Share

บทที่ 656

Author: ปาเย่วเซิ่งเซี่ย
ซ่งซีซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย "อาจารย์หยูมีสายลับที่ซ่อนอยู่ในจวนแม่ทัพด้วยหรือ?"

"ใช่ จวนต่างๆ ส่วนใหญ่ในเมืองหลวงก็มี แต่บางคนซ่อนตัวไว้ไม่ลึกเท่าไร"

"แล้วทำไมเจ้าไม่รีบบอกเขาล่ะ บอกข้าทำไม"

กุ้นเอ๋อร์กล่าวว่า "หลังจากศิษย์พี่เสิ่นมาเขาก็เอาแต่อยู่ในห้องหนังสือ ข้าว่าเขาทำตามคำสั่งจากท่านอ๋อง เจ้ากลับไปบอกท่านอ๋องก็ได้แล้วมิใช่หรือ"

ซ่งซีซีประหลาดใจมาก "แต่ทำไมสายลับถึงให้เจ้าไปติดต่อล่ะ? เจ้ารับผิดชอบส่วนนี้ด้วยหรือ อาจารย์หยูให้ความสำคัญกับเจ้ามากขนาดนี้หรือ"

กุ้นเอ๋อร์พูดอย่างภาคภูมิใจ "แน่นอนสิ เจ้าคิดว่าข้าเป็นเพียงหัวหน้าสอนงานจริงๆ หรือ อาจารย์หยูบอกว่าข้าดูไม่ระมัดระวัง แต่ทำงานอย่างพิถีพิถันมาก เขาก็เลยฝากเรื่องสายลับไว้ให้ข้า"

หลังจากที่เขาพูดจบ ก็พลิกตัวอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็กระโดดออกไปทันที

ซ่งซีซีตกตะลึง นางคิดเสมอว่ากุ้นเอ๋อร์ยังคงเป็นเหมือนลิงป่า เขาสามารถเป็นผู้ฝึกสอนและนำกองกำลังได้ แต่อาจารย์หยูกลับทิ้งเรื่องละเอียดอ่อนและต้องคอยระมัดระวังเช่นเรื่องติดต่อกับสายลับไว้ให้กับเขาเช่นกันหรือ หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาล่ะก็ ทุกอย่างก็จะสูญเปล่าไป

นางกลับห้องเพื่อต
Continue to read this book for free
Scan code to download App
Locked Chapter

Related chapters

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 657

    วันรุ่งขึ้น เซี่ยหลูโม่กลับหอต้าหลี่ และซ่งซีซีก็ไปห้องหนังสือ และพบว่าศิษย์พี่เสิ่นกับอาจารย์หยูยังไม่ออกมา นางจึงจัดคนนำอาหารเข้าไป และไม่เข้าไปรบกวนพวกเขาเสิ่นว่านจือเข้ามาพูดคุยกับนางสองสามคำ ซ่งซีซีพยักหน้า "ไป แวะไปส่งรุ่ยเอ๋อร์ไปที่สถาบันกันเถอะ"ตอนนี้เฉินเสี่ยวเหนียนและรุ่ยเอ๋อร์กลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดแล้ว แม้ว่าเฉินเสี่ยวเหนียนจะมีคุณสมบัติไม่พอที่จะเข้าเรียนได้ แต่เขาได้เรียนรู้มากมายจากนายน้อยระหว่างทาง ข้างในรถม้าพวกเขาพูดคุยอย่างครึกครื้น ซ่งซีซีแค่ฟังดูด้วยรอยยิ้ม และพูดคุยไปบ้าง หลังจากส่งไปยังสถาบันการศึกษา รถม้าก็กลับระและหยุดที่ร้านน้ำชาชื่อดังแห่งเมืองหลวงหลังจากที่ทั้งสองเข้าไปกลับไม่ได้หาที่ให้นั่งลง แล้วเดินออกจากประตูด้านข้างแล้วเดินถนนสองสามสายไปยังตรอกชิงหัวเสิ่นว่านจือหยุดอยู่หน้าบ้านพักหลังหนึ่งและเคาะประตู หลังจากนั้นไม่นาน ประตูก็เปิดออก และนั่นคือกู้ชิงหลาน นางกระซิบ "พระชายา คุณหนูเสิ่น ท่านพ่อของข้ากำลังรออยู่ข้างในเจ้าค่ะ"ซ่งซีซีถามว่า "เจ้าออกมาได้ยังไง? ไม่ได้อยู่ในตระกูลหลินตลอดเหรอ? เซียงกุ้ยไม่ได้ติดตามเจ้าเอาไว้หรือ?"กู้ชิงหลานกล่า

