ออกจากตรอกชิงหัว เสิ่นว่านจือรีบพูดขึ้นว่า "เจ้าพูดถูก ฝู้หม่ากู้คนนี้ไว้ใจไม่ได้ นอกจากการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับนางเจินแล้ว แม้แต่อ๋องฮวยก็ไม่ยอมเอ่ยให้รู้ นอกจากนี้ เขายังเรียกตนเองว่าฝู้หม่า พูดตรงๆ เขาไม่ละอายใจกับสถานะของเขาในฐานะฝู้หม่า แต่สิ่งที่แปลกใจคือทำไมเขาถึงเปิดเผยเรื่องของนางเจินให้เรารู็ล่ะ? ""เขาอยากให้เรายุติการแต่งงานครั้งนี้ เพราะแม่ของเขาคือแม่สื่อ เขาไม่ต้องการให้ฮูหยินท่านโหวกู้เข้ามาเกี่ยวด้วย และไม่อยากให้ฮูหยินท่านโหวกู้ตัดความสัมพันธ์กับท่านแม่ของเจ้าสิบเอ็ดฝาง ใจของเขาอยู่ในจวนโหว สำหรับว่าเขาจริงใจกับหลินเฟิ้งเอ๋อมากเพียงใด และรักลูกสาวของเขาหรือไม่ มีเพียงเขาเองเท่านั้นที่จะรู้""อะไรวะเนี่ย!" เสิ่นว่านจือสาปแช่ง แล้วพูดด้วยความสับสน "แต่เจ้าบอกแผนของเราให้เขาฟัง เขาจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้องค์หญิงใหญ่อย่างแน่นอนเมื่อเขากลับไป"ดวงตาของซ่งซีซีเป็นประกายด้วยแสงที่คมชัด "เพราะเราจะไม่ลงมือในเทศกาลเซี่ยหยวนในวันที่สิบห้า ตุลาคม แต่เป็นเทศกาลหันอี้ในวันแรกของเดือนตุลาคม ในวันถัดไป องค์หญิงใหญ่จะขอเชิญพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงมาช่วยทำบุญให้วิญญาณผู้ตายในใต้หล้าน
พวกนางกลับไปที่โรงน้ำชา รับประทานอาหารในโรงน้ำชา หลังจากจ่ายเงินเสร็จแล้วก็เดินออกจากทางเข้าหลักก่อนกลับไปที่รถม้าระหว่างทาง เสิ่นว่านจือพบมุมหนึ่งแล้วกระโดดลงไป ซ่อนตัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินอยู่บนถนนและหายตัวท่ามกลางฝูงชนไปอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่เข้าๆ ออกๆ นี้ นางแต่งตัวเรียบง่ายมาก และเครื่องประดับเดียวที่นางสวมก็คือปิ่นปักผมที่ติดอยู่บนมวยของนางแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนธรรมดาจะลอบติดตามนาง แต่ยังไงก็ต้องระวังด้วยนางเป็นนักสู้ เดินทางไปตระกูลฝางก็ไม่รู้สึกเหนื่อยอะไร อีกอย่างก็อยู่ไม่ไกลนักเมื่อมาถึงหน้าประตูตระกูลฝาง ก็พบมีรถม้าจอดอยู่ทางด้านขวาของประตู และเจ้าสิบเอ็ดฝางกำลังช่วยพยุงนางลู่ออกมา ข้างหลังมีฝางฮูหยินและคนใช้คนหนึ่งติดตามไว้เสิ่นว่านจือยิ้มและพูดว่า "โอ้ย ข้ามาไม่ถูกเวลาเลย พวกท่านจะออกไปข้านอกหรือ?"ฝางฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม "น้องเสิ่นมาแล้วหรือ ไม่ได้เจอนานเลยนะ"เสิ่นว่านจือยิ้ม "ช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง พอวันนี้มีเวาลาว่างก็เลยมาเยี่ยมแม่บุญธรรมและท่านพี่สักหน่อย แต่พวกท่านกลับต้องออกไปข้างนอก"นางลู่ดึงนางไปข้างกาย คว้าแขนของนางด้วยรอยยิ้มว่า "เจ้าม
จวนโหวกู้ถือว่าเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ในแคว้นซาง แต่ยิ่งมีฐานะมั่นคงมากเท่าไรก็ยิ่งเผชิญกับสถานการณ์ที่น่าอับอายมากขึ้นเท่านั้นนั่นคือครอบครัวขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีที่ดินและทรัพย์สินเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนมีชีวิตที่หรูหรา เพื่อไปรักษาความเจริญรุ่งเรืองและความมั่งคั่งของจวนโหวท่านโหวปัจจุบันคือท่านพ่อของฝู้หม่ากู้ ภายใต้การดูแลของเขา ทางจวนโหวกู้ยิ่งตกอับไป เพราะได้ร่ำรวยมาหลายชั่วชีวิตคน กฎเกณฑ์ของครอบครัวที่แต่เดิมเข้มงวดนั้นก็ค่อยๆ คลายลง ทำให้ลูกหลานไม่ยอมที่จะอดทนกับความยากลำบากในการเรียนหนังสือหรือฝึกฝนทักษะการต่อสู้ อย่างไรสถานะตระกูลยังอยู่ พวกเขาจะมีชีวิตที่มั่งคั่งแน่นอนถ้าฝู้หม่ากู้ไม่ได้แต่งงานกับองค์หญิงใหญ่ เกรงว่าจวนโหวคงจะพังสลายไปนานแล้วท่านโหวกู้ไม่ได้รับราชการในราชสำนัก และลูกหลานในตระกูลที่ดำรงตำแหน่งงานเป็นขุนนางระดับชั้นห้าขึ้นไปมีไม่กี่คนเองเมื่อเสิ่นว่านจือก้าวเข้าไปในจวนโหว ก็เห็นตราสัญลักษณ์ของครอบครัวที่แกะสลักไว้หลายแห่ง นี่เป็นหลักฐานพิสูจน์ว่าครั้งหนึ่งทางจวนโหวเคยเจริญมา ำวหเขากลัวว่าโดนคนนอกลืมไป ในห้องโถงหลักก็ได้แกะสลักตราสัญลักษณ์สองแ
นางเจินระงับสายตาที่ซับซ้อนในดวงตาของนางแล้วพูดว่า "ไปกันเถอะ"ตอนนี้แค่หวังว่าทางตระกูลฝางจะไม่ถูกใจนาง ด้วยสถานะปัจจุบันของเจ้าสิบเอ็ดฝาง เขาอยากแต่งงานกับผู้หญิงแบบไหนก็ได้นี่ ตัวตนของนางเป็นของปลอมด้วยซ้ำเมื่อมถึงห้องโถงหลัก นางเอาพัดมาคลุมหน้า แค่ท่าเดินนางก็ฝึกมานานสองนานแล้วฮูหยินโหวกู้กล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มเปี่ยม "หลีเอ๋อร์ รีบทักทายฮูหยินผู้เฒ่ารองและฝางฮูหยินด้วย"นางเจินคารวะนางลู่และฝางฮูหยิน "ข้าขอคารวะฮูหยินผู้เฒ่ารอง คารวะฝางฮูหยินด้วยเจ้าค่ะ""แล้วก็ คนนี้แม่ทัพฝาง คนนี้คือคุณหนูเสิ่น บุตรีบุญธรรมของฮูหยินผู้เฒ่ารอง" ตอนที่เสิ่นว่านจือเข้ามา นางลู่ก็แนะนำตัวตนของเสิ่นว่านจือให้แล้วพัดถืออยู่ในมือ เผยให้เห็นใบหน้า นางไม่สามารถทำท่าเขินอายได้ ได้แต่ทักทายตามปกติ "คารวะแม่ทัพฝาง คารวะคุณหนูเสิ่นเจ้าค่ะ"เสิ่นว่านจือมองดูนาง แล้วไหว้กลับ "คารวะคุณหนูเซี่ย"เจ้าสิบเอ็ดฝางก็ยกมือไหว้ด้วย "คุณหนูเสิ่นยินดีที่ได้รู้จัก"เสิ่นว่านจือเห็นว่านางมีใบหน้าที่สง่างาม ตาโต ริมฝีปากที่ไม่หนาหรือบางเกินไป และโค้งก็สวยงาม มีไฝสีแดงเล็กๆ ที่ริมฝีปากบน ทำให้หน้าตาของนางดูน่ารัก หน
นางลู่กำลังจะบอกว่าถูกใจมาก แต่ฝางฮูหยินกลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า "คุณหนูดีมาก แน่นอนว่าเราจะชอบ แต่เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญจะตัดสินใจแบบมั่วๆ ไม่ได้ ไม่งั้นเอางี้ เราต่างก็กลับไปถามก่อน เมื่อกี้คุณหนูก็ไม่ได้บอกว่านางชอบเจ้าสิบเอ็ดของเราหรือไม่ วันนี้แค่เจอหน้าครั้งแรก เพราะงั้นต้องถามความคิดของนางก่อน"ฮูหยินโหวกู้กล่าวว่า "เรื่องนี้ไม่เห็นจะยากเลย ข้าจะส่งคนไปถามเดี๋ยวนี้เลย"ฝางฮูหยินยังคงยิ้ม "จะรีบร้อนแบบนี้ก็ไม่ได้นะ ส่งคนเข้าไปถามนางในขณะที่เรารออยู่ข้างนอกแบบนี้ หากนางบอกว่าไม่ชอบก็กลัวจะทำให้พวกเราไม่พอใจ ถ้าบอกว่าชอบ ยังไงก็เป็นสตรีจะต้องเขินอายแน่ๆ เดี๋ยวจะทำให้นางจะเสียหน้าดูเหมือนนางจะรีบร้อนมาก ถึงยังไงเราสองครอบครัวได้เห็นหน้ากันแล้ว หากได้เจอหน้าอีกครั้งก็ดี และพ่อแม่ของนางก็ไม่อยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นความคิดของนางจึงสำคัญที่สุด ฮูหยินโหวกู้คิดว่าอย่างไรบ้างล่ะ"ฮูหยินโหวกู้ไม่สามารถโต้แย้งกับคำพูดที่มีเหตุมีผลของฝางฮูหยิน ถึงยังไงทั้งสองตระกูลจะเกี่ยวดองกันก็ไม่ควรด่วนสรุปเกินไป เพราะก็เป็นถึงตระกูลขุนนางอย่างไรก็ตาม มันก็ต้องรีบร้อนสิแม้ว่านางลู่จะไม่เข้าใจว่าท
หลังจากที่พวกนางออกไปแล้ว เสิ่นว่านจือได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับแม่นางคนนั้นให้คร่าวๆ รวมถึงแผนการบางส่วนของอ๋องเยี่ยน อ๋องฮวยและองค์หญิงใหญ่ด้วยเสิ่นว่านจือไม่ได้พูดทั้งหมด แผนการของนางกับซีซีในเทศกาลหันอี้ก็ไม่ได้บอก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เจ้าสิบเอ็ดฝางฟังเสร็จรวมกับการสืบสวนของเขาเอง ก็พอจะรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว และรู้ด้วยว่าพวกนางจะเริ่มลงมือกับองค์หญิงใหญ่ก่อนอย่างแน่นอน กำลังของอ๋องเยี่ยนอยู่ที่เยี่ยนโจว และต้องพึ่งพาองค์หญิงใหญ่และอ๋องฮวยเมื่ออยู่ในเมืองหลวงตัวตนขององค์หญิงใหญ่สามารถทำเรื่องมากมายได้ และจริงๆ แล้วองค์หญิงใหญ่ก็ทำงานช่วยเขาในเมืองหลวงมาโดยตลอด หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากองค์หญิงใหญ่ อย่างน้อยอ๋องเยี่ยนก็หมดมือข้างหนึ่งไปอ๋องฮวยซ่อนตัวลึกมาก และเป็นเรื่องยากมากที่จะสืบว่าเขาได้สุงสิงกับใครบ้างในตอนนี้จากนั้นเจ้าสิบเอ็ดฝางก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าท่านอ๋องให้กลุ่มชีซื่อของเขาอย่าไปมาหาสู่กันกับจวนเป่ยหมิงอ๋องบ่อยเกินไป ในตอนแรก เขาคิดว่าเป็นเพียงเพราะกลัวฮ่องเต้จะคิดมากไป บัดนี้คิดดูแล้ว ไม่ไปมาหาสู่กัน ก็เพราะมีเรื่องมากมายให้พวกเขาไปทำจะต้องเป็นเช่นนั้น แม้ว
เหมือนมาก!เหมือนมาก!ไม่ว่าจะเป็นทรงหน้าตา คิ้ว ดวงตา จมูก หรือไฝบนริมฝีปากของนาง ทั้งหมดนี้ล้วนเหมือนกับนางเจินที่นางเห็นในวันนี้ทุกประการเลยจู่ๆ นางก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก น่าเหลือเชื่อจริงๆ ผู้คนที่นางเห็นกับตาในวันนี้กลับเหมือนกับคนที่อยู่ในภาพวาดนี้ และพวกเขาไม่เคยเห็นนางเจินมากก่อนด้วยซ้ำ กลับวาดเหมือนจริงมากทีเดียวนางหันกลับไปมองศิษย์พี่เสิ่นและอาจารย์หยู พวกเขากำลังยืนอยู่หน้าภาพวาด "ภาพนี้ ถ้านางมีชีวิตที่ดีและมั่งคั่ง น่าจะรูปร่างหน้าตาประมาณนี้""ส่วนภาพนี้ก็คล้ายกัน แค่เปลี่ยนทรงผมและคิ้วหน่อย ในภาพข้างๆ นี้คือสภาพที่นางมีชีวิตที่แย่มาก มีของไม่พอกินพอใช้ ดังนั้นนางจึงผอมแห้งมาก... " ศิษย์พี่เสิ่นพาอาจารย์หยูเดินดูทีละรูป จากนั้นสะบัดมือให้เสิ่นว่านจือ "เสี่ยวจือ หลีกทางหน่อย อย่าขวางทางไว้"เสิ่นว่านจือชี้ไปที่ภาพวาดตรงหน้าและพยายามให้ตนเองส่งเสียงออกมา "คนนี้ วันนี้ข้าได้เจอมา"คนสี่คนและแปดตามองดูนางพร้อมๆ กัน และนางยังคงชี้ไปที่ภาพวาดนั้นด้วยมือสั่นเสิ่นว่านจือกลืนน้ำลายและมองไปที่เสิ่นชิงเหอ รูม่านตายังคงสั่นอยู่ "ศิษย์พี่เสิ่น วันนี้พี่ได้ติดตามข้าไปจวนโ
ซ่งซีซีถามก่อน "เจ้าเห็นตัวจริงนางแล้ว คิดว่าเหมือนกับท่านแม่ข้าหรือไม่"เสิ่นว่านจือกล่าวว่า "พูดตามตรง ตอนนั้นข้าก็รู้สึกคุ้นเคยอยู่ แต่คิดไม่ออก พอตอนนี้ได้ดูภาพบุคคลเหล่านี้ ข้าก็รู้แล้ว ภาพบุคคลเหล่านี้ศิษย์พี่เสิ่นวาดได้ดีมาก แม้กระทั่งสีหน้าก็แสดงออกมา เพราะงั้นข้าจึงมองออกเล็กน้อย ส่วนนางเจินเป็นคนเป็นๆ แต่นางถูกสั่งสอนมา ทุกการเคลื่อนไหวของนางมีท่าทีแบบพวกคุณหนูชั้นสูง ข้าเลยไม่รู้สึกมีความคล้ายคลึงมากนัก""เดี๋ยวนะ พระชายาขอให้ข้าถามก่อนขอรับ" อาจารย์หยูรู้สึกชาตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกชา แต่ความรู้สึกที่ไม่เป็นจริงนั้นรุนแรงเกินไป เขาและคุณชายเสิ่นชิงเหอยังกำลังประมาณการณ์อยู่ว่าภาพวาดฉบับไหนสอดคล้องกับนางในปัจจุบันจากนั้นเอาภาพที่สอดคล้องกันไปแจกแจงเพื่อตามหานางแต่แล้ว ยังไม่ทันได้เลือกเสร็จ คุณหนูเสิ่นก็กลับมาบอกว่านางเพิ่งพบมา และความรู้สึกที่ไม่เป็นจริงนี้เป็นเหมือนความฝันเลยไม่มีผิดเขาคิดว่าเขาจะต้องข้ามน้ำข้ามทะเลและต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมายถึงตามหานางได้ ถึงขนาดเขายังคิดมาก่อนว่านางอาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ได้ แน่นอนว่าเขาไม่กล้าคิดลึ