จ้านเป่ยว่างได้ถูกทำร้ายจิตใจอีกครั้งทันใดนั้นคนทั้งตัวของเขาดูเหมือนจะเสียขวัญไปแม้แต่พลังงานของเขาก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป และตอนนี้เขาก็รู้สึกเหมือนเป็นหมาข้างถนนอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีที่ที่ให้กลับเลยก่อนหน้านี้ยังคิดว่าหวังชิงหลูอ่อนโยนมีคุณธรรม มีการศึกษาดี กตัญญูกตเวที มีความอดทนและใจดีต่อคนรับใช้ที่บ้านมากเขายังคิดว่าถึงยังไงแล้วนางก็เป็นคุณหนูจากจวนป๋อผิงซีและได้แต่งงานกับตระกูลฝางมาก่อน ตระกูลฝางเป็นตระกูลทหาร และคุณชายฝางก็เป็นแม่ทัพที่น่านับถือด้วยภรรยาม่ายของเขาควรเป็นคนตรงไปตรงมา กล้าหาญ และมีจิตใจดีเหมือนที่เขาเคยเป็นเช่นกันแต่ตอนนี้ คำพูดแค่คำเดียวของนางก็ทำให้คนๆ หนึ่งขาดมือไปข้างหนึ่งเขายังเกลียดคนที่ขว้างอุจจาระใส่ให้ แต่จับตัวได้ก็แค่ทุบตีสั่งสอนเขาสักหน่อยก็ปล่อยตัวได้เลย ทำไมต้องหักมือเท้าอีกฝ่ายด้วยมันไม่ได้เกิดจากความเมตตา แค่ไม่อยากปลุกระดมความโกรธของสาธารณชนอีก และต้องการให้เรื่องนี้ยุติลงโดยเร็วที่สุด ตอนนี้คนที่ถูกหักมือนั้นคงจะทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ได้เขามองไปที่ยี่ฝาง ทัศนคติของเขายังคงแข็งแกร่งมาก "ข้าจะไปถามหลู เมื่อข้ากลับมา เจ้าก็ยังต
ในห้องโถงดอกไม้ จ้านเป่ยว่างและหวังชิงหลูนั่งตรงข้ามกันหวังชิงหลูปาดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้า และไม่ได้มองดวงตาที่ผิดหวังของจ้านเป่ยว่าง นางแค่แก้ต่างให้ตนเองด้วยเสียงสะอื้น "วันนั้นข้าโกรธมากจริงๆ เพิ่งกลับมาจากบ้านพ่อแม่และเห็นรถม้าของพระชายาเป่ยหมิงอ๋องเดินผ่านหน้าประตูของเรา ท่านสามี ข้าแค่โกรธนะ ข้าสงสัยว่าคนที่ขว้างอุจจาระพวกนั้นเป็นนางหามา เพียงแต่เราไม่มีหลักฐาน ดังนั้นข้าจึงพูดกับนาง เพียงไม่กี่คำโดยไม่คาดคิดว่าโดนนางด่าทอยกใหญ่ พอกลับมาจวนก็เห็นคนใช้จับตัวคนที่ขว้างอุจจาระได้ ตอนนั้นอารมณ์เสียเลยสั่งให้คนหักมือเขา ข้าคิดไม่ถึงว่าคนใช้จะออกมือรุนแรงเข่นนั้น ขนาดหักทั้งมือและขาด้วย"จ้านเป่ยว่างจับประเด็นหนึ่งจากคำพูดของนาง "เจ้าบอกว่าเมื่อวานซ่งซีซีมาที่จวนแม่ทัพเหรอ?""นางไม่ได้เข้าจวนแม่ทัพหรอก แต่เดินผ่านซอยของเรา แล้วคนขว้างอุจจาระคนนั้นก็ถูกจับตัวได้ ถ้ามีหลักฐานข้าจะให้การเป็นพยานไปเอาผิดนางทันที แต่น่าเสียดายที่ไม่มีหลักฐาน""เจ้าทะเลาะกับนางหรือ นางพูดอะไร?" จ้านเป่ยว่างจับที่วางแขนของเก้าอี้ด้วยมือทั้งสองข้าง เล็บของเขาเกือบจะทิ่มแทงเข้าไปในไม้อยู่แล้วหวังชิงหลูตกตะ
