คำว่า "การเตรียมอาหาร" ดูเหมือนมีอาหารมากมายแต่ในความเป็นจริงมีเพียงขนมบางแห้งสองชิ้นและเนื้อแห้งสองแท่ง สิ่งเหล่านี้ง่ายต่อการพกพาในสนามรบ และอาหารที่ส่งมาทางสนามรบส่วนใหญ่เป็นของประเภทนี้แน่นอนว่ายามนี้ตั้งกองทหารประจำการอยู่ที่นี่แล้วพวกเขาก็สามารถทำโจ๊กร้อนๆ กับข้าวได้ เพียงแต่ว่าเวลานี้ดึกมากแล้วและเตาในค่ายทหารก็เป็นหม้อใหญ่ด้วย ไม่มีเหตุผลที่จะต้องใช้เตาทำกับข้าวเพื่อนางคนเดียวอย่างไรก็ตาม พวกเขายังเตรียมน้ำร้อนหม้อหนึ่งให้นาง อย่างน้อยได้ดื่มน้ำอุ่นๆ เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นค่ายเล็กๆ นี้ตั้งขึ้นเป็นชั่วคราว และเครื่องนอนก็ทั้งนาทั้งหนัก และสกปรกด้วย รอยสกปรกคลุมด้วยบนหน้า เมื่อซ่งซีซีเอื้อมมือไปแตะมัน ถึงได้รับรู้ว่ามันเป็นเลือดคนที่พานางเข้ามานั้นเป็นทหารหนุ่มร่างสูง คิ้วหนา หนวดเคราเลอะเทอะ เขาเกาหัวแล้วถามว่า "กินได้ไหม ถ้ากินไม่ลง ข้าจะสั่งคนทำแกงร้อนๆ ให้เจ้าด้วย""ไม่ต้องเลย อาหารพวกนี้กินได้" ซ่งซีซีกัดขนมแล้วยิ้มอย่างซาบซึ้งใจ อากาศหนาว ขนมก็แข็ง กัดจนเจ็บฟันเลย"งั้นก็ดี ข้าชื่อจางต้าจ้วง ข้าติดตามกับท่านอ๋องตั้งแต่เด็ก หากเจ้าต้องการอะไร เรียกข้าได้เลย
เมื่อซ่งซีซีได้ยินดังนั้น นางคิดว่าน่าจะเป็นพวกสหายของนางมาแล้ว จึงรีบพูดว่า "รีบพาข้าไปดูหน่อยเร็วเข้า"จางต้าจ้วงพานางไปทางด้านหลังของกองทัพ จากระยะไกล ซ่งซีซีเห็นร่างที่คุ้นเคยสองสามคนนางถือหอกดอกท้อ ใช้วิชาตัวเบาบินออกไป และตะโกนเสียงดังว่า "กุ้นเอ๋อร์ หมั่นโถว อาเฉิน ว่านจือ"ทันทีที่ทั้งสี่คนเงยหน้าขึ้นก็เห็นใครคนหนึ่งกำลังบินอยู่ในกลางอากาศ หอกดอกท้อแกว่งไปมา ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดสีเขียวถือดาบเพื่อสกัดกั้น กระโดดขึ้น และต่อสู้ในท่ามกลางอากาศหลายท่าทักษะดาบนั้นเร็วราวกับสายฟ้า หอกดอกท้อเคลื่อนตัวไวมาก และพู่แดงนั้นดูเหมือนดอกไม้ไฟที่กระจัดกระจาย ทหารทุกคนต่างตกตะลึงไป ทักษะดาบและทักษะหอกสุดยอดจริงๆทันทีที่พวกเขายืมกัยพื้น ชายหนุ่มในชุดเขียวก็ตะคอก "ออกหอกช้าไปหน่อย""กุ้นเอ๋อร์ ทักษะดาบของเจ้าดีกว่าเมื่อก่อนแล้วนะ" ซ่งซีซีมองพิจารณาชายหนุ่มแล้วยิ้มอย่างสดใส "แล้วก็ สูงขึ้นด้วย"กุ้นเอ๋อร์เป็นศิษย์ชายคนเดียวของนิกายกู่เยว่ ชื่อเมิ่งเทียนเซิง เขามีชื่อเล่นว่ากุ้นเอ๋อร์(มีความหมายว่าไม้) เพราะตอนแรกอาจารย์ของเขาไม่อนุญาตให้เขาใช้ดาบและหอกตัวจริง และปล่อยให้เขาฝึกดาบด้วยไม้เ
หลังจากสมัครเป็นทหารแล้ว จะเริ่มฝึกฝนในวันนั้นเลยพวกเขาทั้งห้าคนและกลุ่มทหารเกณฑ์ใหม่ถูกส่งไปยังสนามฝึก การฝึกขั้นพื้นฐาน เช่น การฝึกจับมีดและการฝึกตัดเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับพวกเขาทั้งห้าคนการฝึกสิบรายการ พวกเขาใช้เวลาแค่แป๊บเดียวก็ผ่านการทดสอบแล้ว ซึ่งทำให้ผู้มาใหม่ทุกคนต้องตกตะลึงอย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาฟังทฤษฎีสนามรบ พวกเขาก็นั่งฟังอย่างเงียบๆยกเว้นซ่งซีซีที่คุ้นเคยกับการออกศึกแล้ว อีกสี่คนนั้นไม่มีความรู้เดี่ยวกับเรื่องสงครามเลยเนื่องจากซ่งซีซีมีค่ายส่วนตัว แม้ว่ามันมีขนาดเล็ก แต่ก็พอจะให้ทุกคนได้พักผ่อนด้วยกันเมื่อกลับมาที่ค่ายในตอนเย็น พวกเขาแทบรอไม่ไหวที่จะถามซ่งซีซีเกี่ยวกับการแต่งงานของนางซ่งซีซีกอดเข่าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ใช่ ข้าแต่งงานแล้ว แต่ก็หย่าโดยสันติแล้ว ยามนี้ข้าโสดอยู่""เยี่ยมมาก!" เฉินเฉินปรบมืออย่างตื่นเต้น "เมื่อศิษย์พี่หลิวรู้เรื่องการแต่งงานของเจ้าณ เขาเสียใจมานานเลย ตอนนี้เจ้าหย่าโดยสันติแล้ว เจ้าสามารถแต่งงานกับศิษย์พี่หลิวนี่น่ะ"ซ่งซีซีใช้นิ้วไปแตะที่หน้าผากของนาง "ข้าไม่เอา ศิษย์พี่หลิวดุขนาดนั้น""จะดุกว่าอาจารย์ของเจ้าได้หรือ? เมื่ออ
ใต้เท้าซุน เสนาบดีช่วยขวากล่าวว่า "ฝ่าบาท ข้าเกรงว่ามันสายเกินไปที่จะส่งกำลังเสริมในเวลานี้ ข่าวนี้สายลับของเรากลับไม่ได้สืบมาให้รู้ล่วงหน้า จะเห็นได้ว่าสายลับของเราทั้งหมดในแคว้นซาและเมืองซีจิงถูกฆ่าตายหมดแล้ว"จักรพรรดิ์ซูชิงจำได้ว่า ซ่งซีซีได้เข้าเฝ้าเพื่อรายงานเรื่องนี้เมื่อสิบวันก่อน ในเวลานั้น นางได้ทำจดหมายปลอมโดยบอกว่าเป็นข่าวที่เสิ่นชิงเหอ ศิษย์พี่ของนางสืบมาแต่ในเวลานั้น เขาคิดว่านางยังติดใจกับเรื่องความรัก ทนเห็นจ้านเป่ยว่างกับยี่ฝางแต่งงานกันไม่ได้ เขาจึงดุนางยกใหญ่ และสั่งกัหขังนางไว้ที่จวนไม่ได้คาดคิดว่าสิ่งที่นางพูดนั้นจะเป็นความจริงหากเขาเชื่อใจนางเมื่อสิบวันก่อน ส่งกำลังเสริมไปช่วยทันที และสั่งให้ผู้คนรวบรวมอาหารและหญ้าด้วย ด้วยความสามารถของเสด็จน้องในการเป็นผู้นำกองทัพ ก็หาใช่ว่าไม่สามารถสู้กับกองกำลังพันธมิตรระหว่างเมืองซีจิงกับแคว้นซาได้ยี่ฝางและจ้านเป่ยว่างมองหน้ากัน ในที่สุดโอกาสที่พวกเขารอคอยก็มาถึงแล้วชัยชนะที่ชายแดนเฉิงหลิง พวกเขาใช้ผลงานนั้นมาสู่ขอพระราชทานอภิเษกสมรส ตราบใดที่พวกเขาเอาชนะศึกที่เขตหนานเจียง งั้นพวกเขาก็จะกลายเป็นคนโปรดที่ทุกคนชื่นชมแ
