญิงหยงอันกับเขาตัดขาดความสัมพันธ์เลย ไม่ไว้หน้าให้จวนเฉิงเอินป๋อแม้แต่น้อยประการที่สอง เขาทุบตีภรรยาของเขาจนทำให้ทารกในท้องตาย ยิ่งกว่านั้นหลานเอ่อร์ยังเป็นถึงท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ บวกกับพระราชโองการที่ฮ่องเต้ออกให้ เฉินยี ผู้ตัดสินโทษแห่งหอต้าหลี่ได้ตัดสินให้เหลียงเส้าเนรเทศไปที่เมืองเฉียงโจวเป็นเวลาสิบปีและได้รับการดูแลโดยรัฐบาลเฉียงโจวให้เป็นนักโทษที่ทำหน้าที่ทำไร่คำตัดสินมีมีผลทันที ให้เดินทางในวันรุ่งขึ้น โดยไม่เปิดโอกาสให้ทางจวนเฉิงเอินป๋อไปอ้อนวอนใครอีกเลยแต่ทางเฉิงเอินป๋อไม่ได้วิงวอนอีกเลย เขาไปหาอ๋องเยี่ยน อ๋องเยี่ยนบอกเขาว่าเขาได้วิงวอนเพื่อครอบครัวของเขาต่อหน้าไทเฮาแล้ว ดังนั้นคราวนี้แค่ลงโทษเหลียงเส้าเท่านั้น จะไม่ถอนยศถาบรรดาศักดิ์ของพวกเขา และให้พวกเขาเลิกวุ่ยนวายอีก ไม่เช่นนั้นเรื่องจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้พวกเขาไม่กล้าบอกคุณนายใหญ่ว่าเหลียงเส้าถูกตัดสินให้เนรเทศ ตอนนี้คุณนายใหญ่รู้แค่ว่าเขาจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานในคุกเท่านั้น แต่นางไม่สามารถเจอหน้าเขา ยังไงก็กังวลอยู่ดี เพราะเขาเป็นเด็กที่นางรักที่สุดจนกระทั่
ดวงตาของเหลียงเส้าว่างเปล่า เขาถูกผลักไปสองก้าว และทันใดนั้นก็หันกลับมามองพ่อของเขา "ท่านพ่อ ถ้าท่านเห็นเยียนหลิว ลองถามนางว่าเคยจริงใจกับข้าบ้างไหม"เมื่อเฉิงเอินป๋อได้ยินคำพูดนี้ เขาตาพร่ามัว รู้แต่ว่ามีอะไรบางอย่างปิดในลำคอของเขา เขาเกือบจะหายใจไม่ออก เกิดมีอาการเซและล้มลงกับพื้นฮูหยินเฉิงเอินป๋อร้องไห้เสียงดัง ดึงดูดชาวบ้านมากมายล้อมรอบเข้ามาดูเดิมทีเรื่องระหว่างจวนเฉิงเอินป๋อกับจวนอ๋องฮวยได้สร้างความวุ่นวายจนทุกคนรู้หมด บัดนี้ชาวเมืองหลวงกำลังพูดถึงเรื่องนี้ ตอนนี้ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นส่วนอีกคนกำลังร้องไห้ ชาวบ้านชาวเมืองเพียงแต่ดูสนุกเฉยๆ เรื่องความสุขความทุกข์ของตระกูลชั้นสูง ชาวบ้านจะไม่เกิดความเห็นใจใดๆ แค่ให้พวกเขามีเรื่องสนุกๆ ให้นินทามากขึ้นก็เท่านั้นเมื่อสองสามีภรรยาเฉิงเอินป๋อกลับบ้าน พวกเขาได้ยินว่าคุณนายใหญ่เป็นลมและเป็นอัมพาตครึ่งซีก แม้ว่าจะรีบสั่งให้คนในจวนหุบปากและห้ามบอกคนนอกเกี่ยวกับเรื่องนี้เด็ดขาด แต่เรื่องที่คุณนายใหญ่ป่วยหนักเพราะเหลียงเส้ายังคงถูกแพร่กระจายออกไปอยู่ดี นี่จะทำให้เหลียงเส้าขึ้นชื่อเป็นคนอกตัญญูมาก แม้ว่าในอนาคตเขาจะกลับมาหลั
อ๋องฮวยลดสายตาลงและไม่แสดงทีท่าไม่พอใจใดๆ แต่มือที่เขาวางอยู่ที่จับนั้นมีเส้นเลือดในมือของเขาปูดออกมาเล็กน้อย "เสด็จพี่พูดถูก""ทางหลานเอ่อร์เจ้าก็ไม่ต้องไปสนใจอีกเลย ลูกสาวของเจ้านี่เข้าข้างคนนอก บัดนี้นางยอมอยู่กับซ่งซีซีก็ไม่คิดจะกลับจวนอ๋องของพวกเจ้า ทอดทิ้งไปก็ไม่เสียดายหรอก"อ๋องฮวยไม่พูดอะไร แต่ดวงตาของเขาค่อยๆ เต็มไปด้วยความโกรธเมื่อเห็นเช่นนี้ อ๋องเยี่ยนก็เปลี่ยนเรื่อง "เอาล่ะ เรื่องของจวนเฉิงเอินป๋อได้ผ่านไปแล้ว ทางราชสำนักจะไม่ใช้ขุนนางที่อกตัญญู พวกเขาจบเห่แล้ว ที่ข้ามาครั้งนี้เพื่อมุ่งเป้ายี่ฝาง ข้าส่งคนไปลอบสังหารนางมาก่อน แต่ได้รับการช่วยเหลือจากซ่งซีซี และทำให้ข้าสูญเสียนักรบสิ้นหวังไปหลายคน""พี่สาม บัดนี้อยากจะฆ่ายี่ฝางมิใช่เรื่องง่ายแล้ว ฮ่องเต้ส่งกองกำลังหลวงไปเฝ้าจวนแม่ทัพ แม้ว่าพวกเขาจะแต่งกายด้วยชุดลำลอง แต่ข้าได้ตรวจสอบมา พวกเขาคือกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงจริงๆ"อ๋องฮวยยังกล่าวอีกว่า "อีกอย่างยี่ฝางคนนี้มีไหวพริบมาก และไม่เคยก้าวออกจากจวนแม่ทัพเลย""หากติดสินบนคนของจวนแม่ทัพเพื่อวางยาพิษล่ะ?" อ๋องเยี่ยนถามอ๋องฮวยกล่าวว่า "ลองมาแล้ว แต่ก็ไร้
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ อ๋องเยี่ยนก็ครุ่นคิดอยู่นาน "แต่มันยังสู้ไม่ได้ให้นางตายไปเลยอยู่ดี จากนั้นความผิดจะตกอยู่ที่ตระกูลเซียวโดยตรง ยี่ฝางคนนี้กลัวตายและเป็นเจ้าแผนการด้วย บวกกับนางเป็นคนร้ายกาจมาก เกรงว่าคำพูดของนางยากที่จะทำให้คนอื่นเชื่อใจได้ อีกอย่าง ตระกูลเซียวเฝ้าอยู่ชายแดนเฉิงหลิงมานานหลายปี ไม่เคยฆ่าสามัญชนแม้แต่คนเดียวเลย หากมีคนทุ่มเทความพยายามพูดเข้าข้างเขา งั้นเขาก็จะพ้นจากเรื่องนี้ไปได้"อ๋องฮวยกล่าวว่า "แต่จุดประสงค์ของเราไม่ใช่ทำลายตระกูลเซียว เราเพียงแต่ต้องให้ชายแดนเฉิงหลิงเปลี่ยนหัวหน้าเท่านั้น ตระกูลเซียวถอนตัวออกไปและจัดคนของเราให้ไปเฝ้าดูแลชายแดนเฉิงหลิง ตอนนี้หวังเบียวยังไม่ได้มาเป็นพวกกับเรา ดังนั้นชายแดนเฉิงหลิงเราต้องเอาชนะให้ได้ ตราบใดที่เราควบคุมกองทหารสำคัญในทั้งสองแห่ง หรือถ่วงเวลาจากสงคราม เราทำตามแผนการเดิมให้ชาวบ้านทุกที่ประท้วง เพื่อสร้างบรรยากาศที่ฮ่องเต้ทำให้ประชาชนไม่พอใจ งั้นนั่นก็จะเป็นเวลาที่ดีที่เราจะกบฏ"หลังจากที่เขาพูดจบ ก็แอบมองไปที่ใบหน้าขององค์หญิงใหญ่ขณะยกภ้วยชาขึ้นมา และได้เห็นร่องรอยของความบูดบึ้งบนใบหน้าของนางอย่างที่คาดไว้เสียงของอ
ในสถาบันว่านซงเหมิน เสิ่นชิงเหอนำจดหมายไปหาศิษย์อา "ศิษย์อา จดหมายจากศิษย์น้องเซี่ย ขอให้ข้าไปเมืองหลวงสักหน่อย มีเรื่องต้องขอความช่วยเหลือหากจากข้า"ศิษย์อานั่งสมาธิหลับตาไม่ตอบเขาโกรธมานานแล้วและตอนนี้ยังโกรธอยู่ เขาไม่อยากคุยกับใคร และไม่ยอมปล่อยให้ใครลงจากภูเขาด้วยดังนั้น คนที่มักจะออกจากเขาพวกนั้นตอนนี้จึงติดอยู่ในนั้นทั้งหมด ส่วนคนที่ออกไปแล้วยังไม่ได้กลับมานั้นก็ไม่กล้ากลับมาอีก