หวังชิงหลูยังไม่ทันจะตั้งตัวก็เห็นชายชุดดำบุกรุกเข้ามาด้วยดาบ ดาบนั้นมีเลือดหยดลงมา และเห็นได้ชัดว่ากำลังฆ่าคนมาตลอดทางนางกรีดร้อง จากนั้นหันกลับและกระแทกประตู "ยี่ฝาง เปิดประตู เปิดประตูสิ!"เยว่เอ๋อร์และจินเอ๋อร์ปกป้องหวังชิงหลู ร่างกายของพวกนางสั่นเทาเหมือนแกลบ "อย่า…"ชายในชุดดำรูดดาบไปที่คอของพวกนาง รู้สึกแต่ว่ามีความเย็นที่คอ จากนั้นเลือดก็กระเซ็นออกไปและไหลทุกที่ดาบฟันคอของนาง และยังไม่ทันส่งเสียงอย่างใดก็ล้มลงกับพื้นหวังชิงหลูขวัญหนีจนล้มลงกับพื้น เอามือปิดหู ร้องไห้พลางตะโกนว่า "ช่วยด้วย ช่วยด้วย"ชายชุดดำฟันดาบออกไปทางหวังชิงหลูแล้ว จ้านเป่ยว่างกระโดดขึ้นในอากาศและเตะชายคนนั้นออกไป จากนั้นยืนอยู่ข้างหวังชิงหลูพร้อมถือดาบในมือทันที"เข้าไปซ่อนตัวไว้!" จ้านเป่ยว่างผลักหวังชิงหลู ก่อนราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขามหวังชิงหลูร้องไห้และพูดว่า "ยี่ฝางปิดประตูแล้ว"จ้านเป่ยว่างเตะประตู แต่มันไม่สามารถเตะออกไปได้เลย เขาต่อสู้พลางตะโกนว่า "ยี่ฝาง เปิดประตู!"ยี่ฝางถือดาบด้วยท่าทางบูดบึ้งอยู่ข้างใน มือของนางสั่นเล็กน้อย เพิกเฉยต่อคำพูดของเขาและไม่มีวี่แววจ
พวกเขาทั้งสองรับมืออย่างน่าอนาถ แต่กลับถูกตีแพ้ยับเยิน โดยมีเลือดสาดไปทั่วมือสังหารไม่อยากเสียเวลากับการต่อสู้ ทิ้งคนหนึ่งไปฝ่าฟันกับพ่อลูกสามคนของจ้านเป่ยว่าง อีกสามคนแทงไปยังหน้าอกของยี่ฝาง ยี่ฝางหวาดหวั่นจนทิ้งดาบออกไปอย่างเร็วแล้วดึงจ้านเป่ยว่างมาบังหน้าตนเอง"ไม่!" ทั้งฮูหยินผู้เฒ่าจ้านและหวังชิงหลูเห็นเช่นนั้นก็ตะโกนออกมาพร้อมกันจ้านเป่ยว่างไม่เคยฝันว่ายี่ฝางจะทำเช่นนี้ เขากำลังได้รับบาดเจ็บอยู่ แต่ถูกยี่ฝางจับแขนของเขาไว้แน่น เลยทำให้เขาไม่มีโอกาสที่จะโบกดาบเพื่อต่อต้าน และทำได้เพียงเฝ้าดูมือสังหารทั้งสามเอาดาบมาแทงที่หน้าอกของเขาทุกคนในนั้นตัวแข็งทื่อ แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านไม่กล้ามอง กลัวว่าบุตรชายของตนเองจะตายอย่างอนาถด้วยน้ำมือของมือสังหารในช่วงเวลาวิกฤติ ด้วยเสียง "วู้ด" หอกดอกท้อก็พุ่งมาจากท้องฟ้าและกระแทกดาบสามเล่มออกไปอย่างแม่นยำ ส่งผลทำให้กรามของมือสังหารเจ็บ และรีบถอยหลังออกไปร่างหนึ่งบินขึ้นไปในอากาศ และรับหอกดอกท้อกลับมาอย่างรวดเร็วด้วยปลายเท้าของนาง โดยไม่ชักช้า พอแสงสว่างขึ้นบีบบังคับให้มือสังหารสามคนต้องถอยหลังยังไม่ทันจะมองเห็นได้ชัดเจน
