แชร์

บทที่ 662

ผู้เขียน: ปาเย่วเซิ่งเซี่ย
นางเจินระงับสายตาที่ซับซ้อนในดวงตาของนางแล้วพูดว่า "ไปกันเถอะ"

ตอนนี้แค่หวังว่าทางตระกูลฝางจะไม่ถูกใจนาง ด้วยสถานะปัจจุบันของเจ้าสิบเอ็ดฝาง เขาอยากแต่งงานกับผู้หญิงแบบไหนก็ได้นี่ ตัวตนของนางเป็นของปลอมด้วยซ้ำ

เมื่อมถึงห้องโถงหลัก นางเอาพัดมาคลุมหน้า แค่ท่าเดินนางก็ฝึกมานานสองนานแล้ว

ฮูหยินโหวกู้กล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มเปี่ยม "หลีเอ๋อร์ รีบทักทายฮูหยินผู้เฒ่ารองและฝางฮูหยินด้วย"

นางเจินคารวะนางลู่และฝางฮูหยิน "ข้าขอคารวะฮูหยินผู้เฒ่ารอง คารวะฝางฮูหยินด้วยเจ้าค่ะ"

"แล้วก็ คนนี้แม่ทัพฝาง คนนี้คือคุณหนูเสิ่น บุตรีบุญธรรมของฮูหยินผู้เฒ่ารอง" ตอนที่เสิ่นว่านจือเข้ามา นางลู่ก็แนะนำตัวตนของเสิ่นว่านจือให้แล้ว

พัดถืออยู่ในมือ เผยให้เห็นใบหน้า นางไม่สามารถทำท่าเขินอายได้ ได้แต่ทักทายตามปกติ "คารวะแม่ทัพฝาง คารวะคุณหนูเสิ่นเจ้าค่ะ"

เสิ่นว่านจือมองดูนาง แล้วไหว้กลับ "คารวะคุณหนูเซี่ย"

เจ้าสิบเอ็ดฝางก็ยกมือไหว้ด้วย "คุณหนูเสิ่นยินดีที่ได้รู้จัก"

เสิ่นว่านจือเห็นว่านางมีใบหน้าที่สง่างาม ตาโต ริมฝีปากที่ไม่หนาหรือบางเกินไป และโค้งก็สวยงาม มีไฝสีแดงเล็กๆ ที่ริมฝีปากบน ทำให้หน้าตาของนางดูน่ารัก หน
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อที่ GoodNovel
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 663

    นางลู่กำลังจะบอกว่าถูกใจมาก แต่ฝางฮูหยินกลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า "คุณหนูดีมาก แน่นอนว่าเราจะชอบ แต่เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญจะตัดสินใจแบบมั่วๆ ไม่ได้ ไม่งั้นเอางี้ เราต่างก็กลับไปถามก่อน เมื่อกี้คุณหนูก็ไม่ได้บอกว่านางชอบเจ้าสิบเอ็ดของเราหรือไม่ วันนี้แค่เจอหน้าครั้งแรก เพราะงั้นต้องถามความคิดของนางก่อน"ฮูหยินโหวกู้กล่าวว่า "เรื่องนี้ไม่เห็นจะยากเลย ข้าจะส่งคนไปถามเดี๋ยวนี้เลย"ฝางฮูหยินยังคงยิ้ม "จะรีบร้อนแบบนี้ก็ไม่ได้นะ ส่งคนเข้าไปถามนางในขณะที่เรารออยู่ข้างนอกแบบนี้ หากนางบอกว่าไม่ชอบก็กลัวจะทำให้พวกเราไม่พอใจ ถ้าบอกว่าชอบ ยังไงก็เป็นสตรีจะต้องเขินอายแน่ๆ เดี๋ยวจะทำให้นางจะเสียหน้าดูเหมือนนางจะรีบร้อนมาก ถึงยังไงเราสองครอบครัวได้เห็นหน้ากันแล้ว หากได้เจอหน้าอีกครั้งก็ดี และพ่อแม่ของนางก็ไม่อยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นความคิดของนางจึงสำคัญที่สุด ฮูหยินโหวกู้คิดว่าอย่างไรบ้างล่ะ"ฮูหยินโหวกู้ไม่สามารถโต้แย้งกับคำพูดที่มีเหตุมีผลของฝางฮูหยิน ถึงยังไงทั้งสองตระกูลจะเกี่ยวดองกันก็ไม่ควรด่วนสรุปเกินไป เพราะก็เป็นถึงตระกูลขุนนางอย่างไรก็ตาม มันก็ต้องรีบร้อนสิแม้ว่านางลู่จะไม่เข้าใจว่าท

