ชุดนอนของเซี่ยหลูโม่ถูกวางไว้ในห้องอาบน้ำมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชุดนอนก็เป็นสีแดงเช่นกัน แต่วัสดุก็นุ่นมาก มีเพียงลายเมฆดำและไม่มีลายปักแบบอื่น เป็นชุดแบบเดียวกันกับซ่งซีซีไม่ใช่ว่าไม่มีลายปักแบบอื่นเลย ที่แขนข้างหนึ่งมีคำว่า "ครองรักนิรันดร์" ส่วนอีกข้างหนึ่งได้ปักคำว่า "มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง" เพื่อเป็นอวยพรเซี่ยหลูโม่แค่อาบน้ำแบบลวกๆแต่ไม่แช่น้ำนาน เขารู้ว่าคืนนี้อาจจะต้องยุ่งจนถึงดึก เลยสระผมไปแล้วเมื่อคืนนี้เขาออกมาจากห้องอาบน้ำ ก่อนจะสวมชุดนอนสีแดงดูสะอาดและหล่อเหลาหลังจากใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาระยะหนึ่ง ผิวของเขาก็ขาวขึ้นมากซ่งซีซียังจำได้ว่าตอนที่นางพบเขาครั้งแรกในสนามรบ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหนวดเครา และมันเรียกได้ว่าสกปรกมาก มันยากที่จะจินตนาการว่าเขาเป็นคนเดียวกับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านางแสงเทียนมงคลสะท้อนให้เห็นผ้าห่มสีแดงสด และปลาบม่านเตียงก็ไปถึงพื้น เขาจับมือนาง แล้วเดินช้าๆ ไปยังเตียงขนาดใหญ่หัวใจของซ่งซีซีเต้นเร็วขึ้น และฝ่ามือของนางเริ่มมีเหงื่อออก นางไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นเช่นนี้กับใครในชีวิตมาก่อนเลยแต่สิ่งที่นางไม่รู้คือ เซี่ยหลูโม่รู้สึกตื่นเต้นมากก
ในปลายยามเหม่า แม่นมเหลียงก็เคาะประตูอยู่ข้างนอกเนื่องจากห้องนอนแบ่งออกเป็นภายในและภายนอก ประตูห้องนอนจึงอยู่ห้องด้านนอก ส่วนด้านในและด้านนอกถูกกั้นด้วยม่านเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีก็ลืมตาขึ้นและลุกขึ้นนั่งเกือบจะพร้อมกันซ่งซีซีลุกขึ้นนั่งและเห็นว่าเซี่ยหลูโม่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลย นางสะดุ้งอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นนางก็ตระหนักว่าตนเองก็ไม่ได้สวมเสื้อผ้าเช่นกัน นางก็คว้าผ้าห่มแล้วคลุมให้ตนเองทันทีใบหน้าของนางรู้สึกร้อนวูบวาบ และนางเดาว่าตนเองหน้าแดงแล้วแน่ๆเซี่ยหลูโม่คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ และรู้สึกว่าตนเองทำได้ไม่ดีนัก เลยไม่กล้ามองหน้านาง สำหรับการเปลือยกายเช่นนี้ เขาก็ยังไม่ชินในตอนนี้ จึงคว้าชุดนอนมา แล้วสวมใส่มันโดยใช้ผ้าห่มกันไว้หลังจากที่เขาสวมเสร็จแล้ว เขาก็ไอคำหนึ่ง แล้วพูดว่า "ข้าจะลุกขึ้นก่อน เจ้า... เจ้าใส่ชุดนอนก่อน แล้วค่อยให้คนใช้มาเปลี่ยนเสื่อให้"อ๊ะ ทำไมถึงรู้สึกน่าเขินอายขนาดนี้? แม้แต่ดวงตาของนางก็ไม่กล้าที่จะมองเลยแต่ขอแอบมองแวบนึงเถอะนะ ที่แท้สภาพเพิ่งตื่นนอนของนางเป็นแบบนี้ ดูซื่อๆ และเฉื่อยชานิดหน่อย แต่สวยงามและสดชื
เซี่ยหลูโม่ก็ต้องสวมเครื่องยศเช่นกัน แต่เขาสวมเองไม่ได้ เพราะมันก็ยุ่งยากมาก ดังนั้นในที่สุดเขาก็นำเครื่องยศออกจากห้องแล้วเรียกหัวหน้าลู่และเด็กรับใช้มาสวมให้เขาเขาสวมพระมาลาจิ่วเฉียวเมี่ยน และชเครื่องยศระดับชั้นห้าสีเขียว มีลายมังกรปักอยู่ที่ไหล่ทั้งสองข้าง และเอวของเขาผูกด้วยขอบสีแดง มีจี้หยกที่ด้านซ้ายและด้านขวา ฝั่งละชิ้น ลายเมฆสีทองและมังกรพร้อมลูกปัดหยก บนจี้หยกมีมีตะขอสีทอง เสริมด้วยสายสะพายเล็กสี่สีสายสะพายใหญ่ทอเป็นสี่สี แดง ขาว กำมะหยี่ และเขียว เขามีรูปร่างสูงและเพรียวอยู่แล้ว และการสวมเครื่องยศหรูหราชุดนี้ ดูทรงพลังและสง่างามมากยิ่งขึ้นซ่งซีซียังคงต้องแต่งหน้าแต่งตาสักหน่อย ไม่ว่านางจะสวยแค่ไหนก็ตาม เมื่อต้องไปเข้าเฝ้าก็ไม่เหมาะที่ไปแบบหน้าสดหลังจากแต่งตัวเสร็จแล้ว ซ่งซีซีก็เดินออกไปโดยมีแม่นมเหลียงและพวกเป่าจูล้อมรอบข้างกาย ซ่งซีซีถามถึงรุ่ยเอ๋อร์ก่อน และรู้ว่าเขายังไม่ได้ตื่น อีกอย่างมีรุ่ยจูค่อยดูแลอยู่ นางก็รู้สึกโล่งใจเมื่อสบตากับเซี่ยหลูโม่ที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จอยู่ห้องข้างนอก อาจเป็นเพราะวันนี้ทุกคนต่างก็แต่งตัวอย่างหรูหราแลพเรียบร้อย จึงลืมเรื่องความใกล้ชิดเ
ฉากนี้ช่างสบายตาสบายใจยิ่งนัก ลูกชายหล่อเหลา ซ่งซีซีก็งดงาม และทั้งคู่ก็มีสีหน้าเยือกเย็น หน้าคลายกันมากเป็นคู่รักกันจริงๆเมื่อสักครู่นี้ แม่นมเกามารายงานอย่างเร่งรีบ ได้ยืนยันว่าซ่งซีซีเป็นผู้บริสุทธิ์ และเมื่อคืนนี้นางได้มอบตัวให้กับท่านอ๋องอย่างแท้จริงสนมฮุ่ยไทเฟยพอใจกับสิ่งนี้มาก แต่ก็แค่พอใจที่นางเป็นผู้บริสุทธิ์เท่านั้น ส่วนเรื่องที่ซ่งซีซีได้แต่งงานครั้งที่สองนั้น นางยังไม่ได้ยอมรับไปทั้งหมดนางนั่งตัวตรง ทัศนคติของนางยังดูกำเริบ และดวงตาของนางเต็มไปด้วยแววเคร่งขรึมเซี่ยหลูโม่ระงับความโกรธเคืองเอาไว้ จับมือของซ่งซีซี แล้วเดินเข้าไปคุกเข่าลงและกราบไหว้เพื่อเป็นการคารวะ"ลูกสะใภ้มาถวายน้ำชาให้ไทเฟยเจ้าค่ะ" แม่นมเกายืนข้างๆพร้อมถือถาดแล้วกล่าวซ่งซีซีหยิบถ้วยชา แล้วยื่นให้สนมฮุ่ยไทเฟยด้วยมือทั้งสองข้าง "เสด็จแม่ โปรดดื่มชาเจ้าคะ"สนมฮุ่ยไทเฟยยังคงรออยู่สักพักหนึ่ง ในขณะที่ดวงตาของเซี่ยหลูโม่เกือบจะระเบิดความโกรธออกมานั้น นางถึงค่อยๆ เอื้อมมือออกไปรับถ้วยชา จิบไปคำหนึ่งก็วางไว้ข้างๆ"ให้รางวัล!" เสียงของนางช้าๆ แฝงไปด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยองแม่นมเกาวางถาดลง หยิบสร้อยข้อมือม
ซ่งซีซียิ้ม นางกัดฟันกรอดจนแทบจะได้ยินเสียงเลย ทว่ายังคงพูดอย่างอ่อนโยนว่า "เสด็จแม่พูดถูก การทำธุรกิจมีขาดทุนบ้างก็ต้องทำกำไรบ้าง โอ้ จริงสิ ร้านจิน ท่านกับนางคนละครึ่งหรือเปล่า ได้ทำข้อตกลงไว้หรือยัง ตั้งแต่เปิดร้านจนถึงปัจจุบันนี้ได้อ่านสมุดบัญชีหรือไม่?"สนมฮุ่ยไทเฟยทำท่าภูมิใจราวกับนกยูง "แน่นอนว่าทำข้อตกลงไว้แล้ว เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่หรือไง ไม่ใช่คนละครึ่ง ข้าครองเจ็ดส่วน ได้อ่านสมุดบัญชีอยู่แล้ว ส่งมาทุกๆ สามเดือน ข้าตรวจสอบแล้ว มันขาดทุนจริง""เอ๊ะ เสด็จแม่มีส่วนเยอะกว่า เช่นนี้ หากขาดทุน งั้นไม่ใช่ว่าท่านต้องออกเงินเยอะกว่าเพื่อเอามาอุดหนุนให้แล้วหรือ เงินที่ออกให้ในช่วงหลายปีนี้ ท่านได้จดบันทึกไว้หรือไม่?""แน่นอนว่ามีการจดบันทึกไว้ เงินทุกเบี้ยที่ข้าออกให้ ข้าจดไว้หมดเลย"ซ่งซีซีคิดในใจว่าค่อยยังชั่ว "งั้นเสด็จแม่จำได้หรือไม่ว่าทั้งหมดได้ออกเงินไปเท่าไร"สนมฮุ่ยไทเฟยพูดอย่างไม่พอใจ "ใครจะจำในสมองได้ ต้องดูสมุดบัญชีสิ แต่น่าจะหลายหมื่นตำลึง""โอ้!" ซ่งซีซีเหลือบมองเซี่ยหลูโม่ซึ่งมีใบหน้าไม่สบอารมณ์จนถึงที่สุด แล้วถามต่อว่า "เสด็จแม่คงยังไม่เคยไปร้านจินสินะ"สนมฮุ่ยไทเ
สายตาของไทเฮาต้องเฉียบแหลมขนาดไหนเชียว พอเห็นแวบหนึ่งก็มองออกว่าน้องของตนเองไม่สบอารมณ์เมื่อเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้และหวงโฮ่วนั้น นางก็ให้สนมฮุ่ยไทเฟยและแม่นมเกาอยู่ต่อนางพูดกับแม่นมเกาก่อนว่า "ตอนนี้ไปอยู่ในจวนแล้ว ไม่เหมือนอยู่ในวัง ต้องสุงสิงกับผู้คนมากมาย หากเกิดอะไรผิดพลาด พูดอะไรไม่เข้าหูไปทำให้คนเขาโกรธแค้น มันล้วนไม่เป็นผลดีต่อจวนเป่ยหมิงอ๋อง ดังนั้น ต้องระวังคำพูดและการกระทำของตนเองเป็นพิเศษให้มากขึ้น ต้องไม่ทำผิดแม้แต่น้อย เจ้านายของเจ้าถือว่าเจ้าดูแลมาตั้งแต่เด็ก ที่ผ่านมาเจ้าก็เอาแต่ใจนาง แต่หากทีหลังพบเจออะไรที่ผิดปกติ ต้องบอกกับนางทันที หากนางต้องทำอะไรที่ไม่เหมาะสม เจ้าก็คอยเกลี้ยกล่อมนางเอาไว้หน่อย ได้ยินไหม"แม่นมเกาตอบด้วยความเคารพ "เพค่ะ ข้าน้อยรับทราบเพค่ะ"สนมฮุ่ยไทเฟยเบะปาก "ท่านพี่ ข้าทำผิดตรงไหนเหรอ? อีกอย่าง จากนี้ไปข้าจะดูแลและจัดการกิจการทั้งภายในและภายนอกของจวนอ๋อง ด้วยความช่วยเหลือจากแม่นมเกาและหัวหน้าลู่ อีกทั้งมีอาจารย์หยูคอยให้คำแนะนำด้วย จะเกิดอะไรผิดพลาดได้อีกล่ะ""เจ้าดูแลจวนอ๋องงั้นเหรอ?" ไทเฮาโบกมือแล้วส่ายหัว "ไม่ได้การ เจ้าแค
ฮ่องเต้และหวงโฮ่วได้ต้อนรับเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีที่ตำหนักหยีเดี้ยนหลังจากกราบไหว้เสร็จแล้ว ฮ่องเต้พระราชทานนั่งลง หวงโฮ่วฉีมองดูซ่งซีซีที่แต่งกน้าเบาๆ นางก็ถอนหายใจเบาๆโชคดีที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีหากให้นางเข้าวังจริงๆ เกรงว่าวังหลังนี้คงจะเป็นของซ่งซีซีแล้วหน้าตาที่งดงามเพียบพร้อมเช่นนี้ นางสนมในวังหลังคงไม่มีใครเทียบได้กระมังนางมองไปที่ฮ่องเต้โดยไม่รู้ตัว และเห็นว่าฮ่องเต้กำลังมองดูซ่งซีซีอยู่ แต่ใจของนางก็อดไม่ได้ที่เต้นผิดจังหวะ สายตานี้ นางคุ้นเคยมากเมื่อใดก็ตามที่เขาเห็นสตรีที่ทำให้เขาหวั่นไหวนั้น สายตาของเขาก็จะดูพิเศษอยู่เสมอนางรู้สึกดีใจอีกครั้งที่ซ่งซีซีแต่งงานกับเซี่ยหลูโม่แล้วเมื่อพูดถึงคำสั่งที่ฮ่องเต้ออกให้ในเวลานั้น นางกลัวมากจนนอนไม่หลับไปหลายคืน หากเป็นสตรีทั่วไปก็ไม่ว่าอะไร แต่นางคือซ่งซีซี ท่านพ่อและพี่ชายที่เสียชีวิตในสนามรบของนางนั้นมีน้ำหนักอยู่ในใจของฮ่องเต้มากเกินไป อีกอย่างรูปร่างหน้าตาของนางก็สวยโดดเด่นเกินไปโชคดีที่สิ่งที่นางกังวลนั้นไม่ได้เกิดขึ้น ซ่งซีซีกลับเป็นน้องสะใภ้ของนางแทนดังนั้น รอยยิ้มของหวงโฮ่วที่มีต่อซ่งซีซีในวันนี้จึงยิมจริงใจ
หวงโฮ่วก็หมดหนทางจริงๆ สนมฮุ่ยไทเฟยเห็นว่าฉินอ๋องได้แต่งงานกับลูกสาวของตระกูลฉี นางก็ต้องการให้องค์หญิงเซียนหนิงแต่งงานเข้าตระกูลฉีด้วยฮองไทเฮาก็ยอมรับ ฮ่องเต้เป็นลูกกตัญญู ย่อมต้องเชื่อฟังไทเฮาเช่นกันแต่ในบรรดาผู้ชายในตระกูลฉี นอกจากฉีหลิวที่ไม่ชอบเรียนหนังสือ เอาแต่เล่นกับแมวหมาไปวันๆ ใช้ชีวิตอย่างไม่เอาไหน คนอื่นๆ ก็เรียนหนังสือหนัก พยายามอยากตั้งหลักในราชสำนักให้ได้โดยเฉพาะน้องห้า น้องห้าเป็นเครือเดียวกันกับนาง เรียนหนักตั้งแต่เด็ก ก็เพื่อสอบเข้าจอหงวน หากแต่งงานกับองค์หญิง ก็เป็นได้แค่ฝู้หม่าที่ไร้อำนาจ งั้นความพยายามของเขาก็ไม่เท่ากับว่าไร้ประโยชน์หรือ?หวงโฮ่วรู้ว่านางไม่สามารถออกความเห็นใดๆ เกี่ยวกับการแต่งงานขององค์หญิงคนโต ดังนั้นจึงได้แต่มาขอความช่วยเหลือจากซ่งซีซีนางคิดว่าซ่งซีซีจะไม่ยอมช่วย แต่ประโยคสุดท้ายแสดงให้เห็นถึงความคิดของนางแน่นอนว่านางรู้สึกซาบซึ้งใจนางพูดว่า "ถ้าเซียนหนิงและน้องหกของข้าจะแต่งงานด้วยกัน ข้าจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้พระชายา ข้าก็ติดหนี้เจ้าด้วย"ซ่งซีซียิ้มและไม่พูดอะไรนางไม่เคยขาดแคลนของขวัญชิ้นใหญ่อะไร หนี้ของหวงโฮ่วนางก็ไม่ต้องการ แค่ยึดมั่
ฮองเฮาเลือกเวลาอย่างเหมาะสม ไปยังห้องหนังสือเพื่อรับองค์ชายใหญ่ แล้วจึงพากันกลับไปยังตำหนักฉือหนิงเพื่อถวายพระพรไทเฮา กลุ่มคนที่ตามหลังมานั้นอลังการยิ่งนัก แม้แต่องค์ชายใหญ่ยังถูกข้ารับใช้ตัวน้อยอุ้มกลับมา พอมาถึงประตูตำหนักจึงวางเขาลง ฮองเฮาจัดระเบียบอาภรณ์ให้เรียบร้อย แล้วจูงมือองค์ชายใหญ่เข้าไปด้านใน ทำความเคารพด้วยการคุกเข่าตามธรรมเนียม ถวายพระพรไทเฮาอย่างครบถ้วน แต่ไทเฮากลับมิทรงอนุญาตให้นางลุกขึ้นทันที เพียงเรียกองค์ชายใหญ่เข้าไปใกล้ "วันนี้ไทฟู่ชมเจ้าหรือไม่?" องค์ชายใหญ่หดคอเล็กน้อย มองไทเฮาอย่างระมัดระวัง ก่อนตอบเสียงเบา "วันนี้ไทฟู่ลืมชมขอรับ" ฮองเฮาที่ยังคุกเข่าอยู่รีบเสริมว่า "เสด็จแม่ ไทฟู่เข้มงวดนัก มิชมผู้ใดง่ายๆ" แน่นอนว่าฮองเฮาหาได้ทราบไม่ว่า ไทเฮาเคยตกลงกับไทฟู่ว่าหากองค์ชายใหญ่ประพฤติดีและตั้งใจเรียน ไทฟู่จะกล่าวชมเมื่อตอนเลิกเรียน หากมิใช่ก็จะเงียบเสีย ด้วยเหตุนี้ ไทเฮาจึงทรงทราบถึงความประพฤติขององค์ชายใหญ่ในแต่ละวันโดยง่าย ไทเฮามิทรงตอบคำของฉีฮองเฮา เพียงตรัสกับองค์ชายใหญ่อย่างเรียบๆ ว่า "ยังจำกฎเกณฑ์ได้หรือไม่?" องค์ชายใหญ่หน้าซีด รีบ
สองแม่ลูกพูดคุยกันในห้องทรงพระอักษรเกือบสองชั่วโมง หลังจากไทเฮาเสด็จกลับ จักรพรรดิ์ซูชิงมีพระราชโองการให้ปลดโทษกักบริเวณของฮองเฮา แต่ยังไม่คืนสิทธิ์การบริหารวังหลังให้ ฉีฮองเฮาเมื่อได้ยินคำประกาศจากอู๋ต้าปั้น ก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ไฉนถึงยกเลิกโทษกักบริเวณอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ในทันใดนั้น นางก็คิดได้ว่าคงเป็นเพราะคำพูดที่ให้นักเลงปากมอมแพร่ออกไปก่อนหน้านี้ได้ผล ฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ แต่จะส่งรัชทายาทไปเลี้ยงดูในวังไทเฮา เช่นนี้ไม่สมเหตุสมผล ดังนั้น หลังจากนางได้รับการปลดโทษ นางไม่ได้รีบไปขอบคุณพระมหากษัตริย์ แต่เลือกไปที่โรงเรียนหลวงเพื่อเยี่ยมองค์ชายใหญ่ เมื่อองค์ชายใหญ่เห็นฮองเฮา ทรงดีพระทัยจนสุดขีด ไม่สนใจว่าไทฟู่ยังสอนอยู่ รีบลุกขึ้นพุ่งตัวราวกับนกที่พ้นกรง กระโจนเข้าสู่อ้อมอกของฉีฮองเฮา "เสด็จแม่ ลูกคิดถึงท่านเหลือเกิน ท่านจะพาลูกกลับไปเมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ?" ฮองเฮาก้มลงจับบ่าของพระองค์ ลูบเส้นผม แล้วสังเกตดูอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นว่าไม่ได้สวมเสื้อขนสัตว์ และตัวผอมลงมาก คางแหลม นางก็อดปวดใจไม่ได้ "เหตุใดเจ้าผอมเช่นนี้? ที่วังเสด็จย่าไม่ได้เลี้ยงดูอย่างดีหรือ?" องค์
รุ่งขึ้น เสนาบดีมู่มาถึงสำนักหมอหลวง บรรดาหมอหลวงทั้งหมด รวมทั้งเจ้าสำนักอยู่พร้อมหน้า เสนาบดีมู่ประทับนั่งลงก่อนมองพวกเขาด้วยแววตาหนักอึ้ง "ข้าถามพวกเจ้าเพียงคำเดียว โรคของฝ่าบาท พวกเจ้ามีความมั่นใจหรือไม่?" เหล่าแพทย์เงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่อู๋ย่วนเจิ้งจะเงยหน้าที่ตาแดงก่ำเพราะอดหลับอดนอนขึ้นมองเสนาบดีมู่แล้วส่ายหน้า "ไม่มีขอรับ" "ไม่มีเลยหรือ?" เสนาบดีมู่ถามด้วยท่าทีเหมือนไม่ยอมแพ้ "แม้แต่ความหวังเล็กๆ หรือวิธีการสักนิด?" ในความเงียบงันอีกครั้ง ดวงตาของเสนาบดีมู่ค่อยๆ หมองลงจนไร้แสง เขาถอนหายใจยาว "หากระดมกำลังจากสำนักหมอหลวงทั้งหมด จะยืดเวลาออกไปได้ถึงสองปีหรือไม่?" อู๋ย่วนเจิ้งมีสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "ท่านเสนาบดี โรคปอดทรุดนี้กำเริบอย่างรุนแรง อย่าว่าแต่สองปีเลย เพียงหนึ่งปีก็...ยากมากพ่ะย่ะค่ะ" ครั้งนี้ถึงคราวเสนาบดีมู่เงียบไปนาน ก่อนทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง "ระวังคำพูดของพวกเจ้าด้วย" เขาค่อยๆ เดินออกจากสำนักหมอหลวง พลางกระชับเสื้อคลุมให้แน่น ฤดูหนาวผ่านเข้ามาเร็วนัก อากาศยิ่งหนาวจนแทงกระดูก ไทเฮาดูเหมือนจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่แสงไฟในสำนักหมอหลวงสว่างตล
คืนนี้ เสนาบดีมู่พักอยู่ในวัง จักรพรรดิ์ซูชิงยังคงไม่ได้เสด็จไปยังฝ่ายใน หรือแม้แต่ห้องบรรทมของพระองค์เอง แต่กลับพักผ่อนอยู่บนเตียงลั่วฮั่นในห้องทรงพระอักษร เสนาบดีมู่มองพระองค์เสวยยาเสร็จ แล้วหยิบขนมหวานมอบให้ จักรพรรดิ์ซูชิงรับมาแต่ยังไม่เสวย ทรงยิ้มด้วยสายตา "จำได้ว่าเมื่อครั้งยังเยาว์ เสด็จพ่อเคยทรงลงโทษข้าในห้องทรงพระอักษร พอออกมา ท่านเสนาบดีจะให้ขนมหวานข้าหนึ่งชิ้น พร้อมคำให้กำลังใจ" เสนาบดีมู่มองพระองค์ "ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็ยังจำได้ ฝ่าบาทเคยตรัสกับกระหม่อมว่า จะทรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าทำให้ท่านผิดหวังหรือไม่?" จักรพรรดิ์ซูชิงเสวยขนมหวานเข้าไป น้ำเสียงจึงพร่ามัว เสนาบดีมู่กล่าว "ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ในใจของกระหม่อม ฝ่าบาททรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าไม่ใช่" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสด้วยความเศร้าหมอง "ข้ายังมีปณิธานอีกมาก แต่เกรงว่าจะไม่มีโอกาสทำได้" "สำนักหมอหลวงยังไม่ได้ลงความเห็นแน่ชัด ฝ่าบาทไม่ควรทรงหมดกำลังใจ" เสนาบดีมู่กล่าวปลอบ แม้ถ้อยคำจะดูแห้งแล้ง "ข้าเพียงมีเรื่องให้เสียใจอยู่บ้าง แต่ยิ่งกว่านั้น ข้าคิดการณ์ใหญ่" จักรพรรดิ์ซูชิงเอนกายลงบน
เรื่องนี้ใหญ่เกินไป ทำให้ซ่งซีซีสมองมึนงง คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต องค์ชายใหญ่แทบไม่มีข้อกังขาว่าจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ และคาดว่าไม่นานตำแหน่งองค์รัชทายาทจะถูกแต่งตั้ง เมื่อฮ่องเต้หนุ่มเยาว์ขึ้นครองราชย์ จำเป็นต้องมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และไม่ใช่เพียงคนเดียว ซึ่งจะทำให้ราชสำนักแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย สถานการณ์ในราชสำนักจะวุ่นวาย หากไม่มีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการ อาจเป็นไทเฮาหรือฉีฮองเฮาที่ปกครองราชสำนักแทน ฮองเฮาเป็นคนทะเยอทะยาน แม้ตอนนี้ถูกกักบริเวณก็ยังคงวางแผนเพื่อองค์ชายใหญ่ ตระกูลฉีมีอำนาจใหญ่โต แม้ช่วงนี้จะถูกฝ่าบาทกดดัน แต่หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต และองค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ ตระกูลฉีก็จะกลับมาผงาดอีกครั้ง ใครจะไม่อยากได้อำนาจ? เสนาบดีมู่ชราภาพและมีความคิดที่จะวางมือ แม้เขาอยากจะช่วยค้ำจุนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ แต่สถานการณ์ในตอนนั้นอาจไม่เอื้ออำนวย นี่เป็นเรื่องในอนาคต สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ หากฝ่าบาทเหลือเวลาเพียงหนึ่งปี พระองค์ย่อมจะกวาดล้างอุปสรรคและภัยคุกคามทั้งหมดเพื่อเปิดทางให้องค์ชายใหญ่ก่อนเสด็จสวรรคต และจวนเป่ยหมิงอ๋องก็คือภัยคุกคามที่
ผู้ที่ควรมาเยี่ยมก็มาเยี่ยมกันครบแล้ว ซ่งซีซีจึงสามารถพักฟื้นได้อย่างสบายใจ มีเพียงหมอหลวงหลินที่ยังมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว พร้อมนำยารักษาและยาลดรอยแผลเป็นมาให้ อาจารย์หยูมักจะคอยอยู่ข้างๆ คอยกล่าวขอบคุณหมอหลวงหลิน และฝากให้ช่วยกราบทูลขอบพระทัยฝ่าบาท วันหนึ่ง หมอหลวงหลินมาพร้อมกับอู๋ต้าปั้น อาจารย์หยูเห็นว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก จึงเชิญหมอหลวงหลินออกไปอ้างว่าขอคำแนะนำเรื่องรอยแผลเป็น เพื่อเปิดโอกาสให้พระชายาได้พูดคุยกับอู๋ต้าปั้นตามลำพัง ซ่งซีซีเชิญอู๋ต้าปั้นนั่งลงแล้วถามว่า "ฝ่าบาททรงส่งท่านมาหรือ?" อู๋ต้าปั้นถือพัดขนนกวางไว้ที่ข้อศอก มองไปที่องครักษ์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักแล้วกล่าวว่า "ฝ่าบาททรงส่งข้ามา และข้าก็อยากมาเอง พระชายาบาดเจ็บดีขึ้นบ้างหรือไม่?" ซ่งซีซีลังเลเล็กน้อย ก่อนมองเขาตรงๆ แล้วถามว่า "ท่านคิดว่า บาดแผลข้าหายดีแล้วหรือ?" อู๋ต้าปั้นถอนหายใจ "พระชายาโปรดอภัย บาดแผลดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินได้" ซ่งซีซีฝืนยิ้ม "อย่างที่ท่านว่ามา ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังเดินไม่ได้" "พระชายาอย่าใจร้อน รีบพักฟื้นเถิด" อู๋ต้าปั้นกล่าว ซ่งซีซีพูดเบาๆ "ข้าก็ใจร้
หยานหรูอวี้ย่อตัวคำนับ "เช่นนั้นข้าคงไม่รบกวนพวกท่าน ขอตัวเจ้าค่ะ" "เดินทางดีๆ นะ!" จีซูเซิ่นยิ้มส่งด้วยความอบอุ่น หลังจากหยานหรูอวี้จากไป จีซูเซิ่นหันไปมองหวังชิงหรู เห็นแววตาของนางที่เคยสดใสกลับมืดมนและเต็มไปด้วยความเศร้าใจ จีซูเซิ่นรู้ว่านางกำลังเสียใจอีกครั้งจึงกล่าวว่า "เรื่องที่ผ่านมาแล้วคิดไปก็ไร้ประโยชน์ เข้าไปข้างในเถอะ" การที่หวังชิงหรูมาหาซ่งซีซีในวันนี้ ต้องใช้ความกล้าอย่างมหาศาล เพราะนางติดค้างซ่งซีซีทั้งคำขอโทษและคำขอบคุณ ที่บอกว่ามากับพี่สะใภ้ในวันนี้ ที่จริงแล้วคือการเผชิญหน้ากับเรื่องราวในอดีต แต่ทว่านางอาจจะประเมินตัวเองสูงเกินไป แม้จะสามารถโน้มน้าวใจตัวเองให้เผชิญหน้ากับซ่งซีซีได้ แต่ในวินาทีที่เห็นหยานหรูอวี้ นางก็รู้สึกอธิบายไม่ถูก เหมือนโดนบางสิ่งกระแทกอย่างแรงจนสมองโล่งว่างเปล่า รอยยิ้มที่ยกขึ้นมาก็ดูฝืนเหลือเกิน นางกลัวเหลือเกินว่าจะร้องไห้ออกมา นางเดินตามพี่สะใภ้ทั้งสองเข้าไปในห้องรับรองอย่างไร้ชีวิตชีวา และเมื่อได้พบซ่งซีซี น้ำตาก็เอ่อท้นอยู่ในดวงตา ซ่งซีซีมองนางแวบหนึ่ง ก่อนเชื้อเชิญทุกคนให้นั่งลงพร้อมรอยยิ้ม และรินชาให้ จีซูเซิ่นมองดู
หลังจากสนมฮุ่ยไทเฟยออกจากวังและกลับจวน นางพารุ่ยเอ๋อร์มาเยี่ยมซ่งซีซี นางเป็นคนพูดไม่หยุด พอรุ่ยเอ๋อร์พูดคุยกับซ่งซีซีเสร็จและเดินออกไป นางก็เล่าทุกเรื่องที่ได้ยินในวัง รวมถึงเรื่องที่ไทเฮาลงโทษอย่างหนัก ซ่งซีซีฟังจบแล้วกลับปลอบใจนางแทนว่า "คนที่ติดอยู่ในวังหลังไม่มีอะไรทำทุกวัน จะเหมือนข้าออกไปเดินเล่นหรือฟังละครไม่ได้ ย่อมชอบแต่งเรื่องเล่าต่างๆ เพื่อผ่านเวลาไป หากไม่ทำเช่นนั้น วันเวลาที่เนิ่นนานจะผ่านไปได้อย่างไร?" สนมฮุ่ยไทเฟยกล่าวด้วยความโกรธ "ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรพูดจาไร้สาระ พูดออกมาน่าเกลียดขนาดนั้น หากทำให้หมอเอ๋อร์ของเราถูกสวมเขาโดยไม่รู้ตัว นี่หรือคำพูดของคน? แล้วนี่เป็นคำพูดที่ผู้ใหญ่ควรพูดหรือ? ช่างไม่สำรวมจริงๆ" ซ่งซีซีถอนหายใจ นางเพียงเสียใจว่าตอนที่เริ่มรู้สึกผิดปกติ นางไม่ได้ "บาดเจ็บ" ในทันที แต่ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ดื่มน้ำซุปนั้น แม้นางจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าผิดปกติถึงขนาดนั้น นางกลับคิดว่าฝ่าบาทต้องการสืบเรื่องของสถาบันว่านซงเหมิน แต่ในความเป็นจริง ตอนนี้นางก็ไม่แน่ใจว่าฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไรกันแน่ พระองค์ทรงมีความคิดล
ไม่นานนัก สนมฮุ่ยไทเฟยก็กลับมาถึงตำหนักฉือหนิงด้วยท่าทางโกรธจัด ไม่สนใจว่าฝูกงกงอยู่ด้วย นางก็กล่าวด้วยความโกรธว่า "จะไม่ให้พูดได้อย่างไรว่าคนที่อยู่ในวังหลวงนั้นมองโลกแคบ ใจคับแคบเหมือนรูเข็ม เห็นใครดีกว่าไม่ได้! ซีซีของพวกเรามีความดีความชอบจนฝ่าบาททรงชื่นชม เรียกให้นางไปเข้าร่วมการปรึกษาหารือเสมอ แต่คนพวกนั้นกลับแอบพูดกระแนะกระแหนเรื่องหญิงชายอยู่ในที่เดียวกัน ว่าอยู่ในห้องทรงพระอักษรด้วยกันไม่เหมาะสม ช่างน่าขำสิ้นดี พวกนางลืมไปแล้วหรือว่าซีซีเป็นขุนนางราชสำนัก? หากไม่ไปห้องทรงพระอักษรเพื่อประชุมราชการ จะให้นางไปแย่งความโปรดปรานในวังหลังหรืออย่างไร?" ไทเฮาทรงจิบน้ำชาอย่างช้าๆ ตรัสถามว่า "พวกนางพูดอย่างนั้นหรือ?" สนมฮุ่ยไทเฟยโกรธจนดวงตาแทบถลนออกมา "ตอนแรกข้าก็ไม่รู้เรื่อง พวกนางชมซีซีอย่างกับว่าเป็นคนใหม่ ว่าช่วงนี้นางมักจะอยู่ในห้องทรงพระอักษรกับฝ่าบาท ข้ายังรู้สึกภูมิใจอยู่พักหนึ่ง แต่ฟังไปฟังมาก็รู้สึกแปลกๆ พวกนางพูดเหมือนกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี แล้วบอกว่าซีซีของเราคิดจะเกาะกิ่งไม้สูงกลายเป็นหงส์ อ๊าก! ข้าโกรธจนแทบตาย พวกนางยังกลั้นหัวเราะพลางปิดปาก เหมือนพวกแม่ค้าในตลาดเ