"เจ้าบ้าไปแล้ว!" จ้านกังโกรธจัด "พวกเขาทั้งหมดถูกมัดตัวไว้ ถ้าไม่พาพวกเขากลับไปที่สำนักเพื่อสอบปากคำว่าใครส่งพวกเขามา เราจะป้องกันปัญหาในอนาคตได้อย่างไร"ยี่ฝางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ซ่งซีซีดวงตาของนางซับซ้อนและโหดร้าย และนางก็กัดฟันกรอด "ผู้หญิงที่ถูกถูกไล่ออกจากจวนแม่ทัพ เจ้ามีสิทธิอะไรจะกลับมาที่นี่?"ซ่งซีซีมองเลือดบนใบหน้าของนาง แล้วขมวดคิ้ว "เจ้าคิดว่าพวกเขาเป็นสายลับจากเมืองซีจิงเหรอ? โง่จริงๆ"สีหน้าของยี่ฝางเปลี่ยนไปเล็กน้อย และดวงตาของนางก็ยิ่งมุ่งร้ายมากขึ้นใช่ นางกลัวว่าพวกเขาเป็นสายลับจากเมืองซีจิง เมื่อถูกสำนักเขตจิงจ้าวสอบปากคำด้วยวิธีน่าทรมาน พวกเขาจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองลู่เปินเอ่อร์อย่างแน่นอน ตอนนี้ นางยังคงคิอว่าตนเองโชคดีอยู่ เพราะฮ่องเต้ไม่ได้ลงโทษนางแต่ถ้าเรื่องนี้ถูกสอบสวนโดยทางราชการ นาง... นางไม่กล้าเล่นการพนันซ่งซีซีรู้ดีว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ นางก็รู้สึกอับอายเมื่อถูกมองออกหลังจากนั้นไม่นาน ปี้หมิงก็มาถึงพร้อมกับกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวง เมื่อเห็นซ่งซีซี ปี้หมิงก็กราบไหว้ "กราบรองผู้บัญชาการขอรับ""มือสังหารตายแล้ว เจ้าจัดการต
การตบฉาดนี้ทำให้ศีรษะของยี่ฝางเบือนออกไปทางอื่นนางกัดฟันกรอดและไม่โต้กลับ แต่ยังคงทำแผต่อไปหวังชิงหลูหันไปมองปี้หมิง แล้วปาดน้ำตาด้วยมือเดียวและพูดเสียงดัง "ใต้เท้าปี้ เป็นเพราะนาง พวกมือสังหารมุ่งเป้ามาหานาง นางซ่อนตัวอยู่ในห้อง และผลักข้าและสาวใชของข้าออกมา เป็นนางทำให้สาวใช้ของข้าต้องตาย อีกอย่าง มือสังหารถูกซ่งซีซีปราบและมัดตัวไว้ นางไม่รู้เป็นบ้าอะไรไปฆ่าพวกเขาให้ตายหมด หวังว่าใต้เท้าปี้จะคืนความยุติธรรมให้ข้าด้วย"ปี้หมิงมองไปที่ยี่ฝาง ก่อนที่เขาจะถามคำถามใดๆ ยี่ฝางก็พูดอย่างเย็นชา "พวกเขาบุกเข้ามาจวนแม่ทัพ และสังหารองครักษ์และสาวใช้ ถ้าข้าให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อ ไม่เท่ากับทิ้งปัญหาไว้เหรอ?"ปี้หมิงตรวจสอบศพของนัมือสังหาร และไม่พอใจกับคำตอบของยี่ฝางมาก "เส้นเอ็นทั้งมือและขาของพวกเขาถูกตัดขาดแล้ว ซึ่งทำให้พลังชี่ตันเถียนของพวกเขาหมดแล้ว อีกทั้งยังถูกมัดไว้ แล้วจะมีปัญหาอะไรล่ะ? แทนที่จะไว้ชีวิตพวกเขา จะได้รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง นั่นแหละเป็นหายนะที่แท้จริง"ยี่ฝางสงบมากจนน่ากลัว "งั้นต้องขอโทษด้วย พวกเขาฆ่าคนของจวนแม่ทัพไปมากมาย ข้าแค่อารมณ์ฉุนเฉียวเลยเผลอไปลงมือกับพวกเขา ก
ผู้คนจากสำนักเขตจิงจ้าวก็มาถึงในไม่ช้า จ้านกังพูดคุยกับพวกเขาสักพัก จากนั้นก็หารือกับปี้หมิงจากกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงว่านำศพของมือสังหารจะให้ทางสำนักเขตจิงจ้าวนำกลับมาเนื่องจากเรื่องนี้ได้ถูกส่งมอบให้กับสำนักรัฐแล้ว งั้นคำสอบปากคำก็สำคัญมาก คำถามที่ปี้หมิงถามเมื่อกี้ ทางสำนักเขตจิงจ้าวก็จะถามอีกครั้งเพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถาม ยี่ฝางแกล้งเป็นลมเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส และถูกนำตัวกลับไปที่ห้องของนางทุกคนต้องมาจัดการเรื่องเพื่อนางหลังจากที่จ้านเป่ยว่างรับมือกับคำถามทั้งหมดแล้ว ในที่สุดเขาก็หมดสติไป หวังชิงหลูสั่งให้ส่งเขาไปที่เตียงของเรือนเหวินซีเพื่อพักผ่อนเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ารองรู้ว่าซ่งซีซีมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือทุกคนในคืนนี้ นางไม่เคยยุ่งเรื่องกิจการของบ้านใหญ่มาตลอดกลับไปหาฮูหยินผู้เฒ่าเจิ้นโดยตรง แล้วถามอย่างรุนแรง "ที่ผ่านมาพวกเจ้าทำกับนางอย่างไร? วันนี้นางได้มาช่วยเหลือครอบครัวของจวนแม่ทัพ ข้าถามว่าเจ้าละอายใจบ้างไหม ต่อไปยังตำหนิหาว่านางอีกหรือไม่!"นี่เป็นครั้งแรกที่ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านพูดไม่ออกอยู่ต่อหน้าน้องสะใภ้ภยันตรายในคืนนี้เกือบทำให้นางตกใจตาย ตอ
ซ่งซีซีนึกถึงองค์ชายสามที่นางพบนอกเมืองซีม่อน ซึ่งปัจจุบันเป็นรัชทายาทแห่งเมืองซีจิง เขามีความเกลียดชังอย่างลึกซึ้งต่อชาวซางเมื่อเขาขึ้นครองบัลลังก์ในฐานะจักรพรรดิ สิ่งต่างๆ เรื่องเมืองลู่เปินเอ่อร์ก็จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากมากซ่งซีซีรู้สึกเห็นใจกับท่านตาเขาอายุเกินหกสิบแล้ว แต่ยังคงประจำการอยู่ที่ชายแดนเฉิงหลิง และไม่สามารถกลับเมืองหลวงเพื่อใช้ชีวิตที่เหลือของตนเองอย่างดีได้โดยทั่วไปแล้วแม่ทัพควรเกษียณอายุเมื่ออายุเท่านี้ซ่งซีซีค่อนข้างเข้าใจความตั้งใจของฮ่องเต้ที่จะเลื่อนตำแหน่งแม่ทัพรุ่นเยาว์ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คนที่ใช้งานได้จริงๆ ก็มีไม่กี่คนเลยฮ่องเต้ยังปลดเปลื้องอำนาจทางทหารของเซี่ยหลูโม่ เขาเป็นผู้บัญชาการที่ทั้งแคว้นซาและเมืองซีจิงพอได้ยินชื่อก็จะรู้สึกหวาดกลัว อันที่จริง หากเขากุมอำนาจทางทหาร จะทำให้ทุกฝ่ายหวาดกลัวอย่างแน่นอนปัจจุบัน ยามบ้านเมืองสงบรุ่งเรืองได้เปลี่ยนให้เป็นหวังเบียว เป็นชั่วคราวก็ไม่ได้เป็นอะไร หากเกิดสงครามจริงๆ หวังเบียวจะรับผิดชอบไม่ไหวเลย"ไปพักผ่อนเร็วๆ เถอะ คดีอาจจะถูกส่งไปยังสำนักเขตจิงจ้าว สำนักเขตจิงจ้าวจะมาสอบสวนพรุ่งนี้ บางทีฮ่อ
หลังจากถามสารทุกข์สุขดิบกันสักพัก ซ่งซีซีก็ถามว่า "ต่างหูซ่อมได้ไหม?"หลี่จิ้งกล่าวว่า "แม่สามีได้ส่งคนนำมันไปที่ร้านจินจิงดูแล้ว น่าจะซ่อมแซมได้""ของมีค่าแบบนี้เก็บไว้ที่บ้านจะดีกว่า ใส่ออกไปแบบนั้นก็จะมีความเสี่ยงเสมอ" ซ่งซีซีเห็นนางไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเพียงเพื่อต่างหูชิ้นหนึ่ง เลยรู้ว่าต่างหูนั้นสำคัญกับนางมากเพียงใด"เมื่อก่อนข้าไม่ใส่หรอก" หลี่จิ้งยิ้ม แต่ดวงตาของนางกลับขุ่นมัว "เพียงแต่เมื่อวานไปส่งเว่ยเอ๋อร์เข้าเรียน เลยคิดว่าใส่มันไว้ ราวกับว่าเขาได้ไปส่งเว่ยเอ๋อร์พร้อมข้า"น้ำเสียงของนางสั่นเล็กน้อย "นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่เราต้องทำในชีวิตนี้ ได้ได้เขียนไว้ตอนเราแต่งงาน ข้ารู้ว่าการทำเช่นนี้เป็นการหลอกลวงตัวเอง แต่บางครั้งหากข้าไม่หลอกลวงตัวเองชีวิตมันก็จะอยู่ยากจริงๆ"ดวงตาของซ่งซีซีเต็มไปด้วยความสงสาร ส่วนหนึ่งเพื่อนาง และอีกส่วนหนึ่งเพื่อตัวเนางเอง"ข้ารู้ว่าคนเข้มแข็งอย่างท่านพระชายาจะไม่โง่เหมือนข้า และทำสิ่งที่หลอกลวงตัวเอง" บางทีนางอาจจะไม่ได้คุยกับคนอื่นมานานแล้ว หรือบางทีเป็นเพราะสามีของตนอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเสนาบดีกั๋วกงซ่ง และได้เสียชีวิตพร้อมกับวรีบุรุษของค
ณ เมืองซีม่อนหวังเบียวรู้สึกหงุดหงิดจนหมดความอดทนแล้ว เจรจามาสี่ครั้ง วิกเตอร์ไม่ยอมอ่อนข้าให้แม้แต่น้อย ต้องใช้เมืองซีม่อนเท่านั้นถึงสามารถแลกกับชีซื่อได้ ส่วนผู้ถูกจับคนอื่นๆ ได้แลกเปลี่ยนกันมานานแล้ว จะว่าไปเราก็เาียเปรียบ จำนวนผู้ถูกจับระหว่างทั้งสองประเทศไม่เท่ากัน จำนวนผู้ถูกจับของแคว้นซามากกว่ากองทัพของตระกูลซ่งถึงสองเท่ามันไม่ตรงกับจำนวนผู้ถูกจับเลย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้ฆ่าผู้ถูกจับไปไม่น้อยตอนนี้เขายังขอใช้ชีวิตของชีซื่อเพื่อแลกกับเมืองซีม่อน เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไงหากมิใช่เป่ยหมิงอ๋องเซี่ยหลูโม่มาถึงเมื่อสองวันก่อน และให้เขาชะลอการเจรจาไว้ เขาคงอยากจะปฏิเสธวิกเตอร์ไปตรงๆฝางเทียนสวีและฉีหลินมักจะบอกเขาว่าชีซื่อมีความสำคัญในการยึดเขตหนานเจียง แต่เขาไม่คิดอย่างนั้น เขาเคยอ่านรายชื่อมาแล้ว ในกองทัพตระกูลซ่งไม่มีคนที่ชื่อชีซื่อ แม้ว่ารายชื่อมีคนหลุดไป แต่ด้วยชีซื่อคนเดียว มันจะส่งข้อมูลสำคัญกลับไปได้อย่างไร?ดังนั้นเขาคิดว่าข่าวกรองที่ส่งกลับมาโดยชีซื่อ เป็นเรื่องที่สายลับแนวหน้าทั่วไปก็สามารถทำได้เช่นกัน เขาไม่ได้สำคัญขนาดนั้นการเจรจาถ่วงเวลาไปนานเกินไป และเขาไม่
ฮองเฮาตกพระทัย รีบก้มหน้าลง ดวงตาที่หม่นหมองฉายแววไม่พอใจ นางไม่คาดคิดว่าหลังจากที่ผู้คนในวังหลังพูดถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้กลับปกป้องซ่งซีซีก่อน และความพิโรธของพระองค์นั้นมีเพื่อซ่งซีซีเพียงผู้เดียว หากเรื่องนี้มิได้เกิดจากความคิดที่ไม่เหมาะสมของซ่งซีซี ก็ย่อมเป็นฮ่องเต้ที่ทรงกระทำเอง พระองค์จึงรับความผิดทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว ฮองเฮารู้สึกสับสน เพราะฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของพระองค์เองเป็นที่สุด เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เหตุใดพระองค์จึงไม่ฉวยโอกาสผลักความผิดไปที่ซ่งซีซี เพื่อรักษาพระเกียรติของตน? เหตุใดจึงต้องปกป้องซ่งซีซีก่อน? หากพระองค์ตรัสแบบเดียวกันนี้ต่อเหล่าขุนนางในราชสำนัก ก็ย่อมจะถูกกล่าวหาว่าฮ่องเต้ทรงกระทำการอันเหลวไหล