Share

บทที่ 60

Author: ปาเย่วเซิ่งเซี่ย
เมื่อซ่งซีซีได้ยินดังนั้น นางคิดว่าน่าจะเป็นพวกสหายของนางมาแล้ว จึงรีบพูดว่า "รีบพาข้าไปดูหน่อยเร็วเข้า"

จางต้าจ้วงพานางไปทางด้านหลังของกองทัพ จากระยะไกล ซ่งซีซีเห็นร่างที่คุ้นเคยสองสามคน

นางถือหอกดอกท้อ ใช้วิชาตัวเบาบินออกไป และตะโกนเสียงดังว่า "กุ้นเอ๋อร์ หมั่นโถว อาเฉิน ว่านจือ"

ทันทีที่ทั้งสี่คนเงยหน้าขึ้นก็เห็นใครคนหนึ่งกำลังบินอยู่ในกลางอากาศ หอกดอกท้อแกว่งไปมา ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดสีเขียวถือดาบเพื่อสกัดกั้น กระโดดขึ้น และต่อสู้ในท่ามกลางอากาศหลายท่า

ทักษะดาบนั้นเร็วราวกับสายฟ้า หอกดอกท้อเคลื่อนตัวไวมาก และพู่แดงนั้นดูเหมือนดอกไม้ไฟที่กระจัดกระจาย ทหารทุกคนต่างตกตะลึงไป ทักษะดาบและทักษะหอกสุดยอดจริงๆ

ทันทีที่พวกเขายืมกัยพื้น ชายหนุ่มในชุดเขียวก็ตะคอก "ออกหอกช้าไปหน่อย"

"กุ้นเอ๋อร์ ทักษะดาบของเจ้าดีกว่าเมื่อก่อนแล้วนะ" ซ่งซีซีมองพิจารณาชายหนุ่มแล้วยิ้มอย่างสดใส "แล้วก็ สูงขึ้นด้วย"

กุ้นเอ๋อร์เป็นศิษย์ชายคนเดียวของนิกายกู่เยว่ ชื่อเมิ่งเทียนเซิง เขามีชื่อเล่นว่ากุ้นเอ๋อร์(มีความหมายว่าไม้) เพราะตอนแรกอาจารย์ของเขาไม่อนุญาตให้เขาใช้ดาบและหอกตัวจริง และปล่อยให้เขาฝึกดาบด้วยไม้เ
Locked Chapter
Continue Reading on GoodNovel
Scan code to download App
Comments (1)
goodnovel comment avatar
Kom Kom
ตอนมันสั้นจริง..แต่เราก็ติดซะงอมแงม555
VIEW ALL COMMENTS

Related chapters

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 61

    หลังจากสมัครเป็นทหารแล้ว จะเริ่มฝึกฝนในวันนั้นเลยพวกเขาทั้งห้าคนและกลุ่มทหารเกณฑ์ใหม่ถูกส่งไปยังสนามฝึก การฝึกขั้นพื้นฐาน เช่น การฝึกจับมีดและการฝึกตัดเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับพวกเขาทั้งห้าคนการฝึกสิบรายการ พวกเขาใช้เวลาแค่แป๊บเดียวก็ผ่านการทดสอบแล้ว ซึ่งทำให้ผู้มาใหม่ทุกคนต้องตกตะลึงอย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาฟังทฤษฎีสนามรบ พวกเขาก็นั่งฟังอย่างเงียบๆยกเว้นซ่งซีซีที่คุ้นเคยกับการออกศึกแล้ว อีกสี่คนนั้นไม่มีความรู้เดี่ยวกับเรื่องสงครามเลยเนื่องจากซ่งซีซีมีค่ายส่วนตัว แม้ว่ามันมีขนาดเล็ก แต่ก็พอจะให้ทุกคนได้พักผ่อนด้วยกันเมื่อกลับมาที่ค่ายในตอนเย็น พวกเขาแทบรอไม่ไหวที่จะถามซ่งซีซีเกี่ยวกับการแต่งงานของนางซ่งซีซีกอดเข่าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ใช่ ข้าแต่งงานแล้ว แต่ก็หย่าโดยสันติแล้ว ยามนี้ข้าโสดอยู่""เยี่ยมมาก!" เฉินเฉินปรบมืออย่างตื่นเต้น "เมื่อศิษย์พี่หลิวรู้เรื่องการแต่งงานของเจ้าณ เขาเสียใจมานานเลย ตอนนี้เจ้าหย่าโดยสันติแล้ว เจ้าสามารถแต่งงานกับศิษย์พี่หลิวนี่น่ะ"ซ่งซีซีใช้นิ้วไปแตะที่หน้าผากของนาง "ข้าไม่เอา ศิษย์พี่หลิวดุขนาดนั้น""จะดุกว่าอาจารย์ของเจ้าได้หรือ? เมื่ออ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 62