เมื่อฟังดูคำสารภาพรักของนาง จ้านเป่ยว่างไม่ได้รู้สึกมีความสุขแม้แต่น้อยเลยดูเหมือนเขาจะไม่เคยเข้าใจหวังชิงหลูเลยจริงๆเพียงแต่ว่าตอนนั้นที่ตระกูลฝางยอมปล่อยให้นางกลับบ้านโดยไม่ต้องเป็นให้นางเป็นแม่ม่าย คิดว่าอาจเป็นเพราะนิสัยที่อ่อนโยนและใจดีของนาง...เขาไม่ค่อยเข้าใจนางแล้วพ่อบ้านไม่ได้กลับมาและองรักษ์ที่ไปด้วยนั้นก็ไม่ได้กลับเช่นกัน คนนั้นไม่ต้องการจัดการเป็นการส่วนตัว ขอแค่คนที่ทำร้ายเขาถูกลงโทษตามกฏก็เท่านั้นพ่อบ้านยอมรับว่าเขาเป็นคนออกคำสั่งเองเพื่อปกป้องหวังชิงหลูเอาไว้สำนักเขตจิงจ้าวเอาพวกเขาทั้งหมดจำคุก ในความผิดทางอาชญากรถือว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจากชายคนนั้นแขนขาหักแล้ว และจำเป็นต้องได้รับการรักษา เขาจึงยังสามารถเรียกร้องค่ารักษาได้หวังชิงหลูต้องการยุติเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด และไม่อยากยุ่งวุ่นวายกับเขาอีก ดังนั้นเขาจึงสั่งคนไปส่งเงินหนึ่งพันตำลึงให้เขาเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ารู้เรื่องนี้ นางก็ดุหวังชิงหลู "ทำไมไม่ส่งคนไปตรวจดูว่าแขนขาของเขาหักจริงๆ หรือไม่ บางทีเขามาหลอกลวงคนก็ได้ เขามาขว้างอุจจาระใส่หน้าบ้านจวนแม่ทัพของเรายังเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียอีกหรือ""น
จ้านเป่ยว่างพายี่ฝางไปที่จวนโหวเจี้ยนคังอีกครั้ง คราวนี้เขานำของขวัญมากมายมาด้วย จ้านเป่ยว่างถึงขนาดคุกเข่าที่หน้าประตูเพื่อขอพบเขาถือว่าเขาโชคดีด้วย โหวเจี้ยนคังไม่ได้อยู่ในจวน หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องนี้แล้ว นางก็เชิญพวกเขาเข้าไปยี่ฝางมีสีหน้าเย็นชตลอดเวลา โดยไม่มีความตั้งใจที่จะกล่าวขอโทษเลยแต่ฮูหยินผู้เฒ่าโหวเจี้ยนคังดูเหมือนจะไม่สนใจ และยังสั่งให้เติมน้ำชาให้พวกเขาด้วยลูกสะใภ้ หลานสะใภ้และหลนสะใภ้ต่างยืนอยู่ข้างๆ ล้วนจ้องมองไปที่ยี่ฝางด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรจ้านเป่ยว่างคุกเข่าลงและพูดว่า "จ้านเป่ยว่างมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่า ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีสุขภาพแข็งแรง"ยี่ฝางก็คุกเข่าลงอย่างไม่เต็มใจแต่ไม่ได้พูดอะไรเลย ใช้ผ้าปิดหน้าไว้ ราวกับปากของนางถูกอะไรปิดกั้นเอาไว้อย่างไรอย่างนั้นฮูหยินผู้เฒ่าให้พวกเขาไม่ต้องมากพิธี และเชิญให้พวกเขานั่งลงจ้านเป่ยว่างพูดด้วยความกังวลมากว่า "ฮูหยินผู้เฒ่า วันนั้นภรรยาของข้าพูดหยาบคาย ไปก้าวร้าวฮูหยินผู้เฒ่าเข้า หวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะยกโทษให้ด้วย""มันแค่หยาบคายเหรอ? นางสาปแช่งต่างหาก" นางเฉิน หลานสะใภ้ของฮูหยินผู้เฒ่าพูดด้วยความโกรธ
สีหน้าของยี่ฝางเปลี่ยนไปอย่างมาก คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่านี้มันจี้ใจดำของนางชัดๆพูดถูกทุกประการเลยนางกำลังมองหาโอกาสที่จะเอาชนะซ่งซีซี เพื่อพิสูจน์ว่านางเก่งกว่าซ่งซีซีความคิดนี้ทรมานนางอยู่ทั้งวันทั้งคืน นางนอนไม่หลับ กินไม่ลง และมีความโกรธดันอยู่ในใจทุกวันคนที่นางแค้นขนาดนั้น ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่เห็นนางอยู่ในสายตา?