จ้านเป่ยว่างพายี่ฝางไปที่จวนโหวเจี้ยนคังอีกครั้ง คราวนี้เขานำของขวัญมากมายมาด้วย จ้านเป่ยว่างถึงขนาดคุกเข่าที่หน้าประตูเพื่อขอพบเขาถือว่าเขาโชคดีด้วย โหวเจี้ยนคังไม่ได้อยู่ในจวน หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องนี้แล้ว นางก็เชิญพวกเขาเข้าไปยี่ฝางมีสีหน้าเย็นชตลอดเวลา โดยไม่มีความตั้งใจที่จะกล่าวขอโทษเลยแต่ฮูหยินผู้เฒ่าโหวเจี้ยนคังดูเหมือนจะไม่สนใจ และยังสั่งให้เติมน้ำชาให้พวกเขาด้วยลูกสะใภ้ หลานสะใภ้และหลนสะใภ้ต่างยืนอยู่ข้างๆ ล้วนจ้องมองไปที่ยี่ฝางด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรจ้านเป่ยว่างคุกเข่าลงและพูดว่า "จ้านเป่ยว่างมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่า ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีสุขภาพแข็งแรง"ยี่ฝางก็คุกเข่าลงอย่างไม่เต็มใจแต่ไม่ได้พูดอะไรเลย ใช้ผ้าปิดหน้าไว้ ราวกับปากของนางถูกอะไรปิดกั้นเอาไว้อย่างไรอย่างนั้นฮูหยินผู้เฒ่าให้พวกเขาไม่ต้องมากพิธี และเชิญให้พวกเขานั่งลงจ้านเป่ยว่างพูดด้วยความกังวลมากว่า "ฮูหยินผู้เฒ่า วันนั้นภรรยาของข้าพูดหยาบคาย ไปก้าวร้าวฮูหยินผู้เฒ่าเข้า หวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะยกโทษให้ด้วย""มันแค่หยาบคายเหรอ? นางสาปแช่งต่างหาก" นางเฉิน หลานสะใภ้ของฮูหยินผู้เฒ่าพูดด้วยความโกรธ
สีหน้าของยี่ฝางเปลี่ยนไปอย่างมาก คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่านี้มันจี้ใจดำของนางชัดๆพูดถูกทุกประการเลยนางกำลังมองหาโอกาสที่จะเอาชนะซ่งซีซี เพื่อพิสูจน์ว่านางเก่งกว่าซ่งซีซีความคิดนี้ทรมานนางอยู่ทั้งวันทั้งคืน นางนอนไม่หลับ กินไม่ลง และมีความโกรธดันอยู่ในใจทุกวันคนที่นางแค้นขนาดนั้น ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่เห็นนางอยู่ในสายตา?นางไม่เชื่อ!นางกำหมัดแน่นแล้วพูดว่า "ฮูหยินผู้เฒ่าเคยเจอคนมามากมาย แต่เคยเจอคนหน้าซื่อใจคดจนชินเป็นนิสัยไหม ท่านเคยเห็นคนที่เหยียบย่ำผลงานทางทหารของคนอื่นเพื่อปีนขึ้นไปที่สูงหรือไม่ ท่านเคยเห็นคนประเภทที่ใช้ผลงานของท่านพ่อพี่ชายตนเองถึงที่สุดแต่ยังไม่พอใจหรือไม่ เคยเจอคนที่ไม่สนใจการตายร้ายดีของสหายร่วมรบและปล่อยให้พวกเขาถูกศัตรูจับตัวไป คนแบบนี้ กลับสามารถเป็นพระชายา ฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่าพระเจ้ายุติธรรมไหม?"ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้ม แต่รอยย่นบนคิ้วของนางทำให้นางดูเป็นมิตรเป็นพิเศษ "คนแบบนี้มีแต่อยู่ในจินตนาการของเจ้าเท่านั้น ข้าจะเจอคนแบบนั้นได้อย่างไร"สีหน้าของยี่ฝางดูแย่มาก แม้จะมีผ้าคลุมปิดหน้าอยู่ แต่สามารถมองเห็นความโกรธของนางในตอนนี้ "ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เชื่อในสิ่งที่ข
