ในสถาบันว่านซงเหมิน เสิ่นชิงเหอนำจดหมายไปหาศิษย์อา "ศิษย์อา จดหมายจากศิษย์น้องเซี่ย ขอให้ข้าไปเมืองหลวงสักหน่อย มีเรื่องต้องขอความช่วยเหลือหากจากข้า"ศิษย์อานั่งสมาธิหลับตาไม่ตอบเขาโกรธมานานแล้วและตอนนี้ยังโกรธอยู่ เขาไม่อยากคุยกับใคร และไม่ยอมปล่อยให้ใครลงจากภูเขาด้วยดังนั้น คนที่มักจะออกจากเขาพวกนั้นตอนนี้จึงติดอยู่ในนั้นทั้งหมด ส่วนคนที่ออกไปแล้วยังไม่ได้กลับมานั้นก็ไม่กล้ากลับมาอีก อย่างเช่นผิงหวูจูงก่อนที่เขาจะไปเขตหนานเจียง เขาได้ออกคำสั่งซ้ำแล้วซ้ำว่าห้ามสร้างบ้านพักในเป่ยซาน เพราะเขามีแผนสำหรับที่ดินนั้น เขาต้องการสร้างตึกดวงดาว ซึ่งเป็นอาคารห้าชั้น มันสามารถขึ้นไปที่สูงเพื่อรับชมดาวจันทร์ หรือไปฝึกทักษะการต่อสู้ที่นั่น มันดีต่อการฝึกวิชาตัวเบา และที่สำคัญกว่านั้น เขามีเหตุผลอื่นเดิมทีเขาวางแผนที่จะเริ่มก่อสร้างในฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า แต่เมื่อเขากลับมา ก็เห็นว่าพวกเขาได้สร้างบ้านพักในภูเขาเป่ยซานแล้วภูมิภาคของภูเขาเป่ยซานนั้นสูงและมีน้ำตกอยู่ตรงข้ามกัน สร้างบ้านพักที่นั่น พูดตรงๆ ก็คือพวกเขาทุกคนอยากไปพักอยู่ที่นั่นและเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่สวยงามได้เปล่าๆความสามาร
อาจารย์หยูรู้ดีว่ามันยากด้วย เขาคิดอยู่พักหนึ่ง "ไม่งั้นเอางี้ไหม ข้าวาดโครงร่างคร่าวๆ แล้วละเอียดข้าค่อยบรรยายด้วยวาจา"เสิ่นชิงเหอมองไปที่เขาแล้วถามว่า "เจ้าจำหน้าตาของนางไม่ได้แล้ว ใช่ไหม"สีหน้าของอาจารย์หยูดูเจ็บปวดใจเล็กน้อย "ข้าคิดมาตลอดว่าตนเองจะไม่มีวันลืม แต่บัดนี้พอให้ข้าหวนนึกถึงหน้าตาของนางอย่างจริงจัง กลับมีแต่รอยยิ้ม และภาพที่นางเรียกข้าว่าท่านพี่ทุกครั้ง แต่หน้าตาของนาง จะคิดยังไงก็คิดภาพไม่ชัดเจนเลย""งั้นเจ้าก็วาดเองไม่ได้ด้วย" เสิ่นชิงเหอกล่าวว่า "อย่าโทษตัวเอง ผ่านไปตั้งสิบกว่าปีแล้วลืมมันไปก็เป็นเรื่องปกติ บวกกับเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดใจ สมองของเรามักจะแสวงหาผลดีและหลีกเลี่ยงผลเสีย จดจำนางจะทำให้เจ้ารู้สึกเจ็บปวดใจ ก็จะค่อยๆ ลืมมันไป"เขาตบไหล่ของอาจารย์หยู "แต่ถ้านางในสมัยเด็กยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้าจะจำนางออกได้ทันที แต่คนเราจะโตขึ้น โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงเมื่อครบอายุสิบแปดปีก็จะเปลี่ยนเยอะเลย ไม่เป็นไร เจ้าจำได้เท่าไรก็ว่าเท่านั้น โดยเฉพาะโครงหน้า จำไว้ รูปทรงสำคัญที่สุด แล้วก็ลักษณะใบหน้าของนางด้วย เช่นมีไฝ มีปานหรือไม่ คิ้วมีอะไรพิเศษไหม จะผอมหรืออ้วนก็บอกให้ด
คนที่มาเยี่ยมในวันนี้มีเยอะ หลานเอ่อร์ก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปพบพวกเขาสนมฮุ่ยไทเฟยพอเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว สีหน้าของนางยังดูดีกว่าตนเองเสียอีกหลังจากที่นางไหว้เสร็จก็กลับไปนั่งลง พอสนมฮุ่ยไทเฟยถามแล้วถึงรู้ว่าเมื่อกี้นางกำลังฝึกทักษะการต่อสู้กับศิษย์พี่ซือโซอยู่สนมฮุ่ยไทเฟยพึมพำในใจเล็กน้อย เป็นเรื่องจริงที่ว่าเข้าฝูงหงส์เป็นหงส์ เข้าฝูงกาเป็นกาเลย อยู่กับคนที่มีวรยุทธ์ แม้แต่คุณหนูผู็ดีก็เริ่มฝึกฝนทักษะการต่อสู้เลยหลานเอ่อร์ยิ้ม "เพราะวันๆ ใช้ชีวิตแบบนี้ก็น่าเบื่อ เลยฝึกฝนทักษะการต่อสู้กับศิษย์พี่ซือโซ แต่ยังไม่ได้เรื่องเลย"สนมฮุ่ยไทเฟยพูดตรงๆ ว่า "การฝึกทักษะการต่อสู้นั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่แค่เจ้านะ เจ้าไม่ต้องสน เอาที่ตนเองสบายใจเลย"แม่นมเกาไอแรงๆ น่าอึดอัดใจจริงๆ สินะ ผู้คนส่วนใหญ่ในนั้นล้วนเป็นผู้ฝึกทักษะการต่อสู้สนมฮุ่ยไทเฟยจ้องมองนาง "ไม่จำเป็นต้องไอหรอก ข้าก็ไม่ได้พูดผิด ไม่ได้เรื่องก็คือไม่ได้เรื่อง มิใช่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นเรื่องเป็นราวได้ การฝึกทักษะการต่อสู้ได้ใช้งานกับตนเองได้ก็พอ สามารถเสริ
ใช้เวลาอยู่กับหลานเอ่อร์เป็นเวลาครึ่งวัน ศิษย์พี่ซือโซก็เริ่มขับไล่ผู้คนออกไป โดยบอกว่าท่านหญิงจำเป็นต้องพักผ่อน และฝนก็หยุดตกแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงกลับบ้านของตนเองฉีลิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่มองเห็นได้ชัดเจน จับมือของเซียนหนิงแล้วเดินอยู่ข้างหน้าอย่างร่าเริง ขณะที่เขาเดินอยู่พักหนึ่งก็ตระหนักว่าตนเองเสียมารยาทไป เลยรีบยืนนิ่งและก้าวออกไปข้างๆ รอให้ท่านแม่ยายและท่านพี่ชายไปก่อนสนมฮุ่ยไทเฟยมองดูลูกเขยคนนี้และเอาแต่ถอนหายใจ ทำไมซื่อขนาดนี้ ตอนที่แต่งงานนั้นยังขาวสะอาดอยู่เลย บัดนี้กลับดำมาก แม้แต่เซียนหนิงก็ดำด้วย คนนอกที่ไม่รู้อาจคิดว่าเซียนหนิงแต่งงานกับชาวนาคนไหนไปแล้วแต่เซียนหนิงชอบเขา ดีที่เขาเป็นลูกชายจากตระกูลฉี ซึ่งถือว่าข้อดีเดิมทีซ่งซีซีอยู่ข้างหลังพวกเขา มองดูพวกเขาเดินจับมือกันและรู้สึกว่าคู่หนุ่มสาวนี้รักใคร่กันจริงๆ ทันใดนั้นพวกเขาก็หยุดลง และเซี่ยหลูโม่กับนางก็เดินอยู่ข้างหน้า จากนั้นนางตระหนักว่านางกับเซี่ยหลูโม่ก็จับมือกันไว้เช่นกันแต่ไม่รู้ว่าทำไม มันรู้สึกแตกต่างออกไปฉีลิ่วกับเซียนหนิงเป็นธรรมชาติมาก เดินอย่างร่าเริง เขย่าตัวไปมา สนิทสนมนางกับเซี่ยหลูโม่
เสิ่นชิงเหอเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า "พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ พวกยังไม่เสร็จเร็วขนาดนี้ ยังมีอีกมากมายต้องปรับปรุงอย่างช้าๆ อาจต้องวาดภาพสักสิบหรือยี่สิบภาพก็ไม่แน่"เซี่ยหลูโม่เกิดอาการเหม่อลอยเมื่อดูภาพวาดสตรีวัยผู้ใหญ่บนเก้าอี้ เขารู้สึกว่าภาพนั้นคล้ายกับแม่ยาย ก็คือท่านแม่ของซีซีมันไม่เหมือนแม่ยายที่เขาพบก่อนเดินทางไปเขตหนานเจียง แต่ยังก่อนกว่านั้น ตอนที่เขายังเป็นชายหนุ่มๆ ที่เจอกับนางแม่ยายในขณะนั้นก็มีใบหน้าที่กลมกล่อมและมีรอยยิ้มที่อ่อนโยน"ไปกันเถอะ" ซ่งซีซีเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของเขาเซี่ยหลูโม่มองลงมาที่นาง "ซีซี เจ้าไม่คิดว่านางดูเหมือนใครคนหนึ่งเหรอ?""เหมือนใครกัน?" ซ่งซีซีถาม เมื่อนางมองดูภาพวาดนั้นอีกครั้ง ความคุ้นเคยนั้นก็หายไปแล้วเมื่อเห็นนางไม่รู้สึกอะไรเลย เซี่ยหลูโม่ก็เปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว "บางทีข้าอาจจะมองผิด ไปกันเถอะ อย่าขัดหูขัดตาพวกเขาเลย"ขณะที่เขาเดินออกไป เขาจำได้ว่าตอนที่เขายังเด็ก เขาติดตามเสด็จพี่ไปที่จวนโหวเจิ้นเป่ย ตอนนั้นฮูหยินเจิ้นเป่ยโหวยังสาวอยู่ และซีซีก็ไม่ได้ถูกส่งไปที่ภูเขาเหม่ยชาน สาวน้อยสีชมพู สวยและน่ารักมาก เพราะนางเป็นลูกสาวหลังจาก
ซ่งซีซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย "อาจารย์หยูมีสายลับที่ซ่อนอยู่ในจวนแม่ทัพด้วยหรือ?""ใช่ จวนต่างๆ ส่วนใหญ่ในเมืองหลวงก็มี แต่บางคนซ่อนตัวไว้ไม่ลึกเท่าไร""แล้วทำไมเจ้าไม่รีบบอกเขาล่ะ บอกข้าทำไม"กุ้นเอ๋อร์กล่าวว่า "หลังจากศิษย์พี่เสิ่นมาเขาก็เอาแต่อยู่ในห้องหนังสือ ข้าว่าเขาทำตามคำสั่งจากท่านอ๋อง เจ้ากลับไปบอกท่านอ๋องก็ได้แล้วมิใช่หรือ"ซ่งซีซีประหลาดใจมาก "แต่ทำไมสายลับถึงให้เจ้าไปติดต่อล่ะ? เจ้ารับผิดชอบส่วนนี้ด้วยหรือ อาจารย์หยูให้ความสำคัญกับเจ้ามากขนาดนี้หรือ"กุ้นเอ๋อร์พูดอย่างภาคภูมิใจ "แน่นอนสิ เจ้าคิดว่าข้าเป็นเพียงหัวหน้าสอนงานจริงๆ หรือ อาจารย์หยูบอกว่าข้าดูไม่ระมัดระวัง แต่ทำงานอย่างพิถีพิถันมาก เขาก็เลยฝากเรื่องสายลับไว้ให้ข้า"หลังจากที่เขาพูดจบ ก็พลิกตัวอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็กระโดดออกไปทันทีซ่งซีซีตกตะลึง นางคิดเสมอว่ากุ้นเอ๋อร์ยังคงเป็นเหมือนลิงป่า เขาสามารถเป็นผู้ฝึกสอนและนำกองกำลังได้ แต่อาจารย์หยูกลับทิ้งเรื่องละเอียดอ่อนและต้องคอยระมัดระวังเช่นเรื่องติดต่อกับสายลับไว้ให้กับเขาเช่นกันหรือ หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาล่ะก็ ทุกอย่างก็จะสูญเปล่าไปนางกลับห้องเพื่อต
วันรุ่งขึ้น เซี่ยหลูโม่กลับหอต้าหลี่ และซ่งซีซีก็ไปห้องหนังสือ และพบว่าศิษย์พี่เสิ่นกับอาจารย์หยูยังไม่ออกมา นางจึงจัดคนนำอาหารเข้าไป และไม่เข้าไปรบกวนพวกเขาเสิ่นว่านจือเข้ามาพูดคุยกับนางสองสามคำ ซ่งซีซีพยักหน้า "ไป แวะไปส่งรุ่ยเอ๋อร์ไปที่สถาบันกันเถอะ"ตอนนี้เฉินเสี่ยวเหนียนและรุ่ยเอ๋อร์กลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดแล้ว แม้ว่าเฉินเสี่ยวเหนียนจะมีคุณสมบัติไม่พอที่จะเข้าเรียนได้ แต่เขาได้เรียนรู้มากมายจากนายน้อยระหว่างทาง ข้างในรถม้าพวกเขาพูดคุยอย่างครึกครื้น ซ่งซีซีแค่ฟังดูด้วยรอยยิ้ม และพูดคุยไปบ้าง หลังจากส่งไปยังสถาบันการศึกษา รถม้าก็กลับระและหยุดที่ร้านน้ำชาชื่อดังแห่งเมืองหลวงหลังจากที่ทั้งสองเข้าไปกลับไม่ได้หาที่ให้นั่งลง แล้วเดินออกจากประตูด้านข้างแล้วเดินถนนสองสามสายไปยังตรอกชิงหัวเสิ่นว่านจือหยุดอยู่หน้าบ้านพักหลังหนึ่งและเคาะประตู หลังจากนั้นไม่นาน ประตูก็เปิดออก และนั่นคือกู้ชิงหลาน นางกระซิบ "พระชายา คุณหนูเสิ่น ท่านพ่อของข้ากำลังรออยู่ข้างในเจ้าค่ะ"ซ่งซีซีถามว่า "เจ้าออกมาได้ยังไง? ไม่ได้อยู่ในตระกูลหลินตลอดเหรอ? เซียงกุ้ยไม่ได้ติดตามเจ้าเอาไว้หรือ?"กู้ชิงหลานกล่า
กู้ชิงหลานตาเปียกชื้น "ท่านพ่อ ขอแค่ช่วยท่านแม่ออกมาและทำลายนังชั่วคนนั้นได้ ลูกยอมตายด้วย"ฝู้หม่ากู้ยื่นมือออกไปเพื่อเรียกนาง แล้วพูดด้วยความเอ็นดูว่า "เด็กโง่เอ๊ย ที่พ่อทำเช่นนี้เพราะหวังว่าครอบครัวของเราจะมีชีวิตอยู่อย่างดีและไม่ต้องการให้ใครตายทั้งนั้น""ท่านพ่อ!" กู้ชิงหลานคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมพิงหัวกับหัวเข่าเขา ดวงตาของนางแดงสด "ลูกตั้งตารอวันนั้นมานานแล้ว หวังว่าท่านกับท่านแม่จะปลอดภัยดี และหวังว่าลูกกับพี่วาวต่างก็อยู่ข้างกายพวกท่านได้"ดวงตาฝู้หม่ากู้ก็แดงเล็กน้อยด้วย เขาลูบผมนาง "ลุกขึ้นเถอะ อย่าให้พระชายาต้องมาเห็นภาพเช่นนี้ โตมาขนาดนี้แล้วยังทำตัวเหมือนเด็กอยู่"กู้ชิงหลานเอื้อมมือไปปาดน้ำตาก่อนลุกขึ้นยืน "พระชายาให้อภัยด้วยนะ"ซ่งซีซีทำหน้านิ่งแค่พูดเรียบๆ ว่า "ก่อนที่ข้าจะพูดถึงแผนการของข้า งั้นฝู้หม่าช่วยบอกข้าว่าช่วงนี้องค์หญิงกำลังทำอะไรอยู่บ้าง""เรื่องอื่นข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่านางกำลังวางแผนให้สตรีนางหนึ่งแต่งงานกับเจ้าสิบเอ็ดฝาง สตรีคนนี้มาจากกลุ่มกายกรรมอำเภอหยง เก่งทักษะการต่อสู้ ต่อมากลุ่มกายกรรมก็ยุบเพราะหาเงินไม่ได้ สตรีนางนี้หาเลี้ยงชีพตามลำพัง มีอยู่คร