นางไม่เชื่อ!นางกำหมัดแน่นแล้วพูดว่า "ฮูหยินผู้เฒ่าเคยเจอคนมามากมาย แต่เคยเจอคนหน้าซื่อใจคดจนชินเป็นนิสัยไหม ท่านเคยเห็นคนที่เหยียบย่ำผลงานทางทหารของคนอื่นเพื่อปีนขึ้นไปที่สูงหรือไม่ ท่านเคยเห็นคนประเภทที่ใช้ผลงานของท่านพ่อพี่ชายตนเองถึงที่สุดแต่ยังไม่พอใจหรือไม่ เคยเจอคนที่ไม่สนใจการตายร้ายดีของสหายร่วมรบและปล่อยให้พวกเขาถูกศัตรูจับตัวไป คนแบบนี้ กลับสามารถเป็นพระชายา ฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่าพระเจ้ายุติธรรมไหม?"ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้ม แต่รอยย่นบนคิ้วของนางทำให้นางดูเป็นมิตรเป็นพิเศษ "คนแบบนี้มีแต่อยู่ในจินตนาการของเจ้าเท่านั้น ข้าจะเจอคนแบบนั้นได้อย่างไร"สีหน้าของยี่ฝางดูแย่มาก แม้จะมีผ้าคลุมปิดหน้าอยู่ แต่สามารถมองเห็นความโกรธของนางในตอนนี้ "ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เชื่อในสิ่งที่ข
ในท้ายที่สุดข่าวเรื่องจ้านเป่ยว่างถูกลดตำแหน่งเป็นองครักษ์ระดับเก้าของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงก็ไม่สามารถปกปิดจากฮูหยินผู้เฒ่าได้ หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องนี้ นางก็ทุบหน้าอกของตนเองและร้องไห้อย่างขมขื่นนางสาปแช่งเสียงดัง โดยบอกว่าเป็นเพราะแต่งยี่ฝางผู้นำโชคร้ายเข้าจวน เลยทำให้จ้านเป่ยว่างหมดอนาคตเลยนางส่งคนไปตามหายี่ฝาง แต่ยี่ฝางไม่สนใจนางเลย และไล่ยายแก่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าออกไปโดยตรงสิ่งนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นางทุบขอบข้างเตียงแล้วพูดกับจ้านเป่ยว่างว่า "ทำไมตอนแรกจะหาคนที่ไม่เอาไหนคนนี้มา เป็นความโชคร้ายของตระกูงจริงๆ!"นางร้องห่นร้องไห้อย่างรุนแรง "ตอนที่นางมาเยี่ยมข้าก่อนที่นางจะแต่งเข้ามา นางกล่อมให้ข้าปลื้มอกปลื้มใจ เอาแต่พูดว่าต่อไปไม่ต้องห่วงใยเรื่องอนาคตของพวกเจ้าสองคน จวนแม่ทัพมีพวกเจ้าสองคนจะเจริญรุ่งเรือง แต่แล้วล่ะ ตอนนี้เจ้าเป็นแค่ข้าราชการระดับชั้นเก้า เป็นองครักษ์ลาดตระเวน แล้วจะมีอนาคตสดใสอะไรกัน?"การถูกลดตำแหน่งก็หาใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นที่ราชสำนักมาก่อน แต่ถูกลดมาถึงระดับชั้นเก้าในชั่วพริบตา ในเมืองหลวง มีขุนนางระดับชั้นเก
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ชาวบ้านชาวเมืองเริ่มลือกันเรื่องที่ยี่ฝางถูกชาวซีจิงจับตัวไปและถูกข่มขืนในสนามรบเดิมทีหลังจากกลับจากเขตหนานเจียง ก็มีเสียงเช่นนี้แพร่ออกมา แต่ในเวลานั้นแค่ลือกันว่าถูกชาวแคว้นซาจับตัวไป แล้วข้าวลือก็เงียบหายไปในไม่ช้าแต่คราวนี้ หลังจากกลับมาจากฮูหยินโหวเจี้ยนคังกลังจากกล่าวขอโทษเสร็จ ก็ไม่มีใครโยนอุจจาระไปใส่หน้าประตูจวนแม่ทัพ อีก แต่เรื่องที่ยี่ฝางถูกจับตัวไปและโดนข่มขืนนั้นกลับเป็นข่าวร้อนแรงอีกข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงในเวลาเพียงไม่กี่วัน