หลังจากที่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางออกไป จักรพรรดิ์ซูชิงและเสนาบดีได้หารือเกี่ยวกับการคัดเลือกผู้ตรวจงาน และจำเป็นต้องร่วมรวมเสบียงอาหารเพื่อส่งไปยังสนามรบเขตหนานเจียงชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ขึ้นอยู่กับสงครามครั้งนี้แล้ว ได้ยึดเมืองมาแล้ว 23 แห่งติดต่อกัน หากพ่ายแพ้ในเวลานี้ จักรพรรดิ์ซูชิงจะไม่ยอมหลังจากที่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางออกจากวังแล้ว จ้านเป่ยว่างก็ขมวดคิ้วพูดว่า "เจ้าจะไปรับประกันได้อย่างไรว่ากองทหารของเราจะมาถึงสนามรบก่อนกองทัพเมืองซีจิงเล่า ชาวเมืองซีจิงออกเดินทางมานานกว่าสิบวันแล้ว และเราก็ยังไม่ได้ออกเดินทาง เลย แม้ว่าจะเดินทางเร่งด่วนยังไง ก็ไม่สามารถถึงก่อนชาวเมืองซีจิงอยู่ดี"ยี่ฝางมีความมั่นใจในตัว "ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอก ตราบใดที่เราทุ่มเทอย่างเต็มที่ ต้องทำได้อย่างแน่นอน"จ้านเป่ยว่างโกรธจัด "เจ้าว่าอย่างสบายมากเลย ก่อนหน้านี้ที่เรานำกองทัพหลวงไปที่ชายแดนเฉิงหลิงเพื่อสนับสนุนที่นั่น และเราใช้เวลาสองเดือนเต็มๆ กว่าจะไปถึงนั่น ยามนี้เรากำลังจะไปเขตหนานเจียง เรามีเวลาเพียงยี่สิบวันเท่านั้น เจ้าจะไปทันได้ยังไง?"ยี่ฝางพูดอย่างไม่พอใจ "มีเวลามาพูดไร้สาระ สู้กลับจวนจั
จ้านเป่ยว่างกลับไม่คิดเช่นนั้นเมื่อก่อนเขาอยากไปสนามรบเขตหนานเจียงก็จริง แต่เฉพาะตอนที่มีทหารแคว้นซาเท่านั้น บัดนี้ มีกแงทัพตั้งสามแสนนายจากเมืองซีจิงเข้าสู่เขตซีม่อนและเขตอีลี่ และแคว้นซาจะเพิ่มกองกำลังอีกหรือไม่ยังไม่ทราบด้วยซ้ำบัดนี้กองกำลังของศัตรูมีจำนวนห้าแสนนาย เขานำกองทัพหลวงรวบรวมได้ไม่ถึงหนึ่งแสนสองหมื่นนาย บวกกับกองกำลังในมือของเป่ยหมิงอ๋องที่ไม่ถึงสองแสนนาย พอรวมๆ กันแล้วก็แค่สามแสนเองยิ่งไปกว่านั้นกองทหารปัจจุบันของเป่ยหมิงอ๋องต่างก็เหนื่อยล้ามาก มีทหารบาดเจ็บมากมาย อาหารและหญ้าขาดแคลน กำลังอดกินรอเสบียงอยู่ ยามนี้พวกเขาย่อมไม่มีทางไปเอาชนะเขตอีลี่ได้ ทำได้แค่รอกองทัพเสริมมาที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้เป็นฤดูหนาว ทางเขตหนานเจียงมัน หนาวมากทีเดียว ไม่เอื้ออำนวยต่อการสู้รบ แต่ชาวแคว้นซามักจะเป็นคนหยาบคาย ขึ้นชื่อว่าทหารหมีดำ พวกเขาไม่กลัวความหนาว ในฤดูหนาวพวกเขายังสามารถเล่นเปลือยกายบนน้ำแข็งด้วยซ้ำดังนั้นความแข็งแกร่งของทั้งสองประเทศจึงแตกต่างกันมาก การรบครั้งนี้จะรับมือยากมาก โดยเฉพาะหากแคว้นซายังคงส่งทหารเพิ่มเพื่อยึดเมืองที่สูญหายไปกลับคืนมาในรวดเดียว และควบคุมเขตหน
ข่าวที่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกำลังจะออกศึกที่เขตหนานเจียง ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านทั้งตื่นเต้นและเป็นกังวลนางรู้ว่าการไปออกศึกถือเป็นพรก็เป็นหายนะด้วย หากได้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ย่อมสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่โดยธรรมชาติ หากายแพ้ งั้นต้องเสียชีวิตในสนามรบอย่างไรก็ตาม หลังจากคิดซับซ้อนมาสักพักหนึ่ง นางก็ยังเชื่อในตัวลูกชายของนางและยี่ฝางด้วย เพราะถึงยังไงในสงครามชายแดนเฉิงหลิง ยี่ฝางเป็นคนได้สร้างผลงานที่ใหญ่ที่สุดนางมีความสามารถยิ่งไปกว่านั้น ทั้งคู่ยังเป็นแม่ทัพ ดังนั้นพวกเขาจึงแค่ออกคำสั่งเท่านั้น เรื่องต่อสู้นั้นเป็นหน้าที่ของพวกทหารพอคิดถึงเช่นนี้ ความสุขก็กลบความกังวลไปแล้ว เลยสั่งคนให้ช่วยจัดเตรียมเรื่องที่พวกเขาจะออกเดินทางเพียงไม่กี่วันหลังจากที่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางนำกองกำลังออกจากเมืองหลวง ในที่สุดสายลับที่ซ่อนตัวอยู่ในแคว้นซาก็รายงานข่าวกลับไปที่ราชสำนักข่าวลับที่พวกเขารายงานนั้นเหมือนกับข่าวที่ส่งกลับมาโดยเป่ยหมิงอ๋องในเขตหนานเจียงทุกประการและเหมือนกันกับข่าวที่ซ่งซีซีรายงานตอนที่นางเข้าวังเมื่อครึ่งเดือนที่แล้วด้วยจักรพรรดิหนุ่มที่มีรูปหล่อฉีกรายงานลับด้วยความโกรธ ห่า
จักรพรรดิ์ซูชิงกล่าวว่า "นางได้ทำโทษอะไร นางไปที่เขตหนานเจียงเพื่อรายงานข่าว เสด็จน้องอาจเตรียมการล่วงหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้โจมตีโดยไม่ตั้งตัว บางครั้งข่าวกรองทางทหารจะส่งให้เร็วกว่าหนึ่งวันหรือหนึ่งชั่วยาม มันก็มีผลต่างการ นางได้สร้างผลงานไว้ เป็นข้าที่ไม่เชื่อใจนาง"จักรพรรดิ์ซูชิงกล่าวพลางหันไปด้านข้างเล็กน้อย "ข้าได้ส่งองครักษ์หลวงไปจับตาดูนางไว้ นางยังสามารถหนีออกไปได้กลางดึก ดูเหมือนว่าวิชาตัวเบาของนางได้เก่งมาก"อู๋ต้าปั้นยิ้มและกล่าวว่า "ฝ่าบาท ถึงยังไงนางได้เรียนศิลปะการต่อสู้ในสถาบันว่านซงเหมินมาเจ็ดแปดปีแล้ว สถาบันว่านซงเหมินเป็นนิกายที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นซางของเรา ได้ยินมาว่า นาง เป็นศิษย์ที่มีศักยภาพมากที่สุดของนิกายเลย""จริงเหรอ?" ความรู้ที่จักรพรรดิ์ซูชิงมีต่อสถาบันว่านซงเหมินนั้นจำกัดแค่เสิ่นชิงเหอ เขาไม่รู้ว่าซ่งซีซีทรงพลังขนาดนี้ด้วย "ข้าแปลกใจเล็กน้อย ทำไมตอนนั้นซ่งฮูหยินถึงเลือกจ้านเป่ยว่างเป็นสามีของนางเล่า ด้วยด้วยภูมิหลังของตระกูลซ่ง จะเลือกผู้ชายชนชั้นสูงแบบไหนก็ได้นี่ ทำไมถึงเลือกจวนแม่ทัพที่ตกอับไป?"อู๋ต้าปั้นลังเลอยู่นานแล้วพูดเบาๆ "ได้ยินมาว่าคนที่ไปสู่ข