ชุดนอนของเซี่ยหลูโม่ถูกวางไว้ในห้องอาบน้ำมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชุดนอนก็เป็นสีแดงเช่นกัน แต่วัสดุก็นุ่นมาก มีเพียงลายเมฆดำและไม่มีลายปักแบบอื่น เป็นชุดแบบเดียวกันกับซ่งซีซีไม่ใช่ว่าไม่มีลายปักแบบอื่นเลย ที่แขนข้างหนึ่งมีคำว่า "ครองรักนิรันดร์" ส่วนอีกข้างหนึ่งได้ปักคำว่า "มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง" เพื่อเป็นอวยพรเซี่ยหลูโม่แค่อาบน้ำแบบลวกๆแต่ไม่แช่น้ำนาน เขารู้ว่าคืนนี้อาจจะต้องยุ่งจนถึงดึก เลยสระผมไปแล้วเมื่อคืนนี้เขาออกมาจากห้องอาบน้ำ ก่อนจะสวมชุดนอนสีแดงดูสะอาดและหล่อเหลาหลังจากใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาระยะหนึ่ง ผิวของเขาก็ขาวขึ้นมากซ่งซีซียังจำได้ว่าตอนที่นางพบเขาครั้งแรกในสนามรบ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหนวดเครา และมันเรียกได้ว่าสกปรกมาก มันยากที่จะจินตนาการว่าเขาเป็นคนเดียวกับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านางแสงเทียนมงคลสะท้อนให้เห็นผ้าห่มสีแดงสด และปลาบม่านเตียงก็ไปถึงพื้น เขาจับมือนาง แล้วเดินช้าๆ ไปยังเตียงขนาดใหญ่หัวใจของซ่งซีซีเต้นเร็วขึ้น และฝ่ามือของนางเริ่มมีเหงื่อออก นางไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นเช่นนี้กับใครในชีวิตมาก่อนเลยแต่สิ่งที่นางไม่รู้คือ เซี่ยหลูโม่รู้สึกตื่นเต้นมากก
ในปลายยามเหม่า แม่นมเหลียงก็เคาะประตูอยู่ข้างนอกเนื่องจากห้องนอนแบ่งออกเป็นภายในและภายนอก ประตูห้องนอนจึงอยู่ห้องด้านนอก ส่วนด้านในและด้านนอกถูกกั้นด้วยม่านเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีก็ลืมตาขึ้นและลุกขึ้นนั่งเกือบจะพร้อมกันซ่งซีซีลุกขึ้นนั่งและเห็นว่าเซี่ยหลูโม่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลย นางสะดุ้งอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นนางก็ตระหนักว่าตนเองก็ไม่ได้สวมเสื้อผ้าเช่นกัน นางก็คว้าผ้าห่มแล้วคลุมให้ตนเองทันทีใบหน้าของนางรู้สึกร้อนวูบวาบ และนางเดาว่าตนเองหน้าแดงแล้วแน่ๆเซี่ยหลูโม่คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ และรู้สึกว่าตนเองทำได้ไม่ดีนัก เลยไม่กล้ามองหน้านาง สำหรับการเปลือยกายเช่นนี้ เขาก็ยังไม่ชินในตอนนี้ จึงคว้าชุดนอนมา แล้วสวมใส่มันโดยใช้ผ้าห่มกันไว้หลังจากที่เขาสวมเสร็จแล้ว เขาก็ไอคำหนึ่ง แล้วพูดว่า "ข้าจะลุกขึ้นก่อน เจ้า... เจ้าใส่ชุดนอนก่อน แล้วค่อยให้คนใช้มาเปลี่ยนเสื่อให้"อ๊ะ ทำไมถึงรู้สึกน่าเขินอายขนาดนี้? แม้แต่ดวงตาของนางก็ไม่กล้าที่จะมองเลยแต่ขอแอบมองแวบนึงเถอะนะ ที่แท้สภาพเพิ่งตื่นนอนของนางเป็นแบบนี้ ดูซื่อๆ และเฉื่อยชานิดหน่อย แต่สวยงามและสดชื
