เสิ่นว่านจือและซ่งซีซีต่างก็กราดเกรี้ยวอย่างมาก เหลียงเส้าคนนี้ช่างโหดร้ายขนาดไหน? เขาเอาเงินของอนุเหวินไปเพื่อแต่งงานกับคนที่เขารัก ทว่าเขากลับตบหน้านางเพียงคำพูดคำเดียวซ่งซีซีถามด้วยความโกรธทันที "เขาเคยใช้กำลังกับเจ้าหรือเปล่า"หลานเอ่อร์กล่าวว่า "ยังไม่เคย"ซ่งซีซีกล่าวว่า "ตอนนี้ไม่ได้ลงมือ แล้วผู้ใดจะไปรู้ว่าอนาคตเป็นยังไง หญิงงามเมืองคนนั้นกล้าหยิ่งต่อหน้าข้ามากขนาดนี้ในวันนี้ ไม่อาจรับประกันได้ว่านางจะไม่ไปหาเรื่องเจ้า นางออกมาจากซ่อง แม้ว่าเป็นสตรีที่หาเงินด้วยความสามารถด้านศิลปะ แต่ฝีมือของนางก็ไม่เบาเลย"นางจับไหล่ของหลานเอ่อร์ แล้วพูดว่า "คนที่ติดตามเจ้ามามีเท่าไร เพียงพอที่จะปกป้อเจ้าหรือไม่"หลานเอ่อร์กล่าวว่า "มีสาวใช้สี่คนและยายคนหนึ่ง"ซ่งซีซีคิดที่จะกลับไปหารือกับกุ้นเอ๋อร์ และให้เขาเขียนจดหมายกลับไปถึงนิกายเพื่อถามว่าสามารถขอศิษย์พี่สาวสักสองคนมาเป็นองรักษ์ได้ได้หรือไม่ไม่รู้ว่าอาจารย์ของเขาจะตอบตกลงหรือไม่ แต่เดิมอาจารย์ของเขาไม่เห็นด้วยให้ลูกศิษย์หญิงลงจากภูเขาเพื่อหาเลี้ยงชีพแต่มันเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น เมื่อเด็กคลอดออกมามีอายุได้หนึ่งเดือน ก็จะให้พวก
องค์หญิงหมิ่นชิงไม่ได้ถือสาที่ซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือมาเยี่ยมเยือนอย่างกะทันหัน นางต้อนรับพวกนางอย่างกระตือรือร้นซ่งซีซีกล่าวขอโทษ "ต้องขอโทษจริงๆ คสรจะส่งจดหมายมาบอกก่อน เพียงแต่เป็นเหตุฉุกเฉิน ก็เลยมาเยี่ยมอย่างไม่ได้บอกล่วงหน้า ขอโทษจริงๆ""เจ้าพูดเช่นนี้กับข้ามันไม่ดูเหินห่างไปหน่อยหรือ" องค์หญิงหมิ่นชิงพูดด้วยรอยยิ้ม "เจ้ามาวันนี้ และฮุ่ยเจิงก็มาเที่ยวที่นี่พอดี นางตะกละเลยท้องเสีย เวลานี้ไปห้องน้ำแล้ว อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะเห็นนางด้วย""ตะกละเลยท้องเสียอะไรกัน ท่านพี่อย่าพูดไม่จริงเลย"ทันใดนั้น องค์หญิงฮุ่ยเจิงก็นำคนใช้เข้ามา นางเอามือปิดหน้าท้องของนาง เห็นได้ชัดว่ายังคงรู้สึกไม่สบายอยู่ แต่การเถียงกับองค์หญิงหมิ่นชิงกลับดูทรงพลังมากองค์หญิงหมิ่นชิงกล่าวว่า "ฮาๆ ซีซีอยู่ที่นี่ เจ้าอยากรักษาหน้าเลยไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร เจ้าก็ตะกละไง เซียนหนิงก็เหมือนกับเจ้าไม่มีผิด"ซ่งซีซีพาเสิ่นว่านจือ และหงเชวี่ยกราบไหว้ "ขอคารวะองค์หญิงฮุ่ยเจิงเจ้าค่ะ"ฮุ่ยเจิงก็ไหว้กลับ "ทุกคนก็นั่งลงกันเถอะ มัวแต่ยืนอยู่ที่นั่นทำไม ซีซี ทำไมวันนี้หน้าซีดจัง ใครรังแกเจ้าล่ะ?"ซ่งซีซีนั่งลงและเล่าเรื่องทุก
องค์หญิงหมิ่นชิงกล่าวว่า "ท่ารพ่อตาของข้าดูแลฝ่ายตรวจการเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายตรวจการ ก่อนหน้านี้ที่เขากลับจวนมาทานข้าว ได้ยินเขาพูดถึงว่าบัดนี้ต้องปรับปุงและเข้มงวดกับการกระทำของข้าราชการมากขึ้น ต้องใช้กฏต่างๆ ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนตั้งไว้ต่อ การเป็นข้าราชการย่อมซื่อสัตย์และบริสุทธิ์ใจ ทุกวันนี้เขากำลังหารือกับอวี้สื่อจงเฉิง(เป็นขุนนางฝ่ายตรวจสอบในราชสำนัก)เกี่ยวกับเรื่องนี้ งั้นซื่อจื่อเหลียงก็มาถูกเวลาพอดี"ซ่งซีซีได้ยินคำพูดนั้น และพูดด้วยรอยยิ้ม "นั่นก็พอดีเลย แต่รอสักวันสองวันก็ได้ หญิงงามเมืองคนนั้นโดนทุบตีในวันนี้ ซื่อจื่อคงทุกข์ใจมาก ข้าเคยเจอเขามาครั้งหนึ่ง เขาดูถูกดูแคลนข้าอย่างมาก คิดดูว่าเขาต้องมาเอาเรื่องที่จวนแน่ๆ ไม่รู้ว่าการรุกรานพระชายาถือเป็นอาชญากรรมได้หรือไม่"องค์หญิงหมิ่นชิงกล่าวว่า "ได้ยินมาว่าซื่อจื่อเป็นเทวดาลับชาติมาเกิด มีพรสวรรค์พิเศษ เขาเป็นถ้านฮัวที่ฮ่องเต้แต่งตั้งให้เอง เป็นลูกศิษย์ของจักรพรรดิ การเป็นลูกศิษย์ของจักรพรรดิยิ่งต้องยับยั้งตัวเองและเป็นตัวอย่างที่ดี ตอนนี้ฝ่ายในวุ่นวายไปหมด ยังไปเที่ยวสถานบันเทิงอย่างเปิดเผย กลับรับคนในนั้นมาเป็นอนุภรรยาและให้ความ
หลังจากกลับมาถึงจวน ซ่งซีซีเลยถามกับกุ้นเอ๋อร์ กุ้นเอ๋อร์ก็ถามคำถามแรกว่า "ให้เท่าไหร่"ซ่งซีซีรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเชิญมาอย่างง่ายๆ ดังนั้นวิธีเดียวที่จะทำให้อาจารย์ของเขายอมตอบตกลงก็คือการเสนอค่าแรงให้เยอะหน่อยซ่งซีซีกล่าวว่า "จนกระทั่งถึงเด็กเกิดมาอย่างราบรื่นแล้วได้ครบหนึ่งเดือน รวมๆ ดูก็แค่ไม่กี่เดือนเอง หากมาสองคน ข้าออกเงินเป็นเหมาไปเลย หนึ่งพันตำลึง เจ้าว่ายังไง"กุ้นเอ๋อร์สอดมือของเขาลงบนผมของเขาแล้วพูดว่า "ไม่ยังไง แต่ข้าต้องเขียนจดหมายทันที ที่จวนอ๋องมีคนที่ส่งจดหมายโดยเฉพาะหรือเปล่า? โปรดส่งจดหมายถึงอาจารย์ของข้าทันที ให้เร็วที่สุด เดี๋ยวนี้เลยนะ"ซ่งซีซียิ้ม "โปรดเขียนจดหมายออกให้โดยเร็วที่สุด"หนึ่งพันตำลึง มันไม่ใช่น้อยจริงๆอาจารย์ของเขาไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์ลงจากภูเขา เพราะการเป็นองครักษ์หญิงคอยปกป้องนายหญิงของตระกูลร่ำรวย เงินเดือนมากสุดก็แค่สองตำลึง แถมยังต้องทนความคับข้องใจด้วยตอนนี้ไปปกป้องท่านหญิง ไม่มีใครทำอารมณ์ใส่ตนเอง ไม่ต้องทำงานอื่น แค่ปกป้องนางจากการถูกทำร้าย มากสุดก็แค่มีหน้าที่ดูแลยาบำรุงครรภ์ของนางหลังจากทำงานแบบนี้เพียงไม่กี่เดือน คนสองค
กุ้นเอ๋อร์เน้นย้ำต่อหน้าพวกนางครั้งแล้วครั้งเล่า "จากนี้ไปต้องเรียกข้าด้วยชื่อของข้าในจวนอ๋อง ข้าชื่อเมิ่งเทียนเซิง ไม่ใช่กุ้นเอ๋อร์ หรือไม้กวนอุจจาระ ยิ่งไม่ใช่ตัวกวน"เสิ่นว่านจือยักไหล่ "ชื่อกุ้นเอ๋อร์ถูกแพร่กระจายออกไปมานานแล้ว แต่ก็ตามที่เจ้าสบายใจจะเรียกเจ้าว่าเทียนเซิงก็ได้ แต่ถึงยังไงเจ้าก็เป็นแท่งไม้แท่งหนึ่งในใจของเราตลอด"ซ่งซีซีให้คนพาศิษย์พี่สาวสองคนออกไปอาบน้ำอาบท่า จากนั้นออกไปซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปสักสองสามชุด และจะไปจวนเฉิงเอินป๋อในเช้าวันพรุ่งนี้เนื่องจากใบสั่งยาที่หงเชวี่ยออกให้ฮูหยินผู้เฒ่าโหวผิงหยางนั้นก็สั่งให้เสิ่นว่านจือแวะไปส่งด้วย เลยต้องเดินผ่านจวนแม่ทัพเมื่อเดินผ่านจวนแม่ทัพ เสิ่นว่านจือก็เปิดม่านและมองดู ไม่มีอะไรผิดปกติ จึงไม่ได้สนใจอีกพอมอบใบสั่งยาให้กับพ่อบ้านจวนโหวผิงหยางแล้ว พวกนางก็ไม่หยุดต่อและรีบไปที่จวนเฉิงเอินป๋อในรถม้า ได้กำชับศิษย์พี่หลัวและศิษย์พี่ซือโซว่าหลังจากเข้าจวนแล้วต้องระวังอะไรบ้าง"เราจะไม่เป็นฝ่ายริเริ่มไปโจมตีผู้คน ไม่เป็นฝ่ายริเริ่มที่จะลงไม้ลงมือ แต่อย่าให้อนุที่ชื่อว่าเยียนหลิวคนนั้นเข้าใกล้ท่านหญิงหากซื่อจื่อเหลียงมาระ
ซ่งซีซีนึกถึงสิ่งที่เสิ่นว่านจือพูดในก่อนหน้านี้ หวังชิงหลูต้องการแข่งขันกับนางในเรื่องสินเดิม และบวกกับครั้งล่าสุดที่เจอการก็จบอย่างไม่สบอารมณ์ ดังนั้นนางจึงแค่พยักหน้าเบาๆ "จ้านฮูหยิน""พระชายามีเวลาว่างขนาดนี้หรือ มาดูเรื่องสนุกที่จวนแม่ทัพของเราตั้งแต่เช้างั้นเหรอ?" หวังชิงหลูมีสีหน้าแย่มาก ทั้งอย่างพูดอย่างเสียดสี "หรือว่าพระชายาลืมทางกลับวังของจวน และคิดว่าบ้านของตนเองยังอยู่จวนแม่ทัพงั้นหรือ"เสิ่นว่านจือเตรียมตัวจะลงจากรถม้าทันที แต่ซ่งซีซีห้ามนางไว้ จากนั้นมองหวังชิงหลูด้วยรอยยิ้มจาง ๆ โดยพูดว่า "พอมีเวลาว่างๆ ก็ต้องกลับมาคำนึงถึงอดีตสักหน่อยสิ และแวะมาดูว่าแหล่งรวมคนชั่วอย่างจวนแม่ทัพได้อยู่อย่างสบายหรือไม่ ถือว่ามีน้ำใจมากสินะ"หวังชิงหลูหน้าเขียวคล้ำถมึงทึง "เจ้าว่าแหล่งรวมคนชั่วอะไรกัน พระชายาอยากเห็นจวนแม่ทัพขายหน้าสินะ งั้นก็ลงรถไปดูสิ ไปเห็นแก่ตา ไปดมกลิ่นด้วยตัวเอง ถ้าชอบล่ะก็ สามารถเอามือไปเช็คด้วยนะ"ซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "ข้าไม่ได้เป็นสมาชิกของจวนแม่ทัพอีกแล้ว สถานที่ที่เต็มไปด้วยของสกปรกเช่นนี้ ก็เก็บไว้ให้จ้านฮูหยิน เช็คเองเลย"หวังชิงหลูกล่าวด้วยความโกรธ "เป็
ซ่งซีซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อนางบอกว่าต้องการสั่งสอนหวังชิงหลูนั้น ก็กลัวมากว่าเมื่อนางอยู่ในจวนเฉิงเอินป๋อพอเจออะไรที่ไม่พอใจก็จะใช้กำลังเลยเชื่อว่าพวกนางก็รู้อะไรควรอะไรไม่ควรด้วยซ่งซีซีรู้สึกหมดคำพูดกับกับหวังชิงหลูจริงๆพูดตามตรงก็ไม่เคยมีเรื่องกับนางมาก่อน ทำไมถึงเกลียดนางมากขนาดนี้?แต่ถ้าลองคิดดูดีๆ ก็พอจะเข้าใจได้ ว่าฮูหยินผู้เฒ่าคนนั้นคงพูดให้ร้ายนางไม่น้อยเมื่อต่อหน้าหวังชิงหลูดูเหมือนว่าฮูหยินผู้เฒ่าคนนั้นจะอิจฉาที่นางได้แต่งงานเข้าจวนอ๋องจริงๆเพียงแต่ว่าหวังชิงหลูก็เป็นภรรยาคนในตระกูลฝางมาก่อนเช่นกัน คุณชายฝางนั้นเป็นคนมีเหตุผลมากแค่ไหนเชียว ทำไม่นางถึงไม่เรียนรู้นิสัยนั้นมาแม้แต่น้อยล่ะเมื่อมาถึงจวนเฉิงเอินป๋อ ฮูหยินเฉิงเอินป๋อก็รีบต้อนรับผู้คนเข้าไปในห้องโถงดอกไม้นางรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย เพราะหลายวันก่อนเหลียงเส้าได้ไปก่อเรื่องที่จวนอ๋อง นางเลยกังวลอยู่เสมอว่าคนในจวนอ๋องจะมาเอาเรื่องเมื่อรอมาหลายวันก็ไม่เห็นมีคนมา เมื่อวันนี้ได้ยินคนมารายว่าเป่ยหมิงอ๋องมา จู่ๆ นางก็รู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นมาสิ่งที่นางกังวลก็คืออนาคตสดใสของลูกชายของนาง แต่ได้ยิน
ซ่งซีซีมองดูดวงตาที่แดงก่ำของหลานเอ่อร์ นางพยายามเอาพัดปิดหน้า นางถอนหายใจ "เพราะงั้นเจ้ารู้ว่าข้ามาแล้วแต่ก็ไม่ยอมมาพบข้าหรือ"หลานเอ่อร์พูดด้วยเสียงสะอื้น "ท่านพี่ ดวงตาของข้าให้คนอื่นเห็นเข้าไม่ได้"ซ่งซีซีมองแวบหนึ่งแล้วพูดว่า "ก็จริง มันบวมเหมือนลูกทอ""ท่านพี่…" เสียงของหลานเอ่อร์สำลักอีกครั้ง "เพราะเรื่องวันนั้น เขามาตำหนิข้าทุกวัน เขาจะใจร้ายขนาดนี้ได้ยังไง"ซ่งซีซีขมวดคิ้ว "เขาตำหนิเจ้า ทำไมเจ้าไม่ตำหนิกลับล่ะ""ข้า…" น้ำตาของหลานเอ่อร์ไหลลงมาอีกครั้ง "ข้าไม่รู้จะด่าทอคนอย่างไร"ซ่งซีซีไม่สามารถทำอะไรนางได้จริงๆ ดังนั้นจึงหันกลับไปถามศิษย์พี่ซือโซว่า "ศิษย์พี่ ท่านสาปแช่งคนเป็นด้วยไหม""โอ้ สบายมากเลย" ศิษย์พี่ซือโซกล่าว"เยี่ยม ถ้าต่อไปซื่อจื่อเหลียงมาด่าท่านหญิง ท่าก็ด่ากลับ ท่านจำหลักการข้อหนึ่งไว้: ถ้าเขาด่า เจ้าก็ด่ากลับ ถ้าเขาลงมือ ท่านก็ลงด้วย""สุดยอดไปเลย" ศิษย์พี่ซือโซกล่าว"ท่านพี่ สองคนนี้คือใครเหรอ" หลานเอ่อร์หยุดร้องไห้และถามอย่างสงสัย"พวกนางเป็นศิษย์พี่สาวที่ข้ารู้จักในภูเขาเหม่ยชาน พวกนางมีวรยุทธ์และรู้การแพทย์บ้าง สามารถดูแลเรื่องอาหารการกินของเจ้า
จักรพรรดิ์ซูชิงดูเหมือนจะทรงได้สติขึ้นมากกว่าตอนที่อยู่ในวัง ไม่ได้ทรงเลื่อนลอยเหมือนก่อนหน้านี้ พระองค์ทรงแย้มพระสรวล “ไม่ต้องเคร่งครัดนัก ทำตัวตามสบาย เฮ้อ ข้าเพียงรู้สึกอึดอัดในใจเลยอยากมาที่จวนอ๋องเพื่อสนทนากับอาจารย์เสิ่น” ซ่งซีซีจึงกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระหม่อมคงไม่ขัดพระองค์และศิษย์พี่ ขออนุญาตกลับไปพักผ่อน” “ไม่ต้องรีบไป ในเมื่อมาแล้วก็มาร่วมพูดคุยกันเถิด” จักรพรรดิ์ซูชิงทรงมองนางด้วยสายพระเนตรที่ดูเป็นห่วง “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซ่งซีซีที่เพิ่งยันตัวลุกขึ้นต้องวางมือลงอีกครั้ง ตอบว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย กระหม่อมดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่หมอหลวงกำชับให้พักฟื้นบนเตียงสักระยะ” “อืม” จักรพรรดิ์ซูชิงพยักพระพักตร์ “บาดเจ็บกล้ามเนื้อและกระดูก ควรต้องพักรักษาให้ดี” แม้พระองค์จะตรัสเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ทรงอนุญาตให้นางกลับไป ทั้งห้องจึงมีทั้งผู้ที่นั่งและยืนอยู่เงียบๆ เพื่อรอพระราชดำรัส ผ่านไปสักพัก จักรพรรดิ์ซูชิงทรงทำลายความเงียบขึ้นก่อน “มีอาหารว่างหรือไม่? ข้าหิวแล้ว” อู๋ต้าปั้นเมื่อได้ยินรีบกล่าว “ฝ่าบาทยังมิได้เสวยอาหารค่ำ รีบจัดเตร
ข่าวคราวเรื่องราวในห้องหนังสือและตำหนักฉือหนิงได้ถูกนำขึ้นกราบทูลถึงพระกรรณของจักรพรรดิ์ซูชิง ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกกระวนกระวายและอึดอัดพระทัยยิ่งนัก รวมทั้งการวางแผนงานตลอดหลายวันที่ผ่านมา ยิ่งทำให้พระอาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้นจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พระองค์ทรงยกเลิกการกักบริเวณฮองเฮา โดยแท้จริงแล้วก็เพื่อเตรียมตัวให้องค์ชายใหญ่ หากจะทรงแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ตำแหน่งนี้ย่อมไม่อาจมีมารดาที่ถูกกักบริเวณได้ ตอนแรกทรงคิดว่า ช่วงเวลากักบริเวณนี้ ฮองเฮาคงจะได้สำนึกผิด ทราบดีว่าการตามใจบุตรไม่ต่างอะไรกับการผลักดันบุตรไปสู่ความตาย แต่ใครจะคาดคิดว่าฮองเฮาไม่เพียงไม่สำนึกผิด กลับยิ่งเชื่อว่าการมีพระโอรสอยู่ใกล้ตัวจะช่วยเสริมความมั่นคงให้ตำแหน่งพระมเหสีของนาง เนื่องจากไม่ค่อยอยากอาหาร พระกระยาหารค่ำในวันนั้น พระองค์เสวยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อประทังพระอุทร ก่อนเสวยยา พระองค์จำเป็นต้องเสวยยา เพราะแต่ละวันผ่านไปนับเป็นกำไร แต่ด้วยวันสุดท้ายของพระชนม์ชีพที่นับถอยหลังเข้ามาใกล้ หลังจากทรงวางแผนการ พระทัยกลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น พระองค์ทรงทราบดีว่าทุกคนล้วนต้องผ่านความตายนี้ แต
ฮองเฮาเลือกเวลาอย่างเหมาะสม ไปยังห้องหนังสือเพื่อรับองค์ชายใหญ่ แล้วจึงพากันกลับไปยังตำหนักฉือหนิงเพื่อถวายพระพรไทเฮา กลุ่มคนที่ตามหลังมานั้นอลังการยิ่งนัก แม้แต่องค์ชายใหญ่ยังถูกข้ารับใช้ตัวน้อยอุ้มกลับมา พอมาถึงประตูตำหนักจึงวางเขาลง ฮองเฮาจัดระเบียบอาภรณ์ให้เรียบร้อย แล้วจูงมือองค์ชายใหญ่เข้าไปด้านใน ทำความเคารพด้วยการคุกเข่าตามธรรมเนียม ถวายพระพรไทเฮาอย่างครบถ้วน แต่ไทเฮากลับมิทรงอนุญาตให้นางลุกขึ้นทันที เพียงเรียกองค์ชายใหญ่เข้าไปใกล้ "วันนี้ไทฟู่ชมเจ้าหรือไม่?" องค์ชายใหญ่หดคอเล็กน้อย มองไทเฮาอย่างระมัดระวัง ก่อนตอบเสียงเบา "วันนี้ไทฟู่ลืมชมขอรับ" ฮองเฮาที่ยังคุกเข่าอยู่รีบเสริมว่า "เสด็จแม่ ไทฟู่เข้มงวดนัก มิชมผู้ใดง่ายๆ" แน่นอนว่าฮองเฮาหาได้ทราบไม่ว่า ไทเฮาเคยตกลงกับไทฟู่ว่าหากองค์ชายใหญ่ประพฤติดีและตั้งใจเรียน ไทฟู่จะกล่าวชมเมื่อตอนเลิกเรียน หากมิใช่ก็จะเงียบเสีย ด้วยเหตุนี้ ไทเฮาจึงทรงทราบถึงความประพฤติขององค์ชายใหญ่ในแต่ละวันโดยง่าย ไทเฮามิทรงตอบคำของฉีฮองเฮา เพียงตรัสกับองค์ชายใหญ่อย่างเรียบๆ ว่า "ยังจำกฎเกณฑ์ได้หรือไม่?" องค์ชายใหญ่หน้าซีด รีบ
สองแม่ลูกพูดคุยกันในห้องทรงพระอักษรเกือบสองชั่วโมง หลังจากไทเฮาเสด็จกลับ จักรพรรดิ์ซูชิงมีพระราชโองการให้ปลดโทษกักบริเวณของฮองเฮา แต่ยังไม่คืนสิทธิ์การบริหารวังหลังให้ ฉีฮองเฮาเมื่อได้ยินคำประกาศจากอู๋ต้าปั้น ก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ไฉนถึงยกเลิกโทษกักบริเวณอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ในทันใดนั้น นางก็คิดได้ว่าคงเป็นเพราะคำพูดที่ให้นักเลงปากมอมแพร่ออกไปก่อนหน้านี้ได้ผล ฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ แต่จะส่งรัชทายาทไปเลี้ยงดูในวังไทเฮา เช่นนี้ไม่สมเหตุสมผล ดังนั้น หลังจากนางได้รับการปลดโทษ นางไม่ได้รีบไปขอบคุณพระมหากษัตริย์ แต่เลือกไปที่โรงเรียนหลวงเพื่อเยี่ยมองค์ชายใหญ่ เมื่อองค์ชายใหญ่เห็นฮองเฮา ทรงดีพระทัยจนสุดขีด ไม่สนใจว่าไทฟู่ยังสอนอยู่ รีบลุกขึ้นพุ่งตัวราวกับนกที่พ้นกรง กระโจนเข้าสู่อ้อมอกของฉีฮองเฮา "เสด็จแม่ ลูกคิดถึงท่านเหลือเกิน ท่านจะพาลูกกลับไปเมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ?" ฮองเฮาก้มลงจับบ่าของพระองค์ ลูบเส้นผม แล้วสังเกตดูอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นว่าไม่ได้สวมเสื้อขนสัตว์ และตัวผอมลงมาก คางแหลม นางก็อดปวดใจไม่ได้ "เหตุใดเจ้าผอมเช่นนี้? ที่วังเสด็จย่าไม่ได้เลี้ยงดูอย่างดีหรือ?" องค์
รุ่งขึ้น เสนาบดีมู่มาถึงสำนักหมอหลวง บรรดาหมอหลวงทั้งหมด รวมทั้งเจ้าสำนักอยู่พร้อมหน้า เสนาบดีมู่ประทับนั่งลงก่อนมองพวกเขาด้วยแววตาหนักอึ้ง "ข้าถามพวกเจ้าเพียงคำเดียว โรคของฝ่าบาท พวกเจ้ามีความมั่นใจหรือไม่?" เหล่าแพทย์เงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่อู๋ย่วนเจิ้งจะเงยหน้าที่ตาแดงก่ำเพราะอดหลับอดนอนขึ้นมองเสนาบดีมู่แล้วส่ายหน้า "ไม่มีขอรับ" "ไม่มีเลยหรือ?" เสนาบดีมู่ถามด้วยท่าทีเหมือนไม่ยอมแพ้ "แม้แต่ความหวังเล็กๆ หรือวิธีการสักนิด?" ในความเงียบงันอีกครั้ง ดวงตาของเสนาบดีมู่ค่อยๆ หมองลงจนไร้แสง เขาถอนหายใจยาว "หากระดมกำลังจากสำนักหมอหลวงทั้งหมด จะยืดเวลาออกไปได้ถึงสองปีหรือไม่?" อู๋ย่วนเจิ้งมีสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "ท่านเสนาบดี โรคปอดทรุดนี้กำเริบอย่างรุนแรง อย่าว่าแต่สองปีเลย เพียงหนึ่งปีก็...ยากมากพ่ะย่ะค่ะ" ครั้งนี้ถึงคราวเสนาบดีมู่เงียบไปนาน ก่อนทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง "ระวังคำพูดของพวกเจ้าด้วย" เขาค่อยๆ เดินออกจากสำนักหมอหลวง พลางกระชับเสื้อคลุมให้แน่น ฤดูหนาวผ่านเข้ามาเร็วนัก อากาศยิ่งหนาวจนแทงกระดูก ไทเฮาดูเหมือนจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่แสงไฟในสำนักหมอหลวงสว่างตล
คืนนี้ เสนาบดีมู่พักอยู่ในวัง จักรพรรดิ์ซูชิงยังคงไม่ได้เสด็จไปยังฝ่ายใน หรือแม้แต่ห้องบรรทมของพระองค์เอง แต่กลับพักผ่อนอยู่บนเตียงลั่วฮั่นในห้องทรงพระอักษร เสนาบดีมู่มองพระองค์เสวยยาเสร็จ แล้วหยิบขนมหวานมอบให้ จักรพรรดิ์ซูชิงรับมาแต่ยังไม่เสวย ทรงยิ้มด้วยสายตา "จำได้ว่าเมื่อครั้งยังเยาว์ เสด็จพ่อเคยทรงลงโทษข้าในห้องทรงพระอักษร พอออกมา ท่านเสนาบดีจะให้ขนมหวานข้าหนึ่งชิ้น พร้อมคำให้กำลังใจ" เสนาบดีมู่มองพระองค์ "ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็ยังจำได้ ฝ่าบาทเคยตรัสกับกระหม่อมว่า จะทรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าทำให้ท่านผิดหวังหรือไม่?" จักรพรรดิ์ซูชิงเสวยขนมหวานเข้าไป น้ำเสียงจึงพร่ามัว เสนาบดีมู่กล่าว "ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ในใจของกระหม่อม ฝ่าบาททรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าไม่ใช่" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสด้วยความเศร้าหมอง "ข้ายังมีปณิธานอีกมาก แต่เกรงว่าจะไม่มีโอกาสทำได้" "สำนักหมอหลวงยังไม่ได้ลงความเห็นแน่ชัด ฝ่าบาทไม่ควรทรงหมดกำลังใจ" เสนาบดีมู่กล่าวปลอบ แม้ถ้อยคำจะดูแห้งแล้ง "ข้าเพียงมีเรื่องให้เสียใจอยู่บ้าง แต่ยิ่งกว่านั้น ข้าคิดการณ์ใหญ่" จักรพรรดิ์ซูชิงเอนกายลงบน
เรื่องนี้ใหญ่เกินไป ทำให้ซ่งซีซีสมองมึนงง คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต องค์ชายใหญ่แทบไม่มีข้อกังขาว่าจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ และคาดว่าไม่นานตำแหน่งองค์รัชทายาทจะถูกแต่งตั้ง เมื่อฮ่องเต้หนุ่มเยาว์ขึ้นครองราชย์ จำเป็นต้องมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และไม่ใช่เพียงคนเดียว ซึ่งจะทำให้ราชสำนักแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย สถานการณ์ในราชสำนักจะวุ่นวาย หากไม่มีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการ อาจเป็นไทเฮาหรือฉีฮองเฮาที่ปกครองราชสำนักแทน ฮองเฮาเป็นคนทะเยอทะยาน แม้ตอนนี้ถูกกักบริเวณก็ยังคงวางแผนเพื่อองค์ชายใหญ่ ตระกูลฉีมีอำนาจใหญ่โต แม้ช่วงนี้จะถูกฝ่าบาทกดดัน แต่หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต และองค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ ตระกูลฉีก็จะกลับมาผงาดอีกครั้ง ใครจะไม่อยากได้อำนาจ? เสนาบดีมู่ชราภาพและมีความคิดที่จะวางมือ แม้เขาอยากจะช่วยค้ำจุนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ แต่สถานการณ์ในตอนนั้นอาจไม่เอื้ออำนวย นี่เป็นเรื่องในอนาคต สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ หากฝ่าบาทเหลือเวลาเพียงหนึ่งปี พระองค์ย่อมจะกวาดล้างอุปสรรคและภัยคุกคามทั้งหมดเพื่อเปิดทางให้องค์ชายใหญ่ก่อนเสด็จสวรรคต และจวนเป่ยหมิงอ๋องก็คือภัยคุกคามที่
ผู้ที่ควรมาเยี่ยมก็มาเยี่ยมกันครบแล้ว ซ่งซีซีจึงสามารถพักฟื้นได้อย่างสบายใจ มีเพียงหมอหลวงหลินที่ยังมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว พร้อมนำยารักษาและยาลดรอยแผลเป็นมาให้ อาจารย์หยูมักจะคอยอยู่ข้างๆ คอยกล่าวขอบคุณหมอหลวงหลิน และฝากให้ช่วยกราบทูลขอบพระทัยฝ่าบาท วันหนึ่ง หมอหลวงหลินมาพร้อมกับอู๋ต้าปั้น อาจารย์หยูเห็นว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก จึงเชิญหมอหลวงหลินออกไปอ้างว่าขอคำแนะนำเรื่องรอยแผลเป็น เพื่อเปิดโอกาสให้พระชายาได้พูดคุยกับอู๋ต้าปั้นตามลำพัง ซ่งซีซีเชิญอู๋ต้าปั้นนั่งลงแล้วถามว่า "ฝ่าบาททรงส่งท่านมาหรือ?" อู๋ต้าปั้นถือพัดขนนกวางไว้ที่ข้อศอก มองไปที่องครักษ์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักแล้วกล่าวว่า "ฝ่าบาททรงส่งข้ามา และข้าก็อยากมาเอง พระชายาบาดเจ็บดีขึ้นบ้างหรือไม่?" ซ่งซีซีลังเลเล็กน้อย ก่อนมองเขาตรงๆ แล้วถามว่า "ท่านคิดว่า บาดแผลข้าหายดีแล้วหรือ?" อู๋ต้าปั้นถอนหายใจ "พระชายาโปรดอภัย บาดแผลดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินได้" ซ่งซีซีฝืนยิ้ม "อย่างที่ท่านว่ามา ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังเดินไม่ได้" "พระชายาอย่าใจร้อน รีบพักฟื้นเถิด" อู๋ต้าปั้นกล่าว ซ่งซีซีพูดเบาๆ "ข้าก็ใจร้
หยานหรูอวี้ย่อตัวคำนับ "เช่นนั้นข้าคงไม่รบกวนพวกท่าน ขอตัวเจ้าค่ะ" "เดินทางดีๆ นะ!" จีซูเซิ่นยิ้มส่งด้วยความอบอุ่น หลังจากหยานหรูอวี้จากไป จีซูเซิ่นหันไปมองหวังชิงหรู เห็นแววตาของนางที่เคยสดใสกลับมืดมนและเต็มไปด้วยความเศร้าใจ จีซูเซิ่นรู้ว่านางกำลังเสียใจอีกครั้งจึงกล่าวว่า "เรื่องที่ผ่านมาแล้วคิดไปก็ไร้ประโยชน์ เข้าไปข้างในเถอะ" การที่หวังชิงหรูมาหาซ่งซีซีในวันนี้ ต้องใช้ความกล้าอย่างมหาศาล เพราะนางติดค้างซ่งซีซีทั้งคำขอโทษและคำขอบคุณ ที่บอกว่ามากับพี่สะใภ้ในวันนี้ ที่จริงแล้วคือการเผชิญหน้ากับเรื่องราวในอดีต แต่ทว่านางอาจจะประเมินตัวเองสูงเกินไป แม้จะสามารถโน้มน้าวใจตัวเองให้เผชิญหน้ากับซ่งซีซีได้ แต่ในวินาทีที่เห็นหยานหรูอวี้ นางก็รู้สึกอธิบายไม่ถูก เหมือนโดนบางสิ่งกระแทกอย่างแรงจนสมองโล่งว่างเปล่า รอยยิ้มที่ยกขึ้นมาก็ดูฝืนเหลือเกิน นางกลัวเหลือเกินว่าจะร้องไห้ออกมา นางเดินตามพี่สะใภ้ทั้งสองเข้าไปในห้องรับรองอย่างไร้ชีวิตชีวา และเมื่อได้พบซ่งซีซี น้ำตาก็เอ่อท้นอยู่ในดวงตา ซ่งซีซีมองนางแวบหนึ่ง ก่อนเชื้อเชิญทุกคนให้นั่งลงพร้อมรอยยิ้ม และรินชาให้ จีซูเซิ่นมองดู