ในท้ายที่สุดข่าวเรื่องจ้านเป่ยว่างถูกลดตำแหน่งเป็นองครักษ์ระดับเก้าของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงก็ไม่สามารถปกปิดจากฮูหยินผู้เฒ่าได้ หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องนี้ นางก็ทุบหน้าอกของตนเองและร้องไห้อย่างขมขื่นนางสาปแช่งเสียงดัง โดยบอกว่าเป็นเพราะแต่งยี่ฝางผู้นำโชคร้ายเข้าจวน เลยทำให้จ้านเป่ยว่างหมดอนาคตเลยนางส่งคนไปตามหายี่ฝาง แต่ยี่ฝางไม่สนใจนางเลย และไล่ยายแก่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าออกไปโดยตรงสิ่งนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นางทุบขอบข้างเตียงแล้วพูดกับจ้านเป่ยว่างว่า "ทำไมตอนแรกจะหาคนที่ไม่เอาไหนคนนี้มา เป็นความโชคร้ายของตระกูงจริงๆ!"นางร้องห่นร้องไห้อย่างรุนแรง "ตอนที่นางมาเยี่ยมข้าก่อนที่นางจะแต่งเข้ามา นางกล่อมให้ข้าปลื้มอกปลื้มใจ เอาแต่พูดว่าต่อไปไม่ต้องห่วงใยเรื่องอนาคตของพวกเจ้าสองคน จวนแม่ทัพมีพวกเจ้าสองคนจะเจริญรุ่งเรือง แต่แล้วล่ะ ตอนนี้เจ้าเป็นแค่ข้าราชการระดับชั้นเก้า เป็นองครักษ์ลาดตระเวน แล้วจะมีอนาคตสดใสอะไรกัน?"การถูกลดตำแหน่งก็หาใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นที่ราชสำนักมาก่อน แต่ถูกลดมาถึงระดับชั้นเก้าในชั่วพริบตา ในเมืองหลวง มีขุนนางระดับชั้นเก
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ชาวบ้านชาวเมืองเริ่มลือกันเรื่องที่ยี่ฝางถูกชาวซีจิงจับตัวไปและถูกข่มขืนในสนามรบเดิมทีหลังจากกลับจากเขตหนานเจียง ก็มีเสียงเช่นนี้แพร่ออกมา แต่ในเวลานั้นแค่ลือกันว่าถูกชาวแคว้นซาจับตัวไป แล้วข้าวลือก็เงียบหายไปในไม่ช้าแต่คราวนี้ หลังจากกลับมาจากฮูหยินโหวเจี้ยนคังกลังจากกล่าวขอโทษเสร็จ ก็ไม่มีใครโยนอุจจาระไปใส่หน้าประตูจวนแม่ทัพ อีก แต่เรื่องที่ยี่ฝางถูกจับตัวไปและโดนข่มขืนนั้นกลับเป็นข่าวร้อนแรงอีกข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงในเวลาเพียงไม่กี่วัน และจะต้องถูกกระจายออกนอกเมืองอย่างแน่นอนทุกคนในจวนเป่ยหมิงอ๋องต่างก็พูดถึงเรื่องนี้เช่นกันแม้แต่ซ่งซีซีก็รู้สึกว่ามันแปลก เรื่องมันผ่านมานานแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงถูกเอามาลืนกันอีก ยังร้อนแรงเช่นนี้ด้วย หรือว่ากองทัพทหารมีคนเปิดเผยข่าวหรือ เรื่องนี้กองทัพซวนเจียรู้อย่างชัดเจน แต่กองทัพซวนเจียฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด เรื่องแบบนี้คงไม่ถูกแพร่ออกไปได้เมื่อรอเซี่ยหลูโม่กลับมาจากหอต้าหลี่ ซ่งซีซีก็ถามเขาเซี่ยหลูโม่นั่งลง และจิบน้ำชาพลางขมวดคิ้วก่อนพูดว่า "มีคนจงใจเผยแพร่เรื่องนี้ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อวานนี้ว่า องค์ชายสามข
ภายในไม่กี่วันข่าวลือของยี่ฝางก็ไม่มีคนลือกันอีกอย่างที่คาดไว้นักเล่าเรื่องที่โรงเตี๊ยมต่างเปลี่ยนเนื้อเรื่องของพวกเขา โดยกล่าวว่าที่สงครามเขตหนานเจียงมีทหารถูกจับไปก็จริง แต่ฝ่ายเราก็จับทหารแคว้นซามาไม่น้อยเช่นกัน สุดท้ายทั้งสองประเทศได้แลกผู้ถูกจับกันและกัน เลยไม่มีทางเกิดเหตุการณ์ที่ว่าทรมานผู้ถูกจับของศัตรูหรือทหารแคว้นซาถูกทรมานหรือข่มขืนในสายตาของคนนอก นี่อาจเป็นเพียงข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริง แต่สำหรับคนที่อ่อนไหวต่อสถานการณ์ก็สังเกตเห็นบรรยากาศที่ไม่ปกติได้ประชาชนไม่รู้ว่าทหารจากเมืองซีจิงก็เข้าสู่สนามรบเขตหนานเจียงเพื่อช่วยเหลือแคว้นซา กิจการทางทหารที่สำคัญเช่นนี้จะต้องถูกเก็บเป็นความลับแม้ว่าจะมีคนที่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็มีน้อยมาก และไม่สามารถแพร่กระจายได้อย่างกว้างขวางเช่นนี้ เว้นแต่จะมีคนที่จงใจเผยแพร่ทหารประจำจวนของจวนเป่ยหมิงอ๋องได้รับการจัดตั้งขึ้น บรรดาทหารนั้นมีมากกว่าสองร้อยคนเป็นคนจากกองทัพเป่ยหมิง เซี่ยหลูโม่ไปขอกับฮ่องเต้นำพวกเขากลับมา เดิมทีคนเหล่านี้เป็นทหารของจวนอ๋องอยู่แล้ว ไม่ได้รับเงินเดือนจากราชสำนักฮ่องเต้ได้อนุญาต ถึงยังไงกองทัพเป่ยหมิงสอ
นี่เป็นงานเลี้ยงแรกที่จัดโดยซ่งซีซี หลังจากที่นางแต่งเข้าจวนอ๋องหากจัดได้ไม่ดีก็จะทำให้คนอื่นหัวเราะได้ โดยเฉพราะที่สนมฮุ่ยไทเฟยให้ความสำคัญกับงานวันเกิดของตนเองมากนัก นางย่อมไม่อยากให้งานวันเกิดของตนเองเป็นเรื่องตลกอย่างแน่นอนดังนั้น นางจึงต้องถามสนมฮุ่ยไทเฟยด้วยตนเองว่ามีผู้ใดบ้างที่นางต้องเชิญหรือไม่?สนมฮุ่ยไทเฟยแสร้งคิดอยู่นานและกล่าวว่า "เต๋อกุ้ยไทเฟย ฉีกุ้ยไทเฟย หากพวกนางสามารถออกจากวังก็เชิญมาเลย ส่วนคนอื่นๆ นั้นเจ้าตัดสินใจเอง"ซ่งซีซีรู้ดีว่าพวกนางต้องได้รับเชิญแน่ๆ โดยเฉพาะเต๋อกุ้ยไทเฟยซ่งซีซีรู้สึกแปลกใจ ที่จริงแล้วคนโปรดของฮ่องเต้องค์ก่อนไม่ใช่พวกนาง แต่เป็นพระสนมซูไทเฟยและพระสนมหวั้นกุ้ยไทเฟยที่ตายไปแล้วทำไมนางถึงไม่ลงรอยกันกับเต๋อกุ้ยไทเฟยและฉีกุ้ยไทเฟยตลอดล่ะ?ตอนนี้เนื่องจากการเกี่ยวดองกับตระกูลฉี ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับฉีกุ้ยไทเฟยจึงดีขึ้นมาหน่อย แต่สำหรับเต๋อกุ้ยไทเฟยแล้วยังคงต่อสู้ไปมาและไม่ลงรอยกันซ่งซีซีอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย "เต๋อกุ้ยไทเฟยเคยทำให้ท่านขุ่นเคืองใจหรือ"สนมฮุ่ยไทเฟยสบถขึ้นมาเบา "อย่าถูกหลอกด้วยรูปร่างหน้าตาภายนอกของนาง คนๆ นี้ดูจ
แม่นมเกาส่งรายชื่อมาให้ ชื่อก่อนเข้าวัง ชื่อหลังเข้าวัง บ้านเกิด อายุ ปีที่เข้าวัง และวังที่เคยรับใช้บ้าง ล้วนเขียนไว้อย่างละเอียดเมื่อดูเผินๆ ไม่มีอะไรผิดปกติจริงๆ มีเพียงสามคนเท่านั้นที่เคยรับใช้ในตำหนักอื่น ได้แก่ หลานเยว่ จิ้งซิน และซู่หลานป้าหลานเยว่เคยรับใช้พระสนมหวั้นกุ้ยเฟยมา หลังจากพระสนมหวั้นกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์ หลานเยว่ก็ถูกมอบให้แก่สนมฮุ่ยไทเฟยโดยไทเฮาเดิมทีจิ้งซินและซู่หลานเป็นคนดูแลพระสนมลี่เฟยของฮ่องเต้องค์ก่อน พระสนมลี่เฟยเป็นสนมคนโปรดในขณะนั้น แต่นางเสียชีวิตกะทันหัน ได้ยินว่าตายด้วยโรคร้ายแรงหลังจากที่พระสนมลี่เฟยสิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้องค์ก่อนก็โกรธมากจนเอาผิดคนที่อยู่ข้างกายนาง โดนลงโทษถูกวางยาตายหมด มีแต่จิ้งซินและซู่หลานที่ถูกไทเฮาเรียกไปดูแลสนมฮุ่ยไทเฟยที่กำลังป่วยนั้น เลยได้รอดชีวิตสำหรับคนอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นคนที่สนมฮุ่ยไทเฟยนำจากจวนของตนเอง แม่นมเกาเป็นพี่เลี้ยงเด็กของสนมฮุ่ยไทเฟย และสนมฮุ่ยไทเฟยถือว่านางเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กไม่มีทางที่จะมีปัญหากับแม่นมเกา และสำหรับคนที่ถูกนำเข้ามาในวังจากจวนนั้นก็คงไม่มีปัญหาเช่นกันซ่งซีซีเลยสั่งให้ผู้คนจับตาดูทั้งสามคน
องค์หญิงใหญ่ยิ้มอย่างเย็นชา "จะรีบร้อนทำไม อยากทำเรื่องนี้ให้สำเร็จก็ต้องให้สนมฮุ่ยไทเฟยมาจัดการเอง""สนมฮุ่ยไทเฟย?" ท่านหญิงเจียอี้นึกถึงครั้งสุดท้ายที่แม่สามีและลูกสะใภ้สองคนมาทวงเงิน และนางก็อดไม่ได้ที่จะโกรธขึ้นมา "ตอนนี้นางเป็นพวกเดียวกันกับซ่งซีซีแล้ว จะยอมเชื่อฟังเราหรือ?"องค์หญิงใหญ่ค่อยๆ หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ "นางไม่ฟังเรา แต่วิธีการยั่วยุมันก็มีผลกับนางตลอด มีคนหนึ่งสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้"ดวงตาของท่านหญิงเจียอี้เป็นประกาย "จะใช้วิธียั่วยุงั้นเหรอ เต๋อกุ้ยไทเฟย"นางตบขาแล้วพูดว่า "ท่านแม่เป็นคนคิดรอบคอบจริงๆ ฉีอี๋เยว่ พระชายาฉินอ๋องมีบุตรสาวคนหนึ่ง ส่วนชายารองหยวนก็มีบุตรชายและบุตรสาวสองคน ชายารองหมิงก็มีบุตรสาวหนึ่งคน ตอนนี้ก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ คาดว่าที่ชายารองหมิงกำลังตั้งครรภ์นั้น สนมฮุ่ยไทเฟยยังไม่รู้เรื่อง แต่ถ้านางรู้ นางจะถูกยั่วให้เกิดความคิดแต่งอนุภรรยาให้เซี่ยหลูโม่ พวกนางสองแม่สามีและลูกสะใภ้หากทะเลาะกัน งั้นก็สนุกน่าดูเลย"องค์หญิงใหญ่ดื่มชาช้าๆ เมื่อน้ำชาเย็นแล้ว นางก็สั่งให้คนใช้ชงชาอีกแก้ว "พวกนางคงไม่มีทางอยู่ฝ่ายเดียวกันตลอดหรอก แม่สามีกับลูกสะใภ้ถึงยังไงก
จักรพรรดิ์ซูชิงดูเหมือนจะทรงได้สติขึ้นมากกว่าตอนที่อยู่ในวัง ไม่ได้ทรงเลื่อนลอยเหมือนก่อนหน้านี้ พระองค์ทรงแย้มพระสรวล “ไม่ต้องเคร่งครัดนัก ทำตัวตามสบาย เฮ้อ ข้าเพียงรู้สึกอึดอัดในใจเลยอยากมาที่จวนอ๋องเพื่อสนทนากับอาจารย์เสิ่น” ซ่งซีซีจึงกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระหม่อมคงไม่ขัดพระองค์และศิษย์พี่ ขออนุญาตกลับไปพักผ่อน” “ไม่ต้องรีบไป ในเมื่อมาแล้วก็มาร่วมพูดคุยกันเถิด” จักรพรรดิ์ซูชิงทรงมองนางด้วยสายพระเนตรที่ดูเป็นห่วง “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซ่งซีซีที่เพิ่งยันตัวลุกขึ้นต้องวางมือลงอีกครั้ง ตอบว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย กระหม่อมดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่หมอหลวงกำชับให้พักฟื้นบนเตียงสักระยะ” “อืม” จักรพรรดิ์ซูชิงพยักพระพักตร์ “บาดเจ็บกล้ามเนื้อและกระดูก ควรต้องพักรักษาให้ดี” แม้พระองค์จะตรัสเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ทรงอนุญาตให้นางกลับไป ทั้งห้องจึงมีทั้งผู้ที่นั่งและยืนอยู่เงียบๆ เพื่อรอพระราชดำรัส ผ่านไปสักพัก จักรพรรดิ์ซูชิงทรงทำลายความเงียบขึ้นก่อน “มีอาหารว่างหรือไม่? ข้าหิวแล้ว” อู๋ต้าปั้นเมื่อได้ยินรีบกล่าว “ฝ่าบาทยังมิได้เสวยอาหารค่ำ รีบจัดเตร
ข่าวคราวเรื่องราวในห้องหนังสือและตำหนักฉือหนิงได้ถูกนำขึ้นกราบทูลถึงพระกรรณของจักรพรรดิ์ซูชิง ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกกระวนกระวายและอึดอัดพระทัยยิ่งนัก รวมทั้งการวางแผนงานตลอดหลายวันที่ผ่านมา ยิ่งทำให้พระอาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้นจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พระองค์ทรงยกเลิกการกักบริเวณฮองเฮา โดยแท้จริงแล้วก็เพื่อเตรียมตัวให้องค์ชายใหญ่ หากจะทรงแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ตำแหน่งนี้ย่อมไม่อาจมีมารดาที่ถูกกักบริเวณได้ ตอนแรกทรงคิดว่า ช่วงเวลากักบริเวณนี้ ฮองเฮาคงจะได้สำนึกผิด ทราบดีว่าการตามใจบุตรไม่ต่างอะไรกับการผลักดันบุตรไปสู่ความตาย แต่ใครจะคาดคิดว่าฮองเฮาไม่เพียงไม่สำนึกผิด กลับยิ่งเชื่อว่าการมีพระโอรสอยู่ใกล้ตัวจะช่วยเสริมความมั่นคงให้ตำแหน่งพระมเหสีของนาง เนื่องจากไม่ค่อยอยากอาหาร พระกระยาหารค่ำในวันนั้น พระองค์เสวยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อประทังพระอุทร ก่อนเสวยยา พระองค์จำเป็นต้องเสวยยา เพราะแต่ละวันผ่านไปนับเป็นกำไร แต่ด้วยวันสุดท้ายของพระชนม์ชีพที่นับถอยหลังเข้ามาใกล้ หลังจากทรงวางแผนการ พระทัยกลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น พระองค์ทรงทราบดีว่าทุกคนล้วนต้องผ่านความตายนี้ แต
ฮองเฮาเลือกเวลาอย่างเหมาะสม ไปยังห้องหนังสือเพื่อรับองค์ชายใหญ่ แล้วจึงพากันกลับไปยังตำหนักฉือหนิงเพื่อถวายพระพรไทเฮา กลุ่มคนที่ตามหลังมานั้นอลังการยิ่งนัก แม้แต่องค์ชายใหญ่ยังถูกข้ารับใช้ตัวน้อยอุ้มกลับมา พอมาถึงประตูตำหนักจึงวางเขาลง ฮองเฮาจัดระเบียบอาภรณ์ให้เรียบร้อย แล้วจูงมือองค์ชายใหญ่เข้าไปด้านใน ทำความเคารพด้วยการคุกเข่าตามธรรมเนียม ถวายพระพรไทเฮาอย่างครบถ้วน แต่ไทเฮากลับมิทรงอนุญาตให้นางลุกขึ้นทันที เพียงเรียกองค์ชายใหญ่เข้าไปใกล้ "วันนี้ไทฟู่ชมเจ้าหรือไม่?" องค์ชายใหญ่หดคอเล็กน้อย มองไทเฮาอย่างระมัดระวัง ก่อนตอบเสียงเบา "วันนี้ไทฟู่ลืมชมขอรับ" ฮองเฮาที่ยังคุกเข่าอยู่รีบเสริมว่า "เสด็จแม่ ไทฟู่เข้มงวดนัก มิชมผู้ใดง่ายๆ" แน่นอนว่าฮองเฮาหาได้ทราบไม่ว่า ไทเฮาเคยตกลงกับไทฟู่ว่าหากองค์ชายใหญ่ประพฤติดีและตั้งใจเรียน ไทฟู่จะกล่าวชมเมื่อตอนเลิกเรียน หากมิใช่ก็จะเงียบเสีย ด้วยเหตุนี้ ไทเฮาจึงทรงทราบถึงความประพฤติขององค์ชายใหญ่ในแต่ละวันโดยง่าย ไทเฮามิทรงตอบคำของฉีฮองเฮา เพียงตรัสกับองค์ชายใหญ่อย่างเรียบๆ ว่า "ยังจำกฎเกณฑ์ได้หรือไม่?" องค์ชายใหญ่หน้าซีด รีบ
สองแม่ลูกพูดคุยกันในห้องทรงพระอักษรเกือบสองชั่วโมง หลังจากไทเฮาเสด็จกลับ จักรพรรดิ์ซูชิงมีพระราชโองการให้ปลดโทษกักบริเวณของฮองเฮา แต่ยังไม่คืนสิทธิ์การบริหารวังหลังให้ ฉีฮองเฮาเมื่อได้ยินคำประกาศจากอู๋ต้าปั้น ก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ไฉนถึงยกเลิกโทษกักบริเวณอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ในทันใดนั้น นางก็คิดได้ว่าคงเป็นเพราะคำพูดที่ให้นักเลงปากมอมแพร่ออกไปก่อนหน้านี้ได้ผล ฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ แต่จะส่งรัชทายาทไปเลี้ยงดูในวังไทเฮา เช่นนี้ไม่สมเหตุสมผล ดังนั้น หลังจากนางได้รับการปลดโทษ นางไม่ได้รีบไปขอบคุณพระมหากษัตริย์ แต่เลือกไปที่โรงเรียนหลวงเพื่อเยี่ยมองค์ชายใหญ่ เมื่อองค์ชายใหญ่เห็นฮองเฮา ทรงดีพระทัยจนสุดขีด ไม่สนใจว่าไทฟู่ยังสอนอยู่ รีบลุกขึ้นพุ่งตัวราวกับนกที่พ้นกรง กระโจนเข้าสู่อ้อมอกของฉีฮองเฮา "เสด็จแม่ ลูกคิดถึงท่านเหลือเกิน ท่านจะพาลูกกลับไปเมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ?" ฮองเฮาก้มลงจับบ่าของพระองค์ ลูบเส้นผม แล้วสังเกตดูอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นว่าไม่ได้สวมเสื้อขนสัตว์ และตัวผอมลงมาก คางแหลม นางก็อดปวดใจไม่ได้ "เหตุใดเจ้าผอมเช่นนี้? ที่วังเสด็จย่าไม่ได้เลี้ยงดูอย่างดีหรือ?" องค์
รุ่งขึ้น เสนาบดีมู่มาถึงสำนักหมอหลวง บรรดาหมอหลวงทั้งหมด รวมทั้งเจ้าสำนักอยู่พร้อมหน้า เสนาบดีมู่ประทับนั่งลงก่อนมองพวกเขาด้วยแววตาหนักอึ้ง "ข้าถามพวกเจ้าเพียงคำเดียว โรคของฝ่าบาท พวกเจ้ามีความมั่นใจหรือไม่?" เหล่าแพทย์เงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่อู๋ย่วนเจิ้งจะเงยหน้าที่ตาแดงก่ำเพราะอดหลับอดนอนขึ้นมองเสนาบดีมู่แล้วส่ายหน้า "ไม่มีขอรับ" "ไม่มีเลยหรือ?" เสนาบดีมู่ถามด้วยท่าทีเหมือนไม่ยอมแพ้ "แม้แต่ความหวังเล็กๆ หรือวิธีการสักนิด?" ในความเงียบงันอีกครั้ง ดวงตาของเสนาบดีมู่ค่อยๆ หมองลงจนไร้แสง เขาถอนหายใจยาว "หากระดมกำลังจากสำนักหมอหลวงทั้งหมด จะยืดเวลาออกไปได้ถึงสองปีหรือไม่?" อู๋ย่วนเจิ้งมีสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "ท่านเสนาบดี โรคปอดทรุดนี้กำเริบอย่างรุนแรง อย่าว่าแต่สองปีเลย เพียงหนึ่งปีก็...ยากมากพ่ะย่ะค่ะ" ครั้งนี้ถึงคราวเสนาบดีมู่เงียบไปนาน ก่อนทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง "ระวังคำพูดของพวกเจ้าด้วย" เขาค่อยๆ เดินออกจากสำนักหมอหลวง พลางกระชับเสื้อคลุมให้แน่น ฤดูหนาวผ่านเข้ามาเร็วนัก อากาศยิ่งหนาวจนแทงกระดูก ไทเฮาดูเหมือนจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่แสงไฟในสำนักหมอหลวงสว่างตล
คืนนี้ เสนาบดีมู่พักอยู่ในวัง จักรพรรดิ์ซูชิงยังคงไม่ได้เสด็จไปยังฝ่ายใน หรือแม้แต่ห้องบรรทมของพระองค์เอง แต่กลับพักผ่อนอยู่บนเตียงลั่วฮั่นในห้องทรงพระอักษร เสนาบดีมู่มองพระองค์เสวยยาเสร็จ แล้วหยิบขนมหวานมอบให้ จักรพรรดิ์ซูชิงรับมาแต่ยังไม่เสวย ทรงยิ้มด้วยสายตา "จำได้ว่าเมื่อครั้งยังเยาว์ เสด็จพ่อเคยทรงลงโทษข้าในห้องทรงพระอักษร พอออกมา ท่านเสนาบดีจะให้ขนมหวานข้าหนึ่งชิ้น พร้อมคำให้กำลังใจ" เสนาบดีมู่มองพระองค์ "ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็ยังจำได้ ฝ่าบาทเคยตรัสกับกระหม่อมว่า จะทรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าทำให้ท่านผิดหวังหรือไม่?" จักรพรรดิ์ซูชิงเสวยขนมหวานเข้าไป น้ำเสียงจึงพร่ามัว เสนาบดีมู่กล่าว "ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ในใจของกระหม่อม ฝ่าบาททรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าไม่ใช่" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสด้วยความเศร้าหมอง "ข้ายังมีปณิธานอีกมาก แต่เกรงว่าจะไม่มีโอกาสทำได้" "สำนักหมอหลวงยังไม่ได้ลงความเห็นแน่ชัด ฝ่าบาทไม่ควรทรงหมดกำลังใจ" เสนาบดีมู่กล่าวปลอบ แม้ถ้อยคำจะดูแห้งแล้ง "ข้าเพียงมีเรื่องให้เสียใจอยู่บ้าง แต่ยิ่งกว่านั้น ข้าคิดการณ์ใหญ่" จักรพรรดิ์ซูชิงเอนกายลงบน
เรื่องนี้ใหญ่เกินไป ทำให้ซ่งซีซีสมองมึนงง คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต องค์ชายใหญ่แทบไม่มีข้อกังขาว่าจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ และคาดว่าไม่นานตำแหน่งองค์รัชทายาทจะถูกแต่งตั้ง เมื่อฮ่องเต้หนุ่มเยาว์ขึ้นครองราชย์ จำเป็นต้องมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และไม่ใช่เพียงคนเดียว ซึ่งจะทำให้ราชสำนักแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย สถานการณ์ในราชสำนักจะวุ่นวาย หากไม่มีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการ อาจเป็นไทเฮาหรือฉีฮองเฮาที่ปกครองราชสำนักแทน ฮองเฮาเป็นคนทะเยอทะยาน แม้ตอนนี้ถูกกักบริเวณก็ยังคงวางแผนเพื่อองค์ชายใหญ่ ตระกูลฉีมีอำนาจใหญ่โต แม้ช่วงนี้จะถูกฝ่าบาทกดดัน แต่หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต และองค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ ตระกูลฉีก็จะกลับมาผงาดอีกครั้ง ใครจะไม่อยากได้อำนาจ? เสนาบดีมู่ชราภาพและมีความคิดที่จะวางมือ แม้เขาอยากจะช่วยค้ำจุนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ แต่สถานการณ์ในตอนนั้นอาจไม่เอื้ออำนวย นี่เป็นเรื่องในอนาคต สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ หากฝ่าบาทเหลือเวลาเพียงหนึ่งปี พระองค์ย่อมจะกวาดล้างอุปสรรคและภัยคุกคามทั้งหมดเพื่อเปิดทางให้องค์ชายใหญ่ก่อนเสด็จสวรรคต และจวนเป่ยหมิงอ๋องก็คือภัยคุกคามที่
ผู้ที่ควรมาเยี่ยมก็มาเยี่ยมกันครบแล้ว ซ่งซีซีจึงสามารถพักฟื้นได้อย่างสบายใจ มีเพียงหมอหลวงหลินที่ยังมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว พร้อมนำยารักษาและยาลดรอยแผลเป็นมาให้ อาจารย์หยูมักจะคอยอยู่ข้างๆ คอยกล่าวขอบคุณหมอหลวงหลิน และฝากให้ช่วยกราบทูลขอบพระทัยฝ่าบาท วันหนึ่ง หมอหลวงหลินมาพร้อมกับอู๋ต้าปั้น อาจารย์หยูเห็นว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก จึงเชิญหมอหลวงหลินออกไปอ้างว่าขอคำแนะนำเรื่องรอยแผลเป็น เพื่อเปิดโอกาสให้พระชายาได้พูดคุยกับอู๋ต้าปั้นตามลำพัง ซ่งซีซีเชิญอู๋ต้าปั้นนั่งลงแล้วถามว่า "ฝ่าบาททรงส่งท่านมาหรือ?" อู๋ต้าปั้นถือพัดขนนกวางไว้ที่ข้อศอก มองไปที่องครักษ์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักแล้วกล่าวว่า "ฝ่าบาททรงส่งข้ามา และข้าก็อยากมาเอง พระชายาบาดเจ็บดีขึ้นบ้างหรือไม่?" ซ่งซีซีลังเลเล็กน้อย ก่อนมองเขาตรงๆ แล้วถามว่า "ท่านคิดว่า บาดแผลข้าหายดีแล้วหรือ?" อู๋ต้าปั้นถอนหายใจ "พระชายาโปรดอภัย บาดแผลดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินได้" ซ่งซีซีฝืนยิ้ม "อย่างที่ท่านว่ามา ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังเดินไม่ได้" "พระชายาอย่าใจร้อน รีบพักฟื้นเถิด" อู๋ต้าปั้นกล่าว ซ่งซีซีพูดเบาๆ "ข้าก็ใจร้
หยานหรูอวี้ย่อตัวคำนับ "เช่นนั้นข้าคงไม่รบกวนพวกท่าน ขอตัวเจ้าค่ะ" "เดินทางดีๆ นะ!" จีซูเซิ่นยิ้มส่งด้วยความอบอุ่น หลังจากหยานหรูอวี้จากไป จีซูเซิ่นหันไปมองหวังชิงหรู เห็นแววตาของนางที่เคยสดใสกลับมืดมนและเต็มไปด้วยความเศร้าใจ จีซูเซิ่นรู้ว่านางกำลังเสียใจอีกครั้งจึงกล่าวว่า "เรื่องที่ผ่านมาแล้วคิดไปก็ไร้ประโยชน์ เข้าไปข้างในเถอะ" การที่หวังชิงหรูมาหาซ่งซีซีในวันนี้ ต้องใช้ความกล้าอย่างมหาศาล เพราะนางติดค้างซ่งซีซีทั้งคำขอโทษและคำขอบคุณ ที่บอกว่ามากับพี่สะใภ้ในวันนี้ ที่จริงแล้วคือการเผชิญหน้ากับเรื่องราวในอดีต แต่ทว่านางอาจจะประเมินตัวเองสูงเกินไป แม้จะสามารถโน้มน้าวใจตัวเองให้เผชิญหน้ากับซ่งซีซีได้ แต่ในวินาทีที่เห็นหยานหรูอวี้ นางก็รู้สึกอธิบายไม่ถูก เหมือนโดนบางสิ่งกระแทกอย่างแรงจนสมองโล่งว่างเปล่า รอยยิ้มที่ยกขึ้นมาก็ดูฝืนเหลือเกิน นางกลัวเหลือเกินว่าจะร้องไห้ออกมา นางเดินตามพี่สะใภ้ทั้งสองเข้าไปในห้องรับรองอย่างไร้ชีวิตชีวา และเมื่อได้พบซ่งซีซี น้ำตาก็เอ่อท้นอยู่ในดวงตา ซ่งซีซีมองนางแวบหนึ่ง ก่อนเชื้อเชิญทุกคนให้นั่งลงพร้อมรอยยิ้ม และรินชาให้ จีซูเซิ่นมองดู