    ใต้เท้าซุน เสนาบดีช่วยขวากล่าวว่า "ฝ่าบาท ข้าเกรงว่ามันสายเกินไปที่จะส่งกำลังเสริมในเวลานี้ ข่าวนี้สายลับของเรากลับไม่ได้สืบมาให้รู้ล่วงหน้า จะเห็นได้ว่าสายลับของเราทั้งหมดในแคว้นซาและเมืองซีจิงถูกฆ่าตายหมดแล้ว"จักรพรรดิ์ซูชิงจำได้ว่า ซ่งซีซีได้เข้าเฝ้าเพื่อรายงานเรื่องนี้เมื่อสิบวันก่อน ในเวลานั้น นางได้ทำจดหมายปลอมโดยบอกว่าเป็นข่าวที่เสิ่นชิงเหอ ศิษย์พี่ของนางสืบมาแต่ในเวลานั้น เขาคิดว่านางยังติดใจกับเรื่องความรัก ทนเห็นจ้านเป่ยว่างกับยี่ฝางแต่งงานกันไม่ได้ เขาจึงดุนางยกใหญ่ และสั่งกัหขังนางไว้ที่จวนไม่ได้คาดคิดว่าสิ่งที่นางพูดนั้นจะเป็นความจริงหากเขาเชื่อใจนางเมื่อสิบวันก่อน ส่งกำลังเสริมไปช่วยทันที และสั่งให้ผู้คนรวบรวมอาหารและหญ้าด้วย ด้วยความสามารถของเสด็จน้องในการเป็นผู้นำกองทัพ ก็หาใช่ว่าไม่สามารถสู้กับกองกำลังพันธมิตรระหว่างเมืองซีจิงกับแคว้นซาได้ยี่ฝางและจ้านเป่ยว่างมองหน้ากัน ในที่สุดโอกาสที่พวกเขารอคอยก็มาถึงแล้วชัยชนะที่ชายแดนเฉิงหลิง พวกเขาใช้ผลงานนั้นมาสู่ขอพระราชทานอภิเษกสมรส ตราบใดที่พวกเขาเอาชนะศึกที่เขตหนานเจียง งั้นพวกเขาก็จะกลายเป็นคนโปรดที่ทุกคนชื่นชมแ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 63

    หลังจากที่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางออกไป จักรพรรดิ์ซูชิงและเสนาบดีได้หารือเกี่ยวกับการคัดเลือกผู้ตรวจงาน และจำเป็นต้องร่วมรวมเสบียงอาหารเพื่อส่งไปยังสนามรบเขตหนานเจียงชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ขึ้นอยู่กับสงครามครั้งนี้แล้ว ได้ยึดเมืองมาแล้ว 23 แห่งติดต่อกัน หากพ่ายแพ้ในเวลานี้ จักรพรรดิ์ซูชิงจะไม่ยอมหลังจากที่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางออกจากวังแล้ว จ้านเป่ยว่างก็ขมวดคิ้วพูดว่า "เจ้าจะไปรับประกันได้อย่างไรว่ากองทหารของเราจะมาถึงสนามรบก่อนกองทัพเมืองซีจิงเล่า ชาวเมืองซีจิงออกเดินทางมานานกว่าสิบวันแล้ว และเราก็ยังไม่ได้ออกเดินทาง เลย แม้ว่าจะเดินทางเร่งด่วนยังไง ก็ไม่สามารถถึงก่อนชาวเมืองซีจิงอยู่ดี"ยี่ฝางมีความมั่นใจในตัว "ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอก ตราบใดที่เราทุ่มเทอย่างเต็มที่ ต้องทำได้อย่างแน่นอน"จ้านเป่ยว่างโกรธจัด "เจ้าว่าอย่างสบายมากเลย ก่อนหน้านี้ที่เรานำกองทัพหลวงไปที่ชายแดนเฉิงหลิงเพื่อสนับสนุนที่นั่น และเราใช้เวลาสองเดือนเต็มๆ กว่าจะไปถึงนั่น ยามนี้เรากำลังจะไปเขตหนานเจียง เรามีเวลาเพียงยี่สิบวันเท่านั้น เจ้าจะไปทันได้ยังไง?"ยี่ฝางพูดอย่างไม่พอใจ "มีเวลามาพูดไร้สาระ สู้กลับจวนจั

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 64

    จ้านเป่ยว่างกลับไม่คิดเช่นนั้นเมื่อก่อนเขาอยากไปสนามรบเขตหนานเจียงก็จริง แต่เฉพาะตอนที่มีทหารแคว้นซาเท่านั้น บัดนี้ มีกแงทัพตั้งสามแสนนายจากเมืองซีจิงเข้าสู่เขตซีม่อนและเขตอีลี่ และแคว้นซาจะเพิ่มกองกำลังอีกหรือไม่ยังไม่ทราบด้วยซ้ำบัดนี้กองกำลังของศัตรูมีจำนวนห้าแสนนาย เขานำกองทัพหลวงรวบรวมได้ไม่ถึงหนึ่งแสนสองหมื่นนาย บวกกับกองกำลังในมือของเป่ยหมิงอ๋องที่ไม่ถึงสองแสนนาย พอรวมๆ กันแล้วก็แค่สามแสนเองยิ่งไปกว่านั้นกองทหารปัจจุบันของเป่ยหมิงอ๋องต่างก็เหนื่อยล้ามาก มีทหารบาดเจ็บมากมาย อาหารและหญ้าขาดแคลน กำลังอดกินรอเสบียงอยู่ ยามนี้พวกเขาย่อมไม่มีทางไปเอาชนะเขตอีลี่ได้ ทำได้แค่รอกองทัพเสริมมาที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้เป็นฤดูหนาว ทางเขตหนานเจียงมัน หนาวมากทีเดียว ไม่เอื้ออำนวยต่อการสู้รบ แต่ชาวแคว้นซามักจะเป็นคนหยาบคาย ขึ้นชื่อว่าทหารหมีดำ พวกเขาไม่กลัวความหนาว ในฤดูหนาวพวกเขายังสามารถเล่นเปลือยกายบนน้ำแข็งด้วยซ้ำดังนั้นความแข็งแกร่งของทั้งสองประเทศจึงแตกต่างกันมาก การรบครั้งนี้จะรับมือยากมาก โดยเฉพาะหากแคว้นซายังคงส่งทหารเพิ่มเพื่อยึดเมืองที่สูญหายไปกลับคืนมาในรวดเดียว และควบคุมเขตหน

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 65

    ข่าวที่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกำลังจะออกศึกที่เขตหนานเจียง ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านทั้งตื่นเต้นและเป็นกังวลนางรู้ว่าการไปออกศึกถือเป็นพรก็เป็นหายนะด้วย หากได้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ย่อมสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่โดยธรรมชาติ หากายแพ้ งั้นต้องเสียชีวิตในสนามรบอย่างไรก็ตาม หลังจากคิดซับซ้อนมาสักพักหนึ่ง นางก็ยังเชื่อในตัวลูกชายของนางและยี่ฝางด้วย เพราะถึงยังไงในสงครามชายแดนเฉิงหลิง ยี่ฝางเป็นคนได้สร้างผลงานที่ใหญ่ที่สุดนางมีความสามารถยิ่งไปกว่านั้น ทั้งคู่ยังเป็นแม่ทัพ ดังนั้นพวกเขาจึงแค่ออกคำสั่งเท่านั้น เรื่องต่อสู้นั้นเป็นหน้าที่ของพวกทหารพอคิดถึงเช่นนี้ ความสุขก็กลบความกังวลไปแล้ว เลยสั่งคนให้ช่วยจัดเตรียมเรื่องที่พวกเขาจะออกเดินทางเพียงไม่กี่วันหลังจากที่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางนำกองกำลังออกจากเมืองหลวง ในที่สุดสายลับที่ซ่อนตัวอยู่ในแคว้นซาก็รายงานข่าวกลับไปที่ราชสำนักข่าวลับที่พวกเขารายงานนั้นเหมือนกับข่าวที่ส่งกลับมาโดยเป่ยหมิงอ๋องในเขตหนานเจียงทุกประการและเหมือนกันกับข่าวที่ซ่งซีซีรายงานตอนที่นางเข้าวังเมื่อครึ่งเดือนที่แล้วด้วยจักรพรรดิหนุ่มที่มีรูปหล่อฉีกรายงานลับด้วยความโกรธ ห่า

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 66

    จักรพรรดิ์ซูชิงกล่าวว่า "นางได้ทำโทษอะไร นางไปที่เขตหนานเจียงเพื่อรายงานข่าว เสด็จน้องอาจเตรียมการล่วงหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้โจมตีโดยไม่ตั้งตัว บางครั้งข่าวกรองทางทหารจะส่งให้เร็วกว่าหนึ่งวันหรือหนึ่งชั่วยาม มันก็มีผลต่างการ นางได้สร้างผลงานไว้ เป็นข้าที่ไม่เชื่อใจนาง"จักรพรรดิ์ซูชิงกล่าวพลางหันไปด้านข้างเล็กน้อย "ข้าได้ส่งองครักษ์หลวงไปจับตาดูนางไว้ นางยังสามารถหนีออกไปได้กลางดึก ดูเหมือนว่าวิชาตัวเบาของนางได้เก่งมาก"อู๋ต้าปั้นยิ้มและกล่าวว่า "ฝ่าบาท ถึงยังไงนางได้เรียนศิลปะการต่อสู้ในสถาบันว่านซงเหมินมาเจ็ดแปดปีแล้ว สถาบันว่านซงเหมินเป็นนิกายที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นซางของเรา ได้ยินมาว่า นาง เป็นศิษย์ที่มีศักยภาพมากที่สุดของนิกายเลย""จริงเหรอ?" ความรู้ที่จักรพรรดิ์ซูชิงมีต่อสถาบันว่านซงเหมินนั้นจำกัดแค่เสิ่นชิงเหอ เขาไม่รู้ว่าซ่งซีซีทรงพลังขนาดนี้ด้วย "ข้าแปลกใจเล็กน้อย ทำไมตอนนั้นซ่งฮูหยินถึงเลือกจ้านเป่ยว่างเป็นสามีของนางเล่า ด้วยด้วยภูมิหลังของตระกูลซ่ง จะเลือกผู้ชายชนชั้นสูงแบบไหนก็ได้นี่ ทำไมถึงเลือกจวนแม่ทัพที่ตกอับไป?"อู๋ต้าปั้นลังเลอยู่นานแล้วพูดเบาๆ "ได้ยินมาว่าคนที่ไปสู่ข

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 67

    การไม่รู้อะไรเลยคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอู๋ต้าปั้นสะบัดแขนเสื้อ ส่ายหัวแล้วพูดว่า "ข้าน้อยไม่ทราบ แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้นพะยะค่ะ"คำว่าทำตามคำสั่งเท่านั้น ทำให้อ๋องฮวยไม่กล้าถามอะไรอีก จักรพรรดิทรงมีอานุภาพมากจนการลงโทษยังถือว่าเป็นรางวัลได้ด้วยหลังจากที่อู๋ต้าปั้นจากไป ทั้งคู่ก็มองหน้ากัน พวกเขาดูแลเสด็จแม่ในเมืองหลวง ฮ่องเต้เองยังทรงโปรดอนุญาตให้ไท่เฟยออกจากวังและอาศัยอยู่กับพวกเขาในจวนอ๋องฮวยด้วย โดยปกติแล้วพระองค์ค่อนข้างเป็นมิตร แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงมาลงมาโดยไม่มีเหตุผลล่ะ?พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย และไม่กล้าทำอะไรอีกด้วยมันแปลกจริงๆในช่วงกลางฤดูหนาว หิมะตกหนักขัดขวางทางที่จ้านเป่ยว่างจะเดินทางไปเดิมทียามที่ออกจากเมืองหลวงก็เร่งให้เดินเร็วอยู่แล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าหิมะตกหนักติดต่อกันสองวัน มีหิมะตกทุกที่ จะหนาวจัดก็ไม่ว่าอะไร แต่ความคืบหน้าก็ชะลอตัวลงอย่างมากพอก้าวเท้าออกไป ต้องใช้เวลาดึงเท้าออก มันยากอยู่แล้วที่เขตหนานเจียงก็มีหิมะตกด้วย แต่โชคดีที่ไม่หนักมากนัก การฝึกทหารใหม่ก็ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว ได้รับสมัครทหารใหม่เป็นสามหมื่นนาย นอกจากนี้ยังมีการผลิตอาวุธและชุดเกราะในเมือ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 68

    "เมื่อนับถึงสามสิบคนก็ไม่ได้นับต่อเลย"ซ่งซีซียกแขนขึ้นแล้วรู้สึกว่าหอกดอกท้อหนักมาก และการออกศึกเป็นเรื่องเหนื่อยมากจริงๆ"ข้านับแล้ว ข้าฆ่าไปห้าสิบคน" หมั่นโถวกระโดดขึ้นอย่างสง่างามราวกับปลา แต่กระโดดแล้ว สุดท้ายก็ล้มกับพื้น อาวุธที่เขาใช้คือดาบ แต่เนื่องจากมีคนมากเกินไป ดาบจึงถูกโจมตีจนหลุดไป ต่อมาเขาฆ่าคนด้วยหมัดและเท้า สุดท้ายได้หยิบดาบของตัวเองกลับมาเสิ่นว่านจือกล่าวว่า "ข้าฆ่าคนไปหกสิบสามคน"จางต้าจ้วง รองแม่ทัพของเป่ยหมิงอ๋องเดินเข้ามา เขามีเลือดเต็มตัวเช่นกันซ่งซีซีลุกขึ้นนั่งก่อน จากนั้นจึงใช้หอกดอกท้อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน "รองผู้บัญชาการจาง""ซ่งซีซี!" รองผู้บัญชาการจางมองนางด้วยความประหลาดใจและตื่นเต้น "เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าได้ฆ่าศัตรูไปกี่คน?""ไม่รู้สิ ข้าไม่ได้นับ"รองผู้บัญชาการจางแปะมือ และดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น "ผู้บัญชาการนับจำนวนคนที่เจ้าฆ่าให้เจ้าเอง เจ้าใช้หอกดอกท้อแทงคอของศัตรู นับแค่ส่วนนี้ ก็มีมากกว่าสามร้อยคน มันไม่ยังไม่รวมถึงคนที่ถูกปิดกั้นคอด้วย เจ้านี่สุดยอดจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าออกศึกจริงหรือ แม่ทัพทุกคนชื่นชมว่าเจ้าสมเป็นลูก

Latest chapter

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1431

    จักรพรรดิ์ซูชิงดูเหมือนจะทรงได้สติขึ้นมากกว่าตอนที่อยู่ในวัง ไม่ได้ทรงเลื่อนลอยเหมือนก่อนหน้านี้ พระองค์ทรงแย้มพระสรวล “ไม่ต้องเคร่งครัดนัก ทำตัวตามสบาย เฮ้อ ข้าเพียงรู้สึกอึดอัดในใจเลยอยากมาที่จวนอ๋องเพื่อสนทนากับอาจารย์เสิ่น” ซ่งซีซีจึงกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระหม่อมคงไม่ขัดพระองค์และศิษย์พี่ ขออนุญาตกลับไปพักผ่อน” “ไม่ต้องรีบไป ในเมื่อมาแล้วก็มาร่วมพูดคุยกันเถิด” จักรพรรดิ์ซูชิงทรงมองนางด้วยสายพระเนตรที่ดูเป็นห่วง “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซ่งซีซีที่เพิ่งยันตัวลุกขึ้นต้องวางมือลงอีกครั้ง ตอบว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย กระหม่อมดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่หมอหลวงกำชับให้พักฟื้นบนเตียงสักระยะ” “อืม” จักรพรรดิ์ซูชิงพยักพระพักตร์ “บาดเจ็บกล้ามเนื้อและกระดูก ควรต้องพักรักษาให้ดี” แม้พระองค์จะตรัสเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ทรงอนุญาตให้นางกลับไป ทั้งห้องจึงมีทั้งผู้ที่นั่งและยืนอยู่เงียบๆ เพื่อรอพระราชดำรัส ผ่านไปสักพัก จักรพรรดิ์ซูชิงทรงทำลายความเงียบขึ้นก่อน “มีอาหารว่างหรือไม่? ข้าหิวแล้ว” อู๋ต้าปั้นเมื่อได้ยินรีบกล่าว “ฝ่าบาทยังมิได้เสวยอาหารค่ำ รีบจัดเตร

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1430

    ข่าวคราวเรื่องราวในห้องหนังสือและตำหนักฉือหนิงได้ถูกนำขึ้นกราบทูลถึงพระกรรณของจักรพรรดิ์ซูชิง ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกกระวนกระวายและอึดอัดพระทัยยิ่งนัก รวมทั้งการวางแผนงานตลอดหลายวันที่ผ่านมา ยิ่งทำให้พระอาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้นจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พระองค์ทรงยกเลิกการกักบริเวณฮองเฮา โดยแท้จริงแล้วก็เพื่อเตรียมตัวให้องค์ชายใหญ่ หากจะทรงแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ตำแหน่งนี้ย่อมไม่อาจมีมารดาที่ถูกกักบริเวณได้ ตอนแรกทรงคิดว่า ช่วงเวลากักบริเวณนี้ ฮองเฮาคงจะได้สำนึกผิด ทราบดีว่าการตามใจบุตรไม่ต่างอะไรกับการผลักดันบุตรไปสู่ความตาย แต่ใครจะคาดคิดว่าฮองเฮาไม่เพียงไม่สำนึกผิด กลับยิ่งเชื่อว่าการมีพระโอรสอยู่ใกล้ตัวจะช่วยเสริมความมั่นคงให้ตำแหน่งพระมเหสีของนาง เนื่องจากไม่ค่อยอยากอาหาร พระกระยาหารค่ำในวันนั้น พระองค์เสวยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อประทังพระอุทร ก่อนเสวยยา พระองค์จำเป็นต้องเสวยยา เพราะแต่ละวันผ่านไปนับเป็นกำไร แต่ด้วยวันสุดท้ายของพระชนม์ชีพที่นับถอยหลังเข้ามาใกล้ หลังจากทรงวางแผนการ พระทัยกลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น พระองค์ทรงทราบดีว่าทุกคนล้วนต้องผ่านความตายนี้ แต

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1429

    ฮองเฮาเลือกเวลาอย่างเหมาะสม ไปยังห้องหนังสือเพื่อรับองค์ชายใหญ่ แล้วจึงพากันกลับไปยังตำหนักฉือหนิงเพื่อถวายพระพรไทเฮา กลุ่มคนที่ตามหลังมานั้นอลังการยิ่งนัก แม้แต่องค์ชายใหญ่ยังถูกข้ารับใช้ตัวน้อยอุ้มกลับมา พอมาถึงประตูตำหนักจึงวางเขาลง ฮองเฮาจัดระเบียบอาภรณ์ให้เรียบร้อย แล้วจูงมือองค์ชายใหญ่เข้าไปด้านใน ทำความเคารพด้วยการคุกเข่าตามธรรมเนียม ถวายพระพรไทเฮาอย่างครบถ้วน แต่ไทเฮากลับมิทรงอนุญาตให้นางลุกขึ้นทันที เพียงเรียกองค์ชายใหญ่เข้าไปใกล้ "วันนี้ไทฟู่ชมเจ้าหรือไม่?" องค์ชายใหญ่หดคอเล็กน้อย มองไทเฮาอย่างระมัดระวัง ก่อนตอบเสียงเบา "วันนี้ไทฟู่ลืมชมขอรับ" ฮองเฮาที่ยังคุกเข่าอยู่รีบเสริมว่า "เสด็จแม่ ไทฟู่เข้มงวดนัก มิชมผู้ใดง่ายๆ" แน่นอนว่าฮองเฮาหาได้ทราบไม่ว่า ไทเฮาเคยตกลงกับไทฟู่ว่าหากองค์ชายใหญ่ประพฤติดีและตั้งใจเรียน ไทฟู่จะกล่าวชมเมื่อตอนเลิกเรียน หากมิใช่ก็จะเงียบเสีย ด้วยเหตุนี้ ไทเฮาจึงทรงทราบถึงความประพฤติขององค์ชายใหญ่ในแต่ละวันโดยง่าย ไทเฮามิทรงตอบคำของฉีฮองเฮา เพียงตรัสกับองค์ชายใหญ่อย่างเรียบๆ ว่า "ยังจำกฎเกณฑ์ได้หรือไม่?" องค์ชายใหญ่หน้าซีด รีบ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1428

    สองแม่ลูกพูดคุยกันในห้องทรงพระอักษรเกือบสองชั่วโมง หลังจากไทเฮาเสด็จกลับ จักรพรรดิ์ซูชิงมีพระราชโองการให้ปลดโทษกักบริเวณของฮองเฮา แต่ยังไม่คืนสิทธิ์การบริหารวังหลังให้ ฉีฮองเฮาเมื่อได้ยินคำประกาศจากอู๋ต้าปั้น ก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ไฉนถึงยกเลิกโทษกักบริเวณอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ในทันใดนั้น นางก็คิดได้ว่าคงเป็นเพราะคำพูดที่ให้นักเลงปากมอมแพร่ออกไปก่อนหน้านี้ได้ผล ฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ แต่จะส่งรัชทายาทไปเลี้ยงดูในวังไทเฮา เช่นนี้ไม่สมเหตุสมผล ดังนั้น หลังจากนางได้รับการปลดโทษ นางไม่ได้รีบไปขอบคุณพระมหากษัตริย์ แต่เลือกไปที่โรงเรียนหลวงเพื่อเยี่ยมองค์ชายใหญ่ เมื่อองค์ชายใหญ่เห็นฮองเฮา ทรงดีพระทัยจนสุดขีด ไม่สนใจว่าไทฟู่ยังสอนอยู่ รีบลุกขึ้นพุ่งตัวราวกับนกที่พ้นกรง กระโจนเข้าสู่อ้อมอกของฉีฮองเฮา "เสด็จแม่ ลูกคิดถึงท่านเหลือเกิน ท่านจะพาลูกกลับไปเมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ?" ฮองเฮาก้มลงจับบ่าของพระองค์ ลูบเส้นผม แล้วสังเกตดูอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นว่าไม่ได้สวมเสื้อขนสัตว์ และตัวผอมลงมาก คางแหลม นางก็อดปวดใจไม่ได้ "เหตุใดเจ้าผอมเช่นนี้? ที่วังเสด็จย่าไม่ได้เลี้ยงดูอย่างดีหรือ?" องค์

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1427

    รุ่งขึ้น เสนาบดีมู่มาถึงสำนักหมอหลวง บรรดาหมอหลวงทั้งหมด รวมทั้งเจ้าสำนักอยู่พร้อมหน้า เสนาบดีมู่ประทับนั่งลงก่อนมองพวกเขาด้วยแววตาหนักอึ้ง "ข้าถามพวกเจ้าเพียงคำเดียว โรคของฝ่าบาท พวกเจ้ามีความมั่นใจหรือไม่?" เหล่าแพทย์เงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่อู๋ย่วนเจิ้งจะเงยหน้าที่ตาแดงก่ำเพราะอดหลับอดนอนขึ้นมองเสนาบดีมู่แล้วส่ายหน้า "ไม่มีขอรับ" "ไม่มีเลยหรือ?" เสนาบดีมู่ถามด้วยท่าทีเหมือนไม่ยอมแพ้ "แม้แต่ความหวังเล็กๆ หรือวิธีการสักนิด?" ในความเงียบงันอีกครั้ง ดวงตาของเสนาบดีมู่ค่อยๆ หมองลงจนไร้แสง เขาถอนหายใจยาว "หากระดมกำลังจากสำนักหมอหลวงทั้งหมด จะยืดเวลาออกไปได้ถึงสองปีหรือไม่?" อู๋ย่วนเจิ้งมีสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "ท่านเสนาบดี โรคปอดทรุดนี้กำเริบอย่างรุนแรง อย่าว่าแต่สองปีเลย เพียงหนึ่งปีก็...ยากมากพ่ะย่ะค่ะ" ครั้งนี้ถึงคราวเสนาบดีมู่เงียบไปนาน ก่อนทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง "ระวังคำพูดของพวกเจ้าด้วย" เขาค่อยๆ เดินออกจากสำนักหมอหลวง พลางกระชับเสื้อคลุมให้แน่น ฤดูหนาวผ่านเข้ามาเร็วนัก อากาศยิ่งหนาวจนแทงกระดูก ไทเฮาดูเหมือนจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่แสงไฟในสำนักหมอหลวงสว่างตล

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1426

    คืนนี้ เสนาบดีมู่พักอยู่ในวัง จักรพรรดิ์ซูชิงยังคงไม่ได้เสด็จไปยังฝ่ายใน หรือแม้แต่ห้องบรรทมของพระองค์เอง แต่กลับพักผ่อนอยู่บนเตียงลั่วฮั่นในห้องทรงพระอักษร เสนาบดีมู่มองพระองค์เสวยยาเสร็จ แล้วหยิบขนมหวานมอบให้ จักรพรรดิ์ซูชิงรับมาแต่ยังไม่เสวย ทรงยิ้มด้วยสายตา "จำได้ว่าเมื่อครั้งยังเยาว์ เสด็จพ่อเคยทรงลงโทษข้าในห้องทรงพระอักษร พอออกมา ท่านเสนาบดีจะให้ขนมหวานข้าหนึ่งชิ้น พร้อมคำให้กำลังใจ" เสนาบดีมู่มองพระองค์ "ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็ยังจำได้ ฝ่าบาทเคยตรัสกับกระหม่อมว่า จะทรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าทำให้ท่านผิดหวังหรือไม่?" จักรพรรดิ์ซูชิงเสวยขนมหวานเข้าไป น้ำเสียงจึงพร่ามัว เสนาบดีมู่กล่าว "ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ในใจของกระหม่อม ฝ่าบาททรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าไม่ใช่" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสด้วยความเศร้าหมอง "ข้ายังมีปณิธานอีกมาก แต่เกรงว่าจะไม่มีโอกาสทำได้" "สำนักหมอหลวงยังไม่ได้ลงความเห็นแน่ชัด ฝ่าบาทไม่ควรทรงหมดกำลังใจ" เสนาบดีมู่กล่าวปลอบ แม้ถ้อยคำจะดูแห้งแล้ง "ข้าเพียงมีเรื่องให้เสียใจอยู่บ้าง แต่ยิ่งกว่านั้น ข้าคิดการณ์ใหญ่" จักรพรรดิ์ซูชิงเอนกายลงบน

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1425

    เรื่องนี้ใหญ่เกินไป ทำให้ซ่งซีซีสมองมึนงง คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต องค์ชายใหญ่แทบไม่มีข้อกังขาว่าจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ และคาดว่าไม่นานตำแหน่งองค์รัชทายาทจะถูกแต่งตั้ง เมื่อฮ่องเต้หนุ่มเยาว์ขึ้นครองราชย์ จำเป็นต้องมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และไม่ใช่เพียงคนเดียว ซึ่งจะทำให้ราชสำนักแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย สถานการณ์ในราชสำนักจะวุ่นวาย หากไม่มีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการ อาจเป็นไทเฮาหรือฉีฮองเฮาที่ปกครองราชสำนักแทน ฮองเฮาเป็นคนทะเยอทะยาน แม้ตอนนี้ถูกกักบริเวณก็ยังคงวางแผนเพื่อองค์ชายใหญ่ ตระกูลฉีมีอำนาจใหญ่โต แม้ช่วงนี้จะถูกฝ่าบาทกดดัน แต่หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต และองค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ ตระกูลฉีก็จะกลับมาผงาดอีกครั้ง ใครจะไม่อยากได้อำนาจ? เสนาบดีมู่ชราภาพและมีความคิดที่จะวางมือ แม้เขาอยากจะช่วยค้ำจุนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ แต่สถานการณ์ในตอนนั้นอาจไม่เอื้ออำนวย นี่เป็นเรื่องในอนาคต สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ หากฝ่าบาทเหลือเวลาเพียงหนึ่งปี พระองค์ย่อมจะกวาดล้างอุปสรรคและภัยคุกคามทั้งหมดเพื่อเปิดทางให้องค์ชายใหญ่ก่อนเสด็จสวรรคต และจวนเป่ยหมิงอ๋องก็คือภัยคุกคามที่

