ทันทีที่คำว่าสำนักแม่ชีชิงมู่ออกมา สีหน้าของสมาชิกทั้งเจ็ดคนในครอบครัวอ๋องเยี่ยนก็เปลี่ยนไปในทันทีทันที่ที่คุณชายใหญ่เซี่ยหรูหลิงกำลังจะนั่งลง เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ถามว่า "สำนักแม่ชีชิงมู่ งั้นท่านพี่รู้ไหมว่าอาการของเสด็จแม่ของข้าเป็นยังไงบ้าง""ไม่ยังไง!" ซ่งซีซีมองไปที่เซี่ยหรูหลิง "ถ้าเจ้าห่วงใยนาง ทำไมไม่ไปเยี่ยมเองล่ะ"เซี่ยหรูหลิงเหลือบมองอ๋องเยี่ยนแวบหนึ่ง อ๋องเยี่ยนมีสีหน้าเย็นชา แต่ไม่ได้พูดอะไร"น้อง...น้องอยู่ในสถานบันศึกษา ไม่มีเวลาไป" เขาตอบอย่างตะกุกตะกัก"จริงเหรอ? มีคนมากมายในจวนอ๋องเยี่ยนต่างก็ไม่มีเวลาเหรอ แค่ส่งสาวใช้เพียงสองคนไปรับใช้ ถ้าไม่ใช่เพราะจวี๋ชุนและชิงเชวี่ยที่เป็นลูกศิษย์ของหมอมหัศจรรย์ดันอยู่ด้วย นางจะมีชีวิตอยู่ในสำนักแม่ชีชิงมู่ได้กี่วันกัน?"เดิมทีเสี้ยวจู่อวี้หยินก็ดูถูกพี่สะใภ้ที่เคยหย่ามาก่อนอยู่แล้ว เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้ ก็ทำหน้าไม่พอใจ "ข้ากลับไม่รู้ว่าพี่สะใภ้ของข้ามีงานอดิเรกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านสินะ"ดวงตาของซ่งซีซีราวกับมีดคมฟันที่ใบหน้าของเสี้ยนจู่อวี้หยิน "ข้าก็ไม่รู้ว่ามีลูกสาวที่อกตัญญูเช่นนี้ในโลกนี้""เจ้า!" ดวงตาของเสี้ยนจู่
ทันใดนั้นสีหน้าของอ๋องเยี่ยนก็เปลี่ยนไป ทำไมจดหมายหย่ายังเก็บไว้อยู่? ผู้คนที่ทำงานนั้น ไม่ได้เรื่องสักคนเซี่ยหรูหลิงรับจดหมายหย่าด้วยมือทั้งสองข้างพลางสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ลายมือในจดหมายหย่านั้นเขาจะอ่านไม่ออกได้ยังไง เป็นลายมือของท่านพ่อ เขาเป็นคนเขียนกับมือเองเขาเงยหน้าขึ้นมองอ๋องเยี่ยน และกำหมัดแน่น "เสด็จพ่อ ท่านจะอธิบายอย่างไร"อ๋องเยี่ยนเม้มริมฝีปาก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ความซื่อสัตย์และจริงใจก็หายวับไปหมด แต่กลับเป็นสีหน้าฉายแววอำมหิตแทนชายารองจินรีบพยายามแก้ต่างว่า "จะเป็นเสด็จพ่อของเจ้าเขียนให้ได้ยังไง? เห็นๆ อยู่ว่ามีคนลอกเลียนแบบลายมือของเสด็จพ่อเจ้า เสด็จพ่อของเจ้าจะหย่ากับเสด็จแม่ของเจ้าได้ยังไง"นางมองไปรอบๆ และไม่กล้าเอาเรื่องซ่งซีซี ได้แต่ถามจี้เสิ่นว่านจือว่า "เจ้าเป็นคนเอาจดหมายหย่าออกมาใช่ไหม เจ้ามีความแค้นอะไรกับจวนอ๋องเยี่ยนของเรากัน กลับต้องการใช้จดหมายหย่าปลอมเพื่อยั่วยุพระชายา ส่งผลให้นางอาการกำเริบอีก"เสิ่นว่านจือพูดอย่างเย็นชา "ไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร หากไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ทำไมถึงไปตระกูลเสิ่นเพื่อสู่ขอข้าล่ะ อ๋องเยี่ยนและข้าไม่เคยเจอหน้าก
เซี่ยหรูหลิงปาดน้ำตาพลางเดินไปหาเซี่ยหลูโม่ กำลังเตรียมจะถาม แต่อ๋องเยี่ยนก็ตะโกนใส่เขาว่า "ไม่ได้ยินหรือว่า คนอื่นเขารังเกียจเราจะนำโชคร้ายให้ รีบกลับซะ!"น้ำตาของเซี่ยหรูหลิงร่วงหล่นอีกครั้ง เขายกมือไหว้ให้เซี่ยหลูโม่และซ่งซีซี รูปร่างที่เรียวยาวและผอมแห้งของเขาราวกับใบหลิวที่ปลิวไปตามสายลม จากนั้นก็เดินตามไปด้วยก้าวที่เดินโซเซพวกคุณชายและเสี้ยนจู่นั้นต่างก็สบถขึ้นมาเบาและจากไปพร้อมกัน ทว่ามีแต่ชายารองจินยังคงรักษาความสุภาพที่เหมาะสมได้ และไหว้ให้สนมฮุ่ยไทเฟย "ไทเฟยดูแลตัวเองให้ดีๆ ด้วย หม่อมฉันขอตัวกลับก่อนเพคะ"เมื่อชายารองจินจากไป ยังมองไปที่เสิ่นว่านจืออยู่สักพัก ดวงตาของนางฉายแววอย่างมีเลศนัย เสิ่นว่านจือก็กลอกตามองบนใส่นางตรงๆสนมฮุ่ยไทเฟยอยู่ในภาวะสับสนตลอดเวลาเมื่อกี้นางยังคุยกับพวกเขาอย่างสนุกสนานเลย และแต่ละคนดูสุภาพและปากหวานด้วย กลับเป็นคนเนรคุณเช่นนี้?เมื่อพระชายาอ๋องเยี่ยนสิ้นพระชนม์ มีเพียงเซี่ยหรูหลิงเท่านั้นที่ร้องไห้ และคนอื่นๆ ไม่แม้แต่มีความโศกเศร้าบนใบหน้าเลยด้วยซ้ำโดยเฉพาะเสี้ยนจู่ทั้งสองเป็นนั้นยังเป็นลูกทางสายเลือดของพระชายาอ๋องเยี่ยน กลับปล่อยให้เส
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็สวมชุดออกงาน ดูหรูหราและสง่างามเกินจะพรรณนาได้อยู่แล้วซ่งซีซีทาแป้งเขียนคิ้วเบาๆ เพื่อปกปิดใบหน้าที่ซีดเซียวของนาง และยังปกปิดรอยฟกช้ำใต้ตาด้วย เพื่อไม่ให้คนอื่นมองเห็นความซีดเซียวของนางงานเลี้ยงของราชวงศ์ บอกว่าเป็นงานรวมญาติครอบครัว แต่ต้องปฏิบัติตามมารยาทและกฎเกณฑ์มากมายนางส่องกระจกจก หายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อระงับความเจ็บปวดใจที่คนในครอบครัวเสียไปนางบอกตนเองว่านางชินแล้ว ชินแล้วก็ดีแล้ว ชินแล้วมันจะไม่อึดอัดใจขนาดนั้นบุคคลในกระจกนั้นสวมชุดหรูหรา และมวยสูง บนศีรษะเต็มไปด้วยไข่มุกและหยก สร้อยคอที่ทำจากไข่มุกตงจูนั้นเปล่งประกายแวววาวและห้อยยาวอยู่ที่หน้าอกนี่คือสินเดิมที่อาจารย์มอบให้ ไข่มุกตงจูในหลายกล่องนั้นมีผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป แต่บรรจุแย่งกล่องไว้ต่างหูยังเป็นไข่มุกตงจูซึ่งปกคลุมใบหูส่วนล่างทั้งหมด และความฟุ่มเฟือยนั้นก็ไม่อาจบรรยายได้ไฝ่ใต้ตาของนางงดงามมาก และดูเหมือนว่าเป็นคราบเลือดจุดหนึ่ง เผยให้เห็นรัศมีแห่งการฆาตกรรมนางลดคิ้วลงเพื่อปกปิดความโกรธอันรุนแรงที่ฉายออกมาในใจของนางเซี่ยหลูโม่เข้ามาจับมือนาง แล้วพูดเบ
แต่จะปล่อยให้เสด็จแม่ปลอบใจต่อไปไม่ได้เลย คำปลอบใจของนางยิ่งจี้ใจดำขึ้นไปอีกนางจับมือรุ่ยเอ๋อร์ แล้วพูดว่า "ไม่เป็นไร อาแค่อารมณ์เสียนิดนึง แต่พอคิดว่างานเลี้ยงในวังคืนนี้จะมีของกินมากมาย จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาแล้วนะ"น้ำเสียงที่ผ่อนคลายของนางหลอกลวงเซียนหนิงและรุ่ยเอ๋อร์ได้ รวมถึงไทเฟยที่ซื่อๆ ด้วยแม้ว่าไทเฟยผู้โง่เขลาจะอึดอัดใจเรื่องพระชายาอ๋องเยี่ยน แต่งานเลี้ยงในวังก็ครึกครื้น มิใช่ครึกครื้นอย่างธรรมดา ผู้ใดบ้างจะไม่ชอบล่ะในพระราชวังเอิกเกริกจริงๆ บรรยากาศครึกครื้นเพื่อฉลองปีใหม่ มีโคมไฟและของประดับตกแต่งหลากสีสันอยู่ทั่วทุกแห่ง และโคมไฟลมแก้วก็แขวนอยู่ในทุกทางเดิน ทำให้พระราชวังดูสว่างเหมือนอยู่ในกลางวันอ๋องเยี่ยนกำลังนำครอบครัวทั้งหมดของเขาไปเข้าเฝ้าไทเฮาและฮ่องเต้ ฮองไทเฮาไม่ชอบน้องชายของฮ่องเต้องค์ก่อนคนนี้ ก็เป็นเพราะเขาทำอะไรไม่ได้เรื่อง เรื่องอื้อฉาวที่เขารักใคร่อนุภรรยาและทอดทิ้งภรรยาเอกก็แพร่กระจายไปยังเมืองหลวงแล้วเมื่อตอนนี้เห็นพระชายาอ๋องเยี่ยนไม่ได้ติดตามมา นางพอจะเดาได้ว่าอาการของนางไม่ค่อยดีนัก ในช่วงสองปีที่ผ่านมา อาการของนางกำเริบบ่อยๆ และเป็นหมอมหัศจรรย์
ในสมัยนั้นจักรพรรดิ์เหวินรักใคร่พระสนมกุ้ยเฟยยี่มาก เขาจึงเอ็นดูองค์หญิงใหญ่ไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อนางถูกเลี้ยงข้างกายพระสนมหรง รางวัลมากมายก็ถูกส่งไปยังตำหนักพระสนมหรงอย่างไม่หยุดปัจจุบัน ไทเฟยหรงเป็นไทเฟยคนเก่าของราชวงศ์ของจักรพรรดิ์เหวิน เมื่อเทียบกับไทเฟยของฮ่องเต้องศ์ก่อน พวกนางแทบจะไร้ตัวตนเลย มีชีวิตอยู่ก็พอ พระสนมบางคนที่มีฐานะต่ำและไม่มีลูก หากไม่ได้ถูกฝังไปด้วยก็ถูกส่งไปที่สำนักแม่ชีแล้วหากต้องนับเป็นรุ่น แน่นอนว่าพวกนางเป็นผู้อาวุโสมากสุดในวัง น่าเสียดาย ในวังหลังจะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องความอาวุโสเดิมทีฮ่องเต้องค์ก่อนส่งอ๋องเยี่ยนไปที่ศักดินาและเป็นเจ้าเมืองที่นั่น แต่กลับให้ไทเฟยใช้ชีวิตอยู่ในวังตามลำพัง โดยธรรมชาติแล้วมันก็ทำเพื่อยับยั้งอ๋องเยี่ยนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าอ๋องเยี่ยนเป็นคนไร้ความสามารถ ทั้งโง่และไม่ได้เรื่อง เป็นคนหื่นกาม และยังเอาใจอนุภรรยาทอดทิ้งภรรยาเอกดังนั้น ฮ่องเต้จึงทรงคิดว่าจะพระราชทานพระคุณให้แม่ลูกสองคน ให้เขารับไทเฟยหรงไปพักอาศัยที่จวนอ๋องเยี่ยน วางแผนจะประกาศพระราชกฤษฎีกาหลังวันส่งท้ายปีเก่าแต่บัดนี้เมื่อเขาได้ยินเรื่องของพระชา
อ๋องเยี่ยนก็โมโหเช่นกัน "นางจะตายตอนไหนก็ไม่เป็น แม้ว่านางจะตายแล้วข้าก็จะปิดบังข่าวการตายของนางเอาไว้ และรอจนกว่าผ่านปีใหม่ไปค่อยประกาศต่อสาธารณะ แต่ตอนนี้ถูกซ่งซีซีเข้ามาแทรกแซงเช่นนี้ ทั้งไทเฮาและฮ่องเต้ต่างก็รู้เรื่องนี้ จะให้อยู่ในเมืองหลวงต่อได้ยังไง"องค์หญิงใหญ่กัดฟันกรอดแต่ต้องเกลี้ยกล่อมให้เขาอดทน "ช่างเถอะ อย่าไปมีเรื่องกับพวกเขาก่อน พวกเขาเพิ่งสร้างผลงานกลับมา เป็นที่นิยมทั้งในหมู่คนในราชสำนักกับประชาชน หลีกเลี่ยงไปยุ่ง รับสมัครกองกำลังและซื้อม้าให้เงียบๆ โดยเร็วที่สุด สำหรับการแต่งงานกับตระกูลเสิ่น เจ้าก็เร่งด้วย เสิ่นว่านจือคนนั้นเคยเข้าสู่สนามรบเขตหนานเจียง หากเจ้าแต่งงานกับนางได้ ใช้นางเป็นประโยชน์ เรื่องที่เจ้ารับสมัครกองกำลังและซื้อม้านั้นก็จะง่ายขึ้น อีกอย่างมีตระกูลเสิ่นเป็ฯที่พึ่ง และมีสถาบันชื่อเยียนให้ความช่วยเหลือ สักวันหนึ่ง เราจะก็สามารถบรรลุผลสำเร็จได้"อ๋องเยี่ยนขมวดคิ้วและส่ายหัว "เห็นท่าทีของผู้นำตระกูลเสิ่น ข้าว่าเขาตอบอย่างขอไปที เสิ่นว่านจือนั้นเป็นแก้วตาดวงใจของตระกูลเสิ่น ให้นางมาเป็นอนุของข้า อีกอย่างนางก็รู้เรื่องนังแก่ที่ตายอยู่ในสำนักแม่ชีชิงมู่
บรรดาสมาชิกราชวงศ์ในเมืองหลวงก็ทยอยเข้ามาในพระราชวังอ๋องฮวยและพระชายาอ๋องฮวยมาพร้อมกับองค์หญิงใหญ่หลายคน องค์หญิงใหญ่ล้วนพาลูกๆ ของตนเองและฝู้หม่า ฝูงชนห้อมล้อมเข้ามา ทันใดนั้นในห้องโถงก็และพระราชวังก็เอิกเกริกขึ้นมาทันทีต่อมาก็คือองค์หญิงสองคนที่ออกเรือนแล้ว องค์หญิงหมิ่นชิงและองค์หญิงฮุ่ยเจิง พวกนางล้วนเป็นพี่น้องของฮ่องเต้ องค์หญิงหมิ่นชิงเป็นลูกสาวของไทเฮา คือพี่สาวแท้ๆ ของฮ่องเต้ ส่วนฮุ่ยเจิงเป็นลูกสาวของฉีกุ้ยไทเฟย เป็นน้องสาวของฮ่องเต้องค์หญิงหมิ่นชิงแต่งงานกับสวี่เล่อเทียน ลูกชายคนที่สองของอวี้ฉื่อต้าฟู(หัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดินหรือที่ปรึกษาองค์จักรพรรดิ คอยกำกับดูแลข้าราชบริพารทุกระดับชั้น) เขาเป็นคนมองโลกในแง่ดี ทำงานอยู่ในกระทรวงพิธีการอย่างในนามเท่านั้นตระกูลสวี่เป็นครอบครัวพ่อแม่ของชฮูหยินเสนาบดีมู่ และเป็นตระกูลนักวิชาการ เพียงแต่อวี้ฉื่อสวี่มีนิสัยตรงไปครงมาและดื้อรั้น เขาเป็นคนที่กล้าขัดแย้งกับฮ่องเต้ด้วยซ้ำ แม้ว่าองค์หญิงมีจวนขององค์หญิงเอง แต่ทุกวันแรกและวันที่สิบห้าของเดือนต้องไปคารวะพวกเขาที่จวนสวี่ นี่คือมารยาทที่ลูกสะใภ้ควรทำ อวี้ฉื่อสวี่จะไม่สนว่านางมีฐานะ