ความคิดหลากหลายประการถาโถมเข้าสู่จิตใจของฉีฮองเฮา นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องในอดีตที่ฮ่องเต้เคยตรัสว่าอยากให้ซ่งซีซีเข้าวัง หรือว่าฮ่องเต้จะมีใจให้ซ่งซีซีจริง? หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ถือว่าน่าหัวเราะสิ้นดี ตั้งแต่วันที่นางแต่งงานกับฮ่องเต้ นางก็รู้ว่า ผู้ชายคนนี้จะไม่มีวันเป็นของนางเพียงผู้เดียว ความรักหรือความชื่นชอบล้วนไม่สำคั
ดังที่อาจารย์หยูวิตกไว้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยพยายามลอบถามจากเหล่าข้ารับใช้ในจวนเป่ยหมิงอ๋อง โชคดีที่ได้เตือนล่วงหน้าไว้แล้ว ข้ารับใช้เหล่านั้นจึงตอบกลับไปเพียงว่าไม่ทราบในทุกคำถาม แต่ยิ่งจวนเป่ยหมิงอ๋องปิดปากเงียบ ก็ยิ่งทำให้ผู้อื่นสงสัย เพราะเหตุการณ์นี้ดูผิดปกติอย่างยิ่ง การเสด็จออกจากวังของฮ่องเต้ มิใช่เรื่องเล่าที่สามารถเกิดขึ้นง่ายๆ ด้วยการนำคนเพียงไม่กี่คนออกไปตรวจเยี่ยมบ้านเมือง แม้จะเป็นงานมงคลในจวนของขุนนางชั้นสูง หากฮ่องเต้จะเสด็จด้วยพระองค์เอง ย่อมต้องมีพระราชโองการล่วงหน้าเพื่อให้เจ้าของบ้านเตรียมการรับเสด็จ บางครั้งถึงขั้นต้องซ่อมแซมบ้าน ปูพรม หรือตกแต่งด้วยดอกไม้ เตรียมอาหารและข้าวของต่างๆ แต่การเสด็จไปยังจวนของขุนนางกลางดึก โดยมีเพียงเกี้ยวหนึ่งหลังและคนไม่กี่คน ย่อมเป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เป่ยหมิงอ๋องเองก็อยู่ที่หนานเจียงในขณะนี้ แต่ปัญหาใหญ่คือ พระชายาเป่ยหมิงอ๋อง ซึ่งในตอนนี้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการซ่ง กำลังพักรักษาตัวอยู่ที่จวน และก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้มักทรงเรียกให้นางไปยังห้องพระอักษรเพื่อร่วมปรึกษา ใครจะทราบว่าพวกเขาหารือกันจริงหรือไม
ในห้องหนังสือ โคมไฟยังคงส่องสว่าง หลังจากฟังคำพูดของเสิ่นชิงเหอแล้ว ซ่งซีซีถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก "เช่นนี้ ข้าจะได้หายไวๆ เสียที ข้ารู้สึกอึดอัดแทบบ้าแล้ว" อาจารย์หยูกล่าว "คืนนี้ช่างน่าหวาดเสียวเสียจริง" เสิ่นชิงเหอมองซ่งซีซี พลางถอนหายใจเบาๆ "หากเขาเอาอย่างเยี่ยนอ๋องจริงๆ เกรงว่าศิษย์น้องคงต้องทำตามแบบเซี่ยถิงเหยียนแล้วกระมัง" "เขารู้จักชั่งน้ำหนักผลลัพธ์" อาจารย์หยูกล่าว ซ่งซีซีรู้สึกหงุดหงิด "ข้าว่าเขาช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก ตอนข้ายังเล็ก เขาสนิทสนมกับพี่ชายทั้งสองของข้าและมองข้าเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ต่อมาพอข้าเข้าราชสำนัก เขาก็ปฏิบัติต่อข้าในฐานะขุนนางโดยแท้ แล้วเหตุใดจู่ๆ เขาถึงมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมาได้?" อาจารย์หยูกล่าว "มันใช่จะเกิดขึ้นกะทันหันหรือ? พระชายาอ๋องลืมหรือไม่ว่า ตอนที่กลับมาจากการกอบกู้หนานเจียง เขาเคยคิดจะให้ท่านเข้าไปในวังเป็นสนมของเขา" "ข้าเข้าใจมาตลอดว่า เขาต้องการใช้ข้าเพื่อบังคับให้ศิษย์น้องสละอำนาจในกองทัพเสียอีก" อีกทั้งในตอนนั้น ด้วยความที่ข้าเป็นบุตรีของซ่งฮวยอัน การให้ข้าเข้าวังยังเป็นการป้องกันไม่ให้ใครที่มีจิตคิดร้ายแต่งข้าไปอีกด้
ภาพวาดของเสิ่นชิงเหอนั้นฝีมือประณีตยิ่งนัก ละเอียดอ่อนและสมจริงราวกับมีชีวิต ทุกคนมองดูภาพวาดบนกระดาษ จากนั้นจึงหันไปมองจักรพรรดิ์ซูชิงที่ยังประทับอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ทรงแสดงอาการอ่อนล้าแม้แต่น้อย ราวกับว่าพระองค์ได้ก้าวเข้าไปอยู่ในภาพนั้นแล้ว แม้แต่สีพระพักตร์ก่อนหน้านี้ก็เหมือนถ่ายทอดออกมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน รายละเอียดต่างๆ ไม่ถูกมองข้าม แม้แต่ริ้วรอยบางๆ รอบดวงพระเนตร เส้นผมสีขาวที่ข้างพระเกศา ปานสีดำเล็กๆ ใต้ริมพระโอษฐ์ด้านขวา และร่องพระโอษฐ์ ทุกอย่างถูกถ่ายทอดไว้อย่างครบถ้วน แม้ว่าฉลองพระองค์จะยังไม่ได้ลงสี แต่ลวดลายบนฉลองพระองค์ก็ถูกวาดออกมาอย่างครบถ้วนไร้ข้อผิดพลาด จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรภาพของพระองค์เองอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก พระองค์ทรงนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะยกพระหัตถ์แตะพระพักตร์ของพระองค์เอง “ข้าดูแก่ขึ้นจริงๆ” ตามปกติพระองค์แทบไม่ได้ส่องคันฉ่อว แม้จะส่องก็ไม่ได้ชัดเจนเท่านี้ “ฝ่าบาทมิได้แก่เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นว่าฝ่าบาทยังดูเหมือนเพิ่งจะยี่สิบต้นๆ เท่านั้นเอง” อู๋ต้าปั้นกล่าวประจบ จักรพรรดิ์ซูชิงทรงแย้มพระสรวล ทอดพระเนตรอู๋ต้าปั้นพร้อมส่ายพระพักตร์เล็
จักรพรรดิ์ซูชิงดูเหมือนจะทรงได้สติขึ้นมากกว่าตอนที่อยู่ในวัง ไม่ได้ทรงเลื่อนลอยเหมือนก่อนหน้านี้ พระองค์ทรงแย้มพระสรวล “ไม่ต้องเคร่งครัดนัก ทำตัวตามสบาย เฮ้อ ข้าเพียงรู้สึกอึดอัดในใจเลยอยากมาที่จวนอ๋องเพื่อสนทนากับอาจารย์เสิ่น” ซ่งซีซีจึงกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระหม่อมคงไม่ขัดพระองค์และศิษย์พี่ ขออนุญาตกลับไปพักผ่อน” “ไม่ต้องรีบไป ในเมื่อมาแล้วก็มาร่วมพูดคุยกันเถิด” จักรพรรดิ์ซูชิงทรงมองนางด้วยสายพระเนตรที่ดูเป็นห่วง “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซ่งซีซีที่เพิ่งยันตัวลุกขึ้นต้องวางมือลงอีกครั้ง ตอบว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย กระหม่อมดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่หมอหลวงกำชับให้พักฟื้นบนเตียงสักระยะ” “อืม” จักรพรรดิ์ซูชิงพยักพระพักตร์ “บาดเจ็บกล้ามเนื้อและกระดูก ควรต้องพักรักษาให้ดี” แม้พระองค์จะตรัสเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ทรงอนุญาตให้นางกลับไป ทั้งห้องจึงมีทั้งผู้ที่นั่งและยืนอยู่เงียบๆ เพื่อรอพระราชดำรัส ผ่านไปสักพัก จักรพรรดิ์ซูชิงทรงทำลายความเงียบขึ้นก่อน “มีอาหารว่างหรือไม่? ข้าหิวแล้ว” อู๋ต้าปั้นเมื่อได้ยินรีบกล่าว “ฝ่าบาทยังมิได้เสวยอาหารค่ำ รีบจัดเตร
ข่าวคราวเรื่องราวในห้องหนังสือและตำหนักฉือหนิงได้ถูกนำขึ้นกราบทูลถึงพระกรรณของจักรพรรดิ์ซูชิง ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกกระวนกระวายและอึดอัดพระทัยยิ่งนัก รวมทั้งการวางแผนงานตลอดหลายวันที่ผ่านมา ยิ่งทำให้พระอาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้นจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พระองค์ทรงยกเลิกการกักบริเวณฮองเฮา โดยแท้จริงแล้วก็เพื่อเตรียมตัวให้องค์ชายใหญ่ หากจะทรงแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ตำแหน่งนี้ย่อมไม่อาจมีมารดาที่ถูกกักบริเวณได้ ตอนแรกทรงคิดว่า ช่วงเวลากักบริเวณนี้ ฮองเฮาคงจะได้สำนึกผิด ทราบดีว่าการตามใจบุตรไม่ต่างอะไรกับการผลักดันบุตรไปสู่ความตาย แต่ใครจะคาดคิดว่าฮองเฮาไม่เพียงไม่สำนึกผิด กลับยิ่งเชื่อว่าการมีพระโอรสอยู่ใกล้ตัวจะช่วยเสริมความมั่นคงให้ตำแหน่งพระมเหสีของนาง เนื่องจากไม่ค่อยอยากอาหาร พระกระยาหารค่ำในวันนั้น พระองค์เสวยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อประทังพระอุทร ก่อนเสวยยา พระองค์จำเป็นต้องเสวยยา เพราะแต่ละวันผ่านไปนับเป็นกำไร แต่ด้วยวันสุดท้ายของพระชนม์ชีพที่นับถอยหลังเข้ามาใกล้ หลังจากทรงวางแผนการ พระทัยกลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น พระองค์ทรงทราบดีว่าทุกคนล้วนต้องผ่านความตายนี้ แต
ฮองเฮาเลือกเวลาอย่างเหมาะสม ไปยังห้องหนังสือเพื่อรับองค์ชายใหญ่ แล้วจึงพากันกลับไปยังตำหนักฉือหนิงเพื่อถวายพระพรไทเฮา กลุ่มคนที่ตามหลังมานั้นอลังการยิ่งนัก แม้แต่องค์ชายใหญ่ยังถูกข้ารับใช้ตัวน้อยอุ้มกลับมา พอมาถึงประตูตำหนักจึงวางเขาลง ฮองเฮาจัดระเบียบอาภรณ์ให้เรียบร้อย แล้วจูงมือองค์ชายใหญ่เข้าไปด้านใน ทำความเคารพด้วยการคุกเข่าตามธรรมเนียม ถวายพระพรไทเฮาอย่างครบถ้วน แต่ไทเฮากลับมิทรงอนุญาตให้นางลุกขึ้นทันที เพียงเรียกองค์ชายใหญ่เข้าไปใกล้ "วันนี้ไทฟู่ชมเจ้าหรือไม่?" องค์ชายใหญ่หดคอเล็กน้อย มองไทเฮาอย่างระมัดระวัง ก่อนตอบเสียงเบา "วันนี้ไทฟู่ลืมชมขอรับ" ฮองเฮาที่ยังคุกเข่าอยู่รีบเสริมว่า "เสด็จแม่ ไทฟู่เข้มงวดนัก มิชมผู้ใดง่ายๆ" แน่นอนว่าฮองเฮาหาได้ทราบไม่ว่า ไทเฮาเคยตกลงกับไทฟู่ว่าหากองค์ชายใหญ่ประพฤติดีและตั้งใจเรียน ไทฟู่จะกล่าวชมเมื่อตอนเลิกเรียน หากมิใช่ก็จะเงียบเสีย ด้วยเหตุนี้ ไทเฮาจึงทรงทราบถึงความประพฤติขององค์ชายใหญ่ในแต่ละวันโดยง่าย ไทเฮามิทรงตอบคำของฉีฮองเฮา เพียงตรัสกับองค์ชายใหญ่อย่างเรียบๆ ว่า "ยังจำกฎเกณฑ์ได้หรือไม่?" องค์ชายใหญ่หน้าซีด รีบ
สองแม่ลูกพูดคุยกันในห้องทรงพระอักษรเกือบสองชั่วโมง หลังจากไทเฮาเสด็จกลับ จักรพรรดิ์ซูชิงมีพระราชโองการให้ปลดโทษกักบริเวณของฮองเฮา แต่ยังไม่คืนสิทธิ์การบริหารวังหลังให้ ฉีฮองเฮาเมื่อได้ยินคำประกาศจากอู๋ต้าปั้น ก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ไฉนถึงยกเลิกโทษกักบริเวณอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ในทันใดนั้น นางก็คิดได้ว่าคงเป็นเพราะคำพูดที่ให้นักเลงปากมอมแพร่ออกไปก่อนหน้านี้ได้ผล ฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ แต่จะส่งรัชทายาทไปเลี้ยงดูในวังไทเฮา เช่นนี้ไม่สมเหตุสมผล ดังนั้น หลังจากนางได้รับการปลดโทษ นางไม่ได้รีบไปขอบคุณพระมหากษัตริย์ แต่เลือกไปที่โรงเรียนหลวงเพื่อเยี่ยมองค์ชายใหญ่ เมื่อองค์ชายใหญ่เห็นฮองเฮา ทรงดีพระทัยจนสุดขีด ไม่สนใจว่าไทฟู่ยังสอนอยู่ รีบลุกขึ้นพุ่งตัวราวกับนกที่พ้นกรง กระโจนเข้าสู่อ้อมอกของฉีฮองเฮา "เสด็จแม่ ลูกคิดถึงท่านเหลือเกิน ท่านจะพาลูกกลับไปเมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ?" ฮองเฮาก้มลงจับบ่าของพระองค์ ลูบเส้นผม แล้วสังเกตดูอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นว่าไม่ได้สวมเสื้อขนสัตว์ และตัวผอมลงมาก คางแหลม นางก็อดปวดใจไม่ได้ "เหตุใดเจ้าผอมเช่นนี้? ที่วังเสด็จย่าไม่ได้เลี้ยงดูอย่างดีหรือ?" องค์
รุ่งขึ้น เสนาบดีมู่มาถึงสำนักหมอหลวง บรรดาหมอหลวงทั้งหมด รวมทั้งเจ้าสำนักอยู่พร้อมหน้า เสนาบดีมู่ประทับนั่งลงก่อนมองพวกเขาด้วยแววตาหนักอึ้ง "ข้าถามพวกเจ้าเพียงคำเดียว โรคของฝ่าบาท พวกเจ้ามีความมั่นใจหรือไม่?" เหล่าแพทย์เงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่อู๋ย่วนเจิ้งจะเงยหน้าที่ตาแดงก่ำเพราะอดหลับอดนอนขึ้นมองเสนาบดีมู่แล้วส่ายหน้า "ไม่มีขอรับ" "ไม่มีเลยหรือ?" เสนาบดีมู่ถามด้วยท่าทีเหมือนไม่ยอมแพ้ "แม้แต่ความหวังเล็กๆ หรือวิธีการสักนิด?" ในความเงียบงันอีกครั้ง ดวงตาของเสนาบดีมู่ค่อยๆ หมองลงจนไร้แสง เขาถอนหายใจยาว "หากระดมกำลังจากสำนักหมอหลวงทั้งหมด จะยืดเวลาออกไปได้ถึงสองปีหรือไม่?" อู๋ย่วนเจิ้งมีสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "ท่านเสนาบดี โรคปอดทรุดนี้กำเริบอย่างรุนแรง อย่าว่าแต่สองปีเลย เพียงหนึ่งปีก็...ยากมากพ่ะย่ะค่ะ" ครั้งนี้ถึงคราวเสนาบดีมู่เงียบไปนาน ก่อนทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง "ระวังคำพูดของพวกเจ้าด้วย" เขาค่อยๆ เดินออกจากสำนักหมอหลวง พลางกระชับเสื้อคลุมให้แน่น ฤดูหนาวผ่านเข้ามาเร็วนัก อากาศยิ่งหนาวจนแทงกระดูก ไทเฮาดูเหมือนจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่แสงไฟในสำนักหมอหลวงสว่างตล