เซี่ยหลูโม่ก็ต้องสวมเครื่องยศเช่นกัน แต่เขาสวมเองไม่ได้ เพราะมันก็ยุ่งยากมาก ดังนั้นในที่สุดเขาก็นำเครื่องยศออกจากห้องแล้วเรียกหัวหน้าลู่และเด็กรับใช้มาสวมให้เขาเขาสวมพระมาลาจิ่วเฉียวเมี่ยน และชเครื่องยศระดับชั้นห้าสีเขียว มีลายมังกรปักอยู่ที่ไหล่ทั้งสองข้าง และเอวของเขาผูกด้วยขอบสีแดง มีจี้หยกที่ด้านซ้ายและด้านขวา ฝั่งละชิ้น ลายเมฆสีทองและมังกรพร้อมลูกปัดหยก บนจี้หยกมีมีตะขอสีทอง เสริมด้วยสายสะพายเล็กสี่สีสายสะพายใหญ่ทอเป็นสี่สี แดง ขาว กำมะหยี่ และเขียว เขามีรูปร่างสูงและเพรียวอยู่แล้ว และการสวมเครื่องยศหรูหราชุดนี้ ดูทรงพลังและสง่างามมากยิ่งขึ้นซ่งซีซียังคงต้องแต่งหน้าแต่งตาสักหน่อย ไม่ว่านางจะสวยแค่ไหนก็ตาม เมื่อต้องไปเข้าเฝ้าก็ไม่เหมาะที่ไปแบบหน้าสดหลังจากแต่งตัวเสร็จแล้ว ซ่งซีซีก็เดินออกไปโดยมีแม่นมเหลียงและพวกเป่าจูล้อมรอบข้างกาย ซ่งซีซีถามถึงรุ่ยเอ๋อร์ก่อน และรู้ว่าเขายังไม่ได้ตื่น อีกอย่างมีรุ่ยจูค่อยดูแลอยู่ นางก็รู้สึกโล่งใจเมื่อสบตากับเซี่ยหลูโม่ที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จอยู่ห้องข้างนอก อาจเป็นเพราะวันนี้ทุกคนต่างก็แต่งตัวอย่างหรูหราแลพเรียบร้อย จึงลืมเรื่องความใกล้ชิดเ
ฉากนี้ช่างสบายตาสบายใจยิ่งนัก ลูกชายหล่อเหลา ซ่งซีซีก็งดงาม และทั้งคู่ก็มีสีหน้าเยือกเย็น หน้าคลายกันมากเป็นคู่รักกันจริงๆเมื่อสักครู่นี้ แม่นมเกามารายงานอย่างเร่งรีบ ได้ยืนยันว่าซ่งซีซีเป็นผู้บริสุทธิ์ และเมื่อคืนนี้นางได้มอบตัวให้กับท่านอ๋องอย่างแท้จริงสนมฮุ่ยไทเฟยพอใจกับสิ่งนี้มาก แต่ก็แค่พอใจที่นางเป็นผู้บริสุทธิ์เท่านั้น ส่วนเรื่องที่ซ่งซีซีได้แต่งงานครั้งที่สองนั้น นางยังไม่ได้ยอมรับไปทั้งหมดนางนั่งตัวตรง ทัศนคติของนางยังดูกำเริบ และดวงตาของนางเต็มไปด้วยแววเคร่งขรึมเซี่ยหลูโม่ระงับความโกรธเคืองเอาไว้ จับมือของซ่งซีซี แล้วเดินเข้าไปคุกเข่าลงและกราบไหว้เพื่อเป็นการคารวะ"ลูกสะใภ้มาถวายน้ำชาให้ไทเฟยเจ้าค่ะ" แม่นมเกายืนข้างๆพร้อมถือถาดแล้วกล่าวซ่งซีซีหยิบถ้วยชา แล้วยื่นให้สนมฮุ่ยไทเฟยด้วยมือทั้งสองข้าง "เสด็จแม่ โปรดดื่มชาเจ้าคะ"สนมฮุ่ยไทเฟยยังคงรออยู่สักพักหนึ่ง ในขณะที่ดวงตาของเซี่ยหลูโม่เกือบจะระเบิดความโกรธออกมานั้น นางถึงค่อยๆ เอื้อมมือออกไปรับถ้วยชา จิบไปคำหนึ่งก็วางไว้ข้างๆ"ให้รางวัล!" เสียงของนางช้าๆ แฝงไปด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยองแม่นมเกาวางถาดลง หยิบสร้อยข้อมือม
ซ่งซีซียิ้ม นางกัดฟันกรอดจนแทบจะได้ยินเสียงเลย ทว่ายังคงพูดอย่างอ่อนโยนว่า "เสด็จแม่พูดถูก การทำธุรกิจมีขาดทุนบ้างก็ต้องทำกำไรบ้าง โอ้ จริงสิ ร้านจิน ท่านกับนางคนละครึ่งหรือเปล่า ได้ทำข้อตกลงไว้หรือยัง ตั้งแต่เปิดร้านจนถึงปัจจุบันนี้ได้อ่านสมุดบัญชีหรือไม่?"สนมฮุ่ยไทเฟยทำท่าภูมิใจราวกับนกยูง "แน่นอนว่าทำข้อตกลงไว้แล้ว เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่หรือไง ไม่ใช่คนละครึ่ง ข้าครองเจ็ดส่วน ได้อ่านสมุดบัญชีอยู่แล้ว ส่งมาทุกๆ สามเดือน ข้าตรวจสอบแล้ว มันขาดทุนจริง""เอ๊ะ เสด็จแม่มีส่วนเยอะกว่า เช่นนี้ หากขาดทุน งั้นไม่ใช่ว่าท่านต้องออกเงินเยอะกว่าเพื่อเอามาอุดหนุนให้แล้วหรือ เงินที่ออกให้ในช่วงหลายปีนี้ ท่านได้จดบันทึกไว้หรือไม่?""แน่นอนว่ามีการจดบันทึกไว้ เงินทุกเบี้ยที่ข้าออกให้ ข้าจดไว้หมดเลย"ซ่งซีซีคิดในใจว่าค่อยยังชั่ว "งั้นเสด็จแม่จำได้หรือไม่ว่าทั้งหมดได้ออกเงินไปเท่าไร"สนมฮุ่ยไทเฟยพูดอย่างไม่พอใจ "ใครจะจำในสมองได้ ต้องดูสมุดบัญชีสิ แต่น่าจะหลายหมื่นตำลึง""โอ้!" ซ่งซีซีเหลือบมองเซี่ยหลูโม่ซึ่งมีใบหน้าไม่สบอารมณ์จนถึงที่สุด แล้วถามต่อว่า "เสด็จแม่คงยังไม่เคยไปร้านจินสินะ"สนมฮุ่ยไทเ
สายตาของไทเฮาต้องเฉียบแหลมขนาดไหนเชียว พอเห็นแวบหนึ่งก็มองออกว่าน้องของตนเองไม่สบอารมณ์เมื่อเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้และหวงโฮ่วนั้น นางก็ให้สนมฮุ่ยไทเฟยและแม่นมเกาอยู่ต่อนางพูดกับแม่นมเกาก่อนว่า "ตอนนี้ไปอยู่ในจวนแล้ว ไม่เหมือนอยู่ในวัง ต้องสุงสิงกับผู้คนมากมาย หากเกิดอะไรผิดพลาด พูดอะไรไม่เข้าหูไปทำให้คนเขาโกรธแค้น มันล้วนไม่เป็นผลดีต่อจวนเป่ยหมิงอ๋อง ดังนั้น ต้องระวังคำพูดและการกระทำของตนเองเป็นพิเศษให้มากขึ้น ต้องไม่ทำผิดแม้แต่น้อย เจ้านายของเจ้าถือว่าเจ้าดูแลมาตั้งแต่เด็ก ที่ผ่านมาเจ้าก็เอาแต่ใจนาง แต่หากทีหลังพบเจออะไรที่ผิดปกติ ต้องบอกกับนางทันที หากนางต้องทำอะไรที่ไม่เหมาะสม เจ้าก็คอยเกลี้ยกล่อมนางเอาไว้หน่อย ได้ยินไหม"แม่นมเกาตอบด้วยความเคารพ "เพค่ะ ข้าน้อยรับทราบเพค่ะ"สนมฮุ่ยไทเฟยเบะปาก "ท่านพี่ ข้าทำผิดตรงไหนเหรอ? อีกอย่าง จากนี้ไปข้าจะดูแลและจัดการกิจการทั้งภายในและภายนอกของจวนอ๋อง ด้วยความช่วยเหลือจากแม่นมเกาและหัวหน้าลู่ อีกทั้งมีอาจารย์หยูคอยให้คำแนะนำด้วย จะเกิดอะไรผิดพลาดได้อีกล่ะ""เจ้าดูแลจวนอ๋องงั้นเหรอ?" ไทเฮาโบกมือแล้วส่ายหัว "ไม่ได้การ เจ้าแค
ฮ่องเต้และหวงโฮ่วได้ต้อนรับเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีที่ตำหนักหยีเดี้ยนหลังจากกราบไหว้เสร็จแล้ว ฮ่องเต้พระราชทานนั่งลง หวงโฮ่วฉีมองดูซ่งซีซีที่แต่งกน้าเบาๆ นางก็ถอนหายใจเบาๆโชคดีที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีหากให้นางเข้าวังจริงๆ เกรงว่าวังหลังนี้คงจะเป็นของซ่งซีซีแล้วหน้าตาที่งดงามเพียบพร้อมเช่นนี้ นางสนมในวังหลังคงไม่มีใครเทียบได้กระมังนางมองไปที่ฮ่องเต้โดยไม่รู้ตัว และเห็นว่าฮ่องเต้กำลังมองดูซ่งซีซีอยู่ แต่ใจของนางก็อดไม่ได้ที่เต้นผิดจังหวะ สายตานี้ นางคุ้นเคยมากเมื่อใดก็ตามที่เขาเห็นสตรีที่ทำให้เขาหวั่นไหวนั้น สายตาของเขาก็จะดูพิเศษอยู่เสมอนางรู้สึกดีใจอีกครั้งที่ซ่งซีซีแต่งงานกับเซี่ยหลูโม่แล้วเมื่อพูดถึงคำสั่งที่ฮ่องเต้ออกให้ในเวลานั้น นางกลัวมากจนนอนไม่หลับไปหลายคืน หากเป็นสตรีทั่วไปก็ไม่ว่าอะไร แต่นางคือซ่งซีซี ท่านพ่อและพี่ชายที่เสียชีวิตในสนามรบของนางนั้นมีน้ำหนักอยู่ในใจของฮ่องเต้มากเกินไป อีกอย่างรูปร่างหน้าตาของนางก็สวยโดดเด่นเกินไปโชคดีที่สิ่งที่นางกังวลนั้นไม่ได้เกิดขึ้น ซ่งซีซีกลับเป็นน้องสะใภ้ของนางแทนดังนั้น รอยยิ้มของหวงโฮ่วที่มีต่อซ่งซีซีในวันนี้จึงยิมจริงใจ
หวงโฮ่วก็หมดหนทางจริงๆ สนมฮุ่ยไทเฟยเห็นว่าฉินอ๋องได้แต่งงานกับลูกสาวของตระกูลฉี นางก็ต้องการให้องค์หญิงเซียนหนิงแต่งงานเข้าตระกูลฉีด้วยฮองไทเฮาก็ยอมรับ ฮ่องเต้เป็นลูกกตัญญู ย่อมต้องเชื่อฟังไทเฮาเช่นกันแต่ในบรรดาผู้ชายในตระกูลฉี นอกจากฉีหลิวที่ไม่ชอบเรียนหนังสือ เอาแต่เล่นกับแมวหมาไปวันๆ ใช้ชีวิตอย่างไม่เอาไหน คนอื่นๆ ก็เรียนหนังสือหนัก พยายามอยากตั้งหลักในราชสำนักให้ได้โดยเฉพาะน้องห้า น้องห้าเป็นเครือเดียวกันกับนาง เรียนหนักตั้งแต่เด็ก ก็เพื่อสอบเข้าจอหงวน หากแต่งงานกับองค์หญิง ก็เป็นได้แค่ฝู้หม่าที่ไร้อำนาจ งั้นความพยายามของเขาก็ไม่เท่ากับว่าไร้ประโยชน์หรือ?หวงโฮ่วรู้ว่านางไม่สามารถออกความเห็นใดๆ เกี่ยวกับการแต่งงานขององค์หญิงคนโต ดังนั้นจึงได้แต่มาขอความช่วยเหลือจากซ่งซีซีนางคิดว่าซ่งซีซีจะไม่ยอมช่วย แต่ประโยคสุดท้ายแสดงให้เห็นถึงความคิดของนางแน่นอนว่านางรู้สึกซาบซึ้งใจนางพูดว่า "ถ้าเซียนหนิงและน้องหกของข้าจะแต่งงานด้วยกัน ข้าจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้พระชายา ข้าก็ติดหนี้เจ้าด้วย"ซ่งซีซียิ้มและไม่พูดอะไรนางไม่เคยขาดแคลนของขวัญชิ้นใหญ่อะไร หนี้ของหวงโฮ่วนางก็ไม่ต้องการ แค่ยึดมั่
แม้ว่าจะไม่ถูกต้องตามระเบียบ แต่ก่อนที่นางจีจะกลับไป ซ่งซีซีก็สั่งให้คนไปซื้อโจ๊กเนื้อบดสองหม้อ โดยอ้างว่าเป็นของชาวบ้านที่ต้องการขอบคุณฮูหยินจีสำหรับการแจกจ่ายโจ๊กตลอดหลายปีที่ผ่านมา และตอนนี้ต้องการตอบแทนบุญคุณครั้งนี้นางจีร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ นางหวังว่าลูกๆ จะได้ดื่มโจ๊กอุ่นๆ สักคำ แม้เพียงนิดเดียวหลังออกจากหอต้าหลี่ ซ่งซีซีครุ่นคิดแล้วสั่งให้อาจารย์หยูไปเล่าถึงเรื่องที่ชาวบ้านบริจาคโจ๊กให้เป็นที่แพร่หลายเดิมทีผู้คนยังจดจำความมีน้ำใจของนางจีที่แจกจ่ายโจ๊กได้ แต่ช่วงนี้เรื่องราวนั้นเริ่มเงียบหายไปตอนนี้จึงเหมาะที่จะใช้โอกาสนี้จุดกระแสเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งอาจารย์หยูจึงแต่งเรื่องเล็กน้อย โดยเล่าว่าชาวบ้านที่มอบโจ๊กเดิมทีเป็นคนเร่ร่อนชานเมืองหลวงที่อดอยากจนเกือบตาย ดื่มโจ๊กที่โรงทานหลายวันติดต่อกัน และก่อนออกจากเมืองหลวง โรงทานยังมอบเสบียงให้เขาห่อหนึ่งแม้ปัจจุบันชีวิตของเขาก็ไม่ได้ดีขึ้นนัก แต่เมื่อได้ยินว่าผู้มีพระคุณของเขาประสบเคราะห์ เขาจึงรีบเดินทางมาที่เมืองหลวงและซื้อโจ๊กอุ่นๆ สองหม้อมาส่งที่เรือนจำ พร้อมร้องขอให้นำไปให้ผู้มีพระคุณเซี่ยหรูหลิงซึ่งดูแลเรือนจำ เ
นางถามว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่?”หงเชวี่ยตอบว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอาการยังพอรับได้ แต่ถ้าหวังชิงหลูไข้สูงไม่ลด ก็อาจเป็นอันตรายได้ นางเครียดเกินไป ตอนที่พบนาง นางจับมือข้าไว้แน่น ถามว่าตัวเองจะตายหรือไม่ พูดแต่เรื่องเพ้อเจ้อ เดี๋ยวโทษคนนั้น เดี๋ยวโทษคนนี้ บางครั้งก็โทษตัวเองที่ตัดสินใจผิดพลาดหลายอย่าง”ซ่งซีซีไม่ได้พูดอะไร นางไม่มีสิทธิ์ตัดสินชีวิตของผู้อื่น เพียงแต่หวังว่านางจะไม่ทำให้ฮูหยินจีลำบากไปกว่านี้หากหวังชิงหลูเสียชีวิตในเรือนจำ จะสร้างความหวาดกลัวให้กับคนในตระกูลหวัง ซึ่งจะเพิ่มภาระทางจิตใจให้กับฮูหยินจีอย่างแน่นอน“หงเชวี่ย อีกสองวันเจ้าไปดูพวกเขาอีกทีนะ”หงเชวี่ยพยักหน้า “เจ้าค่ะ”ซ่งซีซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อีกสองวันเจ้าไป ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”นางอยากพูดคุยกับฮูหยินจีตามลำพัง เพราะในที่สิ้นหวังเช่นเรือนจำนั้น หากไม่มีแม้แต่คนพูดคุย มีเพียงเสียงร้องไห้ที่ไม่สิ้นสุด วันเวลาก็จะยืดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ เนื่องจากฝ่าบาททรงพระประชวรและงดราชกิจ นางจึงต้องไปพบเสนาบดีมู่เพื่อแจ้งเรื่องจินชางหมิงเปล
เนื่องจากฝ่าบาททรงส่งชีกุ้ยไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอก งานดูแลเรือนจำจึงถูกมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของหอต้าหลี่ดูแล และผู้ที่รับหน้าที่นี้คือเซี่ยหรูหลิงไม่นานนัก เซี่ยหรูหลิงก็เดินทางมาที่จวนเป่ยหมิงอ๋องเพื่อพบซ่งซีซี บอกว่ามีเรื่องที่เขาตัดสินใจไม่ได้ และขอให้ซ่งซีซีช่วยแนะนำซ่งซีซีรีบกินข้าวเพียงสองสามคำแล้วออกมาพบเขา เพราะกังวลว่าอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับฮูหยินจีและเด็กๆแต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่เซี่ยหรูหลิงกล่าว นางก็พบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูทั้งสองคนหลังจากถูกส่งตัวเข้าเรือนจำก็วิตกกังวลทุกวัน อีกทั้งอาหารยังแย่ยิ่งกว่าอาหารที่เคยให้สุนัขกิน หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เริ่มอาเจียนและท้องเสียก่อนหน้านี้ ซ่งซีซีเคยให้ยากับฮูหยินจี ซึ่งรวมถึงยาสำหรับอาการท้องเสียและปวดท้องเพราะไม่ชินสภาพแวดล้อม ยาทำให้อาการดีขึ้น แต่เพราะต้องกินอาหารแบบนั้นต่อไป อาการจึงกลับมาแย่ลงอีก และหวังชิงหลูก็มีไข้สูงฮูหยินผู้เฒ่าร้องขออย่างน่าสงสารให้ช่วยหาหมอ เซี่ยหรูหลิงไม่กล้าตัดสินใจ จึงออกมาขอคำปรึกษาจากซ่งซีซีซ่งซีซีถามว่า “แล้วคนอื่นล่ะ? มีอาการเหมือนกันหรือไม่?”“เดิมที
แต่ครั้งนี้เมื่อเข้าไปในวัง กลับไม่ได้พบฝ่าบาท อู๋ต้าปั้นออกมาแจ้งข่าวว่า วันนี้ฝ่าบาทไอจนมีเลือดปนและเกือบหมดสติ ตอนนี้หมอหลวงกำลังรักษาซ่งซีซีรีบถาม “เป็นเพราะพระวรกายอ่อนแอ หรือถูกลอบวางยาพิษ?”คำถามนี้ชัดเจนว่าแฝงด้วยความระแวง หากเป็นสถานการณ์ปกติหรือคนอื่น ซ่งซีซีคงไม่กล้าถามแต่สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างออกไป อีกทั้งคนที่นางเผชิญหน้าอยู่คืออู๋ต้าปั้น นางจึงถามอู๋ต้าปั้นถอนหายใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “หมอหลวงวินิจฉัยว่าไม่ได้ถูกวางยาพิษ แต่เพราะฝ่าบาททรงวิตกกังวลอย่างหนัก พักผ่อนน้อยและเบื่ออาหาร อีกทั้งสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ทรงติดเชื้อและไอมาแล้วหลายวัน แม้จะดื่มยามาหลายวันแต่ไม่ได้ผล วันนี้ไอไม่หยุดจนกระทั่งมีเลือดปนและแทบหายใจไม่ออก”เมื่อได้ยินว่าไม่ใช่การวางยาพิษ ซ่งซีซีก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย หากเป็นการวางยาพิษ ก็หมายความว่ามีคนแฝงตัวเข้ามาในวังแล้ว ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยากลำบากยิ่งขึ้นการไอเป็นเลือดอาจเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ได้ ซ่งซีซีจึงยังไม่จากไป แต่เฝ้ารออยู่ด้านนอกเพื่อรอหมอหลวงออกมาแจ้งสถานการณ์นอกจากซ่งซีซีแล้ว ยังมีขุนนางอีกหลายคนที่รอเพื่อกราบทูลเรื่อ
ซ่งซีซีนั่งกลับลงบนเก้าอี้ กล่าวว่า “เรื่องที่พวกเจ้าทุจริตนั้น ฝ่าบาททรงทราบดีแล้ว ตอนนี้ที่ทรงให้ข้าสอบสวนเป็นการส่วนตัว ก็เพื่อมอบโอกาสให้พวกเจ้า หากพูดความจริง หัวของเจ้าจะยังปลอดภัย หากให้ข้อมูลที่มีค่าเพิ่มเติม อย่างมากก็แค่ถูกเนรเทศไปทำงานนอกเมือง ยังสามารถโลดแล่นในวงราชการได้”เกาหมิงอวี้ที่มีประสบการณ์ในราชสำนักมานานย่อมรู้ดีว่าให้ข้อมูลที่มีค่ามากขึ้น หมายถึงการขายเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชาเขาไม่มีข้อสงสัยในคำพูดของซ่งซีซีด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือ ช่วงนี้อู๋เยว่และคนของเขาตรวจสอบทางน้ำอยู่เสมอ สองคือ ซ่งซีซีออกหน้ามาสอบสวนด้วยตัวเอง หากไม่มีพระราชโองการจากฝ่าบาท นางไม่จำเป็นต้องลงมือเอง จะส่งใครมาทรมานเขาก็ได้แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าซ่งซีซีวิเคราะห์เขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และคาดการณ์ความคิดของเขาไปก่อนแล้ว“พวกเจ้าทุจริตทั้งระบบ ท่าทีของจินชางหมิงเป็นอย่างไร?”เกาหมิงอวี้ครุ่นคิดก่อนตอบว่า “จะว่าไปจริงๆ แล้ว เขาเป็นคนเริ่มเปิดทางให้เราทุจริต โดยอ้างว่าเป็นค่าเหนื่อยของเรา เมื่อเริ่มต้นแล้ว เราลองเบิกเงินเกินมาเล็กน้อย เขาก็ไม่ว่าอะไร จากนั้นเรากล้าขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเขาเตือนเ
หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่สองวัน ซ่งซีซีตัดสินใจลงมือกับเกาหมิงอวี้ รองหัวหน้ากรมจัดการแม่น้ำเกาหมิงอวี้อายุสามสิบห้าปี รับราชการในกรมโยธามาแล้วห้าปี เขามีพื้นเพมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนา เมื่อยังเยาว์วัยพ่อแม่เสียชีวิต เพื่อให้เขาได้เรียนในสำนักที่ดีที่สุด เขาดูดทรัพย์สมบัติของพี่น้องจนหมดสิ้นหลังสอบจอหงวนได้ เขาเข้ารับราชการ และกลายเป็นคนโลภเงินอย่างที่สุด ขี้เหนียวอย่างยิ่งยวด ทอดทิ้งพี่น้องที่เคยเลี้ยงดูเขาไปเหมือนของไร้ค่า และไม่ติดต่อพวกเขาอีกเลยยังไม่หมดแค่นั้น เขาอ้างความหึงหวงเป็นเหตุผลในการหย่ากับภรรยาคนแรก แล้วแต่งงานกับบุตรสาวของอาจารย์ผู้มีพระคุณอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาคืออธิการสำนักไป๋หยุน ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ลูกสาวคนเดียวของอาจารย์แต่งงานกับเขา แต่ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเขาคือคนไร้ค่าและทรยศทว่าคนไร้ค่าเช่นนี้กลับใช้งานได้ดี เพราะความโลภ โกรธ หลง และความเห็นแก่ตัวของเขา มีจุดอ่อนที่สามารถกดดันจนยอมพูดทุกอย่างคืนนั้น ซ่งซีซีสั่งให้กุ้นเอ๋อร์จับตัวเขามายังเรือนทางตะวันตกของเมือง ขังเขาไว้หนึ่งคืน ให้เขาหวาดกลัวและหิวโหย จากนั้นค่อยสอบสวนในวันถัดไปเกาห
จักรพรรดิซูชิงมีราชโองการให้อู๋เยว่พาคนไปควบคุมงานโดยตรง ทว่า จินชางหมิงรับมือได้อย่างคล่องแคล่ว พาอู๋เยว่ไปตรวจสอบผลสำเร็จด้วยตนเองหลังจากเริ่มงานมาเป็นเวลานาน อ่างเก็บน้ำก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์คุณภาพของอ่างเก็บน้ำนั้นยอดเยี่ยม เขื่อนที่สร้างขึ้นมั่นคงดั่งกำแพงทองหลังจากตรวจสอบอ่างเก็บน้ำแล้ว ก็ไปตรวจสอบทางน้ำ ทุกพื้นที่ได้ขุดลอกเสร็จเรียบร้อย ส่วนเขื่อนที่เสียหายก่อนหน้านี้ก็ได้รับการซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงแล้วอู๋เยว่ยังส่งคนไปพูดคุยกับคนงานก่อสร้างทางน้ำ ชายฉกรรจ์แต่ละคนที่ผิวคล้ำแดด ดูซื่อๆ ขัดเขินเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าขุนนางส่วนใหญ่ถามอะไรก็ตอบสิ่งนั้น หากให้พวกเขาบอกความไม่พอใจอะไร พวกเขามักลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะถามว่าอาหารสามารถปรับปรุงได้ไหม โดยเฉพาะเพิ่มหมูติดมันให้หน่อยอู๋เยว่คิดว่าคนเหล่านี้เป็นคนเรียบง่าย ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีความเคียดแค้นในแววตาเขายังพาคนไปดูที่พักชั่วคราวของคนงานก่อสร้างเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกระท่อมไม้และกระท่อมหญ้าแฝก ภายในมีเพียงที่นอนใหญ่ที่รองรับคนได้เจ็ดแปดคน ดูรกเล็กน้อยในกระท่อมไม่มีอาวุธ เครื่องมือที่ต้องใช้ทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในค
ซ่งซีซีแทบจะหัวเสียจนอกแตกตาย นางรู้สึกว่าเส้นผมสีขาวกำลังจะงอกออกมาบนหน้าผาก ไม่แปลกใจเลยที่ขุนนางในราชสำนักแต่ละคนดูแก่ก่อนวัย หรือแม้แต่เสนาบดีมู่ที่อายุเพียงหกสิบกว่า ผมก็หงอกไปกว่าครึ่งนางไปหาเสนาบดีมู่ด้วยความขุ่นเคือง หวังว่าเขาจะช่วยอะไรได้บ้างและกล่าวบางคำสนับสนุนนางต่อหน้าฮ่องเต้เสนาบดีมู่ยิ้มพลางมองนาง "แค่นี้ก็ถึงกับโกรธเลยหรือ?"ซ่งซีซีตอบ "มิกล้าโกรธเจ้าค่ะ แต่เรื่องนี้ชะลอความคืบหน้า และข้ากลัวว่าจะทำให้ผู้ต้องสงสัยตื่นตัว จนถูกชิงโอกาสไป ฝ่าบาทไม่ไว้ใจข้าเลย"เสนาบดีมู่ย้อนถาม "เขาไม่เชื่อเจ้าอย่างสมบูรณ์ก็เป็นเรื่องปกติ ต่อให้เป็นเจ้า หากคนใต้บัญชาไม่ได้ยกหลักฐานมาสนับสนุนคำพูด เจ้าจะเชื่อพวกเขาโดยไม่ตรวจสอบหรือ?"ซ่งซีซีกล่าว "แต่เขาไม่มีหลักฐานว่าท่านอ๋องมีความทะเยอทะยานใดๆ แต่เขาก็ยังระแวงทุกทางมิใช่หรือ?""ก็เพราะไม่มีหลักฐาน เขาจึงระแวง หากมีหลักฐาน เขาคงลงมือไปนานแล้ว" เสนาบดีมู่ถอนหายใจเบาๆ "ความจริงแล้ว หลายเรื่องไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด โดยเฉพาะการตัดสินใจสำคัญในราชสำนัก ต้องผ่านการหารือและอภิปรายหลายครั้ง บางเรื่องใช้เวลาเป็นปีจึงจะเดินหน้าได้ อีก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โครงการก่อสร้างแม่น้ำได้เกณฑ์แรงงานจากในและรอบๆ เมืองหลวง โดยเป็นกลุ่มคนงานและแรงงานหนักกลุ่มเดียวกันหน่วยงานด้านแม่น้ำทั้งหมดอยู่ภายใต้การนำของจินชางหมิง เขาใช้ข้ออ้างเรื่องการซ่อมแซมแม่น้ำและโครงการระบายน้ำเข้ายึดครองภูเขาและที่ดินจำนวนไม่น้อยบ้านเรือนถูกสร้างขึ้นอย่างกระจัดกระจายในพื้นที่เหล่านี้ โดยไม่ได้จัดเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ คนงานแม่น้ำและแรงงานบางส่วนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้เส้นทางแม่น้ำที่พวกเขาครอบครองกระจัดกระจายไปในทุกทิศ เมื่ออาจารย์หยูทำเครื่องหมายและเชื่อมจุดบนแผนที่ พบว่าพื้นที่เหล่านี้โอบล้อมพระราชวังหลวงไว้เหมือนตาข่ายที่กางปิดหากพวกเขาเป็นทหารลับของนกต่อ การเฝ้าประตูเมืองจะไร้ประโยชน์ เพราะพวกเขาอยู่ในเมืองหลวงมาตลอด และเมื่อไม่มีงานทำ พวกเขาก็สำรวจภูมิประเทศจนคุ้นเคย แม้แต่ค่ายลาดตระเวนหรือทหารรักษาการณ์อาจยังไม่รู้จักเส้นทางในเมืองหลวงดีเท่าพวกเขาซ่งซีซีมองดูแผนที่ด้วยความตระหนก แต่ก็ยังตั้งคำถามว่า "พวกเขาได้รับที่ดินเหล่านี้ ต้องได้รับการอนุมัติจากกรมโยธาธิการและฝ่าบาทใช่หรือไม่?""ถูกต้อง แต่ถ้าใช้เพื่อการซ่อมแซมแม่น้ำและระบายน้ำ ก