ดวงตาของเหลียงเส้าว่างเปล่า เขาถูกผลักไปสองก้าว และทันใดนั้นก็หันกลับมามองพ่อของเขา "ท่านพ่อ ถ้าท่านเห็นเยียนหลิว ลองถามนางว่าเคยจริงใจกับข้าบ้างไหม"เมื่อเฉิงเอินป๋อได้ยินคำพูดนี้ เขาตาพร่ามัว รู้แต่ว่ามีอะไรบางอย่างปิดในลำคอของเขา เขาเกือบจะหายใจไม่ออก เกิดมีอาการเซและล้มลงกับพื้นฮูหยินเฉิงเอินป๋อร้องไห้เสียงดัง ดึงดูดชาวบ้านมากมายล้อมรอบเข้ามาดูเดิมทีเรื่องระหว่างจวนเฉิงเอินป๋อกับจวนอ๋องฮวยได้สร้างความวุ่นวายจนทุกคนรู้หมด บัดนี้ชาวเมืองหลวงกำลังพูดถึงเรื่องนี้ ตอนนี้ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นส่วนอีกคนกำลังร้องไห้ ชาวบ้านชาวเมืองเพียงแต่ดูสนุกเฉยๆ เรื่องความสุขความทุกข์ของตระกูลชั้นสูง ชาวบ้านจะไม่เกิดความเห็นใจใดๆ แค่ให้พวกเขามีเรื่องสนุกๆ ให้นินทามากขึ้นก็เท่านั้นเมื่อสองสามีภรรยาเฉิงเอินป๋อกลับบ้าน พวกเขาได้ยินว่าคุณนายใหญ่เป็นลมและเป็นอัมพาตครึ่งซีก แม้ว่าจะรีบสั่งให้คนในจวนหุบปากและห้ามบอกคนนอกเกี่ยวกับเรื่องนี้เด็ดขาด แต่เรื่องที่คุณนายใหญ่ป่วยหนักเพราะเหลียงเส้ายังคงถูกแพร่กระจายออกไปอยู่ดี นี่จะทำให้เหลียงเส้าขึ้นชื่อเป็นคนอกตัญญูมาก แม้ว่าในอนาคตเขาจะกลับมาหลั
อ๋องฮวยลดสายตาลงและไม่แสดงทีท่าไม่พอใจใดๆ แต่มือที่เขาวางอยู่ที่จับนั้นมีเส้นเลือดในมือของเขาปูดออกมาเล็กน้อย "เสด็จพี่พูดถูก""ทางหลานเอ่อร์เจ้าก็ไม่ต้องไปสนใจอีกเลย ลูกสาวของเจ้านี่เข้าข้างคนนอก บัดนี้นางยอมอยู่กับซ่งซีซีก็ไม่คิดจะกลับจวนอ๋องของพวกเจ้า ทอดทิ้งไปก็ไม่เสียดายหรอก"อ๋องฮวยไม่พูดอะไร แต่ดวงตาของเขาค่อยๆ เต็มไปด้วยความโกรธเมื่อเห็นเช่นนี้ อ๋องเยี่ยนก็เปลี่ยนเรื่อง "เอาล่ะ เรื่องของจวนเฉิงเอินป๋อได้ผ่านไปแล้ว ทางราชสำนักจะไม่ใช้ขุนนางที่อกตัญญู พวกเขาจบเห่แล้ว ที่ข้ามาครั้งนี้เพื่อมุ่งเป้ายี่ฝาง ข้าส่งคนไปลอบสังหารนางมาก่อน แต่ได้รับการช่วยเหลือจากซ่งซีซี และทำให้ข้าสูญเสียนักรบสิ้นหวังไปหลายคน""พี่สาม บัดนี้อยากจะฆ่ายี่ฝางมิใช่เรื่องง่ายแล้ว ฮ่องเต้ส่งกองกำลังหลวงไปเฝ้าจวนแม่ทัพ แม้ว่าพวกเขาจะแต่งกายด้วยชุดลำลอง แต่ข้าได้ตรวจสอบมา พวกเขาคือกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงจริงๆ"อ๋องฮวยยังกล่าวอีกว่า "อีกอย่างยี่ฝางคนนี้มีไหวพริบมาก และไม่เคยก้าวออกจากจวนแม่ทัพเลย""หากติดสินบนคนของจวนแม่ทัพเพื่อวางยาพิษล่ะ?" อ๋องเยี่ยนถามอ๋องฮวยกล่าวว่า "ลองมาแล้ว แต่ก็ไร้
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ อ๋องเยี่ยนก็ครุ่นคิดอยู่นาน "แต่มันยังสู้ไม่ได้ให้นางตายไปเลยอยู่ดี จากนั้นความผิดจะตกอยู่ที่ตระกูลเซียวโดยตรง ยี่ฝางคนนี้กลัวตายและเป็นเจ้าแผนการด้วย บวกกับนางเป็นคนร้ายกาจมาก เกรงว่าคำพูดของนางยากที่จะทำให้คนอื่นเชื่อใจได้ อีกอย่าง ตระกูลเซียวเฝ้าอยู่ชายแดนเฉิงหลิงมานานหลายปี ไม่เคยฆ่าสามัญชนแม้แต่คนเดียวเลย หากมีคนทุ่มเทความพยายามพูดเข้าข้างเขา งั้นเขาก็จะพ้นจากเรื่องนี้ไปได้"อ๋องฮวยกล่าวว่า "แต่จุดประสงค์ของเราไม่ใช่ทำลายตระกูลเซียว เราเพียงแต่ต้องให้ชายแดนเฉิงหลิงเปลี่ยนหัวหน้าเท่านั้น ตระกูลเซียวถอนตัวออกไปและจัดคนของเราให้ไปเฝ้าดูแลชายแดนเฉิงหลิง ตอนนี้หวังเบียวยังไม่ได้มาเป็นพวกกับเรา ดังนั้นชายแดนเฉิงหลิงเราต้องเอาชนะให้ได้ ตราบใดที่เราควบคุมกองทหารสำคัญในทั้งสองแห่ง หรือถ่วงเวลาจากสงคราม เราทำตามแผนการเดิมให้ชาวบ้านทุกที่ประท้วง เพื่อสร้างบรรยากาศที่ฮ่องเต้ทำให้ประชาชนไม่พอใจ งั้นนั่นก็จะเป็นเวลาที่ดีที่เราจะกบฏ"หลังจากที่เขาพูดจบ ก็แอบมองไปที่ใบหน้าขององค์หญิงใหญ่ขณะยกภ้วยชาขึ้นมา และได้เห็นร่องรอยของความบูดบึ้งบนใบหน้าของนางอย่างที่คาดไว้เสียงของอ
ในสถาบันว่านซงเหมิน เสิ่นชิงเหอนำจดหมายไปหาศิษย์อา "ศิษย์อา จดหมายจากศิษย์น้องเซี่ย ขอให้ข้าไปเมืองหลวงสักหน่อย มีเรื่องต้องขอความช่วยเหลือหากจากข้า"ศิษย์อานั่งสมาธิหลับตาไม่ตอบเขาโกรธมานานแล้วและตอนนี้ยังโกรธอยู่ เขาไม่อยากคุยกับใคร และไม่ยอมปล่อยให้ใครลงจากภูเขาด้วยดังนั้น คนที่มักจะออกจากเขาพวกนั้นตอนนี้จึงติดอยู่ในนั้นทั้งหมด ส่วนคนที่ออกไปแล้วยังไม่ได้กลับมานั้นก็ไม่กล้ากลับมาอีก อย่างเช่นผิงหวูจูงก่อนที่เขาจะไปเขตหนานเจียง เขาได้ออกคำสั่งซ้ำแล้วซ้ำว่าห้ามสร้างบ้านพักในเป่ยซาน เพราะเขามีแผนสำหรับที่ดินนั้น เขาต้องการสร้างตึกดวงดาว ซึ่งเป็นอาคารห้าชั้น มันสามารถขึ้นไปที่สูงเพื่อรับชมดาวจันทร์ หรือไปฝึกทักษะการต่อสู้ที่นั่น มันดีต่อการฝึกวิชาตัวเบา และที่สำคัญกว่านั้น เขามีเหตุผลอื่นเดิมทีเขาวางแผนที่จะเริ่มก่อสร้างในฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า แต่เมื่อเขากลับมา ก็เห็นว่าพวกเขาได้สร้างบ้านพักในภูเขาเป่ยซานแล้วภูมิภาคของภูเขาเป่ยซานนั้นสูงและมีน้ำตกอยู่ตรงข้ามกัน สร้างบ้านพักที่นั่น พูดตรงๆ ก็คือพวกเขาทุกคนอยากไปพักอยู่ที่นั่นและเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่สวยงามได้เปล่าๆความสามาร
อาจารย์หยูรู้ดีว่ามันยากด้วย เขาคิดอยู่พักหนึ่ง "ไม่งั้นเอางี้ไหม ข้าวาดโครงร่างคร่าวๆ แล้วละเอียดข้าค่อยบรรยายด้วยวาจา"เสิ่นชิงเหอมองไปที่เขาแล้วถามว่า "เจ้าจำหน้าตาของนางไม่ได้แล้ว ใช่ไหม"สีหน้าของอาจารย์หยูดูเจ็บปวดใจเล็กน้อย "ข้าคิดมาตลอดว่าตนเองจะไม่มีวันลืม แต่บัดนี้พอให้ข้าหวนนึกถึงหน้าตาของนางอย่างจริงจัง กลับมีแต่รอยยิ้ม และภาพที่นางเรียกข้าว่าท่านพี่ทุกครั้ง แต่หน้าตาของนาง จะคิดยังไงก็คิดภาพไม่ชัดเจนเลย""งั้นเจ้าก็วาดเองไม่ได้ด้วย" เสิ่นชิงเหอกล่าวว่า "อย่าโทษตัวเอง ผ่านไปตั้งสิบกว่าปีแล้วลืมมันไปก็เป็นเรื่องปกติ บวกกับเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดใจ สมองของเรามักจะแสวงหาผลดีและหลีกเลี่ยงผลเสีย จดจำนางจะทำให้เจ้ารู้สึกเจ็บปวดใจ ก็จะค่อยๆ ลืมมันไป"เขาตบไหล่ของอาจารย์หยู "แต่ถ้านางในสมัยเด็กยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้าจะจำนางออกได้ทันที แต่คนเราจะโตขึ้น โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงเมื่อครบอายุสิบแปดปีก็จะเปลี่ยนเยอะเลย ไม่เป็นไร เจ้าจำได้เท่าไรก็ว่าเท่านั้น โดยเฉพาะโครงหน้า จำไว้ รูปทรงสำคัญที่สุด แล้วก็ลักษณะใบหน้าของนางด้วย เช่นมีไฝ มีปานหรือไม่ คิ้วมีอะไรพิเศษไหม จะผอมหรืออ้วนก็บอกให้ด
คนที่มาเยี่ยมในวันนี้มีเยอะ หลานเอ่อร์ก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปพบพวกเขาสนมฮุ่ยไทเฟยพอเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว สีหน้าของนางยังดูดีกว่าตนเองเสียอีกหลังจากที่นางไหว้เสร็จก็กลับไปนั่งลง พอสนมฮุ่ยไทเฟยถามแล้วถึงรู้ว่าเมื่อกี้นางกำลังฝึกทักษะการต่อสู้กับศิษย์พี่ซือโซอยู่สนมฮุ่ยไทเฟยพึมพำในใจเล็กน้อย เป็นเรื่องจริงที่ว่าเข้าฝูงหงส์เป็นหงส์ เข้าฝูงกาเป็นกาเลย อยู่กับคนที่มีวรยุทธ์ แม้แต่คุณหนูผู็ดีก็เริ่มฝึกฝนทักษะการต่อสู้เลยหลานเอ่อร์ยิ้ม "เพราะวันๆ ใช้ชีวิตแบบนี้ก็น่าเบื่อ เลยฝึกฝนทักษะการต่อสู้กับศิษย์พี่ซือโซ แต่ยังไม่ได้เรื่องเลย"สนมฮุ่ยไทเฟยพูดตรงๆ ว่า "การฝึกทักษะการต่อสู้นั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่แค่เจ้านะ เจ้าไม่ต้องสน เอาที่ตนเองสบายใจเลย"แม่นมเกาไอแรงๆ น่าอึดอัดใจจริงๆ สินะ ผู้คนส่วนใหญ่ในนั้นล้วนเป็นผู้ฝึกทักษะการต่อสู้สนมฮุ่ยไทเฟยจ้องมองนาง "ไม่จำเป็นต้องไอหรอก ข้าก็ไม่ได้พูดผิด ไม่ได้เรื่องก็คือไม่ได้เรื่อง มิใช่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นเรื่องเป็นราวได้ การฝึกทักษะการต่อสู้ได้ใช้งานกับตนเองได้ก็พอ สามารถเสริ
ใช้เวลาอยู่กับหลานเอ่อร์เป็นเวลาครึ่งวัน ศิษย์พี่ซือโซก็เริ่มขับไล่ผู้คนออกไป โดยบอกว่าท่านหญิงจำเป็นต้องพักผ่อน และฝนก็หยุดตกแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงกลับบ้านของตนเองฉีลิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่มองเห็นได้ชัดเจน จับมือของเซียนหนิงแล้วเดินอยู่ข้างหน้าอย่างร่าเริง ขณะที่เขาเดินอยู่พักหนึ่งก็ตระหนักว่าตนเองเสียมารยาทไป เลยรีบยืนนิ่งและก้าวออกไปข้างๆ รอให้ท่านแม่ยายและท่านพี่ชายไปก่อนสนมฮุ่ยไทเฟยมองดูลูกเขยคนนี้และเอาแต่ถอนหายใจ ทำไมซื่อขนาดนี้ ตอนที่แต่งงานนั้นยังขาวสะอาดอยู่เลย บัดนี้กลับดำมาก แม้แต่เซียนหนิงก็ดำด้วย คนนอกที่ไม่รู้อาจคิดว่าเซียนหนิงแต่งงานกับชาวนาคนไหนไปแล้วแต่เซียนหนิงชอบเขา ดีที่เขาเป็นลูกชายจากตระกูลฉี ซึ่งถือว่าข้อดีเดิมทีซ่งซีซีอยู่ข้างหลังพวกเขา มองดูพวกเขาเดินจับมือกันและรู้สึกว่าคู่หนุ่มสาวนี้รักใคร่กันจริงๆ ทันใดนั้นพวกเขาก็หยุดลง และเซี่ยหลูโม่กับนางก็เดินอยู่ข้างหน้า จากนั้นนางตระหนักว่านางกับเซี่ยหลูโม่ก็จับมือกันไว้เช่นกันแต่ไม่รู้ว่าทำไม มันรู้สึกแตกต่างออกไปฉีลิ่วกับเซียนหนิงเป็นธรรมชาติมาก เดินอย่างร่าเริง เขย่าตัวไปมา สนิทสนมนางกับเซี่ยหลูโม่
เสิ่นชิงเหอเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า "พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ พวกยังไม่เสร็จเร็วขนาดนี้ ยังมีอีกมากมายต้องปรับปรุงอย่างช้าๆ อาจต้องวาดภาพสักสิบหรือยี่สิบภาพก็ไม่แน่"เซี่ยหลูโม่เกิดอาการเหม่อลอยเมื่อดูภาพวาดสตรีวัยผู้ใหญ่บนเก้าอี้ เขารู้สึกว่าภาพนั้นคล้ายกับแม่ยาย ก็คือท่านแม่ของซีซีมันไม่เหมือนแม่ยายที่เขาพบก่อนเดินทางไปเขตหนานเจียง แต่ยังก่อนกว่านั้น ตอนที่เขายังเป็นชายหนุ่มๆ ที่เจอกับนางแม่ยายในขณะนั้นก็มีใบหน้าที่กลมกล่อมและมีรอยยิ้มที่อ่อนโยน"ไปกันเถอะ" ซ่งซีซีเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของเขาเซี่ยหลูโม่มองลงมาที่นาง "ซีซี เจ้าไม่คิดว่านางดูเหมือนใครคนหนึ่งเหรอ?""เหมือนใครกัน?" ซ่งซีซีถาม เมื่อนางมองดูภาพวาดนั้นอีกครั้ง ความคุ้นเคยนั้นก็หายไปแล้วเมื่อเห็นนางไม่รู้สึกอะไรเลย เซี่ยหลูโม่ก็เปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว "บางทีข้าอาจจะมองผิด ไปกันเถอะ อย่าขัดหูขัดตาพวกเขาเลย"ขณะที่เขาเดินออกไป เขาจำได้ว่าตอนที่เขายังเด็ก เขาติดตามเสด็จพี่ไปที่จวนโหวเจิ้นเป่ย ตอนนั้นฮูหยินเจิ้นเป่ยโหวยังสาวอยู่ และซีซีก็ไม่ได้ถูกส่งไปที่ภูเขาเหม่ยชาน สาวน้อยสีชมพู สวยและน่ารักมาก เพราะนางเป็นลูกสาวหลังจาก