ในสถาบันว่านซงเหมิน เสิ่นชิงเหอนำจดหมายไปหาศิษย์อา "ศิษย์อา จดหมายจากศิษย์น้องเซี่ย ขอให้ข้าไปเมืองหลวงสักหน่อย มีเรื่องต้องขอความช่วยเหลือหากจากข้า"ศิษย์อานั่งสมาธิหลับตาไม่ตอบเขาโกรธมานานแล้วและตอนนี้ยังโกรธอยู่ เขาไม่อยากคุยกับใคร และไม่ยอมปล่อยให้ใครลงจากภูเขาด้วยดังนั้น คนที่มักจะออกจากเขาพวกนั้นตอนนี้จึงติดอยู่ในนั้นทั้งหมด ส่วนคนที่ออกไปแล้วยังไม่ได้กลับมานั้นก็ไม่กล้ากลับมาอีก อย่างเช่นผิงหวูจูงก่อนที่เขาจะไปเขตหนานเจียง เขาได้ออกคำสั่งซ้ำแล้วซ้ำว่าห้ามสร้างบ้านพักในเป่ยซาน เพราะเขามีแผนสำหรับที่ดินนั้น เขาต้องการสร้างตึกดวงดาว ซึ่งเป็นอาคารห้าชั้น มันสามารถขึ้นไปที่สูงเพื่อรับชมดาวจันทร์ หรือไปฝึกทักษะการต่อสู้ที่นั่น มันดีต่อการฝึกวิชาตัวเบา และที่สำคัญกว่านั้น เขามีเหตุผลอื่นเดิมทีเขาวางแผนที่จะเริ่มก่อสร้างในฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า แต่เมื่อเขากลับมา ก็เห็นว่าพวกเขาได้สร้างบ้านพักในภูเขาเป่ยซานแล้วภูมิภาคของภูเขาเป่ยซานนั้นสูงและมีน้ำตกอยู่ตรงข้ามกัน สร้างบ้านพักที่นั่น พูดตรงๆ ก็คือพวกเขาทุกคนอยากไปพักอยู่ที่นั่นและเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่สวยงามได้เปล่าๆความสามาร
อาจารย์หยูรู้ดีว่ามันยากด้วย เขาคิดอยู่พักหนึ่ง "ไม่งั้นเอางี้ไหม ข้าวาดโครงร่างคร่าวๆ แล้วละเอียดข้าค่อยบรรยายด้วยวาจา"เสิ่นชิงเหอมองไปที่เขาแล้วถามว่า "เจ้าจำหน้าตาของนางไม่ได้แล้ว ใช่ไหม"สีหน้าของอาจารย์หยูดูเจ็บปวดใจเล็กน้อย "ข้าคิดมาตลอดว่าตนเองจะไม่มีวันลืม แต่บัดนี้พอให้ข้าหวนนึกถึงหน้าตาของนางอย่างจริงจัง กลับมีแต่รอยยิ้ม และภาพที่นางเรียกข้าว่าท่านพี่ทุกครั้ง แต่หน้าตาของนาง จะคิดยังไงก็คิดภาพไม่ชัดเจนเลย""งั้นเจ้าก็วาดเองไม่ได้ด้วย" เสิ่นชิงเหอกล่าวว่า "อย่าโทษตัวเอง ผ่านไปตั้งสิบกว่าปีแล้วลืมมันไปก็เป็นเรื่องปกติ บวกกับเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดใจ สมองของเรามักจะแสวงหาผลดีและหลีกเลี่ยงผลเสีย จดจำนางจะทำให้เจ้ารู้สึกเจ็บปวดใจ ก็จะค่อยๆ ลืมมันไป"เขาตบไหล่ของอาจารย์หยู "แต่ถ้านางในสมัยเด็กยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้าจะจำนางออกได้ทันที แต่คนเราจะโตขึ้น โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงเมื่อครบอายุสิบแปดปีก็จะเปลี่ยนเยอะเลย ไม่เป็นไร เจ้าจำได้เท่าไรก็ว่าเท่านั้น โดยเฉพาะโครงหน้า จำไว้ รูปทรงสำคัญที่สุด แล้วก็ลักษณะใบหน้าของนางด้วย เช่นมีไฝ มีปานหรือไม่ คิ้วมีอะไรพิเศษไหม จะผอมหรืออ้วนก็บอกให้ด
คนที่มาเยี่ยมในวันนี้มีเยอะ หลานเอ่อร์ก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปพบพวกเขาสนมฮุ่ยไทเฟยพอเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว สีหน้าของนางยังดูดีกว่าตนเองเสียอีกหลังจากที่นางไหว้เสร็จก็กลับไปนั่งลง พอสนมฮุ่ยไทเฟยถามแล้วถึงรู้ว่าเมื่อกี้นางกำลังฝึกทักษะการต่อสู้กับศิษย์พี่ซือโซอยู่สนมฮุ่ยไทเฟยพึมพำในใจเล็กน้อย เป็นเรื่องจริงที่ว่าเข้าฝูงหงส์เป็นหงส์ เข้าฝูงกาเป็นกาเลย อยู่กับคนที่มีวรยุทธ์ แม้แต่คุณหนูผู็ดีก็เริ่มฝึกฝนทักษะการต่อสู้เลยหลานเอ่อร์ยิ้ม "เพราะวันๆ ใช้ชีวิตแบบนี้ก็น่าเบื่อ เลยฝึกฝนทักษะการต่อสู้กับศิษย์พี่ซือโซ แต่ยังไม่ได้เรื่องเลย"สนมฮุ่ยไทเฟยพูดตรงๆ ว่า "การฝึกทักษะการต่อสู้นั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่แค่เจ้านะ เจ้าไม่ต้องสน เอาที่ตนเองสบายใจเลย"แม่นมเกาไอแรงๆ น่าอึดอัดใจจริงๆ สินะ ผู้คนส่วนใหญ่ในนั้นล้วนเป็นผู้ฝึกทักษะการต่อสู้สนมฮุ่ยไทเฟยจ้องมองนาง "ไม่จำเป็นต้องไอหรอก ข้าก็ไม่ได้พูดผิด ไม่ได้เรื่องก็คือไม่ได้เรื่อง มิใช่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นเรื่องเป็นราวได้ การฝึกทักษะการต่อสู้ได้ใช้งานกับตนเองได้ก็พอ สามารถเสริ
ใช้เวลาอยู่กับหลานเอ่อร์เป็นเวลาครึ่งวัน ศิษย์พี่ซือโซก็เริ่มขับไล่ผู้คนออกไป โดยบอกว่าท่านหญิงจำเป็นต้องพักผ่อน และฝนก็หยุดตกแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงกลับบ้านของตนเองฉีลิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่มองเห็นได้ชัดเจน จับมือของเซียนหนิงแล้วเดินอยู่ข้างหน้าอย่างร่าเริง ขณะที่เขาเดินอยู่พักหนึ่งก็ตระหนักว่าตนเองเสียมารยาทไป เลยรีบยืนนิ่งและก้าวออกไปข้างๆ รอให้ท่านแม่ยายและท่านพี่ชายไปก่อนสนมฮุ่ยไทเฟยมองดูลูกเขยคนนี้และเอาแต่ถอนหายใจ ทำไมซื่อขนาดนี้ ตอนที่แต่งงานนั้นยังขาวสะอาดอยู่เลย บัดนี้กลับดำมาก แม้แต่เซียนหนิงก็ดำด้วย คนนอกที่ไม่รู้อาจคิดว่าเซียนหนิงแต่งงานกับชาวนาคนไหนไปแล้วแต่เซียนหนิงชอบเขา ดีที่เขาเป็นลูกชายจากตระกูลฉี ซึ่งถือว่าข้อดีเดิมทีซ่งซีซีอยู่ข้างหลังพวกเขา มองดูพวกเขาเดินจับมือกันและรู้สึกว่าคู่หนุ่มสาวนี้รักใคร่กันจริงๆ ทันใดนั้นพวกเขาก็หยุดลง และเซี่ยหลูโม่กับนางก็เดินอยู่ข้างหน้า จากนั้นนางตระหนักว่านางกับเซี่ยหลูโม่ก็จับมือกันไว้เช่นกันแต่ไม่รู้ว่าทำไม มันรู้สึกแตกต่างออกไปฉีลิ่วกับเซียนหนิงเป็นธรรมชาติมาก เดินอย่างร่าเริง เขย่าตัวไปมา สนิทสนมนางกับเซี่ยหลูโม่
เสิ่นชิงเหอเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า "พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ พวกยังไม่เสร็จเร็วขนาดนี้ ยังมีอีกมากมายต้องปรับปรุงอย่างช้าๆ อาจต้องวาดภาพสักสิบหรือยี่สิบภาพก็ไม่แน่"เซี่ยหลูโม่เกิดอาการเหม่อลอยเมื่อดูภาพวาดสตรีวัยผู้ใหญ่บนเก้าอี้ เขารู้สึกว่าภาพนั้นคล้ายกับแม่ยาย ก็คือท่านแม่ของซีซีมันไม่เหมือนแม่ยายที่เขาพบก่อนเดินทางไปเขตหนานเจียง แต่ยังก่อนกว่านั้น ตอนที่เขายังเป็นชายหนุ่มๆ ที่เจอกับนางแม่ยายในขณะนั้นก็มีใบหน้าที่กลมกล่อมและมีรอยยิ้มที่อ่อนโยน"ไปกันเถอะ" ซ่งซีซีเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของเขาเซี่ยหลูโม่มองลงมาที่นาง "ซีซี เจ้าไม่คิดว่านางดูเหมือนใครคนหนึ่งเหรอ?""เหมือนใครกัน?" ซ่งซีซีถาม เมื่อนางมองดูภาพวาดนั้นอีกครั้ง ความคุ้นเคยนั้นก็หายไปแล้วเมื่อเห็นนางไม่รู้สึกอะไรเลย เซี่ยหลูโม่ก็เปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว "บางทีข้าอาจจะมองผิด ไปกันเถอะ อย่าขัดหูขัดตาพวกเขาเลย"ขณะที่เขาเดินออกไป เขาจำได้ว่าตอนที่เขายังเด็ก เขาติดตามเสด็จพี่ไปที่จวนโหวเจิ้นเป่ย ตอนนั้นฮูหยินเจิ้นเป่ยโหวยังสาวอยู่ และซีซีก็ไม่ได้ถูกส่งไปที่ภูเขาเหม่ยชาน สาวน้อยสีชมพู สวยและน่ารักมาก เพราะนางเป็นลูกสาวหลังจาก
ซ่งซีซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย "อาจารย์หยูมีสายลับที่ซ่อนอยู่ในจวนแม่ทัพด้วยหรือ?""ใช่ จวนต่างๆ ส่วนใหญ่ในเมืองหลวงก็มี แต่บางคนซ่อนตัวไว้ไม่ลึกเท่าไร""แล้วทำไมเจ้าไม่รีบบอกเขาล่ะ บอกข้าทำไม"กุ้นเอ๋อร์กล่าวว่า "หลังจากศิษย์พี่เสิ่นมาเขาก็เอาแต่อยู่ในห้องหนังสือ ข้าว่าเขาทำตามคำสั่งจากท่านอ๋อง เจ้ากลับไปบอกท่านอ๋องก็ได้แล้วมิใช่หรือ"ซ่งซีซีประหลาดใจมาก "แต่ทำไมสายลับถึงให้เจ้าไปติดต่อล่ะ? เจ้ารับผิดชอบส่วนนี้ด้วยหรือ อาจารย์หยูให้ความสำคัญกับเจ้ามากขนาดนี้หรือ"กุ้นเอ๋อร์พูดอย่างภาคภูมิใจ "แน่นอนสิ เจ้าคิดว่าข้าเป็นเพียงหัวหน้าสอนงานจริงๆ หรือ อาจารย์หยูบอกว่าข้าดูไม่ระมัดระวัง แต่ทำงานอย่างพิถีพิถันมาก เขาก็เลยฝากเรื่องสายลับไว้ให้ข้า"หลังจากที่เขาพูดจบ ก็พลิกตัวอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็กระโดดออกไปทันทีซ่งซีซีตกตะลึง นางคิดเสมอว่ากุ้นเอ๋อร์ยังคงเป็นเหมือนลิงป่า เขาสามารถเป็นผู้ฝึกสอนและนำกองกำลังได้ แต่อาจารย์หยูกลับทิ้งเรื่องละเอียดอ่อนและต้องคอยระมัดระวังเช่นเรื่องติดต่อกับสายลับไว้ให้กับเขาเช่นกันหรือ หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาล่ะก็ ทุกอย่างก็จะสูญเปล่าไปนางกลับห้องเพื่อต
วันรุ่งขึ้น เซี่ยหลูโม่กลับหอต้าหลี่ และซ่งซีซีก็ไปห้องหนังสือ และพบว่าศิษย์พี่เสิ่นกับอาจารย์หยูยังไม่ออกมา นางจึงจัดคนนำอาหารเข้าไป และไม่เข้าไปรบกวนพวกเขาเสิ่นว่านจือเข้ามาพูดคุยกับนางสองสามคำ ซ่งซีซีพยักหน้า "ไป แวะไปส่งรุ่ยเอ๋อร์ไปที่สถาบันกันเถอะ"ตอนนี้เฉินเสี่ยวเหนียนและรุ่ยเอ๋อร์กลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดแล้ว แม้ว่าเฉินเสี่ยวเหนียนจะมีคุณสมบัติไม่พอที่จะเข้าเรียนได้ แต่เขาได้เรียนรู้มากมายจากนายน้อยระหว่างทาง ข้างในรถม้าพวกเขาพูดคุยอย่างครึกครื้น ซ่งซีซีแค่ฟังดูด้วยรอยยิ้ม และพูดคุยไปบ้าง หลังจากส่งไปยังสถาบันการศึกษา รถม้าก็กลับระและหยุดที่ร้านน้ำชาชื่อดังแห่งเมืองหลวงหลังจากที่ทั้งสองเข้าไปกลับไม่ได้หาที่ให้นั่งลง แล้วเดินออกจากประตูด้านข้างแล้วเดินถนนสองสามสายไปยังตรอกชิงหัวเสิ่นว่านจือหยุดอยู่หน้าบ้านพักหลังหนึ่งและเคาะประตู หลังจากนั้นไม่นาน ประตูก็เปิดออก และนั่นคือกู้ชิงหลาน นางกระซิบ "พระชายา คุณหนูเสิ่น ท่านพ่อของข้ากำลังรออยู่ข้างในเจ้าค่ะ"ซ่งซีซีถามว่า "เจ้าออกมาได้ยังไง? ไม่ได้อยู่ในตระกูลหลินตลอดเหรอ? เซียงกุ้ยไม่ได้ติดตามเจ้าเอาไว้หรือ?"กู้ชิงหลานกล่า
กู้ชิงหลานตาเปียกชื้น "ท่านพ่อ ขอแค่ช่วยท่านแม่ออกมาและทำลายนังชั่วคนนั้นได้ ลูกยอมตายด้วย"ฝู้หม่ากู้ยื่นมือออกไปเพื่อเรียกนาง แล้วพูดด้วยความเอ็นดูว่า "เด็กโง่เอ๊ย ที่พ่อทำเช่นนี้เพราะหวังว่าครอบครัวของเราจะมีชีวิตอยู่อย่างดีและไม่ต้องการให้ใครตายทั้งนั้น""ท่านพ่อ!" กู้ชิงหลานคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมพิงหัวกับหัวเข่าเขา ดวงตาของนางแดงสด "ลูกตั้งตารอวันนั้นมานานแล้ว หวังว่าท่านกับท่านแม่จะปลอดภัยดี และหวังว่าลูกกับพี่วาวต่างก็อยู่ข้างกายพวกท่านได้"ดวงตาฝู้หม่ากู้ก็แดงเล็กน้อยด้วย เขาลูบผมนาง "ลุกขึ้นเถอะ อย่าให้พระชายาต้องมาเห็นภาพเช่นนี้ โตมาขนาดนี้แล้วยังทำตัวเหมือนเด็กอยู่"กู้ชิงหลานเอื้อมมือไปปาดน้ำตาก่อนลุกขึ้นยืน "พระชายาให้อภัยด้วยนะ"ซ่งซีซีทำหน้านิ่งแค่พูดเรียบๆ ว่า "ก่อนที่ข้าจะพูดถึงแผนการของข้า งั้นฝู้หม่าช่วยบอกข้าว่าช่วงนี้องค์หญิงกำลังทำอะไรอยู่บ้าง""เรื่องอื่นข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่านางกำลังวางแผนให้สตรีนางหนึ่งแต่งงานกับเจ้าสิบเอ็ดฝาง สตรีคนนี้มาจากกลุ่มกายกรรมอำเภอหยง เก่งทักษะการต่อสู้ ต่อมากลุ่มกายกรรมก็ยุบเพราะหาเงินไม่ได้ สตรีนางนี้หาเลี้ยงชีพตามลำพัง มีอยู่คร
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า