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 658

    กู้ชิงหลานตาเปียกชื้น "ท่านพ่อ ขอแค่ช่วยท่านแม่ออกมาและทำลายนังชั่วคนนั้นได้ ลูกยอมตายด้วย"ฝู้หม่ากู้ยื่นมือออกไปเพื่อเรียกนาง แล้วพูดด้วยความเอ็นดูว่า "เด็กโง่เอ๊ย ที่พ่อทำเช่นนี้เพราะหวังว่าครอบครัวของเราจะมีชีวิตอยู่อย่างดีและไม่ต้องการให้ใครตายทั้งนั้น""ท่านพ่อ!" กู้ชิงหลานคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมพิงหัวกับหัวเข่าเขา ดวงตาของนางแดงสด "ลูกตั้งตารอวันนั้นมานานแล้ว หวังว่าท่านกับท่านแม่จะปลอดภัยดี และหวังว่าลูกกับพี่วาวต่างก็อยู่ข้างกายพวกท่านได้"ดวงตาฝู้หม่ากู้ก็แดงเล็กน้อยด้วย เขาลูบผมนาง "ลุกขึ้นเถอะ อย่าให้พระชายาต้องมาเห็นภาพเช่นนี้ โตมาขนาดนี้แล้วยังทำตัวเหมือนเด็กอยู่"กู้ชิงหลานเอื้อมมือไปปาดน้ำตาก่อนลุกขึ้นยืน "พระชายาให้อภัยด้วยนะ"ซ่งซีซีทำหน้านิ่งแค่พูดเรียบๆ ว่า "ก่อนที่ข้าจะพูดถึงแผนการของข้า งั้นฝู้หม่าช่วยบอกข้าว่าช่วงนี้องค์หญิงกำลังทำอะไรอยู่บ้าง""เรื่องอื่นข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่านางกำลังวางแผนให้สตรีนางหนึ่งแต่งงานกับเจ้าสิบเอ็ดฝาง สตรีคนนี้มาจากกลุ่มกายกรรมอำเภอหยง เก่งทักษะการต่อสู้ ต่อมากลุ่มกายกรรมก็ยุบเพราะหาเงินไม่ได้ สตรีนางนี้หาเลี้ยงชีพตามลำพัง มีอยู่คร

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 659

    ออกจากตรอกชิงหัว เสิ่นว่านจือรีบพูดขึ้นว่า "เจ้าพูดถูก ฝู้หม่ากู้คนนี้ไว้ใจไม่ได้ นอกจากการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับนางเจินแล้ว แม้แต่อ๋องฮวยก็ไม่ยอมเอ่ยให้รู้ นอกจากนี้ เขายังเรียกตนเองว่าฝู้หม่า พูดตรงๆ เขาไม่ละอายใจกับสถานะของเขาในฐานะฝู้หม่า แต่สิ่งที่แปลกใจคือทำไมเขาถึงเปิดเผยเรื่องของนางเจินให้เรารู็ล่ะ? ""เขาอยากให้เรายุติการแต่งงานครั้งนี้ เพราะแม่ของเขาคือแม่สื่อ เขาไม่ต้องการให้ฮูหยินท่านโหวกู้เข้ามาเกี่ยวด้วย และไม่อยากให้ฮูหยินท่านโหวกู้ตัดความสัมพันธ์กับท่านแม่ของเจ้าสิบเอ็ดฝาง ใจของเขาอยู่ในจวนโหว สำหรับว่าเขาจริงใจกับหลินเฟิ้งเอ๋อมากเพียงใด และรักลูกสาวของเขาหรือไม่ มีเพียงเขาเองเท่านั้นที่จะรู้""อะไรวะเนี่ย!" เสิ่นว่านจือสาปแช่ง แล้วพูดด้วยความสับสน "แต่เจ้าบอกแผนของเราให้เขาฟัง เขาจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้องค์หญิงใหญ่อย่างแน่นอนเมื่อเขากลับไป"ดวงตาของซ่งซีซีเป็นประกายด้วยแสงที่คมชัด "เพราะเราจะไม่ลงมือในเทศกาลเซี่ยหยวนในวันที่สิบห้า ตุลาคม แต่เป็นเทศกาลหันอี้ในวันแรกของเดือนตุลาคม ในวันถัดไป องค์หญิงใหญ่จะขอเชิญพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงมาช่วยทำบุญให้วิญญาณผู้ตายในใต้หล้าน

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 660

    พวกนางกลับไปที่โรงน้ำชา รับประทานอาหารในโรงน้ำชา หลังจากจ่ายเงินเสร็จแล้วก็เดินออกจากทางเข้าหลักก่อนกลับไปที่รถม้าระหว่างทาง เสิ่นว่านจือพบมุมหนึ่งแล้วกระโดดลงไป ซ่อนตัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินอยู่บนถนนและหายตัวท่ามกลางฝูงชนไปอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่เข้าๆ ออกๆ นี้ นางแต่งตัวเรียบง่ายมาก และเครื่องประดับเดียวที่นางสวมก็คือปิ่นปักผมที่ติดอยู่บนมวยของนางแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนธรรมดาจะลอบติดตามนาง แต่ยังไงก็ต้องระวังด้วยนางเป็นนักสู้ เดินทางไปตระกูลฝางก็ไม่รู้สึกเหนื่อยอะไร อีกอย่างก็อยู่ไม่ไกลนักเมื่อมาถึงหน้าประตูตระกูลฝาง ก็พบมีรถม้าจอดอยู่ทางด้านขวาของประตู และเจ้าสิบเอ็ดฝางกำลังช่วยพยุงนางลู่ออกมา ข้างหลังมีฝางฮูหยินและคนใช้คนหนึ่งติดตามไว้เสิ่นว่านจือยิ้มและพูดว่า "โอ้ย ข้ามาไม่ถูกเวลาเลย พวกท่านจะออกไปข้านอกหรือ?"ฝางฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม "น้องเสิ่นมาแล้วหรือ ไม่ได้เจอนานเลยนะ"เสิ่นว่านจือยิ้ม "ช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง พอวันนี้มีเวาลาว่างก็เลยมาเยี่ยมแม่บุญธรรมและท่านพี่สักหน่อย แต่พวกท่านกลับต้องออกไปข้างนอก"นางลู่ดึงนางไปข้างกาย คว้าแขนของนางด้วยรอยยิ้มว่า "เจ้าม

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 661

    จวนโหวกู้ถือว่าเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ในแคว้นซาง แต่ยิ่งมีฐานะมั่นคงมากเท่าไรก็ยิ่งเผชิญกับสถานการณ์ที่น่าอับอายมากขึ้นเท่านั้นนั่นคือครอบครัวขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีที่ดินและทรัพย์สินเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนมีชีวิตที่หรูหรา เพื่อไปรักษาความเจริญรุ่งเรืองและความมั่งคั่งของจวนโหวท่านโหวปัจจุบันคือท่านพ่อของฝู้หม่ากู้ ภายใต้การดูแลของเขา ทางจวนโหวกู้ยิ่งตกอับไป เพราะได้ร่ำรวยมาหลายชั่วชีวิตคน กฎเกณฑ์ของครอบครัวที่แต่เดิมเข้มงวดนั้นก็ค่อยๆ คลายลง ทำให้ลูกหลานไม่ยอมที่จะอดทนกับความยากลำบากในการเรียนหนังสือหรือฝึกฝนทักษะการต่อสู้ อย่างไรสถานะตระกูลยังอยู่ พวกเขาจะมีชีวิตที่มั่งคั่งแน่นอนถ้าฝู้หม่ากู้ไม่ได้แต่งงานกับองค์หญิงใหญ่ เกรงว่าจวนโหวคงจะพังสลายไปนานแล้วท่านโหวกู้ไม่ได้รับราชการในราชสำนัก และลูกหลานในตระกูลที่ดำรงตำแหน่งงานเป็นขุนนางระดับชั้นห้าขึ้นไปมีไม่กี่คนเองเมื่อเสิ่นว่านจือก้าวเข้าไปในจวนโหว ก็เห็นตราสัญลักษณ์ของครอบครัวที่แกะสลักไว้หลายแห่ง นี่เป็นหลักฐานพิสูจน์ว่าครั้งหนึ่งทางจวนโหวเคยเจริญมา ำวหเขากลัวว่าโดนคนนอกลืมไป ในห้องโถงหลักก็ได้แกะสลักตราสัญลักษณ์สองแ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 662

    นางเจินระงับสายตาที่ซับซ้อนในดวงตาของนางแล้วพูดว่า "ไปกันเถอะ"ตอนนี้แค่หวังว่าทางตระกูลฝางจะไม่ถูกใจนาง ด้วยสถานะปัจจุบันของเจ้าสิบเอ็ดฝาง เขาอยากแต่งงานกับผู้หญิงแบบไหนก็ได้นี่ ตัวตนของนางเป็นของปลอมด้วยซ้ำเมื่อมถึงห้องโถงหลัก นางเอาพัดมาคลุมหน้า แค่ท่าเดินนางก็ฝึกมานานสองนานแล้วฮูหยินโหวกู้กล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มเปี่ยม "หลีเอ๋อร์ รีบทักทายฮูหยินผู้เฒ่ารองและฝางฮูหยินด้วย"นางเจินคารวะนางลู่และฝางฮูหยิน "ข้าขอคารวะฮูหยินผู้เฒ่ารอง คารวะฝางฮูหยินด้วยเจ้าค่ะ""แล้วก็ คนนี้แม่ทัพฝาง คนนี้คือคุณหนูเสิ่น บุตรีบุญธรรมของฮูหยินผู้เฒ่ารอง" ตอนที่เสิ่นว่านจือเข้ามา นางลู่ก็แนะนำตัวตนของเสิ่นว่านจือให้แล้วพัดถืออยู่ในมือ เผยให้เห็นใบหน้า นางไม่สามารถทำท่าเขินอายได้ ได้แต่ทักทายตามปกติ "คารวะแม่ทัพฝาง คารวะคุณหนูเสิ่นเจ้าค่ะ"เสิ่นว่านจือมองดูนาง แล้วไหว้กลับ "คารวะคุณหนูเซี่ย"เจ้าสิบเอ็ดฝางก็ยกมือไหว้ด้วย "คุณหนูเสิ่นยินดีที่ได้รู้จัก"เสิ่นว่านจือเห็นว่านางมีใบหน้าที่สง่างาม ตาโต ริมฝีปากที่ไม่หนาหรือบางเกินไป และโค้งก็สวยงาม มีไฝสีแดงเล็กๆ ที่ริมฝีปากบน ทำให้หน้าตาของนางดูน่ารัก หน

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 663

    นางลู่กำลังจะบอกว่าถูกใจมาก แต่ฝางฮูหยินกลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า "คุณหนูดีมาก แน่นอนว่าเราจะชอบ แต่เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญจะตัดสินใจแบบมั่วๆ ไม่ได้ ไม่งั้นเอางี้ เราต่างก็กลับไปถามก่อน เมื่อกี้คุณหนูก็ไม่ได้บอกว่านางชอบเจ้าสิบเอ็ดของเราหรือไม่ วันนี้แค่เจอหน้าครั้งแรก เพราะงั้นต้องถามความคิดของนางก่อน"ฮูหยินโหวกู้กล่าวว่า "เรื่องนี้ไม่เห็นจะยากเลย ข้าจะส่งคนไปถามเดี๋ยวนี้เลย"ฝางฮูหยินยังคงยิ้ม "จะรีบร้อนแบบนี้ก็ไม่ได้นะ ส่งคนเข้าไปถามนางในขณะที่เรารออยู่ข้างนอกแบบนี้ หากนางบอกว่าไม่ชอบก็กลัวจะทำให้พวกเราไม่พอใจ ถ้าบอกว่าชอบ ยังไงก็เป็นสตรีจะต้องเขินอายแน่ๆ เดี๋ยวจะทำให้นางจะเสียหน้าดูเหมือนนางจะรีบร้อนมาก ถึงยังไงเราสองครอบครัวได้เห็นหน้ากันแล้ว หากได้เจอหน้าอีกครั้งก็ดี และพ่อแม่ของนางก็ไม่อยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นความคิดของนางจึงสำคัญที่สุด ฮูหยินโหวกู้คิดว่าอย่างไรบ้างล่ะ"ฮูหยินโหวกู้ไม่สามารถโต้แย้งกับคำพูดที่มีเหตุมีผลของฝางฮูหยิน ถึงยังไงทั้งสองตระกูลจะเกี่ยวดองกันก็ไม่ควรด่วนสรุปเกินไป เพราะก็เป็นถึงตระกูลขุนนางอย่างไรก็ตาม มันก็ต้องรีบร้อนสิแม้ว่านางลู่จะไม่เข้าใจว่าท

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 664

    หลังจากที่พวกนางออกไปแล้ว เสิ่นว่านจือได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับแม่นางคนนั้นให้คร่าวๆ รวมถึงแผนการบางส่วนของอ๋องเยี่ยน อ๋องฮวยและองค์หญิงใหญ่ด้วยเสิ่นว่านจือไม่ได้พูดทั้งหมด แผนการของนางกับซีซีในเทศกาลหันอี้ก็ไม่ได้บอก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เจ้าสิบเอ็ดฝางฟังเสร็จรวมกับการสืบสวนของเขาเอง ก็พอจะรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว และรู้ด้วยว่าพวกนางจะเริ่มลงมือกับองค์หญิงใหญ่ก่อนอย่างแน่นอน กำลังของอ๋องเยี่ยนอยู่ที่เยี่ยนโจว และต้องพึ่งพาองค์หญิงใหญ่และอ๋องฮวยเมื่ออยู่ในเมืองหลวงตัวตนขององค์หญิงใหญ่สามารถทำเรื่องมากมายได้ และจริงๆ แล้วองค์หญิงใหญ่ก็ทำงานช่วยเขาในเมืองหลวงมาโดยตลอด หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากองค์หญิงใหญ่ อย่างน้อยอ๋องเยี่ยนก็หมดมือข้างหนึ่งไปอ๋องฮวยซ่อนตัวลึกมาก และเป็นเรื่องยากมากที่จะสืบว่าเขาได้สุงสิงกับใครบ้างในตอนนี้จากนั้นเจ้าสิบเอ็ดฝางก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าท่านอ๋องให้กลุ่มชีซื่อของเขาอย่าไปมาหาสู่กันกับจวนเป่ยหมิงอ๋องบ่อยเกินไป ในตอนแรก เขาคิดว่าเป็นเพียงเพราะกลัวฮ่องเต้จะคิดมากไป บัดนี้คิดดูแล้ว ไม่ไปมาหาสู่กัน ก็เพราะมีเรื่องมากมายให้พวกเขาไปทำจะต้องเป็นเช่นนั้น แม้ว

Latest chapter

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1516

    เมื่อได้พักฟื้นอยู่ห้าวันที่ด่านเฉิงหลิง ฉินอ๋องก็ฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อฉินอ๋องหายดี ก็ถึงเวลาต้องออกเดินทางกลับเมืองหลวงแม้จะอาลัยเพียงใด ซ่งซีซีก็ทำได้เพียงกลั้นน้ำตากล่าวคำอำลา นางคุกเข่าคารวะต่อหน้าแม่ทัพใหญ่เซียวอยู่หลายครั้ง จนแทบจะทำให้ท่านน้ำตาคลอหลี่เต๋อฮวยเป็นผู้ที่เคารพนับถือแม่ทัพใหญ่เซียวที่สุด เมื่อซ่งซีซีเพียงแค่น้ำตาคลอ แต่เขากลับปิดหน้าและร้องไห้ออกมาเต็มที่ เพราะเขารู้ว่า บางทีตลอดชีวิตนี้ อาจไม่มีโอกาสได้พบกับท่านแม่ทัพผู้เฝ้ารักษาด่านเฉิงหลิงมาเป็นสิบๆ ปีอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวเข้าสู่วัยชราโดยสมบูรณ์ เมื่อมองดูอีกครั้งก็ดูแก่ชรากว่าครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าฮ่องเต้จะพระราชทานอนุญาตให้ท่านกลับเมืองหลวงได้ แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยากลำบาก ทายาทตระกูลเซียวก็คงไม่ยอมให้ท่านเดินทางกลับอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวสนทนากับหลี่เต๋อฮวยอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าแทนที่จะบรรเทาความรู้สึกของเขา กลับทำให้เขาร้องไห้หนักกว่าเดิมเสียอีกด้านนางหนานผู้เป็นป้าใหญ่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยถามถึงเรื่องของ พระชายาอ๋องฮวยเลย จนกระทั่งถึงเวลาต้องอำลากัน นางจึงดึงซ่งซีซีไปค

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1515

    การเดินทางกลับเริ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนเก้าอากาศไม่ร้อนจัดอีกต่อไป เริ่มมีความเย็นสบายแผ่วเบาซูลันจีนำทัพออกมาส่งด้วยตัวเอง พาพวกเขาไปจนถึงเมืองลู่เปินเอ่อร์ตลอดเส้นทางขากลับ ไม่มีการลอบสังหารเกิดขึ้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อข้ามภูเขาสลับซับซ้อนมาได้ ก็เข้าสู่เขตแดนของแคว้นซางเดิมทีพวกเขาไม่ได้แจ้งแม่ทัพใหญ่เซียวล่วงหน้า คิดว่าคงไม่มีใครมารับ แต่ทันทีที่เข้าสู่ชายแดนแคว้นซาง ก็พบว่าจ้านเป่ยว่างนำทัพเซียวเจียจวินรออยู่ที่นั่นเมื่อเห็นว่าพวกเขากลับมาโดยปลอดภัย จ้านเป่ยว่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด เขากระตุ้นม้าเข้ามาใกล้ ก่อนลงจากหลังม้าแล้วทำความเคารพฉินอ๋อง หลี่เต๋อฮวยและขุนนางท่านอื่นๆ “ท่านอ๋อง เสนาบดีหลี่ ท่านขุนนางทั้งหลาย แม่ทัพใหญ่เซียวสั่งให้ข้านำทัพมาคอยเฝ้ารอที่นี่ทุกวัน เพื่อคุ้มกันพวกท่านกลับไปยังเฉิงหลิงกวน”หลี่เต๋อฮวยเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แม่ทัพใหญ่รู้ได้อย่างไรว่าพวกเราจะกลับมาวันนี้?”จ้านเป่ยว่างตอบว่า “แม่ทัพใหญ่ไม่ทราบ เพียงแต่สั่งให้ข้าและกองทัพมาเฝ้าอยู่ที่นี่ทุกวัน”“ที่แท้เป็นเช่นนี้” หลี่เต๋อฮวยรู้สึกว่าแม่ทัพใหญ่เซียวเป็นคนรอบคอบย

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1514

    อันเฟิงชินอ๋องกล่าวว่า “การเดินทางครั้งนี้ มิใช่เพียงเพื่อซีจิงและแคว้นซาง แต่ก็เพื่อเป่ยถังของเราด้วย มิจำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ ระหว่างแคว้นต่อแคว้น สิ่งที่มาก่อนคือผลประโยชน์ มีเพียงความสัมพันธ์ส่วนตัวเท่านั้น ที่จะสามารถปฏิบัติต่อกันด้วยใจจริง”ซ่งซีซีรับคำสอน แต่ก็นึกสงสัย จึงเอ่ยถามว่า “ท่านเคยรู้จักอาจารย์เหรินหยางอวิ๋นของข้าหรือไม่?”อันเฟิงชินอ๋องหัวเราะเบาๆ “รู้จัก เขาเคยมาเยือนเป่ยถัง และเคยพำนักอยู่ที่ไจ้ซิงโหลวอยู่ช่วงหนึ่ง แม่ทัพองครักษ์เงาของข้า ‘เฮยอิ่ง’ สนิทสนมกับอาจารย์ของเจ้ามาก พวกเขามักดื่มสุราด้วยกันเป็นประจำ”“เช่นนี้เองหรือ” ซ่งซีซีนึกถึงบรรดาผู้สวมชุดดำพวกนั้น ไม่รู้ว่าคนไหนคือเฮยอิ่ง หากไม่ได้พบหน้าสักครั้ง คงเป็นเรื่องน่าเสียดายอันเฟิงชินอ๋องคล้ายจะมองออกถึงความคิดของนาง ยิ้มพลางกล่าวว่า “อีกสามปี หรืออาจห้าปี พวกเราจะไปเยือนแคว้นซาง ถึงตอนนั้น ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับเฮยอิ่ง”ซ่งซีซีกำลังจะกล่าวขอบคุณ ทว่าเสิ่นว่านจือก็ถามขึ้นก่อน “เหตุใดต้องเป็นสามปีหรือห้าปี? ไปเร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ? พวกเราตั้งตารอให้ท่านกับพระชายามาเยือน”อันเฟิงชินอ๋องเพียงยิ้ม แต่

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1513

    หลังจากเดินสำรวจอยู่สองวัน ซูลันจีก็กล่าวกับซ่งซีซีว่า “แคว้นของท่านมีหมอเทวดาผู้หนึ่ง นามว่าหมอมหัศจรรย์ดัน เขาได้คิดค้นยาชนิดหนึ่งชื่อว่ายาดันเสวี่ย ซึ่งมีสมุนไพรสำคัญชนิดหนึ่งเป็นส่วนประกอบ นั่นคือเสวี่ยเหอฮวา ทว่าแคว้นของท่านผลิตได้น้อยมาก หนานเจียงเองก็มี แต่เติบโตอยู่บนยอดเขาหิมะ เก็บเกี่ยวได้ยากยิ่ง และมีปริมาณน้อย แต่ในซีจิงของเรา เสวี่ยเหอฮวามิใช่ของหายาก บนภูเขาสูงสามารถพบเห็นได้ทั่วไป หมอมหัศจรรย์ดันที่ใช้สมุนไพรชนิดนี้ ต้องลักลอบซื้อจากพ่อค้ายาในซีจิง ราคาจึงแพงมาก ด้วยต้นทุนขนาดนี้ ขายยาดันเสวี่ยไปหนึ่งเม็ด เขาก็ขาดทุนหนึ่งเม็ด”ซ่งซีซีทราบดีว่ายาดันเสวี่ยเป็นยาที่หายาก เนื่องจากมีสมุนไพรบางชนิดที่หาไม่ครบ แต่ท่านลุงดันก็ไม่เคยบอกอย่างชัดเจนว่าสมุนไพรตัวใดที่ขาดอย่างไรก็ตาม หากเขาต้องซื้อยาจากพ่อค้าชาวซีจิง ก็สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงต้องปิดเป็นความลับ เพราะก่อนหน้านี้ ซีจิงและแคว้นซางมิได้มีการค้าขายกันโดยตรง โดยเฉพาะสมุนไพร ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษซูลันจีและจักรพรรดินีหยวนซินต่างคิดไปในทิศทางเดียวกัน พวกเขาสืบเรื่องนี้อย่างละเอียดขนาดนี้ นั่นหมายความว่าพวกเขาต

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1512

    ตำแหน่งที่เขานั่ง แสดงถึงจุดยืนของเป่ยถังในการเจรจาครั้งนี้!เป็นกลาง!ซ่งซีซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอีกครั้งว่า การที่แคว้นเข้มแข็งนั้นดีเพียงใดการเจรจาในช่วงแรกเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ คำพูดซ้ำไปซ้ำมา ถูกเน้นย้ำไม่รู้จบ ล่ามของทั้งสองฝ่ายทำหน้าที่แปล โดยส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงปัญหาทางประวัติศาสตร์นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเริ่มต้นด้วยการยอมถอยแต่แรก ก็จะต้องถอยไปเรื่อยๆดังนั้น การเจรจาครั้งแรกจึงไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เป็นเพียงการลองเชิงขีดจำกัดของกันและกันในวันรุ่งขึ้น การเจรจาครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น ตอนแรกก็ยังคงเน้นย้ำเรื่องเดิมสองรอบ จนกระทั่งอันเฟิงชินอ๋องเอ่ยขึ้นว่า “ถ่วงเวลาเช่นนี้ไม่มีความหมาย สองแคว้นของพวกเจ้าโต้เถียงกันเรื่องพรมแดนมาหลายสิบปีแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะสามารถแก้ไขได้ในวันเดียว เราพักเรื่องพรมแดนไว้ก่อน ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้ามีความตั้งใจจะทำสัญญาสันติระหว่างสองแคว้นหรือไม่ และจะไม่ละเมิดต่อกัน?”ทุกคนล้วนให้คำตอบที่แน่ชัด ต่างกล่าวว่าตนมาโดยมีความหวังที่ดี อยากให้สองแคว้นยุติความขัดแย้งอันเฟิงชินอ๋องหยิบแผ่นรายการออกมาแผ่นหนึ่ง บนกระดาษระบุรายการสินค้าของ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1511

    ทว่า ซ่งซีซีสังเกตเห็นว่าบรรดาญาติวงศ์ตระกูลและขุนนางของซีจิงดูเหมือนไม่รู้เรื่องที่เป่ยถังจะเข้ามาแทรกแซงการเจรจา พวกเขาล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงหลังจากตกตะลึง พวกเขากลับแสดงความยินดีและมั่นใจออกมา คิดดูแล้วพวกเขาก็คงเห็นว่าการที่เป่ยถังเข้าร่วมเป็นการช่วยหนุนหลังซีจิงเห็นเช่นนี้ซ่งซีซีกลับรู้สึกวางใจขึ้นเล็กน้อยเพราะหากเป็นเช่นนั้นจักรพรรดินีหยวนซินย่อมสามารถแจ้งพวกเขาล่วงหน้าได้ อย่างน้อยก็ควรให้ขุนนางที่ร่วมเจรจารับรู้แต่นางเหตุใดจึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้เล่าดูเหมือนว่ามีเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียว นางเองก็หวังให้ต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนปรนกัน อีกทั้งบรรดาขุนนางในราชสำนักที่สนับสนุนนางนั้นมีไม่มาก ดังนั้นนางจึงเชิญเป่ยถังอันเฟิงชินอ๋องมา เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับได้เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าคืนก่อนที่จักรพรรดินีหยวนซินเรียกนางและเสิ่นว่านจือเข้าเฝ้าในวัง เหตุใดนางจึงกล่าวถ้อยคำว่าความปรารถนามิอาจเป็นจริง การสอบเข้ารับราชการของสตรีเป็นเพียงตัวอย่างที่ยกขึ้นมา นางต้องการสื่อว่าหลายๆ นโยบายล้วนผลักดันได้ยากหลังจากวิเคราะห์เหตุการณ์โดยละเอียดซ่งซีซีพลันรู้สึกมองโลกในแง่ดีขึ้นหลังจากง

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1510

    ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1509

    งานเลี้ยงในวังในวันรุ่งขึ้นเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสามโมง โดยซูลันจีเป็นผู้มารับพวกเขาเข้าไปในวังด้วยตนเองเช่นเคยดังที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ พิธีราชาภิเษกได้จัดขึ้นไปนานแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อการเจรจาที่แนวชายแดนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัง ก็ไม่ได้พบเห็นทูตจากอาณาจักรอื่นๆภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะทูตจากแคว้นซาง แต่ท่าทีของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรนักทว่า ในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีล่ามแปลภาษา ดังนั้นการสนทนาของทุกฝ่ายจึงไม่ได้มากไปกว่าการทักทายทั่วไปพวกเขานึกว่าคงไม่มีทูตจากอาณาจักรอื่นแล้ว ทว่าในขณะเข้าที่ประทับ จักรพรรดิ์​หยวนซินก็ตรัสกับคณะทูตจากแคว้นซางว่า “วันนี้ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติจากเป่ยถัง พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว เราเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะเข้ากันได้ดี”หลี่เต๋อฮวยถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาทันที “แขกจากเป่ยถังหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด?”เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา เพราะอาวุธอย่างปืนหกตาของเหรินหยางอวิ๋น รวมถึงปืนตาหกนัดและเกวียนระเบิดล้วนเป็นอาวุธที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบของเ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1508

    จักรพรรดิ์​หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์​หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status