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 664

    หลังจากที่พวกนางออกไปแล้ว เสิ่นว่านจือได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับแม่นางคนนั้นให้คร่าวๆ รวมถึงแผนการบางส่วนของอ๋องเยี่ยน อ๋องฮวยและองค์หญิงใหญ่ด้วยเสิ่นว่านจือไม่ได้พูดทั้งหมด แผนการของนางกับซีซีในเทศกาลหันอี้ก็ไม่ได้บอก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เจ้าสิบเอ็ดฝางฟังเสร็จรวมกับการสืบสวนของเขาเอง ก็พอจะรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว และรู้ด้วยว่าพวกนางจะเริ่มลงมือกับองค์หญิงใหญ่ก่อนอย่างแน่นอน กำลังของอ๋องเยี่ยนอยู่ที่เยี่ยนโจว และต้องพึ่งพาองค์หญิงใหญ่และอ๋องฮวยเมื่ออยู่ในเมืองหลวงตัวตนขององค์หญิงใหญ่สามารถทำเรื่องมากมายได้ และจริงๆ แล้วองค์หญิงใหญ่ก็ทำงานช่วยเขาในเมืองหลวงมาโดยตลอด หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากองค์หญิงใหญ่ อย่างน้อยอ๋องเยี่ยนก็หมดมือข้างหนึ่งไปอ๋องฮวยซ่อนตัวลึกมาก และเป็นเรื่องยากมากที่จะสืบว่าเขาได้สุงสิงกับใครบ้างในตอนนี้จากนั้นเจ้าสิบเอ็ดฝางก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าท่านอ๋องให้กลุ่มชีซื่อของเขาอย่าไปมาหาสู่กันกับจวนเป่ยหมิงอ๋องบ่อยเกินไป ในตอนแรก เขาคิดว่าเป็นเพียงเพราะกลัวฮ่องเต้จะคิดมากไป บัดนี้คิดดูแล้ว ไม่ไปมาหาสู่กัน ก็เพราะมีเรื่องมากมายให้พวกเขาไปทำจะต้องเป็นเช่นนั้น แม้ว

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 665

    เหมือนมาก!เหมือนมาก!ไม่ว่าจะเป็นทรงหน้าตา คิ้ว ดวงตา จมูก หรือไฝบนริมฝีปากของนาง ทั้งหมดนี้ล้วนเหมือนกับนางเจินที่นางเห็นในวันนี้ทุกประการเลยจู่ๆ นางก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก น่าเหลือเชื่อจริงๆ ผู้คนที่นางเห็นกับตาในวันนี้กลับเหมือนกับคนที่อยู่ในภาพวาดนี้ และพวกเขาไม่เคยเห็นนางเจินมากก่อนด้วยซ้ำ กลับวาดเหมือนจริงมากทีเดียวนางหันกลับไปมองศิษย์พี่เสิ่นและอาจารย์หยู พวกเขากำลังยืนอยู่หน้าภาพวาด "ภาพนี้ ถ้านางมีชีวิตที่ดีและมั่งคั่ง น่าจะรูปร่างหน้าตาประมาณนี้""ส่วนภาพนี้ก็คล้ายกัน แค่เปลี่ยนทรงผมและคิ้วหน่อย ในภาพข้างๆ นี้คือสภาพที่นางมีชีวิตที่แย่มาก มีของไม่พอกินพอใช้ ดังนั้นนางจึงผอมแห้งมาก... " ศิษย์พี่เสิ่นพาอาจารย์หยูเดินดูทีละรูป จากนั้นสะบัดมือให้เสิ่นว่านจือ "เสี่ยวจือ หลีกทางหน่อย อย่าขวางทางไว้"เสิ่นว่านจือชี้ไปที่ภาพวาดตรงหน้าและพยายามให้ตนเองส่งเสียงออกมา "คนนี้ วันนี้ข้าได้เจอมา"คนสี่คนและแปดตามองดูนางพร้อมๆ กัน และนางยังคงชี้ไปที่ภาพวาดนั้นด้วยมือสั่นเสิ่นว่านจือกลืนน้ำลายและมองไปที่เสิ่นชิงเหอ รูม่านตายังคงสั่นอยู่ "ศิษย์พี่เสิ่น วันนี้พี่ได้ติดตามข้าไปจวนโ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 666