อย่างเช่นผิงหวูจูงก่อนที่เขาจะไปเขตหนานเจียง เขาได้ออกคำสั่งซ้ำแล้วซ้ำว่าห้ามสร้างบ้านพักในเป่ยซาน เพราะเขามีแผนสำหรับที่ดินนั้น เขาต้องการสร้างตึกดวงดาว ซึ่งเป็นอาคารห้าชั้น มันสามารถขึ้นไปที่สูงเพื่อรับชมดาวจันทร์ หรือไปฝึกทักษะการต่อสู้ที่นั่น มันดีต่อการฝึกวิชาตัวเบา และที่สำคัญกว่านั้น เขามีเหตุผลอื่นเดิมทีเขาวางแผนที่จะเริ่มก่อสร้างในฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า แต่เมื่อเขากลับมา ก็เห็นว่าพวกเขาได้สร้างบ้านพักในภูเขาเป่ยซานแล้วภูมิภาคของภูเขาเป่ยซานนั้นสูงและมีน้ำตกอยู่ตรงข้ามกัน สร้างบ้านพักที่นั่น พูดตรงๆ ก็คือพวกเขาทุกคนอยากไปพักอยู่ที่นั่นและเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่สวยงามได้เปล่าๆความสามาร
เมื่อได้พักฟื้นอยู่ห้าวันที่ด่านเฉิงหลิง ฉินอ๋องก็ฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อฉินอ๋องหายดี ก็ถึงเวลาต้องออกเดินทางกลับเมืองหลวงแม้จะอาลัยเพียงใด ซ่งซีซีก็ทำได้เพียงกลั้นน้ำตากล่าวคำอำลา นางคุกเข่าคารวะต่อหน้าแม่ทัพใหญ่เซียวอยู่หลายครั้ง จนแทบจะทำให้ท่านน้ำตาคลอหลี่เต๋อฮวยเป็นผู้ที่เคารพนับถือแม่ทัพใหญ่เซียวที่สุด เมื่อซ่งซีซีเพียงแค่น้ำตาคลอ แต่เขากลับปิดหน้าและร้องไห้ออกมาเต็มที่ เพราะเขารู้ว่า บางทีตลอดชีวิตนี้ อาจไม่มีโอกาสได้พบกับท่านแม่ทัพผู้เฝ้ารักษาด่านเฉิงหลิงมาเป็นสิบๆ ปีอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวเข้าสู่วัยชราโดยสมบูรณ์ เมื่อมองดูอีกครั้งก็ดูแก่ชรากว่าครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าฮ่องเต้จะพระราชทานอนุญาตให้ท่านกลับเมืองหลวงได้ แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยากลำบาก ทายาทตระกูลเซียวก็คงไม่ยอมให้ท่านเดินทางกลับอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวสนทนากับหลี่เต๋อฮวยอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าแทนที่จะบรรเทาความรู้สึกของเขา กลับทำให้เขาร้องไห้หนักกว่าเดิมเสียอีกด้านนางหนานผู้เป็นป้าใหญ่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยถามถึงเรื่องของ พระชายาอ๋องฮวยเลย จนกระทั่งถึงเวลาต้องอำลากัน นางจึงดึงซ่งซีซีไปค
การเดินทางกลับเริ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนเก้าอากาศไม่ร้อนจัดอีกต่อไป เริ่มมีความเย็นสบายแผ่วเบาซูลันจีนำทัพออกมาส่งด้วยตัวเอง พาพวกเขาไปจนถึงเมืองลู่เปินเอ่อร์ตลอดเส้นทางขากลับ ไม่มีการลอบสังหารเกิดขึ้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อข้ามภูเขาสลับซับซ้อนมาได้ ก็เข้าสู่เขตแดนของแคว้นซางเดิมทีพวกเขาไม่ได้แจ้งแม่ทัพใหญ่เซียวล่วงหน้า คิดว่าคงไม่มีใครมารับ แต่ทันทีที่เข้าสู่ชายแดนแคว้นซาง ก็พบว่าจ้านเป่ยว่างนำทัพเซียวเจียจวินรออยู่ที่นั่นเมื่อเห็นว่าพวกเขากลับมาโดยปลอดภัย จ้านเป่ยว่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด เขากระตุ้นม้าเข้ามาใกล้ ก่อนลงจากหลังม้าแล้วทำความเคารพฉินอ๋อง หลี่เต๋อฮวยและขุนนางท่านอื่นๆ “ท่านอ๋อง เสนาบดีหลี่ ท่านขุนนางทั้งหลาย แม่ทัพใหญ่เซียวสั่งให้ข้านำทัพมาคอยเฝ้ารอที่นี่ทุกวัน เพื่อคุ้มกันพวกท่านกลับไปยังเฉิงหลิงกวน”หลี่เต๋อฮวยเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แม่ทัพใหญ่รู้ได้อย่างไรว่าพวกเราจะกลับมาวันนี้?”จ้านเป่ยว่างตอบว่า “แม่ทัพใหญ่ไม่ทราบ เพียงแต่สั่งให้ข้าและกองทัพมาเฝ้าอยู่ที่นี่ทุกวัน”“ที่แท้เป็นเช่นนี้” หลี่เต๋อฮวยรู้สึกว่าแม่ทัพใหญ่เซียวเป็นคนรอบคอบย
อันเฟิงชินอ๋องกล่าวว่า “การเดินทางครั้งนี้ มิใช่เพียงเพื่อซีจิงและแคว้นซาง แต่ก็เพื่อเป่ยถังของเราด้วย มิจำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ ระหว่างแคว้นต่อแคว้น สิ่งที่มาก่อนคือผลประโยชน์ มีเพียงความสัมพันธ์ส่วนตัวเท่านั้น ที่จะสามารถปฏิบัติต่อกันด้วยใจจริง”ซ่งซีซีรับคำสอน แต่ก็นึกสงสัย จึงเอ่ยถามว่า “ท่านเคยรู้จักอาจารย์เหรินหยางอวิ๋นของข้าหรือไม่?”อันเฟิงชินอ๋องหัวเราะเบาๆ “รู้จัก เขาเคยมาเยือนเป่ยถัง และเคยพำนักอยู่ที่ไจ้ซิงโหลวอยู่ช่วงหนึ่ง แม่ทัพองครักษ์เงาของข้า ‘เฮยอิ่ง’ สนิทสนมกับอาจารย์ของเจ้ามาก พวกเขามักดื่มสุราด้วยกันเป็นประจำ”“เช่นนี้เองหรือ” ซ่งซีซีนึกถึงบรรดาผู้สวมชุดดำพวกนั้น ไม่รู้ว่าคนไหนคือเฮยอิ่ง หากไม่ได้พบหน้าสักครั้ง คงเป็นเรื่องน่าเสียดายอันเฟิงชินอ๋องคล้ายจะมองออกถึงความคิดของนาง ยิ้มพลางกล่าวว่า “อีกสามปี หรืออาจห้าปี พวกเราจะไปเยือนแคว้นซาง ถึงตอนนั้น ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับเฮยอิ่ง”ซ่งซีซีกำลังจะกล่าวขอบคุณ ทว่าเสิ่นว่านจือก็ถามขึ้นก่อน “เหตุใดต้องเป็นสามปีหรือห้าปี? ไปเร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ? พวกเราตั้งตารอให้ท่านกับพระชายามาเยือน”อันเฟิงชินอ๋องเพียงยิ้ม แต่
หลังจากเดินสำรวจอยู่สองวัน ซูลันจีก็กล่าวกับซ่งซีซีว่า “แคว้นของท่านมีหมอเทวดาผู้หนึ่ง นามว่าหมอมหัศจรรย์ดัน เขาได้คิดค้นยาชนิดหนึ่งชื่อว่ายาดันเสวี่ย ซึ่งมีสมุนไพรสำคัญชนิดหนึ่งเป็นส่วนประกอบ นั่นคือเสวี่ยเหอฮวา ทว่าแคว้นของท่านผลิตได้น้อยมาก หนานเจียงเองก็มี แต่เติบโตอยู่บนยอดเขาหิมะ เก็บเกี่ยวได้ยากยิ่ง และมีปริมาณน้อย แต่ในซีจิงของเรา เสวี่ยเหอฮวามิใช่ของหายาก บนภูเขาสูงสามารถพบเห็นได้ทั่วไป หมอมหัศจรรย์ดันที่ใช้สมุนไพรชนิดนี้ ต้องลักลอบซื้อจากพ่อค้ายาในซีจิง ราคาจึงแพงมาก ด้วยต้นทุนขนาดนี้ ขายยาดันเสวี่ยไปหนึ่งเม็ด เขาก็ขาดทุนหนึ่งเม็ด”ซ่งซีซีทราบดีว่ายาดันเสวี่ยเป็นยาที่หายาก เนื่องจากมีสมุนไพรบางชนิดที่หาไม่ครบ แต่ท่านลุงดันก็ไม่เคยบอกอย่างชัดเจนว่าสมุนไพรตัวใดที่ขาดอย่างไรก็ตาม หากเขาต้องซื้อยาจากพ่อค้าชาวซีจิง ก็สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงต้องปิดเป็นความลับ เพราะก่อนหน้านี้ ซีจิงและแคว้นซางมิได้มีการค้าขายกันโดยตรง โดยเฉพาะสมุนไพร ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษซูลันจีและจักรพรรดินีหยวนซินต่างคิดไปในทิศทางเดียวกัน พวกเขาสืบเรื่องนี้อย่างละเอียดขนาดนี้ นั่นหมายความว่าพวกเขาต
ตำแหน่งที่เขานั่ง แสดงถึงจุดยืนของเป่ยถังในการเจรจาครั้งนี้!เป็นกลาง!ซ่งซีซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอีกครั้งว่า การที่แคว้นเข้มแข็งนั้นดีเพียงใดการเจรจาในช่วงแรกเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ คำพูดซ้ำไปซ้ำมา ถูกเน้นย้ำไม่รู้จบ ล่ามของทั้งสองฝ่ายทำหน้าที่แปล โดยส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงปัญหาทางประวัติศาสตร์นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเริ่มต้นด้วยการยอมถอยแต่แรก ก็จะต้องถอยไปเรื่อยๆดังนั้น การเจรจาครั้งแรกจึงไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เป็นเพียงการลองเชิงขีดจำกัดของกันและกันในวันรุ่งขึ้น การเจรจาครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น ตอนแรกก็ยังคงเน้นย้ำเรื่องเดิมสองรอบ จนกระทั่งอันเฟิงชินอ๋องเอ่ยขึ้นว่า “ถ่วงเวลาเช่นนี้ไม่มีความหมาย สองแคว้นของพวกเจ้าโต้เถียงกันเรื่องพรมแดนมาหลายสิบปีแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะสามารถแก้ไขได้ในวันเดียว เราพักเรื่องพรมแดนไว้ก่อน ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้ามีความตั้งใจจะทำสัญญาสันติระหว่างสองแคว้นหรือไม่ และจะไม่ละเมิดต่อกัน?”ทุกคนล้วนให้คำตอบที่แน่ชัด ต่างกล่าวว่าตนมาโดยมีความหวังที่ดี อยากให้สองแคว้นยุติความขัดแย้งอันเฟิงชินอ๋องหยิบแผ่นรายการออกมาแผ่นหนึ่ง บนกระดาษระบุรายการสินค้าของ
ทว่า ซ่งซีซีสังเกตเห็นว่าบรรดาญาติวงศ์ตระกูลและขุนนางของซีจิงดูเหมือนไม่รู้เรื่องที่เป่ยถังจะเข้ามาแทรกแซงการเจรจา พวกเขาล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงหลังจากตกตะลึง พวกเขากลับแสดงความยินดีและมั่นใจออกมา คิดดูแล้วพวกเขาก็คงเห็นว่าการที่เป่ยถังเข้าร่วมเป็นการช่วยหนุนหลังซีจิงเห็นเช่นนี้ซ่งซีซีกลับรู้สึกวางใจขึ้นเล็กน้อยเพราะหากเป็นเช่นนั้นจักรพรรดินีหยวนซินย่อมสามารถแจ้งพวกเขาล่วงหน้าได้ อย่างน้อยก็ควรให้ขุนนางที่ร่วมเจรจารับรู้แต่นางเหตุใดจึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้เล่าดูเหมือนว่ามีเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียว นางเองก็หวังให้ต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนปรนกัน อีกทั้งบรรดาขุนนางในราชสำนักที่สนับสนุนนางนั้นมีไม่มาก ดังนั้นนางจึงเชิญเป่ยถังอันเฟิงชินอ๋องมา เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับได้เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าคืนก่อนที่จักรพรรดินีหยวนซินเรียกนางและเสิ่นว่านจือเข้าเฝ้าในวัง เหตุใดนางจึงกล่าวถ้อยคำว่าความปรารถนามิอาจเป็นจริง การสอบเข้ารับราชการของสตรีเป็นเพียงตัวอย่างที่ยกขึ้นมา นางต้องการสื่อว่าหลายๆ นโยบายล้วนผลักดันได้ยากหลังจากวิเคราะห์เหตุการณ์โดยละเอียดซ่งซีซีพลันรู้สึกมองโลกในแง่ดีขึ้นหลังจากง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็
งานเลี้ยงในวังในวันรุ่งขึ้นเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสามโมง โดยซูลันจีเป็นผู้มารับพวกเขาเข้าไปในวังด้วยตนเองเช่นเคยดังที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ พิธีราชาภิเษกได้จัดขึ้นไปนานแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อการเจรจาที่แนวชายแดนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัง ก็ไม่ได้พบเห็นทูตจากอาณาจักรอื่นๆภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะทูตจากแคว้นซาง แต่ท่าทีของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรนักทว่า ในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีล่ามแปลภาษา ดังนั้นการสนทนาของทุกฝ่ายจึงไม่ได้มากไปกว่าการทักทายทั่วไปพวกเขานึกว่าคงไม่มีทูตจากอาณาจักรอื่นแล้ว ทว่าในขณะเข้าที่ประทับ จักรพรรดิ์หยวนซินก็ตรัสกับคณะทูตจากแคว้นซางว่า “วันนี้ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติจากเป่ยถัง พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว เราเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะเข้ากันได้ดี”หลี่เต๋อฮวยถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาทันที “แขกจากเป่ยถังหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด?”เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา เพราะอาวุธอย่างปืนหกตาของเหรินหยางอวิ๋น รวมถึงปืนตาหกนัดและเกวียนระเบิดล้วนเป็นอาวุธที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบของเ
จักรพรรดิ์หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็