หลังจากถามสารทุกข์สุขดิบกันสักพัก ซ่งซีซีก็ถามว่า "ต่างหูซ่อมได้ไหม?"หลี่จิ้งกล่าวว่า "แม่สามีได้ส่งคนนำมันไปที่ร้านจินจิงดูแล้ว น่าจะซ่อมแซมได้""ของมีค่าแบบนี้เก็บไว้ที่บ้านจะดีกว่า ใส่ออกไปแบบนั้นก็จะมีความเสี่ยงเสมอ" ซ่งซีซีเห็นนางไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเพียงเพื่อต่างหูชิ้นหนึ่ง เลยรู้ว่าต่างหูนั้นสำคัญกับนางมากเพียงใด"เมื่อก่อนข้าไม่ใส่หรอก" หลี่จิ้งยิ้ม แต่ดวงตาของนางกลับขุ่นมัว "เพียงแต่เมื่อวานไปส่งเว่ยเอ๋อร์เข้าเรียน เลยคิดว่าใส่มันไว้ ราวกับว่าเขาได้ไปส่งเว่ยเอ๋อร์พร้อมข้า"น้ำเสียงของนางสั่นเล็กน้อย "นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่เราต้องทำในชีวิตนี้ ได้ได้เขียนไว้ตอนเราแต่งงาน ข้ารู้ว่าการทำเช่นนี้เป็นการหลอกลวงตัวเอง แต่บางครั้งหากข้าไม่หลอกลวงตัวเองชีวิตมันก็จะอยู่ยากจริงๆ"ดวงตาของซ่งซีซีเต็มไปด้วยความสงสาร ส่วนหนึ่งเพื่อนาง และอีกส่วนหนึ่งเพื่อตัวเนางเอง"ข้ารู้ว่าคนเข้มแข็งอย่างท่านพระชายาจะไม่โง่เหมือนข้า และทำสิ่งที่หลอกลวงตัวเอง" บางทีนางอาจจะไม่ได้คุยกับคนอื่นมานานแล้ว หรือบางทีเป็นเพราะสามีของตนอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเสนาบดีกั๋วกงซ่ง และได้เสียชีวิตพร้อมกับวรีบุรุษของค
ณ เมืองซีม่อนหวังเบียวรู้สึกหงุดหงิดจนหมดความอดทนแล้ว เจรจามาสี่ครั้ง วิกเตอร์ไม่ยอมอ่อนข้าให้แม้แต่น้อย ต้องใช้เมืองซีม่อนเท่านั้นถึงสามารถแลกกับชีซื่อได้ ส่วนผู้ถูกจับคนอื่นๆ ได้แลกเปลี่ยนกันมานานแล้ว จะว่าไปเราก็เาียเปรียบ จำนวนผู้ถูกจับระหว่างทั้งสองประเทศไม่เท่ากัน จำนวนผู้ถูกจับของแคว้นซามากกว่ากองทัพของตระกูลซ่งถึงสองเท่ามันไม่ตรงกับจำนวนผู้ถูกจับเลย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้ฆ่าผู้ถูกจับไปไม่น้อยตอนนี้เขายังขอใช้ชีวิตของชีซื่อเพื่อแลกกับเมืองซีม่อน เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไงหากมิใช่เป่ยหมิงอ๋องเซี่ยหลูโม่มาถึงเมื่อสองวันก่อน และให้เขาชะลอการเจรจาไว้ เขาคงอยากจะปฏิเสธวิกเตอร์ไปตรงๆฝางเทียนสวีและฉีหลินมักจะบอกเขาว่าชีซื่อมีความสำคัญในการยึดเขตหนานเจียง แต่เขาไม่คิดอย่างนั้น เขาเคยอ่านรายชื่อมาแล้ว ในกองทัพตระกูลซ่งไม่มีคนที่ชื่อชีซื่อ แม้ว่ารายชื่อมีคนหลุดไป แต่ด้วยชีซื่อคนเดียว มันจะส่งข้อมูลสำคัญกลับไปได้อย่างไร?ดังนั้นเขาคิดว่าข่าวกรองที่ส่งกลับมาโดยชีซื่อ เป็นเรื่องที่สายลับแนวหน้าทั่วไปก็สามารถทำได้เช่นกัน เขาไม่ได้สำคัญขนาดนั้นการเจรจาถ่วงเวลาไปนานเกินไป และเขาไม่
ณ เมืองหลวงซ่งซีซีถูกเรียกตัวไปที่พระราชวังในวันที่สี่หลังจากที่มือสังหารบุกรุกเข้าไปในจวนแม่ทัพ ก่อนหน้านั้นไม่มีใครจากสำนักเขตจิงจ้าวมาสอบปากคำ และทั้งกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงและค่ายลาดตระเวนก็ไม่ได้มาซ่งซีซีไม่ได้รู้สึกแปลก ถึงยังไงสำนักเขตจิงจ้าวและค่ายลาดตระเวนจะสืบสวนเรื่องนี้โดยอาศัยข้อมูลจากจวนแม่ทัพ พวกเขาจะรายงานเรื่องนี้ต่อฮ่องเต้ได้ก็ต่อเมื่อมีเบาะแสเท่านั้น จากนั้นฮ่องเต้ถึงเรียกนางเข้าวังเพื่อซักถามในขณะที่ซ่งซีซีเข้าไปในวังนั้น จ้านเป่ยว่างซึ่งได้พักฟื้นมาหลายวันในที่สุดก็ลุกขึ้นจากเตียงและตรงไปที่ห้องยี่ฝางความโกรธนี้ เขากลั้นเอาไว้หลายวันแล้ว แม้ว่าอาการบาดเจ็บบนร่างกายของเขาจะเป็นบาดแผลผิวเผิน แต่ก็โดนดาบบาดมามากกว่าสิบครั้ง จึงต้องนอนพักฟื้นมิฉะนั้นหากเขาได้เกิดโรคประจำตัวเนื่องจากบาดเจ็บนี้ งั้นเขาก็จะสูญเสียคุณค่าไปโดยสิ้นเชิง และไม่แม้แต่เป็นองครักษ์กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงด้วยซ้ำยี่ฝางก็นอนพักฟื้นอยู่สองสามวัน อาการบาดเจ็บของนางค่อนข้างเบา แต่จริงๆ แล้วนางแค่ไม่อยากขยับตัว ทุกคนในจวนก็มองนางเป็นศัตรู และแม้แต่คนรับใช้ก็มองด
จ้านเป่ยว่างมองดูนางหัวเราะ มองดูนางพุดเสียดสีแบบนี้แต่ยังนิ่งเฉย "ถ้าเจ้าไม่เคยบอกข้าว่าเจ้าอยากประสบความสำเร็จเพียงเพื่ออนาคตของเราเท่านั้น หากไม่มีคำพูดหน้าซื่อใจคดเหล่านั้น บัดนี้ข้าก็จะเชื่อเจ้า แต่ยี่ฝาง ตอนนี้ข้ายอมไปเชื่อหมาตัวหนึ่งก็ไม่เชื่อเจ้าหรอก เจ้าหลอกลวงข้าตั้งแต่แรก ข้าถามเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์เมืองลู่เปินเอ่อร์ แต่เจ้าปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับข้า เมื่อเรื่องแตกแล้วเจ้าก็ยังคงปกปิดไว้ ตอนนี้ยังอยากยุยงให้ข้าไปสงสัยซ่งซีซีเหรอ"เขาโน้มตัวเข้าใกล้นาง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและดูถูกเหยียดหยามว่า "เจ้าคิดว่าข้าจะยังเชื่อเจ้าอีกไหม เจ้าจำท่าทีที่น่าเกลียดของเจ้าในคืนนั้นได้ไหม? เพื่อเอาตัวรอดเจ้ามุ่งหน้าไปที่เรือนเหวินซี โดยปิดกั้นหวังชิงหลูและสาวใช้สองคนนั้นไว้ข้างนอกประตู ไม่ว่าพวกนางจะเคาะประตูอย่างไร เจ้าก็ไม่ยอมเปิดให้ ข้าพูดผิด ไม่ใช่ท่าทีที่น่าเกลียด แต่มันเป็นความเห็นแก่ตัวและความเยือกเย็นของเจ้าต่างหาก เจ้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าพูดกับหวังชิงหลูนั้นสามารถให้ทุกคนเชื่อใจได้หรือ ข้าไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว เดิมทีจินเอ๋อร์เยว่เอ๋อร์และพวกองครักษ์เหล่านั้นไ
จ้านเป่ยว่างมองไปที่หวังชิงหลู และรู้สึกอึดอัดใจมากเมื่อคิดถึงสาวใช้สองคนที่นางสูญเสียไป "ข้าเสียใจกับจินเอ๋อร์และเยว่เอ๋อร์ ข้าไม่ได้ปกป้องพวกนางอย่างดี""ข้าถามเจ้าว่าข้าเป็นตำแหน่งอะไรในใจของเจ้า" หวังชิงหลูกำมือแน่นและถามอย่างหวาดระแวงว่า "อย่าเปลี่ยนเรื่อง"จ้านเป่ยว่างจับต้นไม้ข้างตัวเขา หายใจเข้าลึกๆ ระงับความโกรธที่พุ่งออกมาในเมื่อกี้ และพูดเบาๆ "ข้าไม่ได้เปลี่ยนเรื่อง ข้าแค่... เสียใจอย่างสุดซึ้งกับความตายของพวกนาง… ส่วนเจ้าเป็นตำแหน่งอะไรในใจของข้า แน่นอนว่าเป็นภรรยาเอกสิ""แค่ตำแหน่งภรรยาเอกเหรอ?" หวังชิงหลูถามอย่างไม่ลดละ ดวงตาบวมแดงของนางมีน้ำตา "เจ้าไม่มีความรักต่อข้าแม้แต่น้อยเลยเหรอ? ไม่เคยหวั่นไหวใจบ้างหรือ?"