และจะต้องถูกกระจายออกนอกเมืองอย่างแน่นอนทุกคนในจวนเป่ยหมิงอ๋องต่างก็พูดถึงเรื่องนี้เช่นกันแม้แต่ซ่งซีซีก็รู้สึกว่ามันแปลก เรื่องมันผ่านมานานแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงถูกเอามาลืนกันอีก ยังร้อนแรงเช่นนี้ด้วย หรือว่ากองทัพทหารมีคนเปิดเผยข่าวหรือ เรื่องนี้กองทัพซวนเจียรู้อย่างชัดเจน แต่กองทัพซวนเจียฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด เรื่องแบบนี้คงไม่ถูกแพร่ออกไปได้เมื่อรอเซี่ยหลูโม่กลับมาจากหอต้าหลี่ ซ่งซีซีก็ถามเขาเซี่ยหลูโม่นั่งลง และจิบน้ำชาพลางขมวดคิ้วก่อนพูดว่า "มีคนจงใจเผยแพร่เรื่องนี้ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อวานนี้ว่า องค์ชายสามข
ภายในไม่กี่วันข่าวลือของยี่ฝางก็ไม่มีคนลือกันอีกอย่างที่คาดไว้นักเล่าเรื่องที่โรงเตี๊ยมต่างเปลี่ยนเนื้อเรื่องของพวกเขา โดยกล่าวว่าที่สงครามเขตหนานเจียงมีทหารถูกจับไปก็จริง แต่ฝ่ายเราก็จับทหารแคว้นซามาไม่น้อยเช่นกัน สุดท้ายทั้งสองประเทศได้แลกผู้ถูกจับกันและกัน เลยไม่มีทางเกิดเหตุการณ์ที่ว่าทรมานผู้ถูกจับของศัตรูหรือทหารแคว้นซาถูกทรมานหรือข่มขืนในสายตาของคนนอก นี่อาจเป็นเพียงข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริง แต่สำหรับคนที่อ่อนไหวต่อสถานการณ์ก็สังเกตเห็นบรรยากาศที่ไม่ปกติได้ประชาชนไม่รู้ว่าทหารจากเมืองซีจิงก็เข้าสู่สนามรบเขตหนานเจียงเพื่อช่วยเหลือแคว้นซา กิจการทางทหารที่สำคัญเช่นนี้จะต้องถูกเก็บเป็นความลับแม้ว่าจะมีคนที่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็มีน้อยมาก และไม่สามารถแพร่กระจายได้อย่างกว้างขวางเช่นนี้ เว้นแต่จะมีคนที่จงใจเผยแพร่ทหารประจำจวนของจวนเป่ยหมิงอ๋องได้รับการจัดตั้งขึ้น บรรดาทหารนั้นมีมากกว่าสองร้อยคนเป็นคนจากกองทัพเป่ยหมิง เซี่ยหลูโม่ไปขอกับฮ่องเต้นำพวกเขากลับมา เดิมทีคนเหล่านี้เป็นทหารของจวนอ๋องอยู่แล้ว ไม่ได้รับเงินเดือนจากราชสำนักฮ่องเต้ได้อนุญาต ถึงยังไงกองทัพเป่ยหมิงสอ
เสิ่นว่านจือและพรรคพวกพักอยู่ในจวนท่านอ๋องฮุยมาหลายวัน จนแทบจะพลิกจวนค้นหาไปทั่ว แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไร นางจึงตัดสินใจจะถอนตัวกลับ ในแต่ละวัน นางเอาแต่นั่งกินดื่มกับท่านอ๋องฮุย จนรู้สึกว่าตัวเองเกียจคร้าน เสียเวลาเปล่า โดยเฉพาะเมื่อซ่งซีซีกำลังยุ่งมาก แต่นางกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ ระหว่างมื้อเย็น นางจึงบอกกับท่านอ๋องฮุยว่าจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ท่านอ๋องฮุยมองนางพร้อมหัวเราะ "ทำไมหรือ? หรือจวนของข้าเลี้ยงดูเจ้าด้วยของดีๆ ไม่พอ?" เสิ่นว่านจือตอบอย่างตรงไปตรงมา "ท่านเลี้ยงดูดีเกินไป ทุกวันมีแต่ของเลิศรสจากป่าและทะเลจนข้ารู้สึกเกินพอ" "เจ้าช่างเป็นหมูป่าเสียจริง กินอาหารเลิศรสไม่เป็น!" ท่านอ๋องฮุยหัวเราะเสียงดัง "เอาเถอะ หากเจ้าอยู่เบื่อแล้ว ก็กลับไปเถิด" เขาเรียกลุงสิบสามมา สั่งว่า "เจ้าสิบสาม ไปที่คลังสมบัติ เลือกของขวัญสักสองสามชิ้นไว้ส่งให้พวกเขาในวันพรุ่งนี้" ลุงสิบสามตอบ "ขอรับ ข้าจะไปจัดการทันที" ลุงกวนที่ยืนรออยู่หน้าประตูได้ยินจึงกล่าวว่า "ฝ่าบาท ให้ข้าไปเถอะ" ท่านอ๋องฮุยมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า "อืม เจ้าก็ไปเถิด เลือกของดีๆ
เพราะการจัดกำลังป้องกันของกองทัพซวนเจีย เมืองหลวงจึงตกอยู่ในสภาวะระแวงระวังอย่างหนักด้วยการประกาศห้ามออกจากเคหสถานในเวลากลางคืน ทำให้สถานที่บันเทิงเริงรมย์ต่างๆ ดำเนินกิจการได้ลำบาก โรงน้ำชาและโรงสุราต่างปิดประตูทันทีเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เมืองหลวงในยามค่ำคืนราวกับเป็นเมืองร้างกลยุทธ์ในตอนนี้คือ ข้าศึกไม่เคลื่อนไหว เราก็ไม่เคลื่อนไหวงานก่อสร้างคลองยังคงดำเนินต่อไป หากหยุดงานโดยไม่มีเหตุผล กองทัพซวนเจียจะบุกล้อมทันทีเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ซ่งซีซีจึงยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้และถือไพ่เหนือกว่าหากงานก่อสร้างไม่หยุด กิจการคลองจะดำเนินไปตามปกติ ซึ่งเป็นผลดีทั้งต่อราชสำนักและราษฎรแม้การเผชิญหน้าระหว่างสองกองทัพยังไม่เกิดขึ้น แต่บรรยากาศของสงครามกลับเข้มข้นราวกับควันปืนที่เริ่มปกคลุมการเข้าออกประตูเมืองถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดทุกวัน เป็นไปไม่ได้ที่นกต่อจะไม่กลับมาเมืองหลวง เมื่อเดิมพันด้วยชีวิตและทรัพย์สิน เขาจะสั่งการจากระยะไกลได้อย่างไร?ก่อนหน้านี้ ซ่งซีซีสงสัยว่านกต่ออาจกลับมาแล้ว แต่เสิ่นว่านจือที่พักอยู่ในจวนอ๋องฮุยกลับไม่พบเบาะแสใดเลย อีกทั้งข้ารับใช้ใกล้ชิดของท่านอ๋องฮุยล้วนเป
แม้ว่าจะไม่ถูกต้องตามระเบียบ แต่ก่อนที่นางจีจะกลับไป ซ่งซีซีก็สั่งให้คนไปซื้อโจ๊กเนื้อบดสองหม้อ โดยอ้างว่าเป็นของชาวบ้านที่ต้องการขอบคุณฮูหยินจีสำหรับการแจกจ่ายโจ๊กตลอดหลายปีที่ผ่านมา และตอนนี้ต้องการตอบแทนบุญคุณครั้งนี้นางจีร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ นางหวังว่าลูกๆ จะได้ดื่มโจ๊กอุ่นๆ สักคำ แม้เพียงนิดเดียวหลังออกจากหอต้าหลี่ ซ่งซีซีครุ่นคิดแล้วสั่งให้อาจารย์หยูไปเล่าถึงเรื่องที่ชาวบ้านบริจาคโจ๊กให้เป็นที่แพร่หลายเดิมทีผู้คนยังจดจำความมีน้ำใจของนางจีที่แจกจ่ายโจ๊กได้ แต่ช่วงนี้เรื่องราวนั้นเริ่มเงียบหายไปตอนนี้จึงเหมาะที่จะใช้โอกาสนี้จุดกระแสเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งอาจารย์หยูจึงแต่งเรื่องเล็กน้อย โดยเล่าว่าชาวบ้านที่มอบโจ๊กเดิมทีเป็นคนเร่ร่อนชานเมืองหลวงที่อดอยากจนเกือบตาย ดื่มโจ๊กที่โรงทานหลายวันติดต่อกัน และก่อนออกจากเมืองหลวง โรงทานยังมอบเสบียงให้เขาห่อหนึ่งแม้ปัจจุบันชีวิตของเขาก็ไม่ได้ดีขึ้นนัก แต่เมื่อได้ยินว่าผู้มีพระคุณของเขาประสบเคราะห์ เขาจึงรีบเดินทางมาที่เมืองหลวงและซื้อโจ๊กอุ่นๆ สองหม้อมาส่งที่เรือนจำ พร้อมร้องขอให้นำไปให้ผู้มีพระคุณเซี่ยหรูหลิงซึ่งดูแลเรือนจำ เ
นางถามว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่?”หงเชวี่ยตอบว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอาการยังพอรับได้ แต่ถ้าหวังชิงหลูไข้สูงไม่ลด ก็อาจเป็นอันตรายได้ นางเครียดเกินไป ตอนที่พบนาง นางจับมือข้าไว้แน่น ถามว่าตัวเองจะตายหรือไม่ พูดแต่เรื่องเพ้อเจ้อ เดี๋ยวโทษคนนั้น เดี๋ยวโทษคนนี้ บางครั้งก็โทษตัวเองที่ตัดสินใจผิดพลาดหลายอย่าง”ซ่งซีซีไม่ได้พูดอะไร นางไม่มีสิทธิ์ตัดสินชีวิตของผู้อื่น เพียงแต่หวังว่านางจะไม่ทำให้ฮูหยินจีลำบากไปกว่านี้หากหวังชิงหลูเสียชีวิตในเรือนจำ จะสร้างความหวาดกลัวให้กับคนในตระกูลหวัง ซึ่งจะเพิ่มภาระทางจิตใจให้กับฮูหยินจีอย่างแน่นอน“หงเชวี่ย อีกสองวันเจ้าไปดูพวกเขาอีกทีนะ”หงเชวี่ยพยักหน้า “เจ้าค่ะ”ซ่งซีซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อีกสองวันเจ้าไป ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”นางอยากพูดคุยกับฮูหยินจีตามลำพัง เพราะในที่สิ้นหวังเช่นเรือนจำนั้น หากไม่มีแม้แต่คนพูดคุย มีเพียงเสียงร้องไห้ที่ไม่สิ้นสุด วันเวลาก็จะยืดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ เนื่องจากฝ่าบาททรงพระประชวรและงดราชกิจ นางจึงต้องไปพบเสนาบดีมู่เพื่อแจ้งเรื่องจินชางหมิงเปล
เนื่องจากฝ่าบาททรงส่งชีกุ้ยไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอก งานดูแลเรือนจำจึงถูกมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของหอต้าหลี่ดูแล และผู้ที่รับหน้าที่นี้คือเซี่ยหรูหลิงไม่นานนัก เซี่ยหรูหลิงก็เดินทางมาที่จวนเป่ยหมิงอ๋องเพื่อพบซ่งซีซี บอกว่ามีเรื่องที่เขาตัดสินใจไม่ได้ และขอให้ซ่งซีซีช่วยแนะนำซ่งซีซีรีบกินข้าวเพียงสองสามคำแล้วออกมาพบเขา เพราะกังวลว่าอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับฮูหยินจีและเด็กๆแต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่เซี่ยหรูหลิงกล่าว นางก็พบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูทั้งสองคนหลังจากถูกส่งตัวเข้าเรือนจำก็วิตกกังวลทุกวัน อีกทั้งอาหารยังแย่ยิ่งกว่าอาหารที่เคยให้สุนัขกิน หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เริ่มอาเจียนและท้องเสียก่อนหน้านี้ ซ่งซีซีเคยให้ยากับฮูหยินจี ซึ่งรวมถึงยาสำหรับอาการท้องเสียและปวดท้องเพราะไม่ชินสภาพแวดล้อม ยาทำให้อาการดีขึ้น แต่เพราะต้องกินอาหารแบบนั้นต่อไป อาการจึงกลับมาแย่ลงอีก และหวังชิงหลูก็มีไข้สูงฮูหยินผู้เฒ่าร้องขออย่างน่าสงสารให้ช่วยหาหมอ เซี่ยหรูหลิงไม่กล้าตัดสินใจ จึงออกมาขอคำปรึกษาจากซ่งซีซีซ่งซีซีถามว่า “แล้วคนอื่นล่ะ? มีอาการเหมือนกันหรือไม่?”“เดิมที
แต่ครั้งนี้เมื่อเข้าไปในวัง กลับไม่ได้พบฝ่าบาท อู๋ต้าปั้นออกมาแจ้งข่าวว่า วันนี้ฝ่าบาทไอจนมีเลือดปนและเกือบหมดสติ ตอนนี้หมอหลวงกำลังรักษาซ่งซีซีรีบถาม “เป็นเพราะพระวรกายอ่อนแอ หรือถูกลอบวางยาพิษ?”คำถามนี้ชัดเจนว่าแฝงด้วยความระแวง หากเป็นสถานการณ์ปกติหรือคนอื่น ซ่งซีซีคงไม่กล้าถามแต่สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างออกไป อีกทั้งคนที่นางเผชิญหน้าอยู่คืออู๋ต้าปั้น นางจึงถามอู๋ต้าปั้นถอนหายใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “หมอหลวงวินิจฉัยว่าไม่ได้ถูกวางยาพิษ แต่เพราะฝ่าบาททรงวิตกกังวลอย่างหนัก พักผ่อนน้อยและเบื่ออาหาร อีกทั้งสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ทรงติดเชื้อและไอมาแล้วหลายวัน แม้จะดื่มยามาหลายวันแต่ไม่ได้ผล วันนี้ไอไม่หยุดจนกระทั่งมีเลือดปนและแทบหายใจไม่ออก”เมื่อได้ยินว่าไม่ใช่การวางยาพิษ ซ่งซีซีก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย หากเป็นการวางยาพิษ ก็หมายความว่ามีคนแฝงตัวเข้ามาในวังแล้ว ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยากลำบากยิ่งขึ้นการไอเป็นเลือดอาจเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ได้ ซ่งซีซีจึงยังไม่จากไป แต่เฝ้ารออยู่ด้านนอกเพื่อรอหมอหลวงออกมาแจ้งสถานการณ์นอกจากซ่งซีซีแล้ว ยังมีขุนนางอีกหลายคนที่รอเพื่อกราบทูลเรื่อ
ซ่งซีซีนั่งกลับลงบนเก้าอี้ กล่าวว่า “เรื่องที่พวกเจ้าทุจริตนั้น ฝ่าบาททรงทราบดีแล้ว ตอนนี้ที่ทรงให้ข้าสอบสวนเป็นการส่วนตัว ก็เพื่อมอบโอกาสให้พวกเจ้า หากพูดความจริง หัวของเจ้าจะยังปลอดภัย หากให้ข้อมูลที่มีค่าเพิ่มเติม อย่างมากก็แค่ถูกเนรเทศไปทำงานนอกเมือง ยังสามารถโลดแล่นในวงราชการได้”เกาหมิงอวี้ที่มีประสบการณ์ในราชสำนักมานานย่อมรู้ดีว่าให้ข้อมูลที่มีค่ามากขึ้น หมายถึงการขายเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชาเขาไม่มีข้อสงสัยในคำพูดของซ่งซีซีด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือ ช่วงนี้อู๋เยว่และคนของเขาตรวจสอบทางน้ำอยู่เสมอ สองคือ ซ่งซีซีออกหน้ามาสอบสวนด้วยตัวเอง หากไม่มีพระราชโองการจากฝ่าบาท นางไม่จำเป็นต้องลงมือเอง จะส่งใครมาทรมานเขาก็ได้แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าซ่งซีซีวิเคราะห์เขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และคาดการณ์ความคิดของเขาไปก่อนแล้ว“พวกเจ้าทุจริตทั้งระบบ ท่าทีของจินชางหมิงเป็นอย่างไร?”เกาหมิงอวี้ครุ่นคิดก่อนตอบว่า “จะว่าไปจริงๆ แล้ว เขาเป็นคนเริ่มเปิดทางให้เราทุจริต โดยอ้างว่าเป็นค่าเหนื่อยของเรา เมื่อเริ่มต้นแล้ว เราลองเบิกเงินเกินมาเล็กน้อย เขาก็ไม่ว่าอะไร จากนั้นเรากล้าขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเขาเตือนเ
หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่สองวัน ซ่งซีซีตัดสินใจลงมือกับเกาหมิงอวี้ รองหัวหน้ากรมจัดการแม่น้ำเกาหมิงอวี้อายุสามสิบห้าปี รับราชการในกรมโยธามาแล้วห้าปี เขามีพื้นเพมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนา เมื่อยังเยาว์วัยพ่อแม่เสียชีวิต เพื่อให้เขาได้เรียนในสำนักที่ดีที่สุด เขาดูดทรัพย์สมบัติของพี่น้องจนหมดสิ้นหลังสอบจอหงวนได้ เขาเข้ารับราชการ และกลายเป็นคนโลภเงินอย่างที่สุด ขี้เหนียวอย่างยิ่งยวด ทอดทิ้งพี่น้องที่เคยเลี้ยงดูเขาไปเหมือนของไร้ค่า และไม่ติดต่อพวกเขาอีกเลยยังไม่หมดแค่นั้น เขาอ้างความหึงหวงเป็นเหตุผลในการหย่ากับภรรยาคนแรก แล้วแต่งงานกับบุตรสาวของอาจารย์ผู้มีพระคุณอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาคืออธิการสำนักไป๋หยุน ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ลูกสาวคนเดียวของอาจารย์แต่งงานกับเขา แต่ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเขาคือคนไร้ค่าและทรยศทว่าคนไร้ค่าเช่นนี้กลับใช้งานได้ดี เพราะความโลภ โกรธ หลง และความเห็นแก่ตัวของเขา มีจุดอ่อนที่สามารถกดดันจนยอมพูดทุกอย่างคืนนั้น ซ่งซีซีสั่งให้กุ้นเอ๋อร์จับตัวเขามายังเรือนทางตะวันตกของเมือง ขังเขาไว้หนึ่งคืน ให้เขาหวาดกลัวและหิวโหย จากนั้นค่อยสอบสวนในวันถัดไปเกาห
จักรพรรดิซูชิงมีราชโองการให้อู๋เยว่พาคนไปควบคุมงานโดยตรง ทว่า จินชางหมิงรับมือได้อย่างคล่องแคล่ว พาอู๋เยว่ไปตรวจสอบผลสำเร็จด้วยตนเองหลังจากเริ่มงานมาเป็นเวลานาน อ่างเก็บน้ำก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์คุณภาพของอ่างเก็บน้ำนั้นยอดเยี่ยม เขื่อนที่สร้างขึ้นมั่นคงดั่งกำแพงทองหลังจากตรวจสอบอ่างเก็บน้ำแล้ว ก็ไปตรวจสอบทางน้ำ ทุกพื้นที่ได้ขุดลอกเสร็จเรียบร้อย ส่วนเขื่อนที่เสียหายก่อนหน้านี้ก็ได้รับการซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงแล้วอู๋เยว่ยังส่งคนไปพูดคุยกับคนงานก่อสร้างทางน้ำ ชายฉกรรจ์แต่ละคนที่ผิวคล้ำแดด ดูซื่อๆ ขัดเขินเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าขุนนางส่วนใหญ่ถามอะไรก็ตอบสิ่งนั้น หากให้พวกเขาบอกความไม่พอใจอะไร พวกเขามักลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะถามว่าอาหารสามารถปรับปรุงได้ไหม โดยเฉพาะเพิ่มหมูติดมันให้หน่อยอู๋เยว่คิดว่าคนเหล่านี้เป็นคนเรียบง่าย ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีความเคียดแค้นในแววตาเขายังพาคนไปดูที่พักชั่วคราวของคนงานก่อสร้างเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกระท่อมไม้และกระท่อมหญ้าแฝก ภายในมีเพียงที่นอนใหญ่ที่รองรับคนได้เจ็ดแปดคน ดูรกเล็กน้อยในกระท่อมไม่มีอาวุธ เครื่องมือที่ต้องใช้ทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในค