นางลู่กำลังจะบอกว่าถูกใจมาก แต่ฝางฮูหยินกลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า "คุณหนูดีมาก แน่นอนว่าเราจะชอบ แต่เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญจะตัดสินใจแบบมั่วๆ ไม่ได้ ไม่งั้นเอางี้ เราต่างก็กลับไปถามก่อน เมื่อกี้คุณหนูก็ไม่ได้บอกว่านางชอบเจ้าสิบเอ็ดของเราหรือไม่ วันนี้แค่เจอหน้าครั้งแรก เพราะงั้นต้องถามความคิดของนางก่อน"ฮูหยินโหวกู้กล่าวว่า "เรื่องนี้ไม่เห็นจะยากเลย ข้าจะส่งคนไปถามเดี๋ยวนี้เลย"ฝางฮูหยินยังคงยิ้ม "จะรีบร้อนแบบนี้ก็ไม่ได้นะ ส่งคนเข้าไปถามนางในขณะที่เรารออยู่ข้างนอกแบบนี้ หากนางบอกว่าไม่ชอบก็กลัวจะทำให้พวกเราไม่พอใจ ถ้าบอกว่าชอบ ยังไงก็เป็นสตรีจะต้องเขินอายแน่ๆ เดี๋ยวจะทำให้นางจะเสียหน้าดูเหมือนนางจะรีบร้อนมาก ถึงยังไงเราสองครอบครัวได้เห็นหน้ากันแล้ว หากได้เจอหน้าอีกครั้งก็ดี และพ่อแม่ของนางก็ไม่อยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นความคิดของนางจึงสำคัญที่สุด ฮูหยินโหวกู้คิดว่าอย่างไรบ้างล่ะ"ฮูหยินโหวกู้ไม่สามารถโต้แย้งกับคำพูดที่มีเหตุมีผลของฝางฮูหยิน ถึงยังไงทั้งสองตระกูลจะเกี่ยวดองกันก็ไม่ควรด่วนสรุปเกินไป เพราะก็เป็นถึงตระกูลขุนนางอย่างไรก็ตาม มันก็ต้องรีบร้อนสิแม้ว่านางลู่จะไม่เข้าใจว่าท
หลังจากที่พวกนางออกไปแล้ว เสิ่นว่านจือได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับแม่นางคนนั้นให้คร่าวๆ รวมถึงแผนการบางส่วนของอ๋องเยี่ยน อ๋องฮวยและองค์หญิงใหญ่ด้วยเสิ่นว่านจือไม่ได้พูดทั้งหมด แผนการของนางกับซีซีในเทศกาลหันอี้ก็ไม่ได้บอก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เจ้าสิบเอ็ดฝางฟังเสร็จรวมกับการสืบสวนของเขาเอง ก็พอจะรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว และรู้ด้วยว่าพวกนางจะเริ่มลงมือกับองค์หญิงใหญ่ก่อนอย่างแน่นอน กำลังของอ๋องเยี่ยนอยู่ที่เยี่ยนโจว และต้องพึ่งพาองค์หญิงใหญ่และอ๋องฮวยเมื่ออยู่ในเมืองหลวงตัวตนขององค์หญิงใหญ่สามารถทำเรื่องมากมายได้ และจริงๆ แล้วองค์หญิงใหญ่ก็ทำงานช่วยเขาในเมืองหลวงมาโดยตลอด หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากองค์หญิงใหญ่ อย่างน้อยอ๋องเยี่ยนก็หมดมือข้างหนึ่งไปอ๋องฮวยซ่อนตัวลึกมาก และเป็นเรื่องยากมากที่จะสืบว่าเขาได้สุงสิงกับใครบ้างในตอนนี้จากนั้นเจ้าสิบเอ็ดฝางก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าท่านอ๋องให้กลุ่มชีซื่อของเขาอย่าไปมาหาสู่กันกับจวนเป่ยหมิงอ๋องบ่อยเกินไป ในตอนแรก เขาคิดว่าเป็นเพียงเพราะกลัวฮ่องเต้จะคิดมากไป บัดนี้คิดดูแล้ว ไม่ไปมาหาสู่กัน ก็เพราะมีเรื่องมากมายให้พวกเขาไปทำจะต้องเป็นเช่นนั้น แม้ว
เหมือนมาก!เหมือนมาก!ไม่ว่าจะเป็นทรงหน้าตา คิ้ว ดวงตา จมูก หรือไฝบนริมฝีปากของนาง ทั้งหมดนี้ล้วนเหมือนกับนางเจินที่นางเห็นในวันนี้ทุกประการเลยจู่ๆ นางก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก น่าเหลือเชื่อจริงๆ ผู้คนที่นางเห็นกับตาในวันนี้กลับเหมือนกับคนที่อยู่ในภาพวาดนี้ และพวกเขาไม่เคยเห็นนางเจินมากก่อนด้วยซ้ำ กลับวาดเหมือนจริงมากทีเดียวนางหันกลับไปมองศิษย์พี่เสิ่นและอาจารย์หยู พวกเขากำลังยืนอยู่หน้าภาพวาด "ภาพนี้ ถ้านางมีชีวิตที่ดีและมั่งคั่ง น่าจะรูปร่างหน้าตาประมาณนี้""ส่วนภาพนี้ก็คล้ายกัน แค่เปลี่ยนทรงผมและคิ้วหน่อย ในภาพข้างๆ นี้คือสภาพที่นางมีชีวิตที่แย่มาก มีของไม่พอกินพอใช้ ดังนั้นนางจึงผอมแห้งมาก... " ศิษย์พี่เสิ่นพาอาจารย์หยูเดินดูทีละรูป จากนั้นสะบัดมือให้เสิ่นว่านจือ "เสี่ยวจือ หลีกทางหน่อย อย่าขวางทางไว้"เสิ่นว่านจือชี้ไปที่ภาพวาดตรงหน้าและพยายามให้ตนเองส่งเสียงออกมา "คนนี้ วันนี้ข้าได้เจอมา"คนสี่คนและแปดตามองดูนางพร้อมๆ กัน และนางยังคงชี้ไปที่ภาพวาดนั้นด้วยมือสั่นเสิ่นว่านจือกลืนน้ำลายและมองไปที่เสิ่นชิงเหอ รูม่านตายังคงสั่นอยู่ "ศิษย์พี่เสิ่น วันนี้พี่ได้ติดตามข้าไปจวนโ
ซ่งซีซีถามก่อน "เจ้าเห็นตัวจริงนางแล้ว คิดว่าเหมือนกับท่านแม่ข้าหรือไม่"เสิ่นว่านจือกล่าวว่า "พูดตามตรง ตอนนั้นข้าก็รู้สึกคุ้นเคยอยู่ แต่คิดไม่ออก พอตอนนี้ได้ดูภาพบุคคลเหล่านี้ ข้าก็รู้แล้ว ภาพบุคคลเหล่านี้ศิษย์พี่เสิ่นวาดได้ดีมาก แม้กระทั่งสีหน้าก็แสดงออกมา เพราะงั้นข้าจึงมองออกเล็กน้อย ส่วนนางเจินเป็นคนเป็นๆ แต่นางถูกสั่งสอนมา ทุกการเคลื่อนไหวของนางมีท่าทีแบบพวกคุณหนูชั้นสูง ข้าเลยไม่รู้สึกมีความคล้ายคลึงมากนัก""เดี๋ยวนะ พระชายาขอให้ข้าถามก่อนขอรับ" อาจารย์หยูรู้สึกชาตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกชา แต่ความรู้สึกที่ไม่เป็นจริงนั้นรุนแรงเกินไป เขาและคุณชายเสิ่นชิงเหอยังกำลังประมาณการณ์อยู่ว่าภาพวาดฉบับไหนสอดคล้องกับนางในปัจจุบันจากนั้นเอาภาพที่สอดคล้องกันไปแจกแจงเพื่อตามหานางแต่แล้ว ยังไม่ทันได้เลือกเสร็จ คุณหนูเสิ่นก็กลับมาบอกว่านางเพิ่งพบมา และความรู้สึกที่ไม่เป็นจริงนี้เป็นเหมือนความฝันเลยไม่มีผิดเขาคิดว่าเขาจะต้องข้ามน้ำข้ามทะเลและต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมายถึงตามหานางได้ ถึงขนาดเขายังคิดมาก่อนว่านางอาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ได้ แน่นอนว่าเขาไม่กล้าคิดลึ
เสิ่นชิงเหอส่ายหัว "จริงด้วย ช่วงนี้ถูกขังอยู่ในสถาบันว่านซงเหมินมาตลอด จนสมองใช้งานไม่ค่อยได้แล้ว"ซ่งซีซีชี้ไปที่เสิ่นว่านจือ "ว่านจือวันนี้ได้ไปจวนโหวกู้ ทางจวนโหวกู้ก็รู้ด้วยว่านางเป็นน้องสาวบุญธรรมของเจ้าสิบเอ็ดฝาง นางสามารถเชิญชวนนางเจินออกไปได้ เชื่อว่าแม้ว่าทางจวนโหวกู้จะรู้ว่านจือเป็นคนของจวนอ๋อง แต่ถ้าเรียกคนของตระกูลฝางด้วย ข้าว่าฮูหยินโหวกู้คงจะเห็นด้วย"อาจารย์หยูมองเสิ่นว่านจือด้วยดวงตาคาดหวัง "คุณหนูเสิ่น ฝากทุกอย่างไว้ให้เจ้าแล้ว"เสิ่นว่านจือเป็นคนให้ความสำคัญกับเพื่อนอยู่แล้ว จึงรับปากทันที "ได้ แต่อาจารย์หยูบอกเรื่อตอนเด็กๆ ของนางให้ข้าก่อน ข้าจะได้พูดถึงสิ่งเหล่านั้นต่อหน้านาง ตอนพูดนั้นก็สังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายด้วย อย่างน้อยก็พอมองออกไปเจ็ดแปดส่วนหรอก"อาจารย์หยูลุกขึ้น แต่ถูกเซี่ยหลูโม่ผลักลงอย่างรวดเร็ว "นั่งลงก่อนค่อยพูด"อาจารย์หยูดันยืนขึ้นอีกครั้ง "ไม่..." เซี่ยหลูโม่ใช้มือใหญ่กดเขาลงอีกครั้ง ตามด้วยเสียงที่เข้มงวด "นั่งลง!"อาจารย์หยูพูดอย่างจนใจว่า "ข้าขอไปหยิบของบางอย่างให้ เป็นของเล่นในวัยเด็กของนาง แล้วฝากคุณหนูเสิ่นนำติดตัวไปด้วยเมื่อเวลาไปหานาง"
อาจารย์หยูนำกระต่ายที่เป็นของเล่นมา ดูเหมือนว่ามันจะทำไว้เป็นเวลานานมากแล้ว และดูไม่ค่อยประณีตด้วย หูข้างหนึ่งขาดไป เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ซื้อมาจากข้างนอกอาจารย์หยูกล่าวว่า "นี่เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่นางหายตัวไป ข้าทำให้นางด้วยตนเอง เพราะนางทำเรื่องผิดในปีนั้นจึงถูกท่านแม่ขังบริเวณ และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปเที่ยวข้างนอก เดิมทีให้คนใช้ที่บ้านซื้อกระต่ายให้นาง แต่ท่านพ่อไม่อนุญาต ต้องการลงโทษนาง ข้าก็เลยแอบใช้ดินเหนียวทำมาตัวหนึ่งให้นาง แล้วเผามันในเตาที่บ้าน หลังจากเผาเสร็จก็ทาสีให้มัน บัดนี้สีก็ถอดแล้ว ตอนที่นางรับมันไว้และเล่นอยู่ในมือนั้นยังรังเกียจนิดนึง ทำล้มลงกับพื้นและหูแตกไปข้างหนึ่ง"อาจารย์หยูตาแดง "นางไม่ชอบกระต่ายตัวนี้เลย พูดได้ว่ารังเกียจด้วย ยังร้องไห้อย่างน้อยใจเสียอีก ข้าว่าในเมื่อนางไม่ชอบขนาดนี้ ต้องจำมันอย่างสุดซึ้ง"เสิ่นว่านจือมองไปกระต่ายที่หูขาดไปข้างหนึ่งทั้งน่าเกลียดและมีรอยด่าง สีก็จางหายไปหมด ดูเก่าแก่มาก จึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ถ้ามีคนให้กระต่ายแบบนี้กับข้า ช้าคงจะร้องไห้เช่นกัน จะไม่มีวันลืมในชาตินี้""ใช่ ของที่รักที่สุด หรือไม่ก็เกลียดที่สุด ล้วนจะจ
อาจารย์หยูกล่าวอย่างเศร้าใจว่า "การที่น้องสาวถูกลักพาตัวไปส่งผลร้ายแรงต่อครอบครัวของเรา แม่ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน พ่อลาออกจากข้าราชการและพาคนรับคนสองคนไปตามหา เขากลับบ้านทุกๆ สองปี ที่บ้านต้องพึ่งพาท่านปู่คนเดียว ตอนที่ท่านย่าเสียชีวิตไป ท่านพ่อก็ยังตามหาอยู่ จนกระทั่งปีที่สองหลังจากที่ท่านย่าเสียชีวิตเขาถึงกลับบ้าน นั่นมันเป็นปีที่สิบที่เขาตามหาน้องสาว ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้แล้ว"ทุกคนฟังดูแล้วรู้สึกใจหาย ความทรมานจากการสูญเสียลูกทำให้คนเราไม่กล้าคิดอย่างลึกซึ้ง"ตั้งแต่วันที่น้องสาวถูกลักพาตัวไป ความสุขก็หายไปจากครอบครัวของเราอย่างสิ้นเชิง ในช่วงสองปีก่อน ท่านปู่และท่านแม่มีสุขภาพแย่มาก เพราะงั้นข้าจึงนำพวกเขามาที่เมืองหลวง ท่านพ่อไม่ยอมออกจากอำเภออวิ๋น เขายังตั้งความหวังไว้ว่าสักวันหนึ่งนางจะจำบ้านของตนเองได้ และกลับบ้านเอง งั้นก็จะพบว่าครอบครัวนี้ยังมีคนรอนางอยู่""ที่ผ่านมาข้าไม่เคยยอมแพ้ ยืมคนจากจวนอ๋องออกไปค้นหา ที่ข้าทำงานอย่างหนักให้จวนอ๋อง เพื่อให้ท่านอ๋องยืมกำลังคนให้ข้าไปตามหาน้องสา แต่ในความเป็นจริงข้ารู้ด้วยว่าความหวังนั้นน้อยมาก แต่หากไม่ตามหาก็ไม่สบายใจ แค่ได้ทำอะไรสักอย
ตึกว่างเจียงหรือที่รู้จักกันในชื่อตึกว่างจิง เป็นหนึ่งในอาคารที่สูงที่สุดในเมืองหลวงจากจุดสูงสุดที่นี่ สามารถมองเห็นท่าเรือหนานเจียงทางตอนเหนือ และทิวทัศน์มุมกว้างของเมืองหลวงส่วนใหญ่ก็เห็นได้หมดด้วย อาคารตึกนี้สูงมากและยิ่งใหญ่ทีเดียว หรูหรามากจนบรรยายไม่ถูกแต่การใช้บริการห้องส่วนตัวบนชั้นสูงสุดของตึกว่างจิงนั้นราคาไม่เบาเลย แค่ค่าน้ำชาก็ราคาห้าตำลึงแล้ว หากสั่งอาหาร ใช้จ่ายหลายสิบตำลึงก็มีแต่อาหารธรรมดามาก ต้องกินของดีๆ งั้นก็ต้องใช้จ่ายเป็นร้อยตำลึงถึงขนาดเป็นพันตำลึงก็เป็นได้ส่วนเจ้าของตึกว่างจิงเป็นผู้ใด คงมีคนไม่มากที่รู้แค่ว่าคนที่มาที่นี่มีแต่คนใหญ่คนโตทั้งนั้น ตึกว่างจิงนี้ได้ทำเงินมากมายทุกวันคนที่รู้เรื่องก็จะไม่บอกคนนอก เพราะคนที่มีมิตรภาพกับทางภูเขาเหม่ยชานก็มีไม่เยอะในเมืองหลวงเสิ่นว่านจือและฝางฮูหยินถึงก่อน เสิ่นว่านจือเอาใจคนเก่งมากทีเดียว บัดนี้ได้เรียกฝางฮูหยินว่าพี่สะใภ้ด้วย ส่วนฝางฮูหยินก็ชอบนางมาก โดยชื่นชมว่ามีน้องแบบนี้ถือว่าเป็นพรของตนเองเลยเมื่อพวกนางมาถึงตึกว่างเจียง นางเจินยังไม่ถึง เสิ่นว่านจือวิ่งขึ้นๆ ลงๆ และพอใจกับความหรูหราของที่นี่มาก "เมื่อ