คำถามนี้ทำให้จ้านเป่ยว่างตกใจอยู่ครู่หนึ่ง เขามองไปที่หวังชิงหลู และเปิดปากค้างไว้ เดิมทีเขาอยากจะบอกว่าการแต่งงานของพวกเขามู่ฮูหยินเป็นแม่สื่อ และเป็นความตั้งใจของฮ่องเต้ มันก็เป็นการเกี่ยวดองเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองตระกูลเท่านั้น ขอแค่เคารพซึ่งกันและกันก็พอแล้วแต่เมื่อมองดูน้ำตาของหวังชิงหลูที่กำลังจะไหล เขาไม่สามารถพูดคำเหล่านี้ได้เขาไม่เคยคิดเลยว่าหวั
ซ่งซีซีรู้ดีว่าการนำอาวุธออกไปในเวลากลางคืน และการรู้ล่วงหน้าว่ามือสังหารอาจบุกเข้าไปในจวนแม่ทัพจะปลุกเร้าความสงสัยของฮ่องเต้อย่างแน่นอนแม้ว่านางจะเป็นรองผู้บัญชาการกองทัพซวนเจีย แต่แค่ดำรงตำแหน่งเท็จและไม่สามารถถืออาวุธออกไปในเวลากลางคืนตามอำเภอใจ นับประสาอะไรกับไปรู้การเดินทางของมือสังหารด้วยฮ่องเต้จะสงสัยว่านางเลี้ยงสายลับไว้อย่างกว้างขวาง หากสงสัย นาง ก็เท่ากับสงสัยในจวนเป่ยหมิงอ๋องซ่งซีซีเงยหน้าขึ้นมองและพูดอย่างตรงไปตรงมา "ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงทราบดีว่าตระกูลซ่งได้ประสบหายนะที่ถูกสังหารหมู่ ดังนั้นตั้งแต่ที่รุ่ยเอ๋อร์กลับมา หม่อมฉันยังเป็นห่วงทั้งวันทั้งคืน กลัวว่าเขาจะเกิดอะไรขึ้นมาได้ เลยขอให้ศิษย์พี่ช่วยจัดคนสักสองสามคนให้ข้าเพื่อจับตาดูคนที่เข้ามาในเมืองหลวงด้วยพฤติกรรมน่าสงสัย ตามอย่างที่คาดไว้ เมื่อไม่กี่วันก่อนได้พบว่ามีคนหลายคนเข้ามาในเมืองหลวงแล้วพักอยู่ที่โรงเตี้ยมหลงซิง คนเหล่านี้มีทักษะการต่อสู้เก่งมาก หลังจากเข้าพักที่โรงเตี้ยมก็ไม่ออกไปไหนอีก ราวกับกำลังวางแผนอะไร หม่อมฉันกังวลว่าพวกเขามาเพื่อรุ่ยเอ๋อร์ เลยส่งคนจับตาดูพวกเขาอย่างลับๆ""ตามอย่างที่คิดไว้ คืนนั้นพวก
เมืองชายแดนแคว้นซา ถูกจัดทหารเฝ้าดูไว้อย่างเข้มงวดนับตั้งแต่สงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่กำลังเจรจากับแคว้นซาง และต้องการใช้ตัวประกันไปแลกกับเมืองซีม่อน ดังนั้นเรือนจำที่ตัวประกันถูกคุมขังจึงมีกองกำลังมากมายคอยเฝ้าดูเซี่ยหลูโม่และคนอื่นๆ แอบเข้าไปในเมืองชายแดนมาสองสามวันแล้ว และในที่สุดก็พบว่าชีซื่อถูกคุมขังอยู่ที่ไหน อยู่เรือนจำชายแดน มันแข็งแกร่งมากไม่สามารถตีให้แตกได้และโครงสร้างเรือนจำภายในกำแพงสูงก็ถูกสอบสวนมาได้ชัดเจนแล้วพวกเขาไม่รู้ว่าเวลาจำกัดห้าวันของหวังเบียว พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายของการจำกัดห้าวันเซี่ยหลูโม่รู้ว่าวิกเตอร์จะเจรจากับหวังเบียวอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ทราบเวลาจำกัดห้าวัน แต่เซี่ยหลูโม่เดาว่าหวังเบียวจะไม่ฟังคำสั่งของเขาและจะไม่ชะลอการเจรจาในครั้งนี้แน่ๆเซี่ยหลูโม่ตัดสินใจเริ่มลงมือการช่วยเหลือในวันพรุ่งนี้ ขณะที่วิกเตอร์ไปที่ภูเขายาดั้งเพื่อเจรจามีปรมาจารย์มากมายรอบๆ วิกเตอร์ เมื่อเขาออกเดินทางไปจากภูเขายาดั้งเพื่อเจรจา เขาจะพาปรมาจารย์ส่วนใหญ่ไปกับเขาอย่างแน่นอน บุคคลนี้ใช้เวลานานมากเพื่อต่อสู้ในสนามรบเขตหนานเจียง ยังพ่ายแพ้ให้กับกอ
ในยามเย็นของวันที่ 18 มิถุนายน มีคนสิบคนถือชามในมือ ในนั้นใส่น้ำเปล่าไว้ หลายปีมานี้พวกเขาก็ไม่ได้ดื่มน้ำชาหรือสุรามาแม้แต่หยดเดียวใบชาเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยในเมืองนี้ และพวกเขาไม่สามารถหาซื้อได้สุรามีราคาถูก แต่พวกเขาไม่กล้าสัมผัสมันแม้แต่หยดเดียว กลัวว่าหากควบคุมตนเองไม่ได้ดื่มเยอะไปหน่อยและพูดอะไรที่ไม่ควรพูด งั้นพวกจะตายโดยไม่มีสถานที่ให้ฝังศพครั้งเดียวที่พวกเขาซื้อสุราคือเมื่อพวกเขารู้ว่าผู้บังคับบัญชาซ่งและแม่ทัพน้อยหกคนเสียชีวิต พวกเขาซื้อสุราและเทมันลงบนพื้นเพื่อถวายให้ผู้บังคับบัญชาของพวกเขา ในคืนนั้น พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่มและหลั่งน้ำตาตลอดทั้งคืนแต่พวกเขามีเวลาเพียงคืนเดียวที่จะโศกเศร้า ในวันรุ่งขึ้น พวกเขายังคงต้องปาดน้ำตาออกและต้องลุยน้ำลุยไฟต่อ เพราะเขตหนานเจียงยังไม่ถูกยึดกลับมาต่อมาเมื่อเขตหนานเจียงถูกยึดกลับมา วิกเตอร์ก็กลับมาประจำที่นี่พร้อมกับกองกำลังของเขา พวกเขาไม่สามารถส่งข่าวไปยังเขตหนานเจียงได้อีกต่อไป และการเข้าออกจากชายแดนก็กลายเป็นเรื่องยากมากเมื่อก่อนส่งข่าวกรองจะปลอมตัวแอบเข้าไปในกลุ่มส่งอาหารและสินค้า เดินทางไปซีม่อน แต่ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นแล้ว
ตำแหน่งที่เขานั่ง แสดงถึงจุดยืนของเป่ยถังในการเจรจาครั้งนี้!เป็นกลาง!ซ่งซีซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอีกครั้งว่า การที่แคว้นเข้มแข็งนั้นดีเพียงใดการเจรจาในช่วงแรกเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ คำพูดซ้ำไปซ้ำมา ถูกเน้นย้ำไม่รู้จบ ล่ามของทั้งสองฝ่ายทำหน้าที่แปล โดยส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงปัญหาทางประวัติศาสตร์นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเริ่มต้นด้วยการยอมถอยแต่แรก ก็จะต้องถอยไปเรื่อยๆดังนั้น การเจรจาครั้งแรกจึงไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เป็นเพียงการลองเชิงขีดจำกัดของกันและกันในวันรุ่งขึ้น การเจรจาครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น ตอนแรกก็ยังคงเน้นย้ำเรื่องเดิมสองรอบ จนกระทั่งอันเฟิงชินอ๋องเอ่ยขึ้นว่า “ถ่วงเวลาเช่นนี้ไม่มีความหมาย สองแคว้นของพวกเจ้าโต้เถียงกันเรื่องพรมแดนมาหลายสิบปีแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะสามารถแก้ไขได้ในวันเดียว เราพักเรื่องพรมแดนไว้ก่อน ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้ามีความตั้งใจจะทำสัญญาสันติระหว่างสองแคว้นหรือไม่ และจะไม่ละเมิดต่อกัน?”ทุกคนล้วนให้คำตอบที่แน่ชัด ต่างกล่าวว่าตนมาโดยมีความหวังที่ดี อยากให้สองแคว้นยุติความขัดแย้งอันเฟิงชินอ๋องหยิบแผ่นรายการออกมาแผ่นหนึ่ง บนกระดาษระบุรายการสินค้าของ
ทว่า ซ่งซีซีสังเกตเห็นว่าบรรดาญาติวงศ์ตระกูลและขุนนางของซีจิงดูเหมือนไม่รู้เรื่องที่เป่ยถังจะเข้ามาแทรกแซงการเจรจา พวกเขาล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงหลังจากตกตะลึง พวกเขากลับแสดงความยินดีและมั่นใจออกมา คิดดูแล้วพวกเขาก็คงเห็นว่าการที่เป่ยถังเข้าร่วมเป็นการช่วยหนุนหลังซีจิงเห็นเช่นนี้ซ่งซีซีกลับรู้สึกวางใจขึ้นเล็กน้อยเพราะหากเป็นเช่นนั้นจักรพรรดินีหยวนซินย่อมสามารถแจ้งพวกเขาล่วงหน้าได้ อย่างน้อยก็ควรให้ขุนนางที่ร่วมเจรจารับรู้แต่นางเหตุใดจึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้เล่าดูเหมือนว่ามีเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียว นางเองก็หวังให้ต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนปรนกัน อีกทั้งบรรดาขุนนางในราชสำนักที่สนับสนุนนางนั้นมีไม่มาก ดังนั้นนางจึงเชิญเป่ยถังอันเฟิงชินอ๋องมา เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับได้เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าคืนก่อนที่จักรพรรดินีหยวนซินเรียกนางและเสิ่นว่านจือเข้าเฝ้าในวัง เหตุใดนางจึงกล่าวถ้อยคำว่าความปรารถนามิอาจเป็นจริง การสอบเข้ารับราชการของสตรีเป็นเพียงตัวอย่างที่ยกขึ้นมา นางต้องการสื่อว่าหลายๆ นโยบายล้วนผลักดันได้ยากหลังจากวิเคราะห์เหตุการณ์โดยละเอียดซ่งซีซีพลันรู้สึกมองโลกในแง่ดีขึ้นหลังจากง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็
งานเลี้ยงในวังในวันรุ่งขึ้นเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสามโมง โดยซูลันจีเป็นผู้มารับพวกเขาเข้าไปในวังด้วยตนเองเช่นเคยดังที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ พิธีราชาภิเษกได้จัดขึ้นไปนานแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อการเจรจาที่แนวชายแดนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัง ก็ไม่ได้พบเห็นทูตจากอาณาจักรอื่นๆภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะทูตจากแคว้นซาง แต่ท่าทีของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรนักทว่า ในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีล่ามแปลภาษา ดังนั้นการสนทนาของทุกฝ่ายจึงไม่ได้มากไปกว่าการทักทายทั่วไปพวกเขานึกว่าคงไม่มีทูตจากอาณาจักรอื่นแล้ว ทว่าในขณะเข้าที่ประทับ จักรพรรดิ์หยวนซินก็ตรัสกับคณะทูตจากแคว้นซางว่า “วันนี้ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติจากเป่ยถัง พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว เราเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะเข้ากันได้ดี”หลี่เต๋อฮวยถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาทันที “แขกจากเป่ยถังหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด?”เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา เพราะอาวุธอย่างปืนหกตาของเหรินหยางอวิ๋น รวมถึงปืนตาหกนัดและเกวียนระเบิดล้วนเป็นอาวุธที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบของเ
จักรพรรดิ์หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็
พระราชวังแห่งซีจิงตระการตาโอ่อ่าหรูหรา ตั้งตระหง่านท่ามกลางรัตติกาล แผ่รัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์และสงบน่าเกรงขามเมื่อผ่านประตูพระราชวังชั้นแรก รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนภายในวังที่กว้างขวาง ไม่ได้คับแคบนักทว่าที่นี่ใช้ตะเกียงน้ำมันราวกับไม่ต้องเสียเงิน ที่ใดที่หนึ่งล้วนจุดไฟส่องสว่างไสว เมื่อก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินไปตามระเบียงทางเดิน ค่ำคืนที่มืดมิดกลับสว่างราวกับกลางวัน บนต้นไม้ใหญ่สองข้างทางแขวนโคมไฟลมไว้มากมาย หากใครคิดซ่อนตัวอยู่บนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพียงปรายตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนซูลันจีเดินนำอยู่เบื้องหน้า เมื่อมาถึงด้านหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง นางกำนัลในวังสองนางก้าวออกมา พูดคุยกับซูลันจีเป็นภาษาซีจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางค้อมกายคารวะซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือซูลันจีกล่าวว่า “ใต้เท้าซ่ง แม่นางเสิ่น ฝ่าบาททรงเชิญทั้งสองท่านเข้าสู่ตำหนัก”นางกำนัลทั้งสองเดินนำไปข้างหน้า พาซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเข้าไปภายในภายในตำหนักโอ่อ่าตระการตา เสาสลักลวดลายสองต้นขนาบข้าง หนานแน่นจนดูเหมือนพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ให้ความรู้สึกหนักแน่นกดดันจักรพรรดิ์หยวนซิน ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ไม้จันทน์ส
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของซีจิง ก็เป็นวันที่สิบสามเดือนแปดแล้ว ระยะเวลานับจากที่พวกเขาออกจากแคว้นซาง ผ่านไปครบหนึ่งเดือนพอดียามบ่าย แสงแดดอบอุ่นกำลังดีฉินอ๋องนอนเอนอยู่ในรถม้า ขณะเข้าสู่ตัวเมืองนับตั้งแต่เข้าสู่เขตแดนซีจิง พวกเขาถูกลอบสังหารถึงเจ็ดครั้ง ครั้งสุดท้ายมาอย่างดุดัน ควรเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ถูกฝึกมาเพื่อสละชีพ กองทัพซวนเจียได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้แต่เสิ่นว่านจือเองก็ถูกฟันเข้าที่ไหล่ เคราะห์ดีที่ไม่ได้ลึกถึงเส้นเอ็นฉินอ๋องตกใจแทบสิ้นสติ ก็เพราะตอนที่กลุ่มนักฆ่าบุกเข้ามา เขาเพิ่งจะออกจากห้องส้วมได้ไม่นาน ดาบของนักฆ่าพุ่งเข้าปักอกเขาไปแล้ว และกำลังจะทะลุเข้าไปอีก ทว่า…ซ่งซีซีพบเห็นทัน นางพลิกกายคว้าหอกยาว ตวัดแทงเข้ากลางอกของนักฆ่าก่อน จากนั้นใช้ตะขอที่ปลายหอกพาดเกี่ยวแล้วกระชากร่างของนักฆ่าล้มไปด้านหลัง ฉินอ๋องจึงรอดชีวิตมาได้เขาบาดเจ็บเพียงผิวเผิน ทว่ากลับทำราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่ำร้องโอดครวญอยู่ครึ่งคืนกว่าจะสงบลงซูลันจีนำข้าราชบริพารมาออกต้อนรับ บัดนี้ เขาเป็นเสนาบดีแห่งซีจิงทันทีที่มองเห็นซ่งซีซี เขาก็จำได้ในทันที ค้อมกายคารวะแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ทั
ฉินอ๋องได้รับความหวาดกลัว จึงให้หมอหลวงจ่ายยาบำรุงประสาทเพื่อบรรเทาอาการซ่งซีซีไปเยี่ยมดูอาการของเขา หน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ ไร้สีเลือด ริมฝีปากยังสั่นระริก เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พวกมือสังหารไปหมดแล้วหรือยัง?”ซ่งซีซีบอกเขาว่า มือสังหารจากไปแล้ว เขาถึงค่อยหยุดสั่นไปบ้างที่จริง คนรอบตัวเขาต่างบอกไปแล้วว่าศัตรูถูกขับไล่ไปหมดแล้ว แต่เขากลับไม่เชื่อ ต้องให้ซ่งซีซีเป็นคนพูดเองถึงจะรู้สึกปลอดภัยซ่งซีซีกำชับให้เขาพักผ่อนดีๆ แล้วจึงออกมาหลี่เต๋อฮวยกำลังปลอบขวัญผู้คนอื่นๆ ในฐานะเสนาบดีกรมทหาร เขาผ่านประสบการณ์มามาก ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นอันใด เขาเชื่อมั่นในตัวพระชายาและกองทัพซวนเจีย มิได้เห็นว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอะไรนัก อย่างมากก็แค่เสียหัวหนึ่งขณะเดียวกัน กลุ่มคนจากภูเขาเหม่ยชานรวมตัวกันสนทนา เริ่มสงสัยว่ากลุ่มคนชุดดำที่พบเจอที่ชายแดนเฉิงหลิง อาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับมือสังหารในคืนนี้ข้อสันนิษฐานนี้เป็นเสิ่นว่านจือที่กล่าวขึ้นมา นางคิดว่าพวกเขาหายตัวไปได้อย่างลึกลับเกินไป น่าจะมีเส้นทางลับที่ใช้หนีออกไป และพวกนั้นต้องมีแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้ายิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองกลุ่มล้
เช้าตรู่ กองคณะทูตออกเดินทางไปยังซีจิงซ่งซีซีมิได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์มากนัก เพราะขากลับก็ยังต้องผ่านชายแดนเฉิงหลิงอยู่ดี นางยังมีโอกาสได้พบกับครอบครัวของท่านตาอีกหลังจากออกจากชายแดนเฉิงหลิง เส้นทางก็เริ่มขรุขระมากขึ้น หลายจุดเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หรือไม่ก็ถูกทำลายโดยเจตนา ทำให้รถม้าวิ่งไปได้ยากทว่าฉินอ๋องกลับไม่ต้องการขี่ม้าอีกแล้ว แม้จะได้พักฟื้นอยู่หลายวัน แต่บาดแผลที่ต้นขาของเขาก็ยังเจ็บอยู่มาก ถึงแม้จะเดินได้ แต่เมื่อต้องนั่งบนอานม้า ความเจ็บปวดยังคงสร้างความลำบากให้แก่เขาดังนั้น ฉินอ๋องผู้ที่เพิ่งสร้างความดีความชอบในชายแดนเฉิงหลิง และเป็นผู้ก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก ก็เอ่ยปากว่าเขาจะนั่งรถม้าเมื่อรถม้าติดหล่ม กองทัพซวนเจียก็ลงจากหลังม้าช่วยกันเข็นอย่างยากลำบากดีที่ว่าตอนนี้เส้นทางระหว่างสองแคว้นเปิดให้สัญจร ไม่มีการปิดกั้น ดังนั้นจึงสามารถเดินทางไปตามเส้นทางที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ได้หากต้องปีนข้ามภูเขาสูงลิบลิ่ว เกรงว่าบั้นท้ายอันสูงศักดิ์ของฉินอ๋องคงต้องรับเคราะห์ไปอีกมากเมื่อเข้าสู่เขตแดนของซีจิง ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ซึ่งมีขุนนางและทหารของซีจิงมาคอยต้