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1424

    ผู้ที่ควรมาเยี่ยมก็มาเยี่ยมกันครบแล้ว ซ่งซีซีจึงสามารถพักฟื้นได้อย่างสบายใจ มีเพียงหมอหลวงหลินที่ยังมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว พร้อมนำยารักษาและยาลดรอยแผลเป็นมาให้ อาจารย์หยูมักจะคอยอยู่ข้างๆ คอยกล่าวขอบคุณหมอหลวงหลิน และฝากให้ช่วยกราบทูลขอบพระทัยฝ่าบาท วันหนึ่ง หมอหลวงหลินมาพร้อมกับอู๋ต้าปั้น อาจารย์หยูเห็นว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก จึงเชิญหมอหลวงหลินออกไปอ้างว่าขอคำแนะนำเรื่องรอยแผลเป็น เพื่อเปิดโอกาสให้พระชายาได้พูดคุยกับอู๋ต้าปั้นตามลำพัง ซ่งซีซีเชิญอู๋ต้าปั้นนั่งลงแล้วถามว่า "ฝ่าบาททรงส่งท่านมาหรือ?" อู๋ต้าปั้นถือพัดขนนกวางไว้ที่ข้อศอก มองไปที่องครักษ์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักแล้วกล่าวว่า "ฝ่าบาททรงส่งข้ามา และข้าก็อยากมาเอง พระชายาบาดเจ็บดีขึ้นบ้างหรือไม่?" ซ่งซีซีลังเลเล็กน้อย ก่อนมองเขาตรงๆ แล้วถามว่า "ท่านคิดว่า บาดแผลข้าหายดีแล้วหรือ?" อู๋ต้าปั้นถอนหายใจ "พระชายาโปรดอภัย บาดแผลดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินได้" ซ่งซีซีฝืนยิ้ม "อย่างที่ท่านว่ามา ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังเดินไม่ได้" "พระชายาอย่าใจร้อน รีบพักฟื้นเถิด" อู๋ต้าปั้นกล่าว ซ่งซีซีพูดเบาๆ "ข้าก็ใจร้

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1423

    หยานหรูอวี้ย่อตัวคำนับ "เช่นนั้นข้าคงไม่รบกวนพวกท่าน ขอตัวเจ้าค่ะ" "เดินทางดีๆ นะ!" จีซูเซิ่นยิ้มส่งด้วยความอบอุ่น หลังจากหยานหรูอวี้จากไป จีซูเซิ่นหันไปมองหวังชิงหรู เห็นแววตาของนางที่เคยสดใสกลับมืดมนและเต็มไปด้วยความเศร้าใจ จีซูเซิ่นรู้ว่านางกำลังเสียใจอีกครั้งจึงกล่าวว่า "เรื่องที่ผ่านมาแล้วคิดไปก็ไร้ประโยชน์ เข้าไปข้างในเถอะ" การที่หวังชิงหรูมาหาซ่งซีซีในวันนี้ ต้องใช้ความกล้าอย่างมหาศาล เพราะนางติดค้างซ่งซีซีทั้งคำขอโทษและคำขอบคุณ ที่บอกว่ามากับพี่สะใภ้ในวันนี้ ที่จริงแล้วคือการเผชิญหน้ากับเรื่องราวในอดีต แต่ทว่านางอาจจะประเมินตัวเองสูงเกินไป แม้จะสามารถโน้มน้าวใจตัวเองให้เผชิญหน้ากับซ่งซีซีได้ แต่ในวินาทีที่เห็นหยานหรูอวี้ นางก็รู้สึกอธิบายไม่ถูก เหมือนโดนบางสิ่งกระแทกอย่างแรงจนสมองโล่งว่างเปล่า รอยยิ้มที่ยกขึ้นมาก็ดูฝืนเหลือเกิน นางกลัวเหลือเกินว่าจะร้องไห้ออกมา นางเดินตามพี่สะใภ้ทั้งสองเข้าไปในห้องรับรองอย่างไร้ชีวิตชีวา และเมื่อได้พบซ่งซีซี น้ำตาก็เอ่อท้นอยู่ในดวงตา ซ่งซีซีมองนางแวบหนึ่ง ก่อนเชื้อเชิญทุกคนให้นั่งลงพร้อมรอยยิ้ม และรินชาให้ จีซูเซิ่นมองดู

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status