    ซ่งซีซีถามก่อน "เจ้าเห็นตัวจริงนางแล้ว คิดว่าเหมือนกับท่านแม่ข้าหรือไม่"เสิ่นว่านจือกล่าวว่า "พูดตามตรง ตอนนั้นข้าก็รู้สึกคุ้นเคยอยู่ แต่คิดไม่ออก พอตอนนี้ได้ดูภาพบุคคลเหล่านี้ ข้าก็รู้แล้ว ภาพบุคคลเหล่านี้ศิษย์พี่เสิ่นวาดได้ดีมาก แม้กระทั่งสีหน้าก็แสดงออกมา เพราะงั้นข้าจึงมองออกเล็กน้อย ส่วนนางเจินเป็นคนเป็นๆ แต่นางถูกสั่งสอนมา ทุกการเคลื่อนไหวของนางมีท่าทีแบบพวกคุณหนูชั้นสูง ข้าเลยไม่รู้สึกมีความคล้ายคลึงมากนัก""เดี๋ยวนะ พระชายาขอให้ข้าถามก่อนขอรับ" อาจารย์หยูรู้สึกชาตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกชา แต่ความรู้สึกที่ไม่เป็นจริงนั้นรุนแรงเกินไป เขาและคุณชายเสิ่นชิงเหอยังกำลังประมาณการณ์อยู่ว่าภาพวาดฉบับไหนสอดคล้องกับนางในปัจจุบันจากนั้นเอาภาพที่สอดคล้องกันไปแจกแจงเพื่อตามหานางแต่แล้ว ยังไม่ทันได้เลือกเสร็จ คุณหนูเสิ่นก็กลับมาบอกว่านางเพิ่งพบมา และความรู้สึกที่ไม่เป็นจริงนี้เป็นเหมือนความฝันเลยไม่มีผิดเขาคิดว่าเขาจะต้องข้ามน้ำข้ามทะเลและต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมายถึงตามหานางได้ ถึงขนาดเขายังคิดมาก่อนว่านางอาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ได้ แน่นอนว่าเขาไม่กล้าคิดลึ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 667

    เสิ่นชิงเหอส่ายหัว "จริงด้วย ช่วงนี้ถูกขังอยู่ในสถาบันว่านซงเหมินมาตลอด จนสมองใช้งานไม่ค่อยได้แล้ว"ซ่งซีซีชี้ไปที่เสิ่นว่านจือ "ว่านจือวันนี้ได้ไปจวนโหวกู้ ทางจวนโหวกู้ก็รู้ด้วยว่านางเป็นน้องสาวบุญธรรมของเจ้าสิบเอ็ดฝาง นางสามารถเชิญชวนนางเจินออกไปได้ เชื่อว่าแม้ว่าทางจวนโหวกู้จะรู้ว่านจือเป็นคนของจวนอ๋อง แต่ถ้าเรียกคนของตระกูลฝางด้วย ข้าว่าฮูหยินโหวกู้คงจะเห็นด้วย"อาจารย์หยูมองเสิ่นว่านจือด้วยดวงตาคาดหวัง "คุณหนูเสิ่น ฝากทุกอย่างไว้ให้เจ้าแล้ว"เสิ่นว่านจือเป็นคนให้ความสำคัญกับเพื่อนอยู่แล้ว จึงรับปากทันที "ได้ แต่อาจารย์หยูบอกเรื่อตอนเด็กๆ ของนางให้ข้าก่อน ข้าจะได้พูดถึงสิ่งเหล่านั้นต่อหน้านาง ตอนพูดนั้นก็สังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายด้วย อย่างน้อยก็พอมองออกไปเจ็ดแปดส่วนหรอก"อาจารย์หยูลุกขึ้น แต่ถูกเซี่ยหลูโม่ผลักลงอย่างรวดเร็ว "นั่งลงก่อนค่อยพูด"อาจารย์หยูดันยืนขึ้นอีกครั้ง "ไม่..." เซี่ยหลูโม่ใช้มือใหญ่กดเขาลงอีกครั้ง ตามด้วยเสียงที่เข้มงวด "นั่งลง!"อาจารย์หยูพูดอย่างจนใจว่า "ข้าขอไปหยิบของบางอย่างให้ เป็นของเล่นในวัยเด็กของนาง แล้วฝากคุณหนูเสิ่นนำติดตัวไปด้วยเมื่อเวลาไปหานาง"

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 668

    อาจารย์หยูนำกระต่ายที่เป็นของเล่นมา ดูเหมือนว่ามันจะทำไว้เป็นเวลานานมากแล้ว และดูไม่ค่อยประณีตด้วย หูข้างหนึ่งขาดไป เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ซื้อมาจากข้างนอกอาจารย์หยูกล่าวว่า "นี่เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่นางหายตัวไป ข้าทำให้นางด้วยตนเอง เพราะนางทำเรื่องผิดในปีนั้นจึงถูกท่านแม่ขังบริเวณ และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปเที่ยวข้างนอก เดิมทีให้คนใช้ที่บ้านซื้อกระต่ายให้นาง แต่ท่านพ่อไม่อนุญาต ต้องการลงโทษนาง ข้าก็เลยแอบใช้ดินเหนียวทำมาตัวหนึ่งให้นาง แล้วเผามันในเตาที่บ้าน หลังจากเผาเสร็จก็ทาสีให้มัน บัดนี้สีก็ถอดแล้ว ตอนที่นางรับมันไว้และเล่นอยู่ในมือนั้นยังรังเกียจนิดนึง ทำล้มลงกับพื้นและหูแตกไปข้างหนึ่ง"อาจารย์หยูตาแดง "นางไม่ชอบกระต่ายตัวนี้เลย พูดได้ว่ารังเกียจด้วย ยังร้องไห้อย่างน้อยใจเสียอีก ข้าว่าในเมื่อนางไม่ชอบขนาดนี้ ต้องจำมันอย่างสุดซึ้ง"เสิ่นว่านจือมองไปกระต่ายที่หูขาดไปข้างหนึ่งทั้งน่าเกลียดและมีรอยด่าง สีก็จางหายไปหมด ดูเก่าแก่มาก จึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ถ้ามีคนให้กระต่ายแบบนี้กับข้า ช้าคงจะร้องไห้เช่นกัน จะไม่มีวันลืมในชาตินี้""ใช่ ของที่รักที่สุด หรือไม่ก็เกลียดที่สุด ล้วนจะจ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 669

    อาจารย์หยูกล่าวอย่างเศร้าใจว่า "การที่น้องสาวถูกลักพาตัวไปส่งผลร้ายแรงต่อครอบครัวของเรา แม่ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน พ่อลาออกจากข้าราชการและพาคนรับคนสองคนไปตามหา เขากลับบ้านทุกๆ สองปี ที่บ้านต้องพึ่งพาท่านปู่คนเดียว ตอนที่ท่านย่าเสียชีวิตไป ท่านพ่อก็ยังตามหาอยู่ จนกระทั่งปีที่สองหลังจากที่ท่านย่าเสียชีวิตเขาถึงกลับบ้าน นั่นมันเป็นปีที่สิบที่เขาตามหาน้องสาว ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้แล้ว"ทุกคนฟังดูแล้วรู้สึกใจหาย ความทรมานจากการสูญเสียลูกทำให้คนเราไม่กล้าคิดอย่างลึกซึ้ง"ตั้งแต่วันที่น้องสาวถูกลักพาตัวไป ความสุขก็หายไปจากครอบครัวของเราอย่างสิ้นเชิง ในช่วงสองปีก่อน ท่านปู่และท่านแม่มีสุขภาพแย่มาก เพราะงั้นข้าจึงนำพวกเขามาที่เมืองหลวง ท่านพ่อไม่ยอมออกจากอำเภออวิ๋น เขายังตั้งความหวังไว้ว่าสักวันหนึ่งนางจะจำบ้านของตนเองได้ และกลับบ้านเอง งั้นก็จะพบว่าครอบครัวนี้ยังมีคนรอนางอยู่""ที่ผ่านมาข้าไม่เคยยอมแพ้ ยืมคนจากจวนอ๋องออกไปค้นหา ที่ข้าทำงานอย่างหนักให้จวนอ๋อง เพื่อให้ท่านอ๋องยืมกำลังคนให้ข้าไปตามหาน้องสา แต่ในความเป็นจริงข้ารู้ด้วยว่าความหวังนั้นน้อยมาก แต่หากไม่ตามหาก็ไม่สบายใจ แค่ได้ทำอะไรสักอย

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 670

    ตึกว่างเจียงหรือที่รู้จักกันในชื่อตึกว่างจิง เป็นหนึ่งในอาคารที่สูงที่สุดในเมืองหลวงจากจุดสูงสุดที่นี่ สามารถมองเห็นท่าเรือหนานเจียงทางตอนเหนือ และทิวทัศน์มุมกว้างของเมืองหลวงส่วนใหญ่ก็เห็นได้หมดด้วย อาคารตึกนี้สูงมากและยิ่งใหญ่ทีเดียว หรูหรามากจนบรรยายไม่ถูกแต่การใช้บริการห้องส่วนตัวบนชั้นสูงสุดของตึกว่างจิงนั้นราคาไม่เบาเลย แค่ค่าน้ำชาก็ราคาห้าตำลึงแล้ว หากสั่งอาหาร ใช้จ่ายหลายสิบตำลึงก็มีแต่อาหารธรรมดามาก ต้องกินของดีๆ งั้นก็ต้องใช้จ่ายเป็นร้อยตำลึงถึงขนาดเป็นพันตำลึงก็เป็นได้ส่วนเจ้าของตึกว่างจิงเป็นผู้ใด คงมีคนไม่มากที่รู้แค่ว่าคนที่มาที่นี่มีแต่คนใหญ่คนโตทั้งนั้น ตึกว่างจิงนี้ได้ทำเงินมากมายทุกวันคนที่รู้เรื่องก็จะไม่บอกคนนอก เพราะคนที่มีมิตรภาพกับทางภูเขาเหม่ยชานก็มีไม่เยอะในเมืองหลวงเสิ่นว่านจือและฝางฮูหยินถึงก่อน เสิ่นว่านจือเอาใจคนเก่งมากทีเดียว บัดนี้ได้เรียกฝางฮูหยินว่าพี่สะใภ้ด้วย ส่วนฝางฮูหยินก็ชอบนางมาก โดยชื่นชมว่ามีน้องแบบนี้ถือว่าเป็นพรของตนเองเลยเมื่อพวกนางมาถึงตึกว่างเจียง นางเจินยังไม่ถึง เสิ่นว่านจือวิ่งขึ้นๆ ลงๆ และพอใจกับความหรูหราของที่นี่มาก "เมื่อ

บทล่าสุด

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1449

    พระอาการของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นเพียงเล็กน้อย พระองค์ก็ทรงเรียกดูฎีกาทันที พระองค์ทรงไว้วางพระทัยเสนาบดีมู่ แต่ก็มิได้ไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่พระองค์ทรงหวาดระแวงที่สุดก็คือ หากกองทัพไม่ได้อยู่ที่หนานเจียง และไม่ได้อยู่ที่ซีม่อน เพื่อติดตามโจมตีกองทัพแคว้นซา แต่กลับเป็นว่าเป่ยหมิงอ๋องกำลังนำทัพบุกกลับมายังเมืองหลวง และข่าวทั้งหมดถูกปิดกั้น มิอาจมาถึงพระองค์ หากเป็นเช่นนั้น ด้วยความเร็วของเซี่ยหลูโม่ ภายในสามเดือน กองทัพของเขาย่อมสามารถกวาดล้างและยึดครองทุกหัวเมืองที่ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น พระองค์จึงทรงต้องการตรวจสอบฎีกาจากแต่ละแคว้นด้วยพระองค์เอง บัดนี้ซ่งซีซีกลับไปประจำการที่จวนกองกำลังเมืองหลวงแล้วพระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้เรียกตัวนางเข้าเฝ้าในห้องพระอักษร ครานี้มิใช่การสนทนาสัพเพเหระ หากแต่เป็นการไต่ถามว่านางมีข่าวเกี่ยวกับเซี่ยหลูโม่หรือไม่ ซ่งซีซีกราบทูลตามตรงว่านางเองก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรนาง ก็ไม่ทรงพบพิรุธใดๆ แต่ไม่ว่าความเป็นไปได้จะเป็นเช่นไร ก็ล้วนเป็นเรื่องเลวร้ายทั้งสิ้น หากกองทัพของพวกเขาถูกซุ่มโจมตี นั่นหมายความว่ากองทัพ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1448

    คืนนั้นหมอมหัศจรรย์ดันแบกหีบยาไปพร้อมกับหงเชวี่ย ออกจากร้านยา ก่อนออกเดินทาง เขาบอกกับหมอเวรกลางคืนของร้านยาเย่าหวังว่าจะไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของพระชายาอ๋อง รถม้าหยุดที่จวนอ๋อง หมอมหัศจรรย์ตั้นเดินพรวดพราดเข้าไปด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว เมื่อทุกคนทยอยออกมารับหน้า เขามองซ่งซีซีแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบายโทสะใส่นาง กลับหันไปเล่นงานอาจารย์หยูแทน "ใช้ข้าเป็นข้ออ้างอย่างน้อยก็ควรบอกข้าล่วงหน้าสักหน่อย! เกือบทำให้ข้าถูกผู้ตรวจการสวี่จับผิดได้แล้ว!" พอได้ยินท่านผู้เฒ่าโวยวายขึ้นมา ทุกคนถึงนึกขึ้นได้ว่าหมายถึงเรื่องอะไรอาจารย์หยูรีบขออภัยแล้วถามว่า “ผู้ตรวจการสวี่ถามท่านไปแล้วหรือ?” “เขาป่วย! องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงเชิญข้าไปตรวจอาการให้เขา พอเจอข้าเขาก็ร้องไห้เหมือนเด็ก แล้วคอยถามอยู่นั่นว่าฮ่องเต้ยังมีหนทางรักษาหรือไม่ แรกๆ เขายังไม่บอกด้วยซ้ำว่าเป็นโรคอะไร ข้าฟังแล้วงงเป็นไก่ตาแตก!” หมอมหัศจรรย์ดันพูดจบก็ฮึดฮัด “ท่านไม่ได้หลุดพิรุธใช่หรือไม่?” ซ่งซีซีรีบถาม เพราะเรื่องที่ผู้ตรวจการสวี่ตั้งใจจะถวายฎีกาตักเตือนด้วยชีวิตทำให้พวกนางตกใจไม่น้อย เขาเป็นคนที่ยอมให้มีข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1447

    หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเสิ่นว่านจือเอ่ยชวนผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไปเดินเล่นในลานกว้างของตึกว่างจิง ไม่ไกลจากตึกว่างจิงมีโรงแสดงศิลปะพื้นบ้าน ซึ่งเต็มไปด้วยนักเล่านิทาน นักแสดงงิ้ว พ่อค้า และร้านขายอาหาร ครึกครื้นครบครันทุกอย่าง ตั้งแต่มาเมืองหลวง เสิ่นว่านจือก็ยุ่งตลอด ไม่เคยมีเวลาว่างไปเดินเที่ยวเล่นเลย ครั้งนี้จึงถือโอกาสแยก ผิงหนานป๋อ ออกไป ให้ซ่งซีซีได้พูดคุยกับจูจิ่นเป็นการส่วนตัว อีกทั้งตนเองก็จะได้ไปเที่ยวเล่นกับเฉินเฉินด้วย เมื่อคนอื่นออกไปแล้วซ่งซีซีกับจูจิ่นก็ลดเสียงให้เบาลง ก่อนหน้านี้ พวกนางไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญเลย บัดนี้ ย่อมต้องกล่าวถึงบ้างแล้ว แขกที่เฝ้าดูจากภายนอก เมื่อเห็นผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไป ต่างพากันเข้าใจว่าพระชายาเป่ยหมิงอ๋องจะลงโทษคุณหนูเจ็ดเป็นการส่วนตัว จึงตั้งใจเงี่ยหูฟัง รอชมเรื่องสนุก ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม สองคนนี้คุยกันด้วยเสียงเบาๆ แถมยังมีเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ บรรยากาศกลับดูกลมเกลียวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก! เมื่อมีบ่าวไพร่เข้าออกตลอดเวลา ก็มีคนช่างสังเกตจงใจเลิกม่านขึ้นด้านหนึ่ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายนอกสามารถมองเ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1446

    ซ่งซีซีพร้อมด้วยเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินรออยู่ในเรือนหลันซี เมื่อเด็กในร้านนำผิงหนานป๋อและครอบครัว รวมถึงบ่าวไพร่เดินผ่านสวนเข้ามาถึงด้านหน้าเรือนหลันซีก็ร้องบอก ซ่งซีซีได้รับการพยุงจากเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ผิงหนานป๋อและภรรยา รวมถึง คุณหนูเจ็ดจูจิ่นรีบคำนับทำความเคารพ ซ่งซีซีแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องมากพิธี เชิญด้านในนั่งเถอะ” ระหว่างที่ซ่งซีซีกล่าวคำเชื้อเชิญ นางก็ลอบพินิจทั้งสามคน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางพบเจอผู้คนมามากมาย การสังเกตสีหน้า แววตา และท่าทางก็พอจะทำให้นางมองเห็นอะไรบางอย่างได้ ผิงหนานป๋อสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ ด้านในเป็นอาภรณ์ปักลายดอกไม้และวิหคขลิบทองบริเวณคอเสื้อ บริเวณอกมีสร้อยประคำขนาดใหญ่ห้อยอยู่ ดูเหมือนเป็นผู้มีฐานะดี แต่ก็แฝงกลิ่นอายของความละวางทางโลก ทว่าขณะยืนอยู่ ร่างของเขากลับโน้มเอียงไปทางบุตรสาวโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มบนใบหน้าเผยให้เห็นท่าทางประจบประแจงเล็กน้อย ชัดเจนว่าเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องการเข้าสังคม ส่วนฮูหยินผิงหนานป๋อสวมเสื้อนอกสีแดงเข้มทับด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาว ทำให้ดูสดใสเปล่งประกาย นางเป็นสตรีร่างท้วม ผิวพรรณเปล่

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1445

    ซ่งซีซีรู้สึกว่าคุณหนูเจ็ดไม่ควรต้องรับคำด่าทอโดยไร้เหตุผล อีกทั้งนางเองก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับจวนป๋อผิงหนานในเมื่อเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องให้คำอธิบายที่เหมาะสม ดังนั้น นางจึงสั่งให้หัวหน้าลู่ส่งเทียบเชิญไปยังจวนป๋อผิงหนาน ขอเชิญทั้งครอบครัวไปตึกว่างจิงเพื่อร่วมรับประทานอาหาร ขณะเดียวกัน เมื่อส่งเทียบเชิญ นางก็ปล่อยข่าวนี้ออกไปด้วย ส่วนเหตุผลที่ไม่เชิญไปที่จวนของตนเอง นั่นเพราะเรื่องนี้ต้องการให้มีการชี้แจงความเข้าใจผิดต่อสาธารณะ การนัดพบกันภายในจวนจึงไม่เหมาะสม ตึกว่างจิงเป็นสถานที่หรูหรา เพื่อแสดงความเคารพต่อจวนป๋อผิงหนานและคุณหนูเจ็ดการปล่อยข่าวล่วงหน้า ทำให้บรรดาพ่อค้าและขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ชอบสู่รู้เรื่องชาวบ้านย่อมไม่พลาดโอกาสเฝ้าดูเรื่องนี้ เมื่อมีคนจับตาอยู่มาก ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคลี่คลายปัญหา ภายในเรื่องนี้ยังมีเจตนาชดเชยให้กับคุณหนูเจ็ดตลอดหลายปีที่นางทำการค้า ผู้คนมักดูถูกนางเพียงเพราะเป็นสตรี ถูกเอาเปรียบและถูกกดขี่อยู่เสมอ จวนป๋อผิงหนาน ก็ไม่มีบุรุษคนใดที่สามารถเป็นเสาหลักได้ เดิมทีตระกูลนี้เคยเป็นตระกูลสูงศักดิ์ แต่บัดนี้กลับตกต่ำจนแท

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1444

    ฮองเฮาถูกลงโทษให้กักบริเวณอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นไทเฮาที่มีรับสั่งให้กักบริเวณ อีกทั้งยังสั่งถอนข้ารับใช้ในตำหนักของนางไปกว่าครึ่ง คงเหลือเพียงคนสนิทไว้รับใช้ จากนั้นยังทรงเลือกคนที่ไว้ใจได้ให้ไปเฝ้าสังเกตการณ์ที่ ตำหนักฉางชุน ขณะที่ฮองเฮาเฝ้าดูแลจักรพรรดิ์ซูชิงนางได้ยินอู๋ย่วนเจิ้งเอ่ยว่าฮ่องเต้ทรงประชวรเป็นโรคปอดเรื้อรัง แรกเริ่มนางยังไม่รู้ว่าโรคนี้คืออะไร แต่หลังจากถูกกักบริเวณ นางจึงถามหลานเจี่ยนกูกู เมื่อหลานเจี่ยนกูกูบอกว่านี่เป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต นางก็ทรุดตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้น ประการแรก นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงประชวร ประการที่สอง นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงล้มป่วยด้วยโรคนี้ ก็สมควรต้องกำหนดองค์รัชทายาทแล้ว ทว่ากลับถูกไทเฮากักบริเวณ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังโง่เขลาไปล่วงเกินซ่งซีซีเพราะความสัมพันธ์ของ รองแม่ทัพซ่ง ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับซ่งรุ่ยเป็นพิเศษ หากนางไม่เคยล่วงเกินซ่งซีซีและให้ซ่งซีซีส่งซ่งรุ่ยเข้ามาวัง เพื่ออยู่เป็นเพื่อน องค์ชายใหญ่ แล้วล่ะก็ฮ่องเต้คงจะทรงสนพระทัยในตัวเขามากขึ้น “หลานเจี่ยน ข้าควรทำสิ่งใด? ข้าทำอะไรได้บ้าง?” นางร่ำไห้ครู่หนึ่งแล้วก็คิดก

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1443

    ฮองเฮา ยังมีหยาดน้ำตาเกาะบนใบหน้า ดวงตาทั้งสองข้างบวมแดงจากการร่ำไห้เมื่อได้ยินประโยคแรกที่ฮ่องเต้ตรัสหลังฟื้นคืนสติ กลับเป็นคำสั่งให้นางถอยออกไป นางถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่พอฟื้นคืนสติ นางก็สะอื้นพลางเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่ไปเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนฮ่องเต้เพคะ”ไทเฮา เอ่ยด้วยสุรเสียงแหบพร่า ทว่ามีอำนาจล้นเหลือ “ประคองฮองเฮาออกไป”ฮองเฮาอยู่เฝ้าที่นี่นานเท่าใดไทเฮาก็อยู่เฝ้าที่นี่นานเท่านั้น ไม่เห็นว่าฮ่องเต้จะฟื้นคืนสติเสียที รอคอยมาจนใจแทบขาด ทว่ากลับต้องฝืนรักษาความสงบเพื่อมิให้เหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่นอกตำหนักต้องขาดหลักยึดเดิมทีขุนนางทั้งหมดคุกเข่าอยู่ภายนอกตำหนัก ทว่าความหนาวเหน็บเกินทน พอไทเฮามาถึงก็ทรงให้พวกเขาเข้าไปคอยด้านในตำหนัก แต่พวกเขากลับยังยืนกรานจะคุกเข่าต่อไปฮ่องเต้สิ้นสติไปนานเท่าใด พวกเขาก็คุกเข่าอยู่อย่างนั้นตลอดมาไทเฮาคอยให้หมอหลวงตรวจชีพจรเสร็จก่อนจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ แล้วตรัสห้ามไม่ให้หมอหลวงเอ่ยสิ่งใดก่อนจะกล่าวด้วยสุรเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”นางกำมือของบุตรชายแน่น พระหัตถ์เย็นเฉียบจนจับข่มไว้สุดแรงก็ยังสั่นระริกอย่างห้ามมิได้จัก

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1442

    จักรพรรดิ์ซูชิงกลับไม่รู้เลยว่าความวุ่นวายในครั้งนี้จะลุกลามใหญ่โตถึงเพียงนี้ ช่วงหลายวันที่ผ่านมา พระองค์ทรงให้ความร่วมมือกับหมอหลวงในการทดลองสูตรยารักษาใหม่ ทรงมอบหมายกิจการราชการสำคัญให้แก่เสนาบดีใหญ่ ตำรับยารักษาใหม่นี้เป็นผลจากการวิจัยอย่างหนักของหมอหลวงหลายคน ซึ่งใช้การบำบัดด้วยความร้อนเป็นหลัก ร่วมกับการฝังเข็ม และเสริมด้วยยาต้มเพื่อบำรุงร่างกาย ผ่านไปปหลายวัน มีผลดีอยู่บ้าง อาการปวดศีรษะลดลง และไม่ทรงมีเหงื่อออกในเวลากลางคืน ดังนั้น ในวันนี้ที่เสด็จมาร่วมประชุมราชการ พระพักตร์ของพระองค์ดูสดใสขึ้นกว่าหลายวันที่ผ่านมา เจ้ากรมฉีแม้จะได้ไปพบอวี้ฉื่อสวี่แล้ว แต่ความคิดของอวี้ฉื่อสวี่กลับไม่เปลี่ยนแปลง เขารู้สึกผิดหวังในตัวฮ่องเต้ เพราะทรงทำตัวโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์ และไม่สนใจสถานการณ์สงคราม เป็นการกระทำที่ดูไร้ความรับผิดชอบเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เชื่อคำกล่าวของเจ้ากรมฉีที่ว่า การเลือกพระชายารองให้เป่ยหมิงอ๋องเป็นความคิดของฮองเฮา โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ ตามที่เขารู้มา ฮองเฮาเพิ่งถูกปลดจากการกักบริเวณได้ไม่นาน หลังจากได้รับอิ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1441

    ฉีฮองเฮายิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านแม่พูดอะไรเช่นนี้ เรื่องนี้จะไปเกี่ยวอะไรกับฮ่องเต้ได้? ฮ่องเต้มีงานราชกิจล้นมือ จะมายุ่งเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? ส่วนอวี้ฉื่อสวี่นั่น ข้าจะไปทำให้เขาตายได้อย่างไร?” อวี้ฉื่อสวี่ เป็นพ่อตาขององค์หญิงใหญ่หมินฉิง ฉีฮองเฮาเห็นว่าไม่มีเหตุผลที่จะไปขัดแย้งกับตระกูลนี้ ฉีฮูหยินใหญ่ถอนหายใจ “เจ้านี่ช่างโง่เขลาเสียจริง เป่ยหมิงอ๋องกำลังออกรบ เจ้ากลับไปยุ่งเรื่องหา พระชายารองให้เขา ไหนจะเรื่องที่ฮ่องเต้เคยให้พระชายาเป่ยหมิงอ๋องอยู่ในห้องทรงพระอักษรคนเดียวหลายวัน แล้วเสด็จไปเยี่ยมกลางดึก เรื่องนั้นยังไม่ได้รับการชี้แจงให้กระจ่าง เจ้ายังจะสร้างเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมาอีก จะไม่ให้คนเขาคิดมากได้อย่างไร?” “นั่นมันพวกเขาคิดมากไปเองทั้งนั้น เป็นการคาดเดาแบบไม่มีมูล” ฉีฮองเฮากล่าวด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ ฉีฮูหยินใหญ่เห็นสีหน้าที่ไม่ทุกข์ร้อนของนางก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความผิดหวัง “อย่าว่าแต่เรื่องร้อยเรียงที่ผู้คนเขาคาดเดากันเลย แค่ฮ่องเต้ขมวดคิ้วหรือพูดอะไรออกมา ขุนนางก็ยังตีความกันไปต่างๆ นานา เจ้าจะพูดว่าไม่เกี่ยว แต่แม้แต่ในวังหลัง ฮ่องเต้ทำสีหน้ากับเจ้า